เข้าระบบอัตโนมัติ

ราชันแห่งแดนลึกลับ ภาค สายน้ำแห่งกาลเวลา เรื่องราว เกี่ยวกับ สงคราม ความรัก มิตรภาพ ฯลฯ


มหาราช
#41   มหาราช    [ 04-02-2009 - 16:17:26 ]

แต่ตอนที่ 2 ตอนนี้ เพิ่งพิมพ์ลงใน word ในห้องคอม ตอนชั่วโมงคอมเสร็จไปได้ครึ่งทางแล้ว (วิชาคอมไม่ได้เรียน เล่มเกมทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์ ข้าน้อยเลยนั่งแต่งตอนที่ 2)



lnwกsะบี่
#42   lnwกsะบี่    [ 04-02-2009 - 17:10:25 ]

เห้ยๆๆๆๆ

ผมเคยอ่าน สี่มังกรผยอง อ่ะ

มันส์โคด

คุณเป็นคนแต่งหรอคับ คุณหลี่ชิวสุ่ย
ผมชอบมากๆ ชอบตัวละคร ผู้เฒ่าน้ำแข็งเหนือ กับ ผู้เฒ่าอัคคีใต้ มากๆ วรยุทธแบบว่า อลังการมาก
แต่งต่อดิคับ มันส์ดี วรยุทธในนิยายคิดเองหมดเลยป่ะคับ ชื่อวิชาแต่ละวิชานี่เท่ห์ๆทั้งนั้น
ฝ่ามือมายาสลัว เพลงกระบี่ริ้วฟ้า ฝ่ามืออสูรรำพัน ดรรชนีหยดน้ำฟ้า

จำได้แค่นี้แหละ มันนานแระ

ชอบวิชาอัมฤตสุดๆ โกงมากๆ





lnwกsะบี่
#43   lnwกsะบี่    [ 04-02-2009 - 17:12:41 ]

เอามาลงอีกดิคับ

อยากอ่านอีก สนุกดีคับ



หลี่ชิวสุ่ย
#44   หลี่ชิวสุ่ย    [ 04-02-2009 - 22:43:00 ]

55

ข้าดีใจมากๆ มีคนเคยอ่านนิยายข้าแล้วชอบด้วย

ดีใจจริงๆ ยังมีคนจำได้

สวัสดีท่านเทพกระบี่ ขอบคุณท่านมากที่ติดตามผลงานข้า ^^

ขอบคุณ ขอบคุณ



เรื่องที่จะให้เอามาลงอีกคงไม่ได้แล้วละท่าน
ต้นฉบับมันไม่มีอ่ะท่าน แต่งใหม่เด่วไม่เหมือนเดิม ลืมชื่อตัวละครไปเกือบหมดแล้วด้วย


ไว้ว่างๆก่อนละกัน จะพยายามเรียบเรียงเอามาลงใหม่ ^^




มหาราช
#45   มหาราช    [ 05-02-2009 - 16:04:23 ]

อาจจะมีชาติตะวันตกด้วย แต่มันจะดูไทงแนวราชวงศ์ การเมือง ราชสำนัก มากขึ้น

อยากจะให้มันเป็นแนวแฟนตาซี บนโลกคู่ขนานที่เหมือนโลกแห่งความเป็นจริง



มหาราช
#46   มหาราช    [ 10-02-2009 - 13:23:46 ]

ใคร่ขอประกาศ

เวลานี้ ข้าน้อย ได้นำนิยายเรื่องนี้ ในโครงเรื่องเก่า ส่งไปยังสำนักพิมพ์สมาร์ทบุ๊ค แล้วนะครับ

เห็นว่า

มีนิยายจีนของสำนักพิมพ์นี้เยอะอยู่เหมือนกัน

และเขาบอกว่า หากเคยนำลงในเว็บใดมาแล้ว ให้บอกด้วย เลยคิดว่า อาจจะมีโอกาส

(เห็นเขาบอกว่า สาเหตุที่ไม่ได้ตีพิมพ์ ส่วนนึง มาจาก การที่ส่งไปไม่ถูกสำนักพิมพ์ เช่น สำนักนึง รับนิยายแนวรัก ดันส่งแนวสยองขวัญไป เป็นต้น)

แต่โครงเรื่องใหม่นี้ ข้าน้อย ก็จะลงต่อไป ไม่ต้องห่วงครับ ป้องกันเอาไว้ เผื่อพลาดอีกรอบ



มหาราช
#47   มหาราช    [ 14-02-2009 - 12:25:22 ]

แต่งตอนที่ 2 เสร็จแล้วนะครับ

เลยขอเลื่อนเวลาลง

วันนี้ มาดูเลขที่นั่งสอบ a-net เลยแวะเข้ามา



มหาราช
#48   มหาราช    [ 14-02-2009 - 12:38:49 ]

ตอนที่ 2

องค์ชายน้อย

หวางซัวถู่ฮ่องเต้ ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ครองราชย์ในยุคที่บ้านเมืองกำลังเผชิญกับความแร้นแค้น และความเดือดร้อนที่ใกล้จะแตกหักของราษฎร พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ไม่มีผลงานอันใดโดดเด่นเลย ตลอดระยะเวลาสามสิบสองปีที่ผ่านมา ยุคของพระองค์ เต็มไปด้วยกบฏและอาชญากรรมเต็มบ้านเมือง ทางการปราบปรามไม่ได้ แต่ในเรื่องอันเลวร้ายที่สุด ก็ยังคงมีเรื่องดีที่ถึงแม้จะเกิดในช่วงเวลาเพียงยี่สิบปีเท่านั้น

หวางซัวถู่ฮ่องเต้ ทรงมีฮองเฮาและพระสนมรวมสี่พระองค์ แต่ละพระองค์นั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

พระนางชิงฮองเฮา ฮองเฮาองค์แรกในรัชกาลหวางซัวถู่ฮ่องเต้ พระนางทรงมีพระเมตตากับบรรดาราษฎร ทรงรักราษฎรประดุจลูกหลาน ทรงช่วยแบ่งเบาพระราชกรณียกิจของพระสวามี บรรเทาทุกข์ของราษฎรตลอดมา ถึงแม้จะห่างไกลหรือทุรกันดารแค่ไหน พระนางจะไปเยือนถึงถิ่น และทรงไม่ถือตัว พระนางทรงมีโอรสธิดา รวมห้าพระองค์

พระนางจะทรงสอนให้โอรสธิดา รู้จักความเมตตา ความรักความห่วงใยราษฎร สอนให้รู้ว่า หากไม่มีพวกเขา ชนชั้นผู้ปกครอง ก็จะไม่มี และ จะอยู่ไม่ได้ ราษฎร ถือเป็นรากฐานของประเทศ หากมีราษฎร จึงมีผู้นำ หรือ ชนชั้นผู้ปกครอง หากไม่มีราษฎร ชนชนชั้นผู้ปกครองก็จะไม่มี ประเทศชาติก็จะไม่เกิด

ยามราษฎรเจ็บป่วย พระนางจะไปพระราชทานยารักษาโรคด้วยตัวพระนางเอง ยังความปลื้มปิติมาให้ราษฎรอย่างยิ่ง

องค์ชายใหญ่วัยสิบห้าชันษา อันเกิดจากพระนาง ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยโรคไข้ทรพิษระบาด สาเหตุมาจากทรงไปเยี่ยมราษฎร แบ่งเบาพระราชภาระของพระมารดา และทรงไปถูกเนื้อต้องตัวราษฎรที่กำลังเจ็บป่วย

หวางซัวถู่ฮ่องเต้ทรงพระพิโรธมาก เมื่อทรงทราบข่าว แต่พระนางชิงฮองเฮา ทรงทูลขออภัยโทษให้ราษฎรผู้นั้นไว้ ทั้งที่พระนางก็มีความเศร้าโศกเสียพระทัย ที่โอรสของพระนางจากนางไป

พระนางชิงฮองเฮา ทรงสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน ยังความเศร้าโศกมาให้แก่พระราชสวามี และราษฎรทั้งหลายอย่างยิ่ง เมื่อพระนางทรงสิ้นพระชนม์ บ้านเมืองที่สงบสุขมาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็เริ่มระส่ำระสายอีกครา

พระนางจีฮองเฮา ฮองเฮาองค์ที่สองในรัชกาลหวางซัวถู่ฮ่องเต้ แต่เดิมเป็นพระสนมเอก ที่ทรงพระสิริโฉม เป็นฮองเฮาที่ชอบผิดประเวณีอย่างยิ่ง เหตุเพราะ พระนางทรงไม่เป็นที่โปรดปรานเท่าใดนัก เนื่องด้วย ทรงมีบิดาเป็นเสนาบดี ที่เป็นคู่ปรับกับพระองค์ และได้รับคัดเลือก เพราะไทเฮาทรงโปรดปรานพระนาง ทำให้พระนางทรงเปล่าเปลี่ยวพระทัย มีผู้สงสัยว่า องค์ชายสามเหลียนฉี หรือ หวางซานหลี่ฮ่องเต้ในปัจจุบัน ทรงเป็นราชโอรสของหวางซัวถู่ฮ่องเต้หรือไม่

แต่แล้ว วันหนึ่ง เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในตำหนักเย็น โดยไม่รู้สาเหตุ แต่พระนางจีฮองเฮา เป็นผู้เดียวที่อยู่ในเหตุการณ์ บรรดาขุนนางที่จงรักภักดีต่อชิงฮองเฮา สบโอกาส ใส่ร้ายว่า พระนางทรงลอบวางเพลิงและคบชู้สู่ชาย ทำให้หวางซัวถู่ฮ่องเต้ทรงพิโรธกับเรื่องนี้ แต่ด้วยความที่ยังรักพระนาง จึงทรงเนรเทศไปเป็นชีที่เขาซานถู่ชิง หลังจากนั้น ก็ไม่ทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นฮองเฮาอีกเลย

พระสนมไห่จูชู ผู้มีความทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ทรงเป็นที่โปรดปรานของหวางซัวถู่ฮ่องเต้เท่าใดนัก เนื่องด้วย ทรงมีความอิจฉาริษยา เมื่อหวางซัวถู่ฮ่องเต้สวรรคต พระนางก็รวบอำนาจไว้ในมือ ขึ้นกุมอำนาจเหนือฮ่องเต้ แต่เพียงผู้เดียว

เจ้าจอมมารดาหงเจาจิน พระสนมผู้ทรงมีความอ่อนโยน และ อ่อนหวาน ทรงเป็นที่โปรดปรานของหวางซัวถู่ฮ่องเต้มากที่สุด และพระนางชิงอองเฮา ก็รู้สึกถูกชะตากับพระนางทันที เมื่อแรกพบ ทรงได้รับความไว้วางพระทัย ให้รับหน้าที่ดูแลโอรสธิดาสามพระองค์ที่ยังทรงเยาว์พระชันษา พระนางทรงรักโอรสธิดาของฮองเฮา ประดุจลูกในอุทร และทรงรักไม่น้อยไปกว่าลูกในอุทรแท้ๆของพระนางเลย

เมื่อสิ้นแผ่นดินหวางซัวถู่ฮ่องเต้ เจ้าจอมหงเจาจิน ก็ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นไทเฮาวังหลัง ควบคู่กับ พระสนมไห่จูชู แต่ทรงไม่มีอำนาจทางการเมือง

ถึงแม้หวางซัวถู่ฮ่องเต้ จะทรงไม่เอาไหน แต่ก็ยังทรงรู้เท่าทันคน พระองค์ทรงส่งองค์ชายรองไปยังแคว้นหลิว อันเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับแคว้นซีหวาง เพื่อป้องกัน บรรดาพยัคฆ์ร้าย และพระสนมไห่จูชูที่อาจจะหาทางกำจัดองค์ชายรอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

หลังจากที่พระนางไห่ไทเฮาทรงกุมอำนาจหวางซานหลี่ฮ่องเต้แล้ว ก็ทรงเล่นงานบรรดาราชโอรสธิดาของฮองเฮาและพระสนมทั้งหลายทันที พระนางทรงส่งองค์ชายหก หรือเทียนอ๋อง โอรสในชิงฮองเฮา ไปครองรัฐจี้ อันเป็นรัฐชายแดนและทุรกันดารที่สุด องค์หญิงเจ็ด ทรงถูกักบริเวณให้อยู่แต่ในตำหนัก เสวยพระกระยาหารได้วันละสามเพลา องค์ชายแปด ทรงถูกส่งไปประจำการยังเกาะดอกไม้บาน

ส่วนบรรดาราชโอรสธิดาของพระนางหงไทเฮา ทรงไม่ยี่หระเท่าใดนัก เพราะทรงเห็นว่า พระนางหงไทเฮาไม่มีพิษสงอันใด หวางซานหลี่ฮ่องเต้ ทรงเห็นภัยร้ายที่จะเกิดแต่อนุชาและขนิษฐาร่วมพระมารดาทั้งสองพระองค์ จึงทรงส่งไปยังรัฐฉวน ซึ่งมีตาของพระองค์ เป็นผู้ว่าการรัฐอยู่ ชึ่งหวางซัวถู่ฮ่องเต้ ทรงลดบรรดาศักดิ์จากเสนาบดี และให้ไปครองชายแดน เมื่อสองปีก่อน

เมื่อราษฎรทรงทราบข่าวการมาเยือนของเทียนอ๋อง ก็พากันต้อนรับขับสู้อย่างยินดีปรีดา เพราะพวกเขาได้ยินชื่อเสียงของเทียนอ๋องมานานว่า ทรงเป็นอ๋องที่ประเสริฐไม่แพ้พระมารดา ทรงห่วงใยราษฎร และบำบัดทุกข์บำรุงสุข เสด็จเยี่ยมราษฎรอยู่มิเคยขาด ทรงดำเนินรอยตามพระมารดาทุกอย่าง ทรงเป็นอ๋องที่เข้าไปนั่งอยู่ในใจราษฎรมานานแล้ว

รัฐจี้ เป็นรัฐที่เหมือนถูกปิดตาย มีทางออกสู่ทะเลเท่านั้น หากถูกปิดล้อม โอบล้อมด้วยเขาสูงชัน แต่เมื่อไม่นานมานี้ เทียนอ๋องได้สร้างทางใหม่ เพื่อให้เขาและราษฎร ไม่ต้องโดยสารทางเรือ เพื่อจะออกจากรัฐนี้อีกต่อไป

พระองค์ทรงเป็นราชโอรสหนึ่งเดียวในหวางซัวถู่ฮ่องเต้ ที่ทรงพระปรีชาสามารถทั้งบุ๋นและบู๋เหนือโอรสองค์ใดๆ ทรงมีพระชนม์มายุห่างจากองค์ชายใหญ่อยู่สิบเอ็ดปี ห่างจากองค์ชายรองอยู่สิบปี และห่างจากองค์ชายสามอยู่หกปี กล่าวกันว่า ทรงมีบุคลิกท่าทางเหมือนองค์ชายใหญ่มาก จนแทบจะเป็นคนคนเดียวกัน

เทียนอ๋อง ทรงเคยเป็นรัชทายาทอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ถูกใส่ร้ายว่า พลอดรักและล่วงละเมิดทางเพศกับนางกำนัลสาวทั้งวังหลวง ทำให้ทรงถูกปลด แต่ตอนปลายรัชกาลหวางซัวถู่ฮ่องเต้ ทรงสามารถปราบกบฏเขาสู่ซวนได้ ทำให้ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเทียนอ๋อง

**********************

“ฮัดเช้ย!” เสียงจามดังขึ้น ประดุจดังมาจากที่ไกลแสนไกล

ชายวัยราวสี่สิบปีลืมตาขึ้นมองดูเด็กชายวัยเจ็ดขวบ ที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างเอ็นดู เขามีรูปร่างดูภูมิฐาน ดวงตาเล็ก สวมชุดสีน้ำเงินยาว บนโต๊ะมีตำราเล่มหนึ่งกางอยู่ เขายิ้มให้เด็กชายซึ่งเริ่มต้นอ้าปากหาวอย่างเหม่อลอย

“องค์ชาย จะทรงพักผ่อนก่อนก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” เขากล่าว

เด็กชายส่ายหน้า พลางขยับกายเล็กน้อย ใบหน้าอันยาวรีนั้นดูอิดโรย ดวงตาประดุจดวงตาพญามังกร ผิวขาว ร่างท้วมเล็กน้อย สวมชุดสีเงินยาว ปักลวดลายมังกรสีทองอร่ามเป็นประกาย

“ท่านอาจารย์ ข้ามิเป็นไร ข้าอยากฟังเรื่องราวของจักรพรรดินี” องค์ชายน้อยกล่าวตอบ ชายวัยสี่สิบมองอย่างสนเท่ห์ใจ “ท่านอาจารย์ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย จะได้หรือไม่”

“องค์ชาย เรื่องราวของจักรพรรดินี เป็นเรื่องจริงตามประวัติศาสตร์ราชวงศ์หวาง...ยังเป็นตำนานเล่าขานร่วมกว่าสองร้อยปีแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” เขากล่าว “หากแต่ว่า สองร้อยกว่าปีมานี้ เรื่องราวของพระนางถูกดัดแปลงเนื้อหาเพียงบางส่วน...จนเรื่องจริงมีน้อยคนนัก ที่จะรู้ว่า พระนางนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด อย่างน้อยพวกเขาก็รู้ว่า ตำนานของพระนางในปัจจุบัน เป็นของดัดแปลงโดยพวกปราชญ์ที่คิดว่า ผู้ชายเท่านั้นจึงจะเป็นใหญ่ได้”

“ท่านรู้เรื่องราวที่แท้จริงหรือไม่” องค์ชายน้อยตรัสถาม

“หม่อมฉันรู้ดีพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้เพลานี้ เรื่องจริงจะถูกเผาเสียส่วนใหญ่ แต่ทว่าเรื่องที่ถูกเผาไป กลับมิได้เผาความทรงจำของเรา ผู้อ่านเรื่องจริงของพระนาง มันยังคงบันทึกอยู่ในสมองเรา ตราบนานเท่านาน”

“เช่นนั้น ท่านเล่ามาเถิด”

“จักรพรรดินีหนี่ฮัว พระนามเดิมคือ องค์หญิงเล้งฉาน พระราชธิดาองค์ที่สิบสี่ ในหวางฮั่นหยางฮ่องเต้กับพระสนมหยางอี้หวา พระนางทรงสนพระทัยการเมืองการปกครองและการต่อสู้ พระนางทรงปรีชาสามารถทั้งบุ๋นบู๋ ทรงมีพระนามเล่นอีกพระนามในยุทธจักรว่า หนี่ฮัว” เขาเล่า “เมื่อหวางฮั่นหยางฮ่องเต้ใกล้จะสวรรคต พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้องค์ชายเจี้ยนเหยียนขึ้นครองราชย์ แต่ทว่า...”

“แต่ทว่า...อันใดหรือ” องค์ชายตรัสถามอย่างสนพระทัย

“องค์หญิงเล้งฉานวัยสิบสองชันษา ทรงยกทัพมาชิงราชบัลลังก์กับพระเชษฐา ในงานราชาภิเษก แต่เรื่องตอนนี้ กลับถูกดัดแปลง” เขาเล่าต่อ องค์ชายน้อยทรงตั้งใจฟัง “กลายเป็นว่า เมื่อองค์หญิงเล้งฉานทรงยกทัพมา หวางฮั่นหยางฮ่องเต้ทรงทราบเข้า จึงทรงพระพิโรธอย่างหนัก กระอักพระโลหิตจนสวรรคต...แท้จริงแล้ว หวางฮั่นหยางฮ่องเต้ทรงสวรรคตก่อนที่องค์หญิงเล้งฉาน จะยกทัพมาชิงบัลลังก์เสียอีก”

“ทำเยี่ยงนี้ มิเท่ากับบิดเบือนประวัติศาสตร์หรอกหรือ”

“กฎหมายลงโทษผู้บิดเบือนประวัติศาสตร์ ใช้ไม่ได้กับผู้ที่มีอำนาจเหนือกฎหมาย”

“ท่านหมายความว่า...” องค์ชายน้อยพึมพำ แววพระเนตรเป็นประกาย

“ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้องค์ต่อมา หลังจากนั้นสองสามแผ่นดินได้ ทรงมีพระบัญชาให้พวกปราชญ์ชำระประวัติศาสตร์ส่วนพระจักรพรรดินีเสียใหม่” เขาเอ่ย

“ทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน” องค์ชายน้อยทรงกริ้ว

“มันเป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจสามารถกระทำได้ และพวกที่โกรธแค้นจักรพรรดินีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ได้ช่องทางแก้แค้น เปลี่ยนพระนางจากจักรพรรดินีผู้ทรงพระเมตตาเป็นทรราช”

“เฮ้อ...ข้าไม่อยากฟังแล้ว...เมื่อได้ฟังท่านเล่า ข้าไม่อยากเป็นผู้มีอำนาจอีก ไม่อยากเป็นฮ่องเต้ หรือ เข้าวังหลวงเลย” องค์ชายน้อยตรัสด้วยเสียงท้อพระทัย

“องค์ชาย มิมีสิ่งใดในโลกนี้ ที่เรียกว่า ดี เลว ชั่ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ที่มนุษย์เป็นผู้กระทำทั้งสิ้น” เขาว่า พลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากใต้แขนเสื้อ “องค์ชาย นี่คือ พระราชประวัติพระจักรพรรดินี หากได้ทรงอ่าน ก็จะทรงรู้ว่า มิมีผู้ใดเป็นสุขหรือทุกข์ตลอดไป เรื่องราวของพระนาง สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ปกครองประเทศ ควรกระทำเช่นไร”

องค์ชายน้อยทรงหยิบพระราชประวัติจักรพรรดินีขึ้นมาอ่าน เขาพลิกไปหลายหน้า จนสะดุดใจตรงข้อความที่แผ่หราอยู่สองหน้ากระดาษ

...ครั้นเมื่อองค์หญิงเล้งฉาน ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดินี หลังจากทรงกระทำการรัฐประหารชิงราชสมบัติมาจากพระเชษฐาได้สำเร็จ พระนางก็ทรงเผชิญหน้ากับเหล่าขุนนางที่ต่อต้านพระนางทันที พวกเขาเหล่านั้นพยายามทำทุกวิถีทางให้พระนางทรงอดทนมิได้ จนต้องสละราชสมบัติ

แต่ทว่า...พวกเขาผิดคาดเสียแล้ว พระนางทรงมีขันติมากกว่าที่พวกเขาคิด พวกเขาคงไม่คิดว่า ผู้หญิงไร้เดียงสาคนหนึ่ง จะสามารถทำให้ราษฎรบางส่วนยอมรับพระนางได้ โดยการที่พระนางทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรบ่อยครั้ง เยือนทุกถิ่นที่เข้าไปถึง พระนางทรงศึกษาวิชาการปกครอง กลยุทธการรบ พิชัยสงคราม จนกระทั่งพระชนม์มายุยี่สิบพรรษา

ระหว่างนั้น ทรงแก้ไขกฎต่างๆ เช่น ขันทีไม่ต้องถูกตอน นางกำนัลสามารถแต่งงานได้ เรื่องพวกนี้ขุนนางพากันคัดค้านอย่างหนักหน่วง ฎีกาหลายร้อยฉบับ ยื่นคัดค้านต่อพระนาง แต่ทว่า พระนางทรงมีขันติสูงเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดถึง ทรงเขียนตอบเหล่าขุนนางไปทุกฉบับ ด้วยเหตุผลที่พวกเขามิอาจจะเถียงต่อไปได้ได้แต่เก็บงำความโกรธไว้ในใจ


พระนางทรงประนีประนอม ไม่ถือโทษโกรธเคืองเหล่าขุนนาง เพราะทรงรู้ดีว่า หากใช้กำลังบังคับขู่เข็ญ พวกเขาอาจจะหายอมศิโรราบด้วยใจไม่ ภายหน้าอาจจะหันกลับมาแว้งกัดในยามที่เราอ่อนแอลงก็เป็นได้

พระนางจึงไม่ใช้มาตรการงัดข้อกับเหล่าขุนนาง พระนางทรงใช้วิธีซื้อใจขุนนางหากขุนนางผู้ใดล้มป่วยลง พระนางจะทรงไปเยือนถึงที่ และจัดยารักษาโรคให้แก่เขา และจัดหมอหลวงมาดูอาการเป็นระยะๆ พร้อมอวยพรให้หายโดยเร็ว จะได้กลับมาช่วยพระนางพัฒนาบ้านเมืองต่อไป หากขุนนางผู้ใดถึงแก่กรรมลง พระนางก็จะทรงเป็นเจ้าภาพจัดงานศพให้ และดูแลครอบครัวของขุนนางผู้นั้น มิให้ห่วงหาอนาทรเลยแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุฉะนี้ ขุนนางทั้งหลายก็เริ่มเล็งเห็นความดีของพระนาง เริ่มแสดงความจงรักภักดีต่อพระนางมากขึ้น แต่ยังมีขุนนางอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ยังมิยอมรับพระนาง พยายามหาทางกำจัดพระนาง ลอบปลงพระชนม์ทั้งสิ้นเจ็ดครั้ง พระนางททรงรอดมาได้ทั้งเจ็ดครั้ง มีแต่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ถึงแม้จะจับผู้กระทำผิดมาได้ พระนางก็ทรงมิได้ประหารพวกเขาเหล่านั้น กลับทรงเพียงเนรเทศไปอยู่ชายแดน บ้านเมืองในยุคนั้น จึงเต็มไปด้วยนักโทษอาญาที่ทำแรงงานเยี่ยงทาส

บ้านเมืองในสมัยของพระนาง เต็มไปด้วยศึกสงครามตลอดพระชนม์ชีพ พระนางทรงสานต่อพระราชปณิธานของบรรพชนมิสำเร็จ ด้วยเหตุทรงประชวรบ่อยครั้ง เมื่อพระชนม์มายุมากขึ้น

ยุคสมัยของพระนางทรงเปิดรับชาติตะวันตกไกล เป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปี บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองไปด้วยการค้ากับชาวต่างชาติแลต่างแคว้น บ้านเมืองภายในสงบสุข ทรงเจริญพระราชไมตรีกับะวันตก ทำให้ยุคสมัยนี้ เต็มไปด้วยอารยธรรมอันหลกหลาย บ้านเมืองรุ่งเรืองถึงขีดสุดยิ่งกว่าสมัยใดๆ แม้แต่ครั้งแผ่นดินหวางชิงสือฮ่องเต้เอง ก็ยังไม่เทียมเท่า

พระนางทรงปกครองด้วยหลักทศพิธราชธรรม ทรงเลื่อมใสพระพุทธศาสนา โปรดให้สร้างวัดวาอาราม บริจาดราชทรัพย์ส่วนพระองค์แก่ผู้ยากไร้ และใช้ในการสร้างวัดวาอารามเป็นจำนวนมาก

รัชสมัยปีที่สี่สิบห้าแห่งการครองราชย์ของจักรพรรดินีหนี่ฮัว พระนางทรงพระประชวร และสวรรคตในกาลต่อมา ทรงครองราชย์ได้สี่สิบห้าปี รวมพระชนม์มายุได้ห้าสิบเจ็ดพรรษา

เกิดการชิงราชบัลลังก์อีกครั้ง ระหว่างราชโอรสของพระนางกับราชอนุชาของพระนาง ซึ่งเป็นราชโอรสของหวางฮั่นหยางฮ่องเต้ อันเกิดแต่เจ้าจอมผู้ด้อยศักดินาพระองค์หนึ่ง อาหลานสู้รบกันอย่างไม่มีคำว่าสายเลือด โอรสของพระจักรพรรดินีและพระองค์เดียว ถูกฟันพระศอขาด อนุชาจักรพรรดินีขึ้นครองราชย์ เฉลิมพระนาม หวางสู่จื่อฮ่องเต้

องค์ชายน้อยทรงปิดหนังสือทันทีที่อ่านจบ เงยพระพักตร์ทอดพระเนตรมองอาจารย์ ด้วยแววพระเนตรเป็นคำถาม

“นี่หรือ พระราชประวัติของจักรพรรดินี” พระองค์ตรัสถาม

“ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่ต้นจนจบ”

“พวกตะวันตก...มีพวกนี้อยู่หรือจริงๆหรือ พวกเขาหน้าตาเป็นอย่างไร” องค์ชายน้อยตรัสถามอีก

“มีอยู่จริงแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ แต่จะหน้าตาเป็นเช่นไรนั้น มิมีผู้ใดสามารถหยั่งรู้ได้ เพราะว่า เมื่อหวางสู่จื่อฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ก็ทรงปราบพวกตะวันตกไปให้พ้นจากแผ่นดิน และปิดประเทศ ตัวพระองค์เอง ทรงเสวยสุขจากความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง ที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของพระกนิษฐาต่างพระมารดา” อาจารย์กล่าวตอบ “ทำให้บ้านเมือง เสื่อมทรามลงทุกขณะ...อนิจจา...”

“ข้าน้อยคิดว่า อาจจะมีรูปวาดของชาวตะวันตกบ้างนะ ท่านอาจารย์ ข้าเคยได้ยินมาว่า ชาวตะวันตกเข้ามาในครั้งแรกเมื่อสมัยหวางชิงสือฮ่องเต้ มิใช่หรือขอรับ”

“องค์ชายทรงปราดเปรื่อง...แต่ทว่า รูปวาดเหล่านั้น ล้วนถูกเผาหมดแล้ว มิว่าจะทั้งเก่าหรือใหม่...มิหลงเหลืออยู่เลย”

“หวางสู่จื่อฮ่องเต้ ทรงชิงชังอันใดกับพวกตะวันตกนักหนา” องค์ชายน้อยตรัสด้วยท่าทีเคร่งขรึม

“มิมีผู้ใดล่วงรู้พ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วแผ่นดินตะวันตกอยู่ที่ใดกัน” องค์ชายน้อยตรัสถามอย่างสนพระทัย

“เห็นเขาว่ากันว่า แผ่นดินตะวันตก อยู่ไกลแสนไกล หากเดินทางไปยังทิศที่ดวงตะวันไม่เคยขึ้น จะพบดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล...รายละเอียด อยู่ในหอสมุดของวังพ่ะย่ะค่ะ ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี เป็นบันทึกเพียงเล่มเดียว ที่เหลือรอดมาจากการทำลายล้าง”

“ท่านอาจารย์เคยอ่านหรือไม่”

“หม่อมฉันไร้ความสามารถ มิมีสิทธิ์เข้าวัง เพียงเพราะเป็นสามัญชน ขอได้ทรงโปรดอภัยด้วย หม่อมฉัน เพียงแต่ได้ยินมาเท่านั้น” อาจารย์กล่าว พร้อมสับเปลี่ยนท่าทีเป็นคุกเข่า และก้มหัวคำนับเป็นเชิงขออภัย

“ออ...เปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า ท่านคิดว่า บัดนี้ พระบิดา พระมารดา ทรงทำอันใดอยู่” องค์ชายน้อยตรัสเปลี่ยนเรื่อง

“เทียนอ๋อง และ พระชายาไท่ชิงหมิง ทรงเยี่ยมเยียนราษฎร ในเขตพื้นที่โรคระบาดของตำบลจงกว่างพ่ะย่ะค่ะ” อาจารย์ทูลตอบ

“โรคระบาดรึ!”

“พ่ะย่ะค่ะ”

องค์ชายน้อยมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขารู้ว่า โรคระบาดน่ากลัวพียงไร อาจารย์มองดูพระองค์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางกล่าวว่า

“องค์ชาย ได้เวลาเข้าไปสำนักยุทธ เพื่อฝึกวิชาการต่อสู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

องค์ชายน้อยไม่ตอบ เพียงแต่ลุกขึ้น และคำนับพระอาจารย์ของพระองค์ ก่อนจะเดินออกไป



มหาราช
#49   มหาราช    [ 23-02-2009 - 19:37:40 ]

เงียบเหงานัก



ศพเหล็ก
#50   ศพเหล็ก    [ 23-02-2009 - 19:38:58 ]

ดีๆๆๆๆ



มหาราช
#51   มหาราช    [ 23-02-2009 - 19:40:50 ]

ดีท่าน



ศพเหล็ก
#52   ศพเหล็ก    [ 23-02-2009 - 19:43:09 ]



ดีท่านมหาราช



lovebenny
#53   lovebenny    [ 23-02-2009 - 19:43:45 ]

พี่แจง อยู่ป่าว



ศพเหล็ก
#54   ศพเหล็ก    [ 23-02-2009 - 19:46:02 ]

อยู้จ้ะ



มหาราช
#55   มหาราช    [ 23-02-2009 - 19:48:17 ]

เอาล่ะ เราไปแล้วนะ บาย



lovebenny
#56   lovebenny    [ 23-02-2009 - 19:54:41 ]

พี่แจงอยู่channelไหน



จอมยุทธพิทักษ์มังกร
#57   จอมยุทธพิทักษ์มังกร    [ 02-03-2009 - 14:11:46 ]

ข้าน้อยกลับมาแล้ว



จอมยุทธพิทักษ์มังกร
#58   จอมยุทธพิทักษ์มังกร    [ 02-03-2009 - 15:01:57 ]

ประกาศ และ ขออภัย มา ณ ที่นี้ นิยายเรื่องนี้ จะถูกลบ และปรับเปลี่ยนโครงเรื่องใหม่อีกครั้ง

เป็นแนวสงครามแทน และเป็นภาคต่อจากโครงเรื่องเก่า



มหาราช
#59   มหาราช    [ 04-03-2009 - 16:26:53 ]

ตอนที่ 2 แก้ไขใหม่

ตอนที่ 2

ตำนานจักรพรรดินี

หวางซัวถู่ฮ่องเต้ ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ครองราชย์ในยุคที่บ้านเมือง กำลังเผชิญกับความแร้นแค้น และความเดือดร้อนที่ใกล้จะแตกหักของราษฎร พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ไม่มีผลงานอันใดโดดเด่นเลย ตลอดระยะเวลาสามสิบสองปีที่ผ่านมา ยุคของพระองค์ เต็มไปด้วยกบฏและอาชญากรรมเต็มบ้านเมือง ทางการปราบปรามไม่ได้ แต่ในเรื่องอันเลวร้ายที่สุด ก็ยังคงมีเรื่องดีที่ถึงแม้จะเกิดในช่วงเวลาเพียงยี่สิบปีเท่านั้น

หวางซัวถู่ฮ่องเต้ ทรงมีฮองเฮาและพระสนมรวมสี่พระองค์ แต่ละพระองค์นั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

พระนางชิงฮองเฮา ฮองเฮาองค์แรกในรัชกาลหวางซัวถู่ฮ่องเต้ พระนางทรงมีพระเมตตากับบรรดาราษฎร ทรงรักราษฎรประดุจลูกหลาน ทรงช่วยแบ่งเบาพระราชกรณียกิจของพระสวามี บรรเทาทุกข์ของราษฎรตลอดมา ถึงแม้จะห่างไกลหรือทุรกันดารแค่ไหน พระนางจะไปเยือนถึงถิ่น และไม่ทรงถือตัว พระนางทรงมีโอรสธิดา รวมห้าพระองค์

พระนางจะทรงสอนให้โอรสธิดา รู้จักความเมตตา ความรักความห่วงใยราษฎร สอนให้รู้ว่า หากไม่มีพวกเขา ชนชั้นผู้ปกครอง ก็จะไม่มี และ จะอยู่ไม่ได้ ราษฎร ถือเป็นรากฐานของประเทศ หากมีราษฎร จึงมีผู้นำ หรือ ชนชั้นผู้ปกครอง หากไม่มีราษฎร ชนชนชั้นผู้ปกครองก็จะไม่มี ประเทศชาติก็จะไม่เกิด

ยามราษฎรเจ็บป่วย พระนางจะไปพระราชทานยารักษาโรคด้วยตัวพระนางเอง ยังความปลื้มปิติมาให้ราษฎรอย่างยิ่ง

องค์ชายใหญ่วัยสิบห้าชันษา อันเกิดจากพระนาง ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยโรคไข้ทรพิษระบาด สาเหตุมาจากทรงไปเยี่ยมราษฎร แบ่งเบาพระราชภาระของพระมารดา และทรงไปถูกเนื้อต้องตัวราษฎรที่กำลังเจ็บป่วย

หวางซัวถู่ฮ่องเต้ทรงพระพิโรธมาก เมื่อทรงทราบข่าว แต่พระนางชิงฮองเฮา ทรงทูลขออภัยโทษให้ราษฎรผู้นั้นไว้ ทั้งที่พระนางก็มีความเศร้าโศกเสียพระทัย ที่โอรสของพระนางจากนางไป

พระนางชิงฮองเฮา ทรงสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน ยังความเศร้าโศกมาให้แก่พระราชสวามี และราษฎรทั้งหลายอย่างยิ่ง เมื่อพระนางทรงสิ้นพระชนม์ บ้านเมืองที่สงบสุขมาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็เริ่มระส่ำระสายอีกครา

พระนางจีฮองเฮา ฮองเฮาองค์ที่สองในรัชกาลหวางซัวถู่ฮ่องเต้ แต่เดิมเป็นพระสนมเอก ที่ทรงพระสิริโฉม เป็นฮองเฮาที่ชอบผิดประเวณีอย่างยิ่ง เหตุเพราะ พระนางไม่ทรงเป็นที่โปรดปรานเท่าใดนัก เนื่องด้วย ทรงมีบิดาเป็นเสนาบดี ที่เป็นคู่ปรับกับพระองค์ และได้รับคัดเลือก เพราะไทเฮาทรงโปรดปรานพระนาง ทำให้พระนางทรงเปล่าเปลี่ยวพระทัย มีผู้สงสัยว่า องค์ชายสามเหลียนฉี หรือ หวางซานหลี่ฮ่องเต้ในปัจจุบัน ทรงเป็นราชโอรสของหวางซัวถู่ฮ่องเต้หรือไม่

แต่แล้ว วันหนึ่ง เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในตำหนักเย็น โดยไม่รู้สาเหตุ แต่พระนางจีฮองเฮา เป็นผู้เดียวที่อยู่ในเหตุการณ์ บรรดาขุนนางที่จงรักภักดีต่อชิงฮองเฮา สบโอกาส ใส่ร้ายว่า พระนางทรงลอบวางเพลิงและคบชู้สู่ชาย ทำให้หวางซัวถู่ฮ่องเต้ทรงพิโรธกับเรื่องนี้ แต่ด้วยความที่ยังรักพระนาง จึงทรงเนรเทศไปเป็นชีที่เขาซานถู่ชิง หลังจากนั้น ก็ไม่ทรงแต่งตั้งผู้ใดเป็นฮองเฮาอีกเลย

พระสนมไห่จูชู ผู้มีความทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ทรงเป็นที่โปรดปรานของหวางซัวถู่ฮ่องเต้เท่าใดนัก เนื่องด้วย ทรงมีความอิจฉาริษยา เมื่อหวางซัวถู่ฮ่องเต้สวรรคต พระนางก็รวบอำนาจไว้ในมือ ขึ้นกุมอำนาจเหนือฮ่องเต้ แต่เพียงผู้เดียว

เจ้าจอมมารดาหงเจาจิน พระสนมผู้ทรงมีความอ่อนโยน และ อ่อนหวาน ทรงเป็นที่โปรดปรานของหวางซัวถู่ฮ่องเต้มากที่สุด และพระนางชิงอองเฮา ก็รู้สึกถูกชะตากับพระนางทันที เมื่อแรกพบ ทรงได้รับความไว้วางพระทัย ให้รับหน้าที่ดูแลโอรสธิดาสามพระองค์ที่ยังทรงเยาว์พระชันษา พระนางทรงรักโอรสธิดาของฮองเฮา ประดุจลูกในอุทร และทรงรักไม่น้อยไปกว่าลูกในอุทรแท้ๆของพระนางเลย

เมื่อสิ้นแผ่นดินหวางซัวถู่ฮ่องเต้ เจ้าจอมหงเจาจิน ก็ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นไทเฮาวังหลัง ควบคู่กับ พระสนมไห่จูชู แต่ทรงไม่มีอำนาจทางการเมือง

ถึงแม้หวางซัวถู่ฮ่องเต้ จะทรงไม่เอาไหน แต่ก็ยังทรงรู้เท่าทันคน พระองค์ทรงส่งองค์ชายรองไปยังแคว้นหลิว อันเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับแคว้นซีหวาง เพื่อป้องกัน บรรดาพยัคฆ์ร้าย และพระสนมไห่จูชูที่อาจจะหาทางกำจัดองค์ชายรอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

หลังจากที่พระนางไห่ไทเฮาทรงกุมอำนาจหวางซานหลี่ฮ่องเต้แล้ว ก็ทรงเล่นงานบรรดาราชโอรสธิดาของฮองเฮาและพระสนมทั้งหลายทันที พระนางทรงส่งองค์ชายหก หรือเทียนอ๋อง โอรสในชิงฮองเฮา ไปครองรัฐจี้ อันเป็นรัฐชายแดนและทุรกันดารที่สุด องค์หญิงเจ็ด ทรงถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในตำหนัก เสวยพระกระยาหารได้วันละสองเพลา องค์ชายแปด ทรงถูกส่งไปประจำการยังเกาะดอกไม้บาน ซึ่งมิได้ไพเราะสมชื่อ เป็นเกาะที่มีแต่ทะเลทราย

ส่วนบรรดาราชโอรสธิดาของพระนางหงไทเฮา ทรงไม่ยี่หระเท่าใดนัก เพราะทรงเห็นว่า พระนางหงไทเฮาไม่มีพิษสงอันใด หวางซานหลี่ฮ่องเต้ ทรงเห็นภัยร้ายที่จะเกิดแต่อนุชาและขนิษฐาร่วมพระมารดาทั้งสองพระองค์ จึงทรงส่งไปยังรัฐฉวน อันเป็นรัฐภายใต้การปกครองของตาของพระองค์ ชึ่งหวางซัวถู่ฮ่องเต้ ทรงลดบรรดาศักดิ์ ให้ไปครองชายแดน เมื่อสองปีก่อน

เมื่อราษฎรทรงทราบข่าวการมาเยือนของเทียนอ๋อง ก็พากันต้อนรับขับสู้อย่างยินดีปรีดา เพราะพวกเขาได้ยินชื่อเสียงของเทียนอ๋องมานานว่า ทรงเป็นอ๋องที่ประเสริฐไม่แพ้พระมารดา ทรงห่วงใยราษฎร และบำบัดทุกข์บำรุงสุข เสด็จเยี่ยมราษฎรอยู่มิเคยขาด ทรงดำเนินรอยตามพระมารดาทุกอย่าง ทรงเป็นอ๋องที่เข้าไปนั่งอยู่ในใจราษฎรมานานแล้ว

รัฐจี้ เป็นรัฐที่เหมือนถูกปิดตาย มีทางออกสู่ทะเลเท่านั้น หากถูกปิดล้อม โอบล้อมด้วยเขาสูงชัน แต่เมื่อไม่นานมานี้ เทียนอ๋องได้สร้างทางใหม่ เพื่อให้เขาและราษฎร ไม่ต้องโดยสารทางเรือ เพื่อจะออกจากรัฐนี้อีกต่อไป

พระองค์ทรงเป็นราชโอรสหนึ่งเดียวในหวางซัวถู่ฮ่องเต้ ที่ทรงพระปรีชาสามารถทั้งบุ๋นและบู๋เหนือโอรสองค์ใดๆ ทรงมีพระชนม์มายุห่างจากองค์ชายใหญ่อยู่สิบเอ็ดปี ห่างจากองค์ชายรองอยู่สิบปี และห่างจากองค์ชายสามอยู่หกปี กล่าวกันว่า ทรงมีบุคลิกท่าทางเหมือนองค์ชายใหญ่มาก จนแทบจะเป็นคนคนเดียวกัน

เทียนอ๋อง ทรงเคยเป็นรัชทายาทอยู่ครั้งหนึ่ง แต่ถูกใส่ร้ายว่า พลอดรักและล่วงละเมิดทางเพศกับนางกำนัลสาวทั้งวังหลวง ทำให้ทรงถูกปลด แต่ตอนปลายรัชกาลหวางซัวถู่ฮ่องเต้ ทรงสามารถปราบกบฏเขาสู่ซวนได้ ทำให้ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเทียนอ๋อง

**********************

“แค่ก! แค่ก!” เสียงไอดังขึ้น ประดุจดังมาจากที่ไกลแสนไกล

ชายวัยราวหกสิบปีลืมตาขึ้นมองดูชายวัยห้าสิบเก้าปี ซึ่งนั่งอยู่ข้างกายเขาอย่างคาดคะเน เขามีรูปร่างดูภูมิฐาน ดวงตากลมโต ใบหน้าเสี้ยนแหลม สวมชุดสีน้ำเงินยาว ปักลวดลายมังกรสีเงิน บนโต๊ะมีตำราเล่มหนึ่งกางอยู่ เขาคือ ซัวอ๋อง

ซัวอ๋อง เป็นพระอนุชาต่างพระราชมารดาของหวางซัวถู่ฮ่องเต้ แต่ก่อนนี้เคยเป็นผู้ร่วมคบคิดข้อหากบฏกับจงฝู่อ๋อง ผู้เป็นพระเชษฐาร่วมพระมารดาของหวางซัวถู่ฮ่องเต้ แต่ทว่า เขากับสำนึกได้ นำความลับไปบอกอดีตฮ่องเต้ ทำให้จงฝู่อ๋องถูกจับกุม และถูกตัดหัวเสียบประจานในที่สุด ซัวอ๋อง ถูกลดตำแหน่ง มาเป็นผู้ครองนครรัฐซัวทางเหนือ

“หลู่กัว ท่าทางเจ้าจะไม่สบายนะ” เขากล่าว

ชายวัยห้าสิบเก้าส่ายหน้า พลางขยับกายเล็กน้อย ใบหน้ารูปเดียวกับชายวัยหกสิบนั้นดูอิดโรย ดวงตาเรียวยาวดูเจ้าเล่ห์ ผิวคล้ำ ร่างท้วมเล็กน้อย สวมชุดสีเงินยาว ปักลวดลายมังกรสีทองอร่ามเป็นประกาย เขาคือ เกาซุนอ๋อง

เกาซุนอ๋อง เป็นอนุชาร่วมพระมารดากับซัวอ๋อง อนุชาองค์สุดท้องในหวางซัวถู่ฮ่องเต้ เป็นอ๋องที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ก้มหน้าก้มตาทำการค้าขายกับบรรดาพ่อค้าในเขตรัฐที่ตนปกครองอยู่ และพ่อค้าจากต่างแคว้น ทำให้เขามีรายได้เป็นกอบเป็นกำ มีเพียงผู้ที่รู้จักเขาดีเท่านั้น จึงจะรู้ว่า ความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ของเขา คืออะไร

ถึงแม้เขาจะปรีชาสามารถด้านการค้า แต่ทว่าพระปรีชาสามารถด้านอื่นนั้นหามีไม่ เขามีวรยุทธติดตัวเพียงเล็กน้อย เมื่อเขามีอายุล่วงเลยผ่านพ้นวัยยี่สิบห้าพรรษามาแล้ว และได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเกาซุนอ๋อง ครองรัฐอาน เขาก็ไม่กลับไปเหยียบวังหลวงอีกเลย เขามิมีความปรีชาสามารถด้านกฎหมาย หรือ จารีตประเพณีใดๆ ราวกับว่า สวรรค์ส่งเขาลงมาเกิด เพราะการค้าเท่านั้น

สรุปคือ รัชกาลหวางซานหลี่ฮ่องเต้ มีบรรดาอ๋องที่เป็นอนุชาของฮ่องเต้เพียงสามพระองค์ จากสิบพระองค์ และยังมีพระเชษฐาร่วมพระมารดาอดีตฮ่องเต้อีกองค์หนึ่ง ซึ่งชื่อกันว่า ทรงผนวชเป็นหลวงจีน

“เจ้าพี่ หม่อมฉันมิเป็นอันใดมาก โรคคนแก่ก็คงเป็นเช่นดังฉะนี้ เจ้าพี่ทรงทราบเรื่องของจักรพรรดินีหรือไม่” เกาซุนอ๋องกล่าวตอบ ซัวอ๋องมองอย่างสนเท่ห์ใจ “เจ้าพี่ ขะทรงพระกรุณาช่วยเล่าให้ฟังหน่อย จะได้หรือไม่”

“หลู่กัว เรื่องราวของจักรพรรดินี เป็นเรื่องจริงตามประวัติศาสตร์ราชวงศ์หวาง...ยังเป็นตำนานเล่าขานร่วมกว่าสองร้อยปีแล้ว” เขากล่าว “หากแต่ว่า สองร้อยกว่าปีมานี้ เรื่องราวของพระนางถูกดัดแปลงเนื้อหาเพียงบางส่วน...จนเรื่องจริงมีน้อยคนนัก ที่จะรู้ว่า พระนางนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด อย่างน้อยพวกเขาก็รู้ว่า ตำนานของพระนางในปัจจุบัน เป็นของดัดแปลงโดยพวกปราชญ์ที่คิดว่า ผู้ชายเท่านั้นจึงจะเป็นใหญ่ได้”

“ท่านรู้เรื่องราวที่แท้จริงหรือไม่” เกาซุนอ๋องตรัสถาม

“ข้ายังพอรู้อยู่บ้าง ถึงแม้เพลานี้ เรื่องจริงจะถูกเผาเสียส่วนใหญ่ แต่ทว่าเรื่องที่ถูกเผาไป กลับมิได้เผาความทรงจำของเรา ผู้อ่านเรื่องจริงของพระนาง มันยังคงบันทึกอยู่ในสมองเรา ตราบนานเท่านาน”

“เช่นนั้น ท่านเล่ามาเถิด”

“จักรพรรดินีหนี่ฮัว พระนามเดิมคือ องค์หญิงเล้งฉาน พระราชธิดาองค์ที่สิบสี่ ในหวางฮั่นหยางฮ่องเต้กับพระสนมหยางอี้หวา พระนางทรงสนพระทัยการเมืองการปกครองและการต่อสู้ พระนางทรงปรีชาสามารถทั้งบุ๋นบู๊ ทรงมีพระนามเล่นอีกพระนามในยุทธจักรว่า หนี่ฮัว” เขาเล่า “เมื่อหวางฮั่นหยางฮ่องเต้ใกล้จะสวรรคต พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้องค์ชายเจี้ยนเหยียนขึ้นครองราชย์ แต่ทว่า...”

“แต่ทว่า...อันใดหรือ” เกาซุนอ๋องตรัสถามอย่างสนพระทัย

“องค์หญิงเล้งฉานวัยสิบสองชันษา ทรงยกทัพมาชิงราชบัลลังก์กับพระเชษฐา ในงานราชาภิเษก แต่เรื่องตอนนี้ กลับถูกดัดแปลง” เขาเล่าต่อ เกาซุนอ๋องทรงตั้งใจฟัง “กลายเป็นว่า เมื่อองค์หญิงเล้งฉานทรงยกทัพมา หวางฮั่นหยางฮ่องเต้ทรงทราบเข้า จึงทรงพระพิโรธอย่างหนัก กระอักพระโลหิตจนสวรรคต...แท้จริงแล้ว หวางฮั่นหยางฮ่องเต้ทรงสวรรคตก่อนที่องค์หญิงเล้งฉาน จะยกทัพมาชิงบัลลังก์เสียอีก”

“ทำเยี่ยงนี้ มิเท่ากับบิดเบือนประวัติศาสตร์หรอกหรือ”

“กฎหมายลงโทษผู้บิดเบือนประวัติศาสตร์ ใช้ไม่ได้กับผู้ที่มีอำนาจเหนือกฎหมาย”

“ท่านหมายความว่า...” เกาซุนอ๋องพึมพำ แววตาเป็นประกาย

“ถูกแล้ว ฮ่องเต้องค์ต่อมา หลังจากนั้นสองสามแผ่นดินได้ ทรงมีพระบัญชาให้พวกปราชญ์ชำระประวัติศาสตร์ส่วนพระจักรพรรดินีเสียใหม่” เขาเอ่ย

“ทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน” เกาซุนอ๋องทรงกริ้ว

“มันเป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจสามารถกระทำได้ และพวกที่โกรธแค้นจักรพรรดินีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ได้ช่องทางแก้แค้น เปลี่ยนพระนางจากจักรพรรดินีผู้ทรงพระเมตตาเป็นทรราช”

“เฮ้อ...ข้าไม่อยากฟังแล้ว...” เกาซุนอ๋องตรัส

“หลู่กัว ยามเยาว์วัย เจ้ามิเคยเอาใจใส่กับการร่ำเรียน คิดอยากจะเป็นพ่อค้า ก่อนนี้ ข้าเคยถามเจ้าว่า เมื่อไม่ร่ำเรียน จักเป็นพ่อค้าได้เยี่ยงไร แต่คำตอบของเจ้า ทำให้ข้าเข้าใจมาจนถึงบัดนี้ว่า ที่แท้แล้ว เจ้าไปร่ำเรียนวิชาการค้า มาจากคนผู้หนึ่ง ข้าอยากรู้นักว่า เขาเป็นผู้ใด” เขาว่า “ล่วงมาจนถึงบัดนี้ ห้าสิบปีแล้ว เจ้าก็ยังไม่เยบอกข้าเลยว่า อาจารย์ท่านนั้น ที่อุตส่าห์พร่ำสอนองค์ชายไม่เอาไหนเยี่ยงเจ้า ให้เป็นพ่อค้าระดับแถวหน้าได้ คือผู้ใด”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าพี่ ท่านมิจำเป็นต้องรู้หรอก...” เกาซุนอ๋องหัวร่อพลางเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าพี่ ทรงมีหนังสือพระราชประวัติจักรพรรดินีหรือไม่เล่า”

แทนคำตอบ ซัวอ๋องล้วงมือเขาไปใต้แขนเสื้อ หยิบหนังสือเก่าคร่ำครึออกมา และวางงบนโต๊ะน้ำชาที่คั่นอยู่ระหว่างพวกเขา

เกาซุนอ๋องหยิบพระราชประวัติจักรพรรดินีขึ้นมาอ่าน เขาพลิกไปหลายหน้า จนสะดุดใจตรงข้อความที่แผ่หราอยู่สองหน้ากระดาษ

...ครั้นเมื่อองค์หญิงเล้งฉาน ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดินี หลังจากทรงกระทำการรัฐประหารชิงราชสมบัติมาจากพระเชษฐาได้สำเร็จ พระนางก็ทรงเผชิญหน้ากับเหล่าขุนนางที่ต่อต้านพระนางทันที พวกเขาเหล่านั้นพยายามทำทุกวิถีทางให้พระนางทรงอดทนมิได้ จนต้องสละราชสมบัติ

แต่ทว่า...พวกเขาผิดคาดเสียแล้ว พระนางทรงมีขันติมากกว่าที่พวกเขาคิด พวกเขาคงไม่คิดว่า ผู้หญิงไร้เดียงสาคนหนึ่ง จะสามารถทำให้ราษฎรบางส่วนยอมรับพระนางได้ โดยการที่พระนางทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรบ่อยครั้ง เยือนทุกถิ่นที่เข้าไปถึง พระนางทรงศึกษาวิชาการปกครอง กลยุทธการรบ พิชัยสงคราม จนกระทั่งพระชนม์มายุยี่สิบพรรษา

ระหว่างนั้น ทรงแก้ไขกฎต่างๆ เช่น ขันทีไม่ต้องถูกตอน นางกำนัลสามารถแต่งงานได้ เรื่องพวกนี้ขุนนางพากันคัดค้านอย่างหนักหน่วง ฎีกาหลายร้อยฉบับ ยื่นคัดค้านต่อพระนาง แต่ทว่า พระนางทรงมีขันติสูงเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดถึง ทรงเขียนตอบเหล่าขุนนางไปทุกฉบับ ด้วยเหตุผลที่พวกเขามิอาจจะเถียงต่อไปได้ได้แต่เก็บงำความโกรธไว้ในใจ


พระนางทรงประนีประนอม ไม่ถือโทษโกรธเคืองเหล่าขุนนาง เพราะทรงรู้ดีว่า หากใช้กำลังบังคับขู่เข็ญ พวกเขาอาจจะหายอมศิโรราบด้วยใจไม่ ภายหน้าอาจจะหันกลับมาแว้งกัดในยามที่เราอ่อนแอลงก็เป็นได้

พระนางจึงไม่ใช้มาตรการงัดข้อกับเหล่าขุนนาง พระนางทรงใช้วิธีซื้อใจขุนนางหากขุนนางผู้ใดล้มป่วยลง พระนางจะทรงไปเยือนถึงที่ และจัดยารักษาโรคให้แก่เขา และจัดหมอหลวงมาดูอาการเป็นระยะๆ พร้อมอวยพรให้หายโดยเร็ว จะได้กลับมาช่วยพระนางพัฒนาบ้านเมืองต่อไป หากขุนนางผู้ใดถึงแก่กรรมลง พระนางก็จะทรงเป็นเจ้าภาพจัดงานศพให้ และดูแลครอบครัวของขุนนางผู้นั้น มิให้ห่วงหาอนาทรเลยแม้แต่น้อย

ด้วยเหตุฉะนี้ ขุนนางทั้งหลายก็เริ่มเล็งเห็นความดีของพระนาง เริ่มแสดงความจงรักภักดีต่อพระนางมากขึ้น แต่ยังมีขุนนางอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ยังมิยอมรับพระนาง พยายามหาทางกำจัดพระนาง ลอบปลงพระชนม์ทั้งสิ้นเจ็ดครั้ง พระนางททรงรอดมาได้ทั้งเจ็ดครั้ง มีแต่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ถึงแม้จะจับผู้กระทำผิดมาได้ พระนางก็ทรงมิได้ประหารพวกเขาเหล่านั้น กลับทรงเพียงเนรเทศไปอยู่ชายแดน บ้านเมืองในยุคนั้น จึงเต็มไปด้วยนักโทษอาญาที่ทำแรงงานเยี่ยงทาส

บ้านเมืองในสมัยของพระนาง เต็มไปด้วยศึกสงครามตลอดพระชนม์ชีพ พระนางทรงสานต่อพระราชปณิธานของบรรพชนมิสำเร็จ ด้วยเหตุทรงประชวรบ่อยครั้ง เมื่อพระชนม์มายุมากขึ้น

ยุคสมัยของพระนางทรงเปิดรับชาติตะวันตกไกล เป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปี บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองไปด้วยการค้ากับชาวต่างชาติแลต่างแคว้น บ้านเมืองภายในสงบสุข ทรงเจริญพระราชไมตรีกับะวันตก ทำให้ยุคสมัยนี้ เต็มไปด้วยอารยธรรมอันหลกหลาย บ้านเมืองรุ่งเรืองถึงขีดสุดยิ่งกว่าสมัยใดๆ แม้แต่ครั้งแผ่นดินหวางชิงสือฮ่องเต้เอง ก็ยังไม่เทียมเท่า

พระนางทรงปกครองด้วยหลักทศพิธราชธรรม ทรงเลื่อมใสพระพุทธศาสนา โปรดให้สร้างวัดวาอาราม บริจาดราชทรัพย์ส่วนพระองค์แก่ผู้ยากไร้ และใช้ในการสร้างวัดวาอารามเป็นจำนวนมาก

รัชสมัยปีที่สี่สิบห้าแห่งการครองราชย์ของจักรพรรดินีหนี่ฮัว พระนางทรงพระประชวร และสวรรคตในกาลต่อมา ทรงครองราชย์ได้สี่สิบห้าปี รวมพระชนม์มายุได้ห้าสิบเจ็ดพรรษา

เกิดการชิงราชบัลลังก์อีกครั้ง ระหว่างราชโอรสของพระนางกับราชอนุชาของพระนาง ซึ่งเป็นราชโอรสของหวางฮั่นหยางฮ่องเต้ อันเกิดแต่เจ้าจอมผู้ด้อยศักดินาพระองค์หนึ่ง อาหลานสู้รบกันอย่างไม่มีคำว่าสายเลือด โอรสของพระจักรพรรดินีและพระองค์เดียว ถูกฟันพระศอขาด อนุชาจักรพรรดินีขึ้นครองราชย์ เฉลิมพระนาม หวางสู่จื่อฮ่องเต้

เกาซุนอ๋องปิดหนังสือทันทีที่อ่านจบ เงยหน้ามองซัวอ๋อง ด้วยแววตาเป็นคำถาม

“นี่หรือ พระราชประวัติของจักรพรรดินี” เขากล่าวถาม

“ถูกแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้าย”

“พวกตะวันตก...มีพวกนี้อยู่หรือจริงๆหรือ พวกเขาหน้าตาเป็นอย่างไร” เกาซุนอ๋องถามอีก

“มีอยู่จริงแน่นอน แต่จะหน้าตาเป็นเช่นไรนั้น มิมีผู้ใดสามารถหยั่งรู้ได้ เพราะว่า เมื่อหวางสู่จื่อฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ก็ทรงปราบพวกตะวันตกไปให้พ้นจากแผ่นดิน และปิดประเทศ ตัวพระองค์เอง ทรงเสวยสุขจากความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง ที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของพระกนิษฐาต่างพระมารดา” เขากล่าวตอบ “ทำให้บ้านเมือง เสื่อมทรามลงทุกขณะ...อนิจจา...”

“หม่อมฉันคิดว่า อาจจะมีรูปวาดของชาวตะวันตกบ้างนะ เจ้าพี่ หม่อมฉันเคยได้ยินมาว่า ชาวตะวันตกเข้ามาในครั้งแรกเมื่อสมัยหวางชิงสือฮ่องเต้ มิใช่หรือ”

“จริงแท้...แต่ทว่า รูปวาดเหล่านั้น ล้วนถูกเผาหมดแล้ว มิว่าจะทั้งเก่าหรือใหม่...มิหลงเหลืออยู่เลย”

“หวางสู่จื่อฮ่องเต้ ทรงชิงชังอันใดกับพวกตะวันตกนักหนา” เกาซุนอ๋องว่าด้วยท่าทีเคร่งขรึม

“มิมีผู้ใดล่วงรู้หรอก”

“แล้วแผ่นดินตะวันตกอยู่ที่ใดกัน” เกาซุนอ๋องถามอย่างสนใจ

“เห็นเขาว่ากันว่า แผ่นดินตะวันตก อยู่ไกลแสนไกล หากเดินทางไปยังทิศที่ดวงตะวันไม่เคยขึ้น จะพบดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล...รายละเอียด อยู่ในหอสมุดของวัง ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี เป็นบันทึกเพียงเล่มเดียว ที่เหลือรอดมาจากการทำลายล้าง”

“เจ้าพี่เคยอ่านหรือไม่”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...” ซัวอ๋องเพียงแต่หัวร่อ แต่ไม่ตอบว่ากระไร

“หม่อมฉันคิดว่า สาวชาวตะวันตก คงจะงดงามน่าพิลาสพิไล เป็นแน่แท้ทีเดียว” เกาซุนอ๋องพึมพำ แววตาเป็นประกาย

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...หลู่กัว เกาซุนอ๋อง หากเจ้าใคร่จะรู้ เหตุใด เจ้าจึงไม่เข้าไปในหอสมุดของวังดูเล่า”

“มีด้วยรึ!”

“แน่นอน ถึงแม้รูปวาดของชาวตะวันตก จะถูกเผาผลาญไปสิ้น แต่ทว่า รูปวาดในหอสมุดของวัง ยังคงอยู่ เหตุเพราะว่า ฮ่องเต้ มิสามารถทำลายอาจารย์ได้” ซัวอ๋องกล่าว “เจ้าเข้าใจหรือไม่”

“ข้าจะพยายาม” เกาซุนอ๋องตอบ

ซัวอ๋องจิบน้ำชาขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ ก่อนกล่าวต่อว่า “เพลานี้ ไทเฮากุมอำนาจฮ่องเต้ มาได้ปีกว่าแล้ว เฮ้อ...ข้านึกสงสารฮ่องเต้ขึ้นมาจับใจ”

“เจ้าพี่ ทรงเคยได้ข่าวการศึกที่เขาเจียงหวา มาบ้างหรือไม่”

“นานแล้ว ที่ยังมิได้ข่าวคราว”

“เห็นว่า ขณะนี้ การศึกไม่สู้ดีนัก แม่ทัพนายกองแตกความสามัคคี พลทหารหิวโหย รบแพ้ติดต่อกันหลายครา”

“หลู่กัว เจ้ามิสนใจเรื่องพรรคนี้มิใช่หรือ เหตุใด มาเพลานี้ จึงใคร่สนใจได้เล่า”

“เอ่อ...คือ...หม่อมฉัน รู้สึกเป็นห่วงบ้านเมือง จึงใคร่สนใจเรื่องพวกนี้บ้าง” เกาซุนอ๋องตอบ ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“หึ!...”

“วันนี้ หม่อมฉันขอทูลลา”

“เชิญ” ซัวอ๋องว่า สายตามองดูเกาซุนอ๋องลุกเดินออกจากตำหนักไป อย่างไม่ไว้วางใจในตัวเขา



มหาราช
#60   มหาราช    [ 06-03-2009 - 18:52:56 ]

ตอนที่ 3

เหตุเกิดในโรงเตี๊ยม

จอกสุราถูกวางลงบนโต๊ะในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ชายวัยสามสิบสองปีเศษกวาดตาคู่โตของเขาไปรอบกาย ร่างภูมิฐาน สวมชุดนักบู๊สีฟ้ายาว ดาบเล่มยาววางอยู่บนโต๊ะ พลันแว่วเสียงพูดคุยดังมาจากโต๊ะข้างกาย เขาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ จึงทราบว่า ชายผู้หนึ่งแซ่เผย อีกผู้แซ่ซู

“เจ้าคิดดังเช่นที่ข้าคิดหรือไม่ว่า ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของเรา ทรงเป็นฮ่องเต้อ่อนแอยิ่งนัก” ชายแซ่เผยว่า

“ข้าเพียงแต่เคยได้ยินมาว่า พระนางไห่ไทเฮา ทรงกุมอำนาจฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเพียงเท่านั้น” ชายแซ่ซูเอ่ย

“ถึงกระนั้น ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ก็ทรงมิคิดจะทวงอำนาจกลับคืนมา ได้ยินมาว่า เพลานี้ จะทรงดำริสร้างพระราชวังฤดูร้อน…ตรองดูเถิด ฮ่องเต้องค์นี้ ทรงมิสนพระทัยความทุกข์ยากของราษฎร ปล่อยให้อดอยากแร้นแค้น ซ้ำยังสร้างพระราชวังฤดูร้อน บำเรอความสุขของตน ข้าคิดว่า อาณาจักรเรา คงจะพบหายนะ ในมิช้า”

“เจ้าไปได้ยินมาจากที่ใดกัน” ชายแซ่ซูถามอย่างสงสัยใจ

“ข้าได้ยินมาจากทีใดไม่สำคัญหรอก…ข้ารู้เพียงแต่ว่า ฮ่องเต้องค์นี้ ทรงเป็นฮ่องเต้โฉด มิเคยใส่พระทัยกับความทุกข์ยากของราษฎรเลย” ชายแซ่เผยว่า

“เจ้าได้ยินมาผิดหรือเปล่า เผยเส้า แต่เท่าที่ข้าได้ยินมา ฮ่องเต้มิได้ทรงประกาศราชโองการ ดำริสร้างพระราชวังฤดูร้อน แต่เป็นพระราชเสาว์นีย์ไทเฮา ที่ทรงปลอมแปลงมา” ชายแซ่ซูว่า “ข้าคิดว่า เจ้าอย่าเพิ่งด่วนสรุปนักเลย”

“เจ้าก็มองโลกในแง่ดีเกินไป ซูหยง เจ้ากับข้าเป็นชาวยุทธ จักรู้ได้อย่างไรว่า เป็นพระราชโองการของปลอม...อย่างไรเสีย ผู้ใดจะพูดอย่างไรก็ตาม ข้าขอรับรองด้วยศีรษะของข้าว่า ฮ่องเค้องค์นี้ จะต้องทรงทำให้บ้านเมืองพบกับหายนะแน่นอน”

ชายวัยสามสิบสองหัวเราะเบาๆอย่างเย้ยหยัน ชายสองคนหันไปมองรอบกาย พบเขากำลังหัวเราะอยู่พอดี จึงถามว่า

“เจ้าหัวร่ออันใด”

“เผยเส้า อันตัวเจ้า จักรู้จักพระนิสัยของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ดีเพียงใดกันเล่า” ชายวัยสามสิบสองว่า พลางลูบไล้ฝักดาบอย่างทะนุถนอม

“เจ้าคือผู้ใด จงแจ้งชื่อแซ่มา” เผยเส้าถาม พลางเลื่อนมือจับด้ามดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ชายเสื้อไว้

ชายวัยสามสิบสองเหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะดื่มสุราจนหมดจอก พลางกล่าวว่า “เผยเส้า เจ้ามีความคิดเห็นเช่นไรกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”

“ข้าเกลียดฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน...จงคิดดู มีสักครั้งหรือไม่ นับจากที่มันขึ้นครองราชย์มา จะออกเสด็จเยี่ยมราษฎร เป็นกำลังใจให้แก่ราษฎรที่เจ็บป่วย พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ บริจาดแก่ผู้ยากไร้ ทางการเข้าข้างผู้กระทำผิด ผู้บริสุทธิ์จักต้องตายด้วยน้ำมือของคนโฉดชั่วสักเท่าไหร่ หญิงสาวบริสุทธิ์ถูกถูกทารุณกรรมและขืนใจ ฮ่องเต้ ก็มิทรงเหลียวแล ฎีกานับร้อย ก็ถูกทิ้งขว้าง” เผยเส้ากล่าว “อาชญากรรมเต็มบ้านเมือง ฮ่องเต้เอาแต่เสวยสุขในราชวัง เคยรู้หรือไม่ว่า ราษฎรทุกข์ยากเพียงใด ไทเฮานั่นก็เช่นกัน...มิเคยเหลียวแลเลย กุมอำนาจฮ่องเต้ แต่มิรู้จักพัฒนาประเทศ เสวยสุขไปวันๆ ฮ่องเต้หุ่นเชิดก็ประพฤติเหลวแหลก ไทเฮาก็ประพฤติเลวทราม มิต่างอันใดกันเลย”

ชายวัยสามสิบสองโกรธจัด พลันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ชักดาบออกมาตรงหน้าเผยเส้า วินาทีนั้น เผยเส้ากลับซูหยงก็ลุกขึ้น และชักดาบออกมาตรงหน้าชายวัยสามสิบสองแทบจะในทันที

“เจ้าคือผู้ใดกันแน่” เผยเส้าถาม

“ข้าคือ จอมยุทธแดนเหนือ ชื่อเสี้ยนตง แซ่อาน” เขาตอบด้วยเสียงเยือกเย็น

“วะ-ว่าอย่างไรนะ จอมยุทธแดนเหนือ อานเสี้ยนตงรึ!” เผยเส้าพึมพำ ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ซูหยงกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“ถูกต้อง ข้าอานเสี้ยนตง จอมยุทธผู้เลื่องชื่อลือนาม”

“ดี ข้าอยากปะมือกับเจ้ามานานแล้ว อานเสี้ยนตง” เผยเส้ากล่าว พลางชูดาบขึ้น

“เพียงสามเพลง เจ้าก็ถูกดาบของข้าบั่นคอแล้ว” อานเสี้ยนตงว่า

“ว่าอย่างไรนะ” เผยเส้าโกรธจัด พุ่งเข้าใส่อานเสี้ยนตงอย่างรวดเร็ว

อานเสี้ยนตงเบี่ยงตัวหลบ พร้อมกับร่ายรำดาบอย่างแคล่วคล่อง ดีดตัวขึ้นกลางอากาศ สองแขนแผ่หลาข้างกาย เผยเส้ามองดูอย่างหวาดหวั่น

“กระบวนท่าอินทรีจู่โจม...” เขาพึมพำ

อานเสี้ยนตงหมุนร่างคล้ายดังลูกข่าง ก่อนพุ่งทะยานลงมาหมายแทงเข้าที่ใบหน้าของเผยเส้า ทว่าอีกฝ่ายรีบยกดาบขึ้นตั้งรับได้ทันท่วงที ดาบสองเล่มเข้าปะทะกัน พลังลมปราณแผ่ออกมาจากคมดาบ เผยเส้าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง


ซูหยงเห็นท่าไม่ดี ชูดาบขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมพุ่งทะยานเข้าหาอานเสี้ยนตง อานเสี้ยนตงเห็นดังนั้น จึงรีบดึงดาบกลับ พร้อมม้วนตัวกลางอากาศหลบคมดาบ อย่างทันท่วงที เหตุการณ์ครานี้ ทำให้ลมปราณแผ่กระจายไปทุกทิศทุกทาง ทำให้โต๊ะในโรงเตี๊ยมพังระเนระนาด

อานเสี้ยนตงร่อนกายลงบนพื้น อย่างโซซัดโซเซ เลือดสายหนึ่งพุ่งออกมาจากปาก ดวงตามองดูคนทั้งสองอย่างโกรธแค้น คนทั้งสองเห็นอานเสี้ยนตงโซซัดโซเซดังนั้น จึงไม่รอช้าพุ่งเข้าใส่อานเสี้ยนตงอีกครา

อานเสี้ยนตงยิ้มอย่าง...มเกรียม พุ่งสันดาบเข้าใส่อย่างว่องไว จนแทบมิได้ยินเสียงฝีเท้า ท่ามกลางฝุ่นผงธุลีที่ฟุ้งกระจาย ทำให้ไม่สามารถมองเห็นคู่ต่อสู้ กว่าจะรู้ตัว ของเหลวสีแดงก็ไหลออกมาจากคอของทั้งสอง ล้มลงไปกองกับพื้นทันที

อานเสี้ยนตงยิ้มอย่างภาคภูมิใจในฝีมือของตนเอง เขาหันกลับไปมองดูผลงานตนเองอย่างลำพองใจ

“ก่อเรื่องทะเลาะวิวาทได้ไม่เว้นแต่ละวันเลยนะ จอมยุทธแดนเหนือ อานเสี้ยนตง” เสียงหนึ่งดังขึ้น

อานเสี้ยนตงหันไปทางต้นเสียง พบชายชราส่งยิ้มมาให้อย่างเย้ยหยัน เขาจ้องกลับไปอย่างฉงนสนเท่ห์

“ท่านคือผู้ใด” เขาถามชายชรา

“ข้า...พ่อมดจูจงหยุน ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในหวางซานหลี่ฮ่องเต้ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน” ชายชราตอบด้วยเสียงราบเรียบ

“ท่านต้องการอันใดจากข้า” อานเสี้ยนตงถาม

“มิต้องถามมากความ จงไปกับข้า” กล่าวจบ ก็คว้าคอเสื้ออานเสี้ยนตงหายไปกับสายลม

*************************

ชายวัยราวยี่สิบหกปีเดินอยู่ในห้องโถงใหญ่ที่มืดสลัว มีเพียงแสงสว่างส่องลอดม่านหน้าต่างเข้ามา ปืนใหญ่นับสิบกระบอกตั้งเรียงรายขนาบข้างทางที่เขาเดิน เขาเป็นชายร่างสูงปานกลาง ผิวขาวราวหยก ใบหน้าไม่ค่อยหล่อเหลามากมายนัก แต่ทว่า ท่วงท่าองอาจคร่งขรึมของเขา กลับเป็นเสน่ห์ให้หญิงสาวหลงใหลได้ไม่ยาก ดวงตาดุจพญามังกรคู่นั้น ดูสุกสว่างอยู่ตลอดเวลา ชุดสีเขียวยาว ปักลวดลายมังกรสีทองอร่าม

เขามองดูปืนใหญ่ด้วยสายตาครุ่นคิด มือลูบไล้ไปตามปากกระบอกปืน ในใจคิดอะไรบางอย่าง เมื่อทหารนายหนึ่งเดินเข้ามา ถวายคำนับและคุกเข่าลง เขาหันมามองด้วยสายตาเป็นคำถาม

“เรียนท่านอ๋อง มีแขกมาขอพบขอรับ เพลานี้ รอท่านอยู่ด้านนอกขอรับ” ทหารบอก

“ผู้ใดกัน” ท่านอ๋องเอ่ยถาม

“เห็นว่า เป็นพระสหายของท่านอ๋องขอรับ”

“ดี เชิญเขาเข้ามา” ท่านอ๋องว่า ทหารโค้งคำนับรับคำสั่ง และเดินออกไป

ครู่หนึ่งต่อมา ชายวัยไล่เลี่ยกับท่านอ๋องก็เดินเข้ามา พร้อมประสานมือคำนับ เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายยิ่งกว่าท่านอ๋องเสียอีก สวมชุดนักบู๊สีขาวยาว กระบี่เหน็บไว้ใต้ชายเสื้อ

“ท่านอ๋อง ยังสุขสบายดีหรือไม่กันขอรับ” เขากล่าวถาม

“ข้ายังสุขสบายดี จูตู้เทียน...เจ้าเล่า เป็นเช่นไรบ้าง” ท่านอ๋องตอบและถามกลับไปในคราวเดียวกัน

“ผู้น้อยยังคงสบายดีขอรับ มิเจ็บไข้ประการใด” จูตู้เทียนตอบ

“นับจากศึกกบฏเขาสู่ซวน เมื่อเจ็ดปีก่อน เราก็มิได้พบกันอีกเลย เตียวเย่ และ หยางหลุน สหายเรา สิ้นชีพไปในศึกครานั้น เรายังจำมันได้ดี” ท่านอ๋องว่า “สหายรักสิ้นชีพ ล้วนนำความเศร้ามาสู่สหายที่ยังมีชีวิตอยู่”

“ท่านอ๋อง...” จูตู้เทียนคราง น้ำตาคลอเบ้า

“จริงสิ...วันนี้ ลมอันใดหอบเจ้ามาหาข้าถึงชายแดนได้” ท่านอ๋องเอ่ยถาม

“เรียนท่านอ๋อง บัดนี้ สหายผู้เคยร่วมในยามศึกสงคราม มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาทั้งชายหญิง ใคร่อยากจะจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองสังสรรค์ในหมู่สหาย ที่มิได้พบพานกันมานาน...ผู้น้อย จึงดั้นด้นมายังที่นี้ เพื่อเรียนเชิญท่านอ๋องขอรับ” จูตู้เทียนตอบกลับ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า...เอาเถิด ข้าจะไป...ชิงหมิงไปด้วยหรือไม่เล่า” ท่านอ๋องกล่าวถาม

จูตู้เทียนเงยหน้าขึ้น ชิงหมิงหรือไท่ชิงหมิงเป็นสตรีที่เลอโฉมที่สุดในแผ่นดิน เป็นธิดาของอัครเสนาบดีไท่เหวินเจิ้ง ขุนนางตงฉินหกแผ่นดิน ที่ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เหตุที่นางชื่อชิงหมิง เพราะนางเกิดตรงกับวันไหว้บรรพชนพอดี นางกับท่านอ๋องผู้นี้ เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เล็กแต่น้อย เป็นสหายวัยเยาว์ที่พระนางชิงฮองเฮา ทรงโปรดให้มาเป็นพระสหายคนแรกของเขา

ไท่ชิงหมิงและท่านอ๋องเป็นสหายร่วมเรียนศิลปะวิทยาและวรยุทธด้วยกันมา แต่เมื่อหลังจากพระนางชิงฮองเฮาสวรรคตไปแล้วหนึ่งปี ทั้งคู่ก็มีอันต้องพลัดพรากจากกัน ด้วยวัยสิบเอ็ดปี นับจากวันนั้น ถึงวันนี้ เวลาล่วงเลยมาสิบห้าปีแล้ว

“ท่านอ๋อง ชิงหมิง เพลานี้ ได้เป็นจ้าวสำนักจอมยุทธโจวเซียนแล้ว นางเป็นโฉมสะคราญที่เลอโฉม จนชายหนุ่มหมายปอง ผู้น้อยคิดว่า เรื่องเหล่านี้ ท่านอ๋อง น่าจะเคยได้ยินมา ไม่มากก็น้อย” จูตู้เทียนว่า “และดูเหมือนเป็นพรหมลิขิตหรือกระไร มิทราบได้ ชิงหมิงเอง นางก็ถามถึงท่านอ๋อง เช่นเดียวกัน”

“เช่นนั้นรึ” ท่านอ๋องเอ่ย ดวงตาดูเหม่อลอย “เอาล่ะ งานเลี้ยงจะเริ่มต้นเมื่อใด”

“วันพรุ่งขอรับ”

“ดี”

***********************

หวางซานหลี่ฮ่องเต้ทรงอยู่ในห้องบรรทมยามราตรีกาลที่เงียบสงัด พระองค์ทรงกอดนางสนมผู้เลอโฉมไว้ในอ้อมกอด เนินอกขาวผ่องโผล่พ้นออกมาจากขอบผ้าอก นางแนบใบหน้าซบอกพระองค์อย่างรักใคร่

“ซีจู ข้ารักเจ้ายิ่งนัก เจ้ารู้หรือไม่” พระองค์ตรัส

“หม่อมฉันทราบดีเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันก็รักฝ่าบาท...” ซีจูกล่าว “หม่อมฉันได้ยินมาว่า ฝ่าบาท ทรงท้าทายอำนาจของไทเฮาหรือเพคะ”

“นางอยากมาต่อกรกับข้าก่อนเองนี่” พระองค์ตรัสตอบเสียงก้อง ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ผู้ใดใช้ให้นางมาบงการข้า ควบคุมอำนาจทุกอย่างที่ข้าควรมีไว้ในมือเล่า”

“ฝ่าบาท...”

“หึ...วังหลวงแห่งนี้ ช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร ข้ามิมีพวกจงรักภักดี มองไปทางใด เห็นมีแต่พวกจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ งูเห่าที่คอยจะแว้งกัดเมื่อใดก็ได้” พระองค์ตัดพ้อด้วยความหดหู่พระทัย “มิมีผู้ใด ที่หวังดีต่อข้า ฤาไว้ใจได้เลยสักคน พวกมันทุกน วนหวังประโยชน์จากข้าทั้งนั้น”

“ฝ่าบาท อย่างน้อยพระองค์ก็ยังทรงมีหม่อมฉัน ฮองเฮา และโอรสธิดาที่คอยอยู่เคียงข้างพระองค์นะเพคะ” ซีจูทูลตอบ

“พวกเจ้าจะทำอันใดพวกมันได้ ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจนัก” พระองค์ตรัส ดวงพระเนตรแดงก่ำ

“ฝ่าบาท ขอได้ทรงโปรดทำใจให้สบายเถอะเพคะ” ซีจูกราบทูลพลางจูบพระโอษฐ์ของพระองค์

หวางซานหลี่ฮ่องเต้ทรงจูบกลับไปอย่างดูดดื่ม พระหัตถ์ค่อยๆถอดเสื้อของนางออกทีละชิ้น ก่อนจะดันร่างนางนอนลงบนเตียง และซุกไซ้ซอกคอของนางอย่างนิ่มนวล

พลันเสียงหายตัวดังขึ้น ทำให้สองผู้สูงศักดิ์ตื่นตกใจ หวางซานหลี่ฮ่องเต้ทรงรีบลุกจากเตียงโดยเร็ว ปกปิดร่างซีจู ที่กำลังเอาผ้าห่มปกปิดร่างกายไว้

“จูจงหยุน เหตุใด ท่านจงเข้ามาในยามวิกาลเยี่ยงนี้ ถึงกฏมณเทียรบาลจะอนุญาตให้พ่อมดเช่นท่าน สามารถเดินเหินหรือหายตัวไปไหนมาไหนได้ แต่มิใช่ว่า ท่านจะหายตัวตามอำเภอใจเยี่ยงนี้” พระองค์ตรัสด้วยความกริ้ว เมื่อทรงเห็นว่า ผู้มาเยือนเป็นใคร

“ขอได้ทรงโปรดลงอาญากระหม่อมด้วย แต่ทว่า เพลานี้ จอมยุทธแดนเหนือได้รอพระองค์อยู่ที่ตำหนักใหญ่แล้ว”

พลันสีพระพักตร์ของพระองค์เปลี่ยนไปแทบจะทันที เมื่อได้ยินดังนั้น ทรงตรัสด้วยเสียงที่อ่อนลงว่า “จริงรึ! ดี ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

“พ่ะย่ะค่ะ” จูจงหยุนรับคำสั่ง ก่อนจะถวายบังคมและหายตัวจากไป

หวางซานหลี่ฮ่องเต้ทรงหันมาทางนางสนมสุดที่รักของพระองค์ ซึ่งยังคงตกใจอยู่ ทรงเชยคางนางขึ้นมา พร้อมยิ้มให้นางอย่างรักใคร่

“เจ้ารอข้าก่อน เดี๋ยวข้าจะมาพบเจ้า” ตรัสจบ ก็ทรงโน้มตัวไปจูบอย่างดูดดื่มอีกครา




ตอบกระทู้
ชื่อ
รหัส กรอกตัวอักษร ตามภาพ
ข้อความ


emo-smile emo-happy emo-lol emo-enjoy emo-kiku emo-cool emo-hoho emo-drool emo-hungry emo-kiss emo-sorry emo-sad emo-cry emo-tear emo-question emo-doubt emo-shock emo-redface emo-plz emo-peevish emo-angry emo-moody emo-sneer emo-makefaces emo-good emo-touched emo-love emo-bore emo-tired emo-vomit
bold italic underline img link superscript subscript size color space justifyleft justifycenter justifyright quote box youtube