ตอนที่ 4
องค์หญิงผู้ทุกข์ระทม
เสียงหายใจดังขึ้นอย่างกระชั้นถี่เร็วในความมืดมิด ที่มีแต่แสงสว่างของอาทิตย์ในยามเช้า ส่องลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่างและบานประตูเพียงเล็กน้อย
หญิงสาววัยยี่สิบห้าปีนั่งอยู่บนพื้นกลางห้อง นางมีใบหน้าสะคราญโฉม ถึงแม้ตอนนี้จะเต็มไปด้วยเหงื่อ และบาดแผลเล็กน้อย ดวงตากลมโตของนางดูอิดโรย สวมเสื้อสีขาวยาวขาดๆวิ่นๆ ผมยาวรกรุงรัง มือผูกด้วยโซ่ตรวน โยงไปผูกกับเสาข้างละต้น แผลบนหน้าผากนาง ทำให้นางปวดแสบแวดร้อนอยู่ตลอดเวลา
นางถูกกักขังอยู่ในตำหนักนี้ มาเกือบสองปีแล้ว รับประทานอาหารเพียงวันละสองมื้อ หรือไม่รับประทานอาหารเลย ทำให้ร่างกายผ่ายผอมซูบซีด ดูไม่เหมือนผู้ที่เคยสง่าราศีมาก่อน
เสียงฝีเท้าดังขึ้นเบื้อนอก พลันเงาดำก็ปรากฏอยู่หน้าประตู หญิงสาวเงยหน้ามองดูร่างดำร่างนั้นอย่างพิจารณา
“แก...นังหญิงโฉดชั่ว!” นางพึมพำ
ร่างดำเปิดประตูเข้ามาในตำหนัก เผยใบหน้าของหญิงวัยกลางคนสวมชุดสีหมึกยาว ปักลวดลายพญาหงส์สีเงิน เดินเข้ามายังเบื้องหน้านาง นางมองดูผู้มาเยือนด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชัง
“แก...นังไทเฮาโฉด” นางพึมพำอีกครั้ง
ไทเฮายิ้มให้กับนางอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินตรงมาจับคางนาง จ้องเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“ไท่จู เจ้าดูผอมไปมากนะ” ไทเฮาตรัสด้วยสุรเสียงเย้ยหยัน
“เจ้ามีอันใด”
“แหม ไท่จู เจ้าเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ พูดเยี่ยงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน มิได้รึ!” ไทเฮารับสั่งถาม “ฤาเจ้าคลุกคลีกับพวกไพร่นานเกินไปเล่า”
“ข้าเกลียดเจ้า ขยะแขยงเจ้า! คนเยี่ยงเจ้าคู่ควรแก่การเคารพบูชารึ! ไห่จูชู” ไท่จูกล่าวตอบด้วยเสียงดังก้อง เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เพียะ! เสียงตบหน้ากระทบแก้มนางอย่างแรง นางหันหน้าไปตามแรงมือด้วยความเจ็บปวด
“มองหน้าเจ้า ให้นึกถึงแม่เจ้านัก ไท่จู เจ้าช่างงดงามเหมือนแม่เจ้า ราวแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกันไม่มีผิด แม้ในยามตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้” พระนางตรัสด้วยเสียงเย็นชาแต่เคลือบแฝงไปด้วยเสียงเยาะเย้ย
“หึ!...” ไท่จูพ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง ก่อนหันกลับมาทางไทเฮา “เจ้าต้องการอันใด!”
ไทเฮายิ้มเยาะ ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ด้านหลังไท่จู และตรัสด้วยเสียงที่ทรงอำนาจว่า
“เมื่อวาน ฮ่องเต้แคว้นสือส่งพระราชสาสน์มาสู่ขอองค์หญิงสองพระองค์ องค์หญิงหยูหมิ่นและองค์หญิงเหมี่ยนหมิง...แต่ว่า เหมี่ยนหมิง ลูกสาวข้าออกเรือนไปแล้ว และตอนนี้ กลายเป็นม่าย...เป็นม่ายแต่อายุยี่สิบแปด มันทุกข์ระทมนัก”
“มันเกี่ยวอันใดกับข้า” ไท่จูถาม
“เจ้าก็รู้ว่า ฮ่องเต้แคว้นสือองค์นี้ ทรงมีพระชนม์มายุหกสิบพรรษาแล้ว องค์หญิงหยูหมิ่น ปีนี้ ทรงมีพระชนม์มายุสี่สิบแล้ว แต่รูปโฉมยังคงงดงามดุจอายุยี่สิบ ฮ่องเต้แว้นสืองต้องการแค่ให้นางไปปรนนิบัติ” ไทเฮาตรัสตอบ “แต่เหมี่ยนหมิง ลูกข้า ฮ่องเต้แคว้นสือ คงต้องการครอบครองนาง...ข้าเอง ไม่อยากเกี่ยวดองกับเฒ่าหัวงูหรอกนะ...ไท่จู”
“เจ้าจะให้ข้าสับเปลี่ยนตัวกับองค์หญิงเหมี่ยนหมิง ไปแทนพระนางเช่นนั้นหรือ” ไท่จูเบิกตากว้าง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าช่างฉลาดนัก” ไทเฮาทรงพระสรวล
“มิมีวัน...มิมีวัน” ไท่จูคำรามเสียงเฉียบขาด
“หากเจ้ามิแต่งไปหนานสือ ซีหวางจะเจอกับภัยสงคราม” ไทเฮาตรัสแย้ง
“เหตุใด จึงต้องเป็นข้า”
“เพราะเจ้า...ยังบริสุทธิ์...อยู่...อย่างไรเล่า” ไทเฮาตรัสตอบอย่างช้าๆ
“ข้ามิยอมไปเป็นนางสนมของเฒ่าหัวงูนั่นเด็ดขาด!” ไท่จูตะโกนก้อง
“เจ้ามิรักชาติเลยรึ”
“ข้ารักชาติยิ่งกว่าที่เจ้าคิดเสียอีก และอาจจะมากกว่าเจ้าด้วยซ้ำ...แต่ต้องมิใช่วิธีนี้” ไท่จูตรัสตอบ
“ดี ในเมื่อพูดดีๆมิชอบ ก็คงต้องลงไม้ลงมือ ทหาร! นำตัวนางกำนัลคนสนิทของนางมา” ไทเฮาตรัสสั่งทหารที่อยู่เบื้องนอก
ไท่จูดวงตาเบิกกว่างอีกครา มองดูทหารนำตัวนางกำนัลผู้หนึ่งเข้ามา และผลักร่างนางให้คุกเข่าลงตรงหน้า
“สั่วหลาน” พระนางพึมพำ มองดูนางกำนัลที่อยๆเงยหน้าขึ้นมองพระนางด้วยแววตาเศร้าหมอง
“ลองบอกมาซิว่า เจ้าจะยอมแต่งไปหนานสือหรือไม่”
“ข้ามิยอมเด็ดขาด!”
“ดีมาก...” ไทเฮารับสั่งเสียงสั่น “นางกำนัลสั่วหลาน เจ้าจงตบหน้านายเจ้าสิบที”
“ว่าอย่างไรนะเพคะ” สั่วหลานทูลถามอย่างไม่เชื่อหู “ไทเฮา ไม่นะเพะ ขอได้ทรงโปรด...”
“ข้าบอกให้เจ้าตบหน้านาง!” ไทเฮาตรัสตัดบทด้วยพระสุรเสียงดังก้อง “มิเช่นนั้น พ่อแม่เจ้า จักมิมีหัวอยู่บนบ่าอีก”
สั่วหลานน้ำตาคลอเบ้า ค่อยๆลุกขึ้นยืน และเดินอย่างช้าๆ มายังไท่จู ซึ่งพระนางเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาเป็นคำถาม
“เจ้ากล้าหรือ สั่วหลาน”
“องค์หญิง...หม่อมฉันภักดีต่อองค์หญิงเสมอมา ขอได้ทรงโปรดอภัยโทษให้หม่อมฉันด้วย” สั่วหลานตอบ พลางสะอื้นไห้ “หม่อมฉันมิมีทางเลือก”
เพียะ! เพียะ! ยังไม่ทันจบคำดี สั่วหลานก็ตบหน้าไท่จูทันที แก้มซ้ายสลับแก้มขวา ไทเฮามองดูอย่างอิ่มเอิบใจ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...” พระนางทรงพระสรวล
“องค์หญิง...ฮือ ฮือ...” สั่วหลานสะอื้นไห้ หลังจากตบเสร็จ
“เจ้าจะยอมหรือไม่”
“คิดหรือว่า ทำเยี่ยงนี้ ข้าจะยอมได้โดยง่าย” ทู่ตอบด้วยเสียงอันแข็งกร้าว
“ดี สั่วหลาน ตบหน้านายเจ้าอีกหนึ่งร้อยที” ไทเฮารับสั่ง
“ไม่นะเพคะ ไทเฮา” สั่วหลานทูลตอบ
“ฤาเจ้าอยากเห็นศพพ่อแม่เจ้า! สั่วหลาน” ไทเฮาตรัสเสียงเฉียบขาด
“องค์หญิง อโหสิให้หม่อมฉันด้วย”
เพียะ! เพียะ! เพียะ! เสียงตบดังขึ้นอีกครา สั่วหลานน้ำตานองหน้าด้วยความเจ็บปวด ไทเฮาทรงพระสรวลอย่างสะใจ
เมื่อการตบสิ้นสุดลง ไทเฮาก็ทรงแย้มพระโอษฐ์อย่างมีเลศนัย ก่อนจะตรัสถามด้วยเสียงราบเรียบว่า
“ว่าอย่างไร”
“แม้นวันนี้ ข้าจักต้องตายลงตรงหน้าเจ้า ข้าก็ขอไม่ไปเป็นเครื่องบำเรอเฒ่าหัวงูนั่น!” ไท่จูตรัสตอบอย่างเด็ดเดี่ยว แก้มช้ำเป็นรอยแดงระเรื่อ “แม้นข้าจักต้องทรมานสักหมื่นครั้ง ข้าก็จะไม่เหยียบแผ่นดินหนานสือ ข้าจักขอถูกเจ้าทรมานกายและใจ และตายที่นี่ ประเสริฐกว่า”
“ฤทธิ์มากนักนะ...ได้ ข้าจะสงเคราะห์ให้...ทหาร เอาเรื่องบีบนิ้วและแส้มาทรมานนาง” ไทเฮารับสั่งสียงเฉียบขาด
“อะ-ไรนะ” สั่วหลานพึมพำ พลางคุกเข่าลง “ไทเฮา ขอได้ทรงโปรดอภัยโทษให้องค์หญิงด้วย”
“สั่วหลาน เจ้ามิต้องขอร้องคนเยี่ยงมัน” ไท่จูว่า
“ดี ข้าจะให้สมความปรารถนา” ไทเฮารับสั่ง
ครู่ใหญ่ต่อมา ทหารสี่นายนำเครื่องบีบนิ้วและแส้มาอย่างละสอง ไทเฮาแย้มพระโอษฐ์อย่างยินดี พระนางทรงชอบวิธีนี้ ทรงชอบที่จะดูคนถูกทรมานต่อหน้าอย่างที่สุด
“หากเจ้าคิดเปลี่ยนใจ ก็ยังมิสาย”
“ไม่มีวัน”
“ทหาร! บีบนิ้วนาง”
ทันใดนั้น เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน ก็ดังก้องไปทั้งตำหนัก ไทเฮาทรงตรัสต่อว่า
“พอ! อาแส้เฆี่ยนตีนางอีกร้อยที”
ฉับพลัน เสียงร้องโหยหวนดังก้องขึ้นอีก เลือดไหลรินออกมาจากเรือนร่างอันอรชร และผ่ายผอมของพระนาง เมื่อถูกแส้ตีจนขาดรุ่ย เผยให้เห็นผิวสีขาวนวล ที่เต็มไปด้วยบาดแผลปริแตกออกมา
สั่วหลานเอามือปิดปาก น้ำตาไหลรินอาบแก้มด้วยความสงสารเห็นใจ ไทเฮาทรงจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์
เมื่อองค์หญิงสลบ ไทเฮาก็ทรงรับสั่งให้เอาน้ำมาสาด และตั้งต้นทรมานใหม่ เพียงแต่ครานี้ ใช้แส้เฆี่ยนตีเท่านั้น
เหตุการณ์เป็นเช่นฉะนี้ จนกระทั่งเลยเวลาบ่าย ไทฮาทรงถอนพระทัยอย่างเบื่อหน่าย สั่วหลานมองดูไท่จูถูกเฆี่ยนตีเป็นครั้งที่ห้า อย่างอนาถใจ นางคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่างอยู่ครู่ใหญ่
แต่แล้ว ราวกับคิดอะไรได้ จึงวิ่งไปคุกเข่าตรงหน้าไทเฮา พร้อมเอาศีรษะโขกพื้นสามที ไทเฮาทอดพระเนตรมองอย่างนิ่งเฉย
“ไทเฮาเพคะ ขอได้ทรงโปรดหยุดการลงทัณฑ์เถิด...หม่อมฉันจะทูลขอถวายตัวเป็นสนมฮ่องเต้แคว้นสือเองเพคะ” สั่วหลานกราบทูลทั้งน้ำตา
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ไทเฮาตรัสถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“ทูลไทเฮา หม่อมฉันอยู่ในตำหนักนี้มาแต่เล็กแต่น้อย พระนางชิงฮองเฮา ทรงมีพระคุณกับพ่อแม่หม่อมฉันมาโดยตลอด...หม่อมฉันเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่จะสนองพระกรุณาธิคุณเพคะ”
ไทเฮาทรงทอดพระเนตรมองรูปโฉมนางอย่างพิจารณา เห็นว่า นางก็มีรูปโฉมงดงามทีเดียว และเห็นว่า ฮ่องเต้แคว้นสือ คงจะหลงใหลในรูปโฉมนางได้ไม่ยากนัก
“หยุดการลงทัณฑ์” พระนางรับสั่งกับทหาร ไท่จูหอบหายใจรัวริน “ข้าจักพิจารณา” ตรัสจบก็เดินจากไป ก่อนจะก้าวพ้นธรณีประตู ก็ทรงหันมาทางไท่จู “เจ้าเกิดมาโชคดีนัก ไท่จู ที่มีบ่าวผู้ภักดีเยี่ยงนาง”
ไท่จูไม่ตอบ ถึงแม้ว่านางจะเจ็บปวดทรมาน จนแทบจะขยับกายมิได้ แต่ยังคงเงยหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ มองพระนางด้วยสายตาชิงชังดังเดิม ไทเฮาทรงยิ้มเยาะพระนาง ก่อนจะเดินออกไป
สั่วหลานรีบวิ่งมาคุกเข่าตรงหน้าไท่จู ด้วยน้ำตานองหน้า แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
“องค์หญิง ทรงเจ็บมากหรือไม่เพคะ” สั่วหลานทูลถามด้วยความห่วงใย
“สั่วหลาน...เจ้า...” ไท่จูพึมพำ พร้อมกระอักเลือดออกมาสายหนึ่ง “เหตุใด เจ้าจึงคิดเยี่ยงนี้”
“องค์หญิง หม่อมฉันทำเพื่อสนองพระเดชพระคุณเพคะ”
“สั่วหลาน...” ไท่จูพึมพำ
สั่วหลานโผเข้ากอดไท่จูอย่างโศกเศร้า ไท่จูเหยียดยิ้มอย่างตื้นตันใจ น้ำตาไหลรินอาบแก้ม
“ขอบใจเจ้ามากนะ ขอบใจมากจริงๆ” พระนางตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนโยน และแหบแห้ง ก่อนจะสลบไป
*************************
เสียงฝีเท้าม้าวิ่งอย่างรวดเร็ว จนฝุ่นฟุ้งตลบ ชายวัยสามสิบหกปีควบม้ามาตามซอกเขา ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ขึ้นเบียดเสียด จนมองดวงอาทิตย์เบื้องบนแทบไม่เห็น เขามีร่างกายสูงสง่า หน้าอกดูแข็งแกร่งดั่งหินผา ผิวขาว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา ถือทวนยาว สลักลวดลายมังกรบนใบมีด ดวงตาคมกริบดุจพญามังกรดูล้ำลึก สวมชุดสีแดงยาว ปักลวดลายมังกรสีทองอร่าม
เขาหยุดชะงักม้าอยู่ตรงหน้าประตูสูงใหญ่ กลอนประตูสีทองอร่าม เขาหอบหายใจอย่างเหนื่อยหอบ ก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างอิ่มเอิบใจ
“แผ่นดินเกิดของข้า...แผ่นดินที่ข้าจากมา...ซีหวางอันยิ่งใหญ่...ข้ากลับมาแล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม พลันรอยยิ้มนั้นก็หายไป กลายเป็นริมฝีปากที่เม้นเข้า ดวงตาหรี่ลงอย่างน่ากลัว