ท่านคิดว่าความดีหรือความชั่วทำง่ายกว่ากัน

และถ้ามนุษย์ไร้ซึ่งกิเลส โลกก็คงหยุดอยู่กับที่ เพราะกิเลสนั้นหมายถึง
ความพยายาม ความใฝ่รู้ ความทะเยอทะยานด้วย ทุกสิ่งบนโลกที่เหตุและผล
ของการคงอยู่ ถ้าไม่มีความชั่วคนก็จะไม่รู้จักความดี ข้าว่าทุกสรรพสิ่งบนโลก
ไม่มีสิ่งใดไร้ค่าหรือไม่มีประโยชน์หรอก อยู่ที่ว่านำมาใช้แบบไหน.....

อะ ฮะ ฮ่ะ กล่าวได้ดี ขอรับ

แต่คนที่ไม่ได้ทำความชั่วก้อไม่ได้แสดงว่าเป็นคนดีนะขอรับ

อืม ท่านเดียวดายกล่าวได้ถูก คนที่กลับใจได้มีค่ากว่าคนที่วันๆไม่คิดจะทำอะไรเลยเยอะแยะ

บางคนก็มักคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องทั้งที่จริงอาจเป็นสิ่งผิดศีลธรรม

บางคนที่ทำความดีกลับถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนบาปอย่างเช่นวีรชนในประวัติศาสตร์ไทยหลายท่านที่ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

ในความคิดของข้าการจะทำดีหรือเลวมันขึ้นอยู่กับจิตใจและความคิดของคนนะ แล้วแต่มุมมองในเรื่องพวกนี้ของคนคนนั้นด้วย

แต่ข้าคิดว่ากาลเวลานั่นแหละนี่จะเป็นตัวชี้วัดว่าใครดีใครเลว สิ่งที่กระทำไปนั้นถูกต้องหรือไม่

เวลาเท่านั้นที่จะเป็นบทพิสูจน์

ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คนสินะ...

ทำชั่วง่ายกว่ามากครับ

ทำชั่วง่ายกว่าครับ อาจารย์ผมเคยบอกว่า ทำดีมา99ครั้ง แต่เผลอทำชั่วมาครั้งเดียวก็โดนคนอื่นเขามองเป็นคนชั่วแล้วครับ ที่เหลือก็เลยกลายเป็นชั่วไปด้วยเลย

คนส่วนมากมักจะรู้สึกดีอยู่ลึกๆเวลาเห็นคนอื่นผิดพลาด เพราะมันจะทำให้ตัวเองดูดีขึ้น..

ที่บอกว่าทำดีมา 99 ครั้ง เผลอทำชั่วครั้งเดียวก็ถูกคนอื่นมองว่าเป็นคนชั่ว ข้าว่าไม่จริงหรอก ผลของการทำดี 99 ครั้ง ยังไงก็ต้องมีคนให้อภัยและเข้าใจในตัวเรา อย่างน้อยก็ตัวเราเอง ไม่ต้องไปสนว่าคนเขาจะมองยังไง ยึดมั่นในคุณธรรมและความถูกต้องเป็นพอ

อืม แต่สมมุติว่า ไม่มีผู้ไดเคยแถบนั้นที่มองเหน ความดีก่อนหน้านั้นของท่าน แต่มาพบเห็นความชั่ว1ครั้ง ที่ท่านกำลังกระทำ ก็ทำให้คิดเช่นนันได้นะ ขอรับ

จะทำชั่วก็ต้องพยายามเนียนๆคับ อย่าให้เขาจับได้

ถ้าไม่มีใครมองเห็นความดี 99 ครั้งที่ผ่านมา อย่างน้อยก็มีตัวเราเองนั้นแหละที่รู้อยู่แก่ใจตนดี ฟ้าดิน เทพยดาก็ต้องรับรู้

ความดีก็ทำได้ง่ายๆครับ เพียงแต่พวกท่านขี้เกียจทำกันเอง

ลองไม่ขี้เกียจสิ เชื่อไหม ถ้าคนทุกคนไม่ขี้เกียจป่านนี้ขยะก็คงไม่อยู่ตามถนนหนทางหรอก ป่านนี้คงไปอยู่ในถังขยะหมดแล้ว
ทำไมถึงถึงเป็นอย่างนั้น เพราะมันเกิดจากความเคยตัวไงครับ ขี้เกียจเดินไปทิ้งถังขยะกันเช่นเปลือกลูกอม เป็นต้น

ปล. สรุป ถ้าพวกท่านไม่ขี้เกียจก็ทำความดีกันได้ทุกคน

ทำอย่างนั้นเดียว พวกภารโรง เจ้าหน้าที่ เทศบาลตกงานคับ ทิ้งเปลืองลูกอมเป็นการทำความดีอย่างหนึ่งช่วยให้พวกเขามีงานทำ มีรายได้

คิดง่ายไปเปล่าครับ หน้าที่ภารโรงอะไรเขาไม่ได้มีหน้าที่เก็บขยะนะ งานเขาคือดูแลความสะอาดบริเวณที่ตนเองรับผิดชอบ เป็นงานรวมๆ เช่น เช็ดถูพื้น ปิดหน้าต่าง เช็ดโต๊ะ ฯลฯ ในบริเวณโรงเรียน ส่วนเทศบาลก็ดูแลอำเภอ หมู่บ้าน งานเขาไม่ได้เจาะจงที่เก็บขยะนะครับ แต่เก็บขยะเขาเอามารวมด้วยในแผนเทศบาลแค่นั้นเอง
เพียงแค่นี้ไม่ทำให้เขาไม่มีงานทำหรอกครับ เพราะมีงานอื่นนอกจจากเก็บขยะอยู่้เยอะแยะ เป็นการทำความดีซะอีกที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของพวกเขา

น่าสงสารพวกภารโรง คนเก็บขยะ คนทำความสะอาด

พวกเขาต้องทำงานที่(เกือบ)ทุกคนมองว่ามันตำต้อยเพื่อชาวประชาได้อยู่อย่างเป็นสุข

คุณลองคิดดูสิว่าถ้าไม่มีพวกเขาจะเป็นอย่างไร

เกิดวันหนึ่งพวกเขาลุกขึ้นมาประท้วงเนื่องจากขยะล้นเมืองจากน้ำมือคนที่มีความคิดอย่างคุณมังกรหลับ

เราจะอยู่กันยังไง

ข้าคิดว่าสังคมควรให้การยกย่องอาชีพเหล่านี้มากขึ้น

ทุกวันนี้ข้าน้อยยังเดินเข้าไปคุยกับลุงๆป้าๆที่เป็นนักการภารโรงที่โรงเรียนเลย ยกมือไหว้ด้วยซ้ำ ใครจะหาว่าข้าน้อยเพี้ยน บ้าก็ว่าไป เพราะข้าคิดว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่ควรได้รับการเคารพยกย่องมากๆเลย

ผมว่าถ้าขยะที่ทิ้งเรี่ยราดน้อยลง มันยิ่งทำให้พวกเขามีเวลาไปทำความสะอาดอย่างอื่นนะ
เพราะถ้าพวกเขามัวแต่ต้องมาเก็บขยะที่ทิ่งไม่เป็นที่ แล้วเมื่อไหร่เมืองจะสะอาดจิงๆหละคับ
ถ้าเขาไม่ต้องเสียเวลากับการเก็บขยะ พวกเขาคงมีเวลาทำความสะอาดป้ายรถเมล์ คงจะมี
เวลาตัดแต่งสวนหย่อมให้สวย มีเวลาจัดการกับคูคลองที่สกปรก และที่สำคัญคือมีเวลาให้
กับครอบครัวที่รออยู่ที่บ้าน..... เพราะฉะนั้นก็ต้องช่วยๆกันบ้านเมืองเราจะได้สะอาดสักที

เห็นด้วยกับคุณชายไร้เงาพันล้าน%

ถ้าสังคมมีคนคิดอย่างท่านมากๆก็ดี