เข้าระบบอัตโนมัติ

แลกเปลี่ยนความรทางประวัติศาสตร์ของจีน


vมังกรหลับv
#261   vมังกรหลับv    [ 20-08-2007 - 19:50:29 ]

ไม่ทราบอะคับ



...
#262   ...    [ 21-08-2007 - 01:29:08 ]    IP: 222.123.106.68

ฮ่าๆๆๆ ห่ำหั่นกันไม่มีที่สิ้นสุดต่างฝ่ายต่าง ไม่ยอมซึ่งกันและกัน เช่น นี้แหละมนุษย์

ก้าวบัวบอกลึกตื่นชลธาร มารยาทส่อสันดารชาติเชื้อ



vมังกรหลับv
#263   vมังกรหลับv    [ 21-08-2007 - 16:38:36 ]

ห่ำหั่นกันยังไง



fhasatumton
#264   fhasatumton    [ 21-08-2007 - 19:47:55 ]    IP: 58.9.125.177

ทรงสามารถเป็นภรรยาที่ประเสริฐ แต่ยากเป็นมารดาที่ทรงคุณ

พระนางโต้วจี (โต่วกี)

ฮองเฮาในพระเจ้าฮั่นเหวินตี้ (ฮั้งบุ่งตี่) หลิวเฮง (เล่าเฮ้ง)


เป็นเพราะขันทีที่เซ่อซ่าสับเพล่าผู้หนึ่ง นำพาวาสนาอันสูงส่งมาสู่พระนาง พระนางจับพลัดจับผลู ถูกส่งไปยังดินแดน ไต้กว๋อ (ต่อกก) พระนางเสียใจร่ำไห้จะเป็นจะตาย แต่คิดไม่ถึงว่าดินแดนแห่งนี้กลับเป็นประตูก้าวสู่วาสนา

เมื่อต้นราชวงศ์ ฮั่น เจ้า ไต้หวาง (ต่ออ้วง) โชคดีมีราชรถมาเกยเป็น ฮ่องเต้ พระนาง โต้วจี ที่มาจากครอบครัวลำบากยากจนก็พลอยมีวาสนาเป็นพระนาง ฮองเฮา เมื่อเจ้า ไต้หวาง ทรงเป็น ฮ่องเต้ จึงมีพระนาสนมนมในจำนวนมา แก่งแย่งชิงความรักความเสน่หาไปจากพระนาง ๆ ทรงไม่หึงหวงอิจฉาริษยา แต่กลับทุ่มเทมอบความรักแก่บรรดาลูก ๆ ของพระนาง เนื่อจากทรงรักและตามใจลูกมากไป เจ้า เสี้ยวเหลียนหวาง ทรงกระทำผิดพระราชมณเฑียรบาลอย่างร้ายแรง เจ้าหญิง กวนเตา คอร์รับชั่นรับสินบน นี่คือจุดด่างเป็นมนทินจากปลายพู่กันของหน้าประวัติศาสตร์หนังสือ ฮั่นซู
พระนางเป็น ฮองเฮา ที่รู้จักแยกแยะ แต่ไม่ค่อยรักษากฏของราชมณเฑียรบาล ทรงเป็นภรรยาที่ประเสริฐ แต่ยากที่เป็นมารดาที่ทรงคุณ ในบรรดา ฮองเฮา ในยุคสังคมศักดินาของประเทศจีน พระนางจัดได้ว่าเป็น ฮองเฮา ที่มีวาสนาดีที่สุดพระองค์หนึ่ง จากตำแหน่ง ฮองเฮา พระนางทรงไต่เต้าไปสู่ ฮองไทยเฮา และยังไปสู่ตำแหน่ง ไท่ฮองไทเฮา จึงสิ้นพระชนม์ ในรัชสมัยพระเจ้า ฮั่นอู่ตี้ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเจ้าหลานเธอ

จับพลัดจับผลู ได้ดีมีวาสนา

ราชรถคันหนึ่งมีผู้โดยสารเป็นชาววัง 5 นาง จอดพักที่สถานที่พักม้าอันเงียบ เชียบ ลมร้อนแห่งฤดูใบไม้ผลิตสงบนิ่ง แต่ดินทรายคละคลุ้ง เป็นบรรยายกาศที่สุดเศร้าจึงทำให้ผู้โดยสารที่เป็นชาววังพากันสะอึกสะอึ้นร้องไห้น้ำ
ตาไม่ขาดสาย
นี่คือปีที่พระนาง ลวี่ตี้ (ลื่อตี๋) พระนาง ฮองเฮา ในพระเจ้า ฮั่นเกาจู่ ยึดอำนาจปกครองประเทศจีน พระนางทรงมีพระราชโองการพระราชทานหญิงสาวชาววังให้เป็นนางกำนัลแก่เจ้าเมืองขึ้นต่าง
ๆ หนึ่งในนางกำนัลที่ร้องไห้มากที่สุดชื่อ โต้วจี เธอตั้งใจแล้วว่าเป็นตายร้ายดีอย่าไรเธอจะไม่ยอมไปดินแดน ไต้ อันกันดารและห่างไกลความเจริญ เธอได้ขอร้องอ้อนวอนขันทีนี้ที่ควบคุมราชรถช่วยส่งเธอไปยังเมือง เจ้ากว๋อ แต่เจ้าขันทีน้อยไฉยจะยอมทำตามด้วย ด้วยพระราชโองการนั้นหนักแน่นยิ่งกว่าขุนเขามหาสมุทร

พระนางโต้วจีพื้นแพดั้งเดิมเป็นชาวเมือง กวนจิน (กวงเกีย) ปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง อู่ยิ (บู่อิบ) กำพร้าบิดาแต่เด็ก ครอบครัวยากจนแร้นแค้น มีเพียงพี่ชายคนหนึ่งกับน้องชายอีกคนผ่านชีวิตไปวัน ๆ หลายปีก่อนทางพระราชสำนักจัดให้มีการคัดเลือกสาวงามเข้าพระราชวัง เธอเป็นหนึ่งในสาวงามที่ถูกคัดเลือก จึงถูกส่งตัวเข้าวัง และถูกพระราชทานเป็นนางกำนัลของเจ้าหัวเมือง แต่เธอจากครอบครัวมานาน รู้สึกคิดถึงพี่ชายและน้องชายมาก เธอจึงถือโอกาศนี้ติดสินบนจ้างขันทีเฒ่าผู้มีหน้าที่จัดนางกำนัลส่งไปยังวังเจ้าต่าง
ๆ ส่งเธอไปยังถิ่นที่เกิดของเธอ แต่คาดไม่ถึงว่าขันทีงี่เง่าหลงเขียนรายชื่อของเธอส่งไปยังดินแดน ไต้กว๋อ เมื่อออกเป็นพระราชโองการจึงไม่สามารถแก้ไขได้ เธอจึงได้ฟูมฟายร้องไห้ถูกส่งตัวขึ้นราชรถไป

เมื่อราชรถขับถึงเมือง จิ้นเอียนเฉิน (จิ้งเอี่ยงเซีย) เมือหลวงของดินแดน ไต้กว๋อ เธอได้ถูกส่งตัวไปยังวังของเจ้า ไต้หวาง เจ้า หลิวเฮง พินิจพิจารณานางกำนัลทั้งห้า รู้สึกว่าสวยงามกว่าหญิงชาววังของพระองค์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนทางเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาง โต้วจี ผิวพรรณผุดผ่อง หน้าตาคมคายสวยงามกว่าเพื่อน จึงเลือกนาง โต้วจี เป็นคู่เขนยในคืนวันนั้นเอง ตั้งแต่นั้นมาสนม โต้วจี ก็เป็นที่โปรดปรานของเจ้า ไต้หวาง ไม่นานพระนางจึงให้กำเนิดพระธิดาเจ้าหญิง หลิวเพี่ยว (เล่าเพี้ยว) และให้กำเนิดแก่องค์ชาย หลิวจี้ (เล่าคี่) และองค์ชาย หลิวอู่ (เล่าบู้) ตามลำดับ บัดนี้ฐานะของพระนางเพียงรองพระชายาเท่านั้น

เจ้า ไต้หวาง หลิวเฮง เป็นพระราชโอรสของพระเจ้า หลิวปัน ที่ทรงบังเกิดจากพระสนมป๋อจี (เปาะกี) พระสนม ป๋อจี เดิมทีเป็นสนมของเจ้า ซีเว่ยหวาง (ไซงุ่ยอ้วง) เว่ยเป้า (งุ่ยป่า) ของเจ้า ฉู่ป้าหวาง เมื่อเจ้า ซีเว่ยหวาง ถูกพระเจ้าหลิวปัน โค่นลง นางสนมนมในของเจ้า เว่ยเป้า ก็ถูกพระเจ้า หลิวปัน ขนย้ายมาสู่พระราชสำนัก ฮั่น

พระสนม ป๋อจี มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า หลิวปัน เพียงครั้งเดียวก็ถูกทอดทิ้งตามวิถีทางของหญิงสาวชาววังทั่ว ๆ ไป โชคพระนางยังดีที่พระนางก็ยังให้กำเนิดแก่เจ้า หลิวเฮง จึงได้อาศัยบารมีของโอรส อาศัยใต้ร่มชายคาของพระราชสำนักต่อไป แต่พระเจ้า หลิวปัน หาได้ทรงโปรดปรานพระนางสองแม่ลูกต่อไปไม่
ต่อเมื่อพระเจ้า หลิวปัน เสด็จสวรรคต พระนาง ลวี่ฮองเฮา ขึ้นเถลิงอำนาจ พระนางทรงเห็นอกเห็นใจและทรงเมตตาต่อพระสนม ป๋อจี พระนางจึงโปรดให้พระสนม ป๋อจี ตามเสด็จไปดูแลเจ้า ไต้หวาง หลิวเฮง ที่ดินแดน ไต้กว๋อ

พระสนม ป๋อจี และพระราชโอรสน่าจะเป็นผีเป็นเจ้าที่เฝ้าอยู่ที่ดินแดน ไต้กว๋อ แต่ด้วยเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงกลับกลายเป็นโชคลาภวาสนา คือเมื่อปี พ.ศ. 364 พระนาง ลวี่ฮองเฮาเสด็จสวรรคต ราชสำนักที่นครฉานอันได้ส่งข้าหลวงผู้หนึ่งมากราบทูลเจ้าไต้หวางเป็นความลับว่า มหาอำมาตย์ เฉินผิน (ตั้งเพ้ง) และอำมาตย์ โจวเป๋อ (จิวป๊วก) สามารถโค่นล้มอำนาจของตระกูล ลวี่ เรียกอำนาจกลับคืนมาสู่ตระกูล หลิว ได้สำเร็จ จึงได้ใช้อำนาจของมหาอำมาตย์ผู้สำเร็จราชการ มาอันเชิญเจ้า ไต้หวาง เสด็จสู่นคร ฉานอานเป็น ฮ่องเต้ ปกครองประเทศ
เจ้าไต้หวาง ทรงตกพระทัยไม่เชื่อว่าเป็นความจริง พระองค์ทรงปรึกษาพระสนม ป๋อจี พระราชมารดา พระสนมป๋อจี ทรงรู้ถึงความร้ายกาจการอิจฉาริษยา การชิงดีชิงเด่นแย่งชิงอำนาจในพระราชสำนักมาก่อน พระนางยังไม่อาจทรงตัดสินพระทัย ยังทรงใช้พระอนุชาของพระนางชื่อ ป๋อเจียว (เปาะเจียว) ลักลอบเข้าไปสืบราชการลับฟังเรื่องราวที่นครหลวง ฉานอัน ป๋อเจียว ได้ไต่ถามเรื่องราวจากอำมาตย์ โจวเป๋อ ๆ จึงเล่าความจริงให้ฟังทุกประการ

เพื่อความอยู่รอด ความเจริญของประเทศ ได้มีการพิจารณาเลือกเจ้าต่างเมืองที่มีเชื้สายพระราชตระกูล แซ่หลิว ผู้หนึ่งขึ้นมา เป็นฮ่องเต้ ปรากฏว่าเจ้าต่างเมือง หลิวเฮง มีความเหมาะสมที่สุดด้วยเหตุผลแตกต่างกันดังนี้
ประการที่ 1 ในบรรดาพระโอรสทั้งแปดเชื้อสายของพระเจ้าหลิวปัน อันมี จ้าฮุ่ยหนานหวาง (ฮ่วยน่ำอ้วง) หลิวฉาง (เล่าเชี้ยง), และเจ้า ไต้หวาง หลิวเฮง, ที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่
ประการที่ 2 เจ้า ไต้หวาง ประกอบด้วยคุณธรรม เป็นที่เลื่องลือทั้งในและนอกพระราชสำนัก
และประการที่ 3 พระราชมารดา ป๋อจี มีตระกูลต่ำต้อยเสงี่ยมเจียมตัว ไม่มีพระญาติมีตำแหน่งเป็นใหญ่ในแผ่นดิน จึงไม่เป็นที่หวั่นเกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยดังเช่นตระกูล แซ่ลวี่


เมื่อ ป๋อเจียว กลับมายังดินแดน ไต้กว๋อ กราบทูลความจริงทั้งหมดให้เจ้า ไต้กว๋อฟัง เจ้า ไต้กว๋อ ทรงวางพระทัย ทรงเสด็จด้วยราชรถไปยังนคร ฉานอาน เมื่อเดือน 9 ในปีเดียวกัน เจ้า หลิวเฮง ถูกสถาปนาเป็นฮ่องเต้ เมื่อไม่นานมานี้มหาอำมาตย์ เฉินผิน ได้เปิดประชุมลับกับบรรดาขุนนางอำมาตย์ผู้ใหญ่ชั้นบริหารที่ท้องพระโรง เว่ยเอียนเตี้ยน ที่ประชุมได้มีมติตกลงกันว่า ให้อันเชิญเจ้า ไต้กว๋อ หลิวเฮง เป็นฮ่องเต้ ทรงพระนามว่าพระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ (ฮั้งบุ่งตี่) พระองค์เป็น ฮ่องเต้ ที่ทรงพระนามในประวัติศาสตร์จีน เนื่องจากกรณี เหวินจิ่น (บุ่งเก้ง) ได้เริ่มขึ้น ทำให้ประเทศจีนก้าวสู่ความรุ่งเรือง พระองค์ทรงทำนุบำรุงประเทศ บ้านเมืองว่างจากการศึกและการจลาจล ประชาราษฎรร่มเย็นอยู่เย็นเป็นสุข พระองค์เองก็ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ประหยัดมัดทะยัด ไม่ทรงสุรุ่ยสุร่าย

ศักราชพระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ปีที่ 1 พ.ศ. 365 เมื่อฤดูใบไม้ผลิตบรรดาขุนานนางอำมาตย์ทั้งหลายยื่นถวายฎีกาให้พระองค์ทรงแต่งตั้งพร
ะราชทายาท ขณะนั้นพระราชชายาของพระองค์ หวางเฟย (เฮ่งฮุย) ได้ถึงแก่พิราลัยไปแล้ว พระโอรสทั้ง 4 ที่ล้วนบังเกิดจากพระนางก็ล้วนแต่สิ้นพระชนม์ไปด้วย จึงเหลือเพียงแต่พระราชโอรสองค์โตเจ้าชาย หลิวจี้ และพระราชโอรสองค์เล็กเจ้าชาย หลิวอู่ ของพระสนม โต้วจี เจ้าชาย หลิวจี้ ได้รับการสถาปนาเป็นองค์ชายรัชทายาทตามโบราณราชประเพณี ต่อมาไม่นานโดยอาศัยพระบารมีของลูก พระสนม โต้วจี ก็ได้รับการสถาปนาเป็น ฮองเฮา โดยพระราชโองการของพระนาง ป๋อจี ฮองไทเฮา

ต่อมาไม่กี่วันพระนาง โต้วฮองเฮา ทรงขอให้พระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ทรงส่งขุนนางไปสืบเสาะครอบครัวของพระนาง ได้พบพระเชษฐาของพระนาง โต้วฉางจวิน (โตวเชี่ยงกุง) มาเข้าเฝ้าพระนาง เมื่อพี่น้องได้พบหน้ากันต่างร้องไห้กันเป็นวรรคเป็นเวร พระนางจึงถามพระเชษฐาว่า พระอนุชา โต้วเส้าจวิน (โตวเสี้ยวกุง) ไปอยู่ ณ หนใด โต้วฉางจวิน กราบทูลว่า เมื่อไม่กี่ปีมานี้ โต้วเส้าจวิน ได้เดินทางออกจากหมู่บ้านไป ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีแต่อย่างใด พระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ได้มีรับสั่งปิดประกาศไปทั่วประเทศ ให้พระอนุชา โต้วเส้าจวิน มาเข้าเฝ้า วันหนึ่งมีใบบอกแจ้งมาว่า พระอนุชา โต้วเส้าจวิน ได้เดินทางมารอที่หน้าประตูนคร ฉานอาน แล้วเพื่อรอเฝ้าพระเชษฐภคิณี พระนาง โต้วฮองเฮา ทั้งทรงหวัดหวั่นทั้งทรงดีพระทัย ทรงเสด็จออกท้องพระโรงพร้อมด้วยพระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ต่อเมื่อมหาดเล็กขันทีเบิกตัวชายหนุ่มผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยเสื้อผ้ามอซอ อายุประมาณ 20 กว่า ๆ มาเข้าเฝ้าอ้างตัวว่าเป็น โต้วเส้าจวิน
พระนาง โต้วฮองเฮา ทอดพระเนตรเห็นว่าทรงแปลกพระพักตร์ จึงยังไม่ทรงนับญาติ พระนางทรงตรัสถามว่า
“ข้ากับน้องชายเมื่อวันที่จากกันนั้น น้องชายข้ามีอายุแค่ 4 – 5 ขวบ แต่เจ้าเติบโตเป็นหนุ่มเช่นนี้ ข้าไม่อาจจำเค้าหน้าของน้องชายได้ เจ้าจงเล่าถึงเหตุการณ์วันที่จากกันเป็นเช่นใด”


ชายหนุ่มผู้นั้นจึงเท้าความขึ้นว่า
“เมื่อตอนที่ข้าพระองค์จากกันกับพี่สาวนั้น ได้มาส่งพี่สาวพร้อมกับพี่ชายที่สถานีขนส่ง พี่สาวข้าพระองค์สงสารเห็นว่ายังเล็กอยู่เป็นห่วงว่าไม่มีใครดูแล จึงได้อาบน้ำและสระผมให้แก่ข้าพระองค์ ทั้งยังขอบริจากข้าวชามหนึ่งมาให้ข้าพระองค์รับประทาน สั่งเสียว่าเมื่อทานอิ่มแล้วจึงค่อยกลับบ้านไป”
พระนาง โต้วฮองเฮา ทรงฟังเช่นนั้น ทรงสะอึกสะอื้นเสด็จลงจากพระที่นั่งจับมือชายหนุ่มผู้นั้นไว้แน่น ทรงตรัสด้วยพระกระแสรันทดว่า
“เส้าจวิน… เป็นเจ้าจริง ๆ น้องชายของข้า”
แล้วทรงพระกรรแสงร่ำไห้ เหตุการณ์ที่สะเทือนใจเช่นนี้ ทำให้ขุนนางอำมาตย์ทั่วท้องพระโรงพลอยมีน้ำตาอาบแก้มคลอเบ้าไปถ้วนทั่ว พระเจ้า ฮั่นแหวินตี้ ทรงมีพระราชานุญาติให้พี่น้อง ฉางจวิน และ เส้าจวิน พักอาศัยอยู่ในพระราชวัง อีกทั้งยังทรงพระราชทานที่ทางบ้านเรือนคนใช้ชายหญิงให้แก่พี่น้องทั้งสองได้ร่วมกันเ
สวยสุขพร้อมกับ ฮองเฮา

เหตุการณ์เช่นนี้เป็นที่หวาดหวั่นของอำมาตย์เก่าแก่ โจวเป๋อ และ กวนอิน (ก่วงอิง) ด้วยเกรงว่าพระญาติของฮองเฮาจะก่อการแย่งชิงพระราชอำนาจ ก่อการจลาจลดั่งเช่น ฮองเฮา ในอดีต อำมาตย์ทั้งสองจึงได้มีฎีกาถวายเตือนสติพระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ๆ ทรงรับทราบถึงความร้ายกาจของพระนาง ลวี่ฮองเฮา จึงทรงระงับการแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ ทั้งสิ้นแก่พี่น้องตระกูล แซ่โต้ว ต่อเมื่อถึงรัชสมัยพระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ โต้วเส้าจวิน ได้รับพระราชทานความดีความชอบเพียงแค่ โฮ่ว (โฮว)

ฤดูใบไม้ร่วงในรัชสมัยพระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ปีที่ 3 พ.ศ. 367 ที่ชนบทนอกเมืองของนคร ฉานอัน มีป่าไม้สวนหย่อมเป็นบริเวณที่ร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อนเที่ยวชมธรรมชาติ พระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ทรงเสด็จนำพระนาง โต้วฮองเฮา พร้อมด้วยพระสนม เสิ่นฟูเหยิน (ซิ่มฮูยิ้ง) ตามเสด็จประพาส พระสนม เสิ่นฟูเหยิน เป็นหญิงงามชาวเมือง ฮั่นตัง (ฮ่ำตัง) ปัจจุบันคือเมือง ฮั่นตัน ในมณฑลเหอเป่ย เป็นหญิงงามมีเสน่ห์ มีความสามารถทางร้องรำทำเพลงเล่นคนตรี พระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ทรงโปรดปรานพระสนมนี้ จึงทรงค่อยห่างจากพระนาง ฮองเฮา ของพระองค์ เนื่องจากว่า โต้วฮองเฮา มีพื้นแพมาจากตระกูลผู้ยากไร้ แต่โชควาสนาหรือบุญกรรมในอดีตที่พระนางสั่งสมมา บันดาลให้พระนางมีตำแหน่งอันสูงส่งเหนือสตรีทั้งประเทศ พระนางจึงทรงเสงี่ยมเจียมตัว ปฏิบัติหน้าที่ของฮองเฮาด้วยความระมัดระวัง ไม่ทรงอิจฉาขี้ระแวงหรือชิงดีชิงเด่นกับผู้ใดทั้งสิ้น ผิดกับพระสนม เสิ่น ที่คอยตีตนเสมอพระนางตลอดเวลา
วันเวลาดังกล่าว ฮ่องเต้ ฮองเฮา และพระสนม เสด็จประพาสอุทยานเป็นเวลากว่าครึ่งค่อนวัน พนักงานดูแลรับผิดชอบของอุทยานได้จัดงานเลี้ยงถวาย ฮ่องเต้ พระสนม เสิ่น ด้วยพระอุปนิสัยที่เคยชินตีตนเสมอ ฮองเฮา ตลอดเวลา พระนาง ฮองเฮา เสด็จเดินเหิรและประทับที่ตรงไหน พระนางก็เสด็จเดินเหิรและประทับที่ตรงนั้น เป็นการผิดระเบียบธรรมเนียมพระราชประเพณีอย่างยิ่ง ขุนนาง หยวนเอง (ง่วงอ่ง) ได้จัดพระที่นั่งสำหรับ ฮ่องเต้ ฮองเฮา และพระสนมตามลำดับยศศักดิ์ แต่พระสนม เสิ่น ทรงถือวิสาสะไปประทับพระที่นั่งสำหรับ ฮองเฮา หยวนเอง จึงได้อันเชิญเสด็จพระสนมไปประทับยังพระที่นั่งซึ่งอยู่ต่ำกว่า พระสนม เสิ่น ทรงพระโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ทรงยอมประทับ บริภาษขุนนางหยวนว่าไหมความว่ายังไง พระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ก็ทรงพระโกรธ พระองค์ไม่ทรงตรัสว่าประการใด ทรงจูงมือพระสนม เสิ่น ตามเสด็จกลับเข้าวัง พระนาง โต้วฮองเฮา ทรงจำพระทัยตามเสด็จเข้าวังไปด้วย เป็นอันว่างานเสด็จประพาสอุทยานอันแสนสุขวันนั้นก็สดุดจบสิ้น


ขุนนาง หยวนเอง เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์เถรตรงเคร่งครัดในพระราชประเพณี ซึ่งพระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ก็ทรงรู้ดี นอกจากไม่ทรงเอาโทษต่อขุนนาง หยวน แล้ว ยังทรงเลื่อนยศขุนนางตามความดีความชอบ ขุนนาง หยวนเอง เห็นว่าพระสนม เสิ่น ปฏิบัติไม่ถูกต้องตามโบราณราชประเพณี จึงตั้งใจจัดงานตักเตือนพระนางและ ฮ่องเต้ ดังนั้นในคืนวันเดียวกันนั่นเอง ขุนนาง หยวนเอง จึงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ กราบทูลว่า
“เท่าที่กระหม่อมกระทำในวันนี้ ก็เพื่อรักษาโบราณพระราชประเพณีโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ ฟ้ามีเบื้องสูง ดินมีเบื้องต่ำ ทุกอย่างจึงต้องมีแยกแยะ เพื่อประเทศชาติและราชวงศ์อยู่ยั้งยืนยง ประชาราษฎร์สมัครสมานร่วมใจกันรักใคร่สามัคคี ทุกวันนี้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งพระนาง ฮองเฮา ซึ่งมีเกียรติ์เป็นหญิงสูงสุดของประเทศ แต่ในเมื่อพระสนม เสิ่น มาตีตนเสมอกับ ฮองเฮา นอกจากเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติแก่ ฮองเฮา แล้ว จารีตประเพณีแต่โบราณก็พลอยเสื่อมเสียไปด้วย หากฝ่าบาททรงรักใคร่พระสนม เสิ่น เสมอด้วย ฮองเฮา ทำไมฝ่าบาทไม่ทรงตั้งพระยศของพระสนม เสิ่น เทียบเท่า ฮองเฮา ฝ่าบาททรงจำเหตุการณ์กรณีมนุษย์สุกรได้ไหมพะย่ะค่ะ”
เมื่อกล่าวถึงกรณีมนุษย์สุกร พระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ทรงมีพระสีหน้าถอดสี พระองค์ทรงเข้าพระทัยคำเพ็ดทูลตักเตือนของขุนนาง หยวน ทุกประการ พระองทรงเสด็จไปยังพระตำหนักของพระสนม เสิ่น ตรัสเล่าความทั้งหมดของขุนนาง หยวน ให้พระสนม เสิ่น ฟังทุกประการ พระสนม เสิ่น เป็นผู้ที่มีความคิดอ่านมีสติปัญญา ทรงเห็นว่าคำกราบทูลของขุนนาง หยวนนั้นถูกต้องทุกประการ พระนางจึงทรงใช้คนสนิทนำทองคำ 50 ตำลึงไปมอบให้ขุนนางหยวน เป็นรางวัลการเตือนสติพระนาง

วันหนึ่งฟ้าสะหลัว พระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ทรงนำเสด็จพระสนม เสิ่น ประพาสอุททยาน พระองค์ทรงพระราชรถเอง ทรงขับพระราชรถมาถึงสะพานแห่งหนึ่ง พระองค์ทรงชักนำพระสนม เสิ่น ชมนกชมไม้ ธรรมชาติงดงาม กิ่งหลิวอ่อน ๆ ห้อยย้อยริมตลิ่ง เป็นที่คลืบคลื้มแก่ผู้พบเห็น พระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ทรงชี้ไปที่หนทางเล็ก ๆ ข้างหน้าตรัสแก่พระสนมเสิ่น ว่า จากทางนี้ไปข้างหน้าก็จะถึงเมือง ฮั่นตัน บ้านเกิดเมืองนอนของพระสนม เสิ่น พระองค์ทรงใช้มหาดเล็กคนหนึ่งนำพิณ พี่ผา (ปี่แป้) เป็นพิณจีนคล้ายกีร์ต้า แต่รูปทรงกลมมนกว่า ให้พระสนม เสิ่น ดีดเล่น แล้วพระองค์ก็ทรงร้องเพลงคลอตาม ทั้งคู่อยู่ในจินตะอารมณ์มีความสุขยิ่งนัก เมื่อเสียงเพลงและดนตรีจบลงด้วยความชื่นมื่น ทันใดนั้นมีชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งออกจากเชิงสะพาน พระองค์ทรงตกพระทัย บรรยายกาศที่มีความสุขกับพระสนมเสิ่น หายไปหมดสิ้น พระองค์ร้องสั่งให้มหาดเล็กนำชาวบ้านดังกล่าวไปให้ขุนนางยุติธรรมชำระความ ขุนนาง จางเจ๋อ (เตียเจ็ก) จึงลงโทษปรับเงินชาวบ้านผู้นั้น พระเจ้า หลิวเฮง ทรงเรียกขุนนาง จางเจ๋อ มาตรัสถามว่า
“ชาวบ้านผู้นั้นทำให้ข้าตกใจ เหตุไฉนจึงไม่ลงโทษประหารชีวิต”
ขุนนางจางเจ๋อเป็นคนที่มีความยุติธรรมและรักความเที่ยงธรรม ได้กราบทูลว่า
“กฎหมายนั้นฟ้าซึ่งพระองค์ผู้เป็นโอรสสวรรค์เป็นผู้ลิขิต ฟ้าเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา และใต้เหล้าซึ่งมีพวกกระหม่อมเป็นข้าทาสสนองปฏิบัติ หากกระหม่อมลงโทษแก่ชาวบ้านซึ่งมีโทษเพียงเล็กน้อย เป็นโทษหนักถึงประหารชีวิต เมื่อความรู้ไปทั่วแผ่นดินการครหาก็จักบังเกิดแก่พระองค์ผู้เป็น ฮ่องเต้ ที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาพะย่ะค่ะ”
เมื่อพระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ทรงสลับฟังขุนนาง จางเจ๋อ กราบทูลเช่นนี้ ทรงพระนิ่งอึ้งด้วยจนในเหตุผล


เมื่อข่าวนี้เลื่องลือไปทั่วนครฉานอาน พระนาง โต้วจีฮองเฮา ทรงรำลึกถึงด้วยว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ ฮ่องเต้ พระราชสวามีของพระนางยังไม่ทรงปฏิบัติต่อพระนางด้วยความรักอันซาบซึ้งดังเช่นที่พระอ
งค์ทรงปฏิบัติต่อพระสนม เสิ่น พระนางทรงรู้สึกน้อยพระทัยแต่ก็ทรงคิดได้ว่า ความรักของ ฮ่องเต้ นั้นเปรียบเสมือนสายน้ำไหลไปแล้วไม่มีการไหลกลับ พระนางจึงทรงทุ่มแทความรักทั้งหมดของพระนางไปยังบรรดาโอรสและธิดาของพระนาง แต่ความรักที่เหลือเฟือของพระนางกลับเพาะบ่มพระนิสัยที่ไม่ดีแก่องค์รัชทายาท หลิวจี้ (เล่าคี่) และพระอนุชาซึ่งมีตำแหน่งเป็นเจ้า ไต้หวาง (ต่ออ้วง) หลิวอู่ (เล่าบู้) ทรงเกะกะเป็นอันธพาลอยู่ภายในนครฉานอาน ทรงเล่นการพนัน ทะเลาะวิวาทต่อยตีผู้คน โปรดการแข่งม้าแข่งสุนัข ข่มแหงรังแกขืนใจลูกเมียชาวบ้าน อันเป็นขัดต่อกฎหมายกฎราชมณเฑียรบาลอยู่เป็นนิจ พระราชทายาททรงก่อคลีสะเทือนขวัญอันเป็นโทษต่อพระราชสำนักคือ

เจ้าอู๋หวาง (โง่วอ้วง) หลิว... (เล่าพี่) พระราชนัดดาของพระเจ้าหลิวปัง เป็นใหญ่ทางดินแดนตะวันออกเฉียงใต้ที่อุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรอันเป็นแร่ทองแดงจำนวนมหาศาล เจ้า อู๋หวาง มีกำลังอำนาจร่ำรวยมีเงินทองจากการเก็บภาษีและค่าภาคหลวงจากการทำเหมืองทองแดง นอกจานี้ยังมีการทำนาเกลือจากน้ำทะเลอันมีค่าอีกจำนวนมาก เจ้า อู๋หวาง จึงไม่ค่อยเคารพให้ความยำเกรงแก่พระเจ้าอาซึ่งเป็นพระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ฮ่องเต้ สิบกว่าปีที่ผ่านมาเจ้าหลิว... ไม่เคยเสด็จไปเข้าเฝ้า ฮ่องเต้ ต่อมาทรงสำนึกได้ว่าเป็นการผิดธรรมเนียมโบราณราชประเพณีมีโทษหนัก จึงได้ส่งโอรสซึ่งเป็นทายาท หลิวเสียน (เล่า...ง) ไปที่นคร ฉานอาน เข้าเฝ้าไต่ถามทุกข์สุขกับฮ่องเต้ ครั้นเสร็จจากราชกิจทรงคบเป็นพระสหายท่องเที่ยวกับองค์รัชทายาท หลิวจี้ อยู่หลายวัน

วันหนึ่งทรงเล่นหมากรุกกับองค์รัชทายาทที่พระตำหนัก จงกง (ตังเกง) พระตำหนักตะวันออกขององค์รัชทายาท เบื้องหลังขององค์รัชทายาทมีคนสนิทราชองค์รักษ์ขององค์รัชทายาทจับกลุ่มดูการเล่นหมา
กรุก ส่วนเบื้องหลังเจ้า หลิวเสียน ก็มีสมุนผู้ติดตามยืนชะเง้อดูอยู่เหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างช่วยกันเชียร์การเล่นหมากรุกของเจ้านายตน เมื่อเล่นมาตอนหนึ่งองค์ชาย หลิวจี้ ทรงเดินหมากพลาดไปตาหนึ่ง เจ้า หลิวเสียน จึงเสียบหมากรุกฆาต ทำให้หมารุกระดานนี้ทำท่าฝ่ายองค์ชาย หลิวจี้ จะแพ้ องค์ชาย หลิวจี้ จึงทรงขอแก้ตัวเดินหมากตานั้นใหม่ แต่เจ้า หลิวเสียน ทรงถือฐิถิถือความได้เปรียบของหมากตานั้นจึงไม่ทรงยอม องค์ชาย หลิวจี้ ทรงพระโทษะอย่างรุนแรง ทรงลืมพระองค์ทรงคว้าหมากรุกทั้งกระดานขึ้นมาฟาดไปที่พระเศียรของเจ้า หลิวเสียน อย่างแรง เจ้า หลิวเสียน ไม่ทันตั้วตัวจึงถูกกระดานหมากรุกฟาดพระเศียรจนเลือดและเศษมันสมองกระจายตายคาที่

เมื่อข่าวนี้ทรงทราบถึงพระกรรณของพระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ พระองค์ทรงดำริทำโทษพระโอรสด้วยการถอดออกจากตำแหน่งรัชทายาท เพื่อผ่อนความโกรธแค้นของเจ้า หลิว... แต่เมื่อพระนาง โต้วจีฮองเฮาทรง พระวิงวอนขอร้องด้วยน้ำพระเนตรอาบเต็มพระพักตร์ พระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ก็ทรงพระทัยอ่อน ทรงทอดถอนพระทัย ดังนั้นองค์ราชทายาทนอกจากไม่ทรงถูกถอดถอนแล้ว แม้แต่พระราชอาญาแม้นเพียงปลายพระนะขาก็ยังไม่ถูกแตะต้อง
พระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ ทรงโปรดให้จัดการปลงพระศพของเจ้า หลินเสียน อย่างสมพระเกียรติ แล้วส่งโลงบรรจุพระศพไปให้เจ้า หลิวปี พระบิดาของเจ้า หลิวเสียน แต่เจ้า หลิว... ไม่ยอมรับ พระเจ้า ฮั่นหวินตี้ จึงทรงจำพระทัยโปรดให้ฝังพระศพของเจ้า หลิวเสียน ที่นคร ฉานอาน นี่จึงเป็นสาเหตุให้เกิดกรณีขบถจลาจลของเจ้าเมือง อู๋ และเจ้าเมือง ฉู่ (ช่อ) รวม 7 หัวเมือง ในรัชการของ ฮ่องเต้ องค์ต่อมา นักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าเจ้า อู๋ หลิว... เป็นกบฏหมายแย่งบัลลังก์ แต่เจ้า อู๋ ทรงต้องการแก้แค้นให้แก่พระโอรสมากกว่า

หลงรักลูกงมงาย แม้ตายไม่ปล่อยวาง

ศักราช โฮ่วหยวน (เอ่าง้วง) ปีที่ 7 ในรัชสมัยพระเจ้า ฮั่นเหวินตี้ พ.ศ. 387 พระเจ้า หลิวเฮง เสด็จสวรรคต องค์รัชทายาท หลิวจี้ เถลิงราชสมบัติเป็น ฮ่องเต้ ทรงพระนามว่าพระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ ทรงแต่ตั้งพระนาง โต้วจี พระราชมารดาเป็นพระนาง ฮองไทเฮา ต่อมาอีก 2 ปี พระนาง ป๋อไท่ฮองไทเฮา เสด็จสวรรคต พระนาง โต้วจี จึงเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของพระราชสำนัก พระอุปนิสัยของพระนางเริ่มเปลี่ยนไป จาก ฮองเฮา ที่ทรงเป็นธรรม เจียมตนสงบเสงี่ยมประหยัดมัดทะยัด กลายเป็นพระนาง ฮองไทเฮา ที่เห็นแก่พระองค์เป็นใหญ่ หลงไหลในพระราชอำนาจ พระนางทรงรักใคร่เอ็นดูเจ้า หลิวอู่ พระราชโอรสองเล็กมากกว่าพระเจ้า หลิวจี้ พระราชโอรสองค์โตซึ่งเป็น ฮ่องเต้

เมื่อพระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ ครองราชย์เป็นปีที่ 3 พระอนุชา หลิวอู่ ซึ่งเดิมทีมีพระยศเป็นเจ้า ไต้หวาง ทรงโปรดให้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้า เว่ยอินหวาง (ฮ่วยอิมอ้วง) ได้รับพระราชทานข้าวของเงินทองตลอดทั้งที่ทางอีกมากมาย และได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้า เหนียนหวาง (เนี่ยอ้วง) ก็ยังได้รับพระราชทานข้าวของและที่ทางอีกจำนวนมาก พระองค์ร่ำรวยมหาศาลมิอาจนับคำนวณได้

แต่พระนางโต้วจีก็ยังทรงเป็นห่วงพระโอรสองค์เล็กว่าเป็นเป็นแค่เจ้าหัวเมือง เปรียบกับพระโอรสองค์โตที่เป็นถึง ฮ่องเต้ ไม่ได้

วันหนึ่งเจ้า เหนียนหวาง ทรงจัดให้มีงานเลี้ยงในวัง พระนาง โต้วจี ทรงเห็นพระโอรสทั้ง 2 พระองค์นั่งโต๊ะเสวยร่วมกัน ทรงตรัสปรารภขึ้นมาเปรย ๆ ว่า
“คนหนึ่งมีบุญเป็นถึงฮ่องเต้ แต่อีกคนหนึ่งเป็นเพียงเจ้าหัวเมืองธรรมดา”
พระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ ทรงฟังพระมารดาตรัสด้วยความกลุ้มพระทัยเช่นนี้ ด้วยทรงพระกตัญญู จึงทรงเสด็จลุกขึ้นพร้อมด้วยถ้วยสุราจอกหนึ่ง พลางดึงพระกรของพระอนุชาขึ้นมาตรัสว่า
“เอาเถอะ.. ต่อไปข้าจะมอบตำแหน่งฮ่องเต้ให้กับเจ้า”

เจ้า หลิวอู่ ทรงตกพระทัยทั้งกลัวทั้งดีพระทัย กำลังจะก้มตัวคุกเข้าเพื่อน้อมรับพระราชโองการ ทันใดนั้น โต้วอิน (โตวเอ็ง) ขุนนางในตำแหน่งเจ้ากรมพระราชพิธีซึ่งร่วมโต๊ะเสวยอยู่ข้าง ๆ ชูจอกสุราขึ้นมากราบทูลว่า
“ตามโบราณราชประเพณีที่เคยมีมา ธรรมเนียมการสืบทอดพระราชสมบัติของ ฮ่องเต้ มีเพียงสืบทอดให้แก่พระราชโอรสองค์โตเท่านั้น หาได้สืบทอดแก่พระอนุชาไม่ พระองค์ทรงตรัสผิดแล้วพะย่ะค่ะ ข้าพระองค์ขอปรับพระองค์ด้วยสุราหนึ่งจอก ขอปรับ.. ขอปรับ พะย่ะค่า”

ด้วยคำกราบทูของขุนนาง โต้วอิน นี้เอง ทำให้พระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ ทรงฉุกคิดกลับพระทัยได้ ทรงรีบตรัสว่า
“สมควรปรับ… สมควรปรับ”
แล้วพระองค์ก็ทรงยกแก้วสุราขึ้นเสวยดื่มจนหมดจอก เป็นการจบสิ้นความปรารถนาของพระราชมารดาและพระอนุชา

แต่กรรมอันนี้กลับตกหนักอยู่ที่ขุนนาง โต้วอิน ถึงแม้ว่าขุนนาง โต้วอิน จะมีศักดิ์เป็นหลานของพระนาง ฮองไทเฮา ขุนนาง โต้วอิน รู้ตัวว่าทำตนเป็นที่ระคายเคืองแก่ ฮองไทเฮาและพระอนุชา วันรุ่งขึ้นจึงถวายฎีกาขอลาออกจาราชการต่อพระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ พระนาง โต้วฮองไทเฮา ยังทรงพระโกรธไม่หาย ทรงรับสั่งให้ขุนนาง โต้วอิน ห้ามเข้าออกมายุ่งเกี่ยวกับทางพระราชสำนักอีกต่อไป

ผ่านมาอีกหลายปี พระนาง ฮองไทเฮา ยังคงสนับสนุนเจ้า เหนียนหวาง ให้มียศศักดิ์เสมอด้วย ฮ่องเต้ ทรงรับสั่งให้ ฮ่องเต้ โปรดให้เจ้าเหนียนหวางมีสิทธิ์สร้างวังกระทำพระราชพิธิทุกอย่างเปรียบเสมือน ฮ่องเต้ ทุกประการ

หลังจากที่พระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ ทรงปราบกบฏพระเจ้าอาและเจ้า ฉู่หวาง ลงได้สำเร็จ พระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ ทรงแต่งตั้งพระโอรส หลิวหย่ง (เล่าเอว๊ง) ที่ทรงกำเหนิดจากพระสนม ลิ่จี (ลักกี) เป็นองค์ชายรัชทายาท แต่เจ้าเหนียนหวาง ก็ยังรอคอยตำแหน่ง ฮ่องเต้ พระองค์ทรงดำริว่าตราบใดที่พระนาง ฮองไทเฮา พระราชมารดายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ความหวังของพระองค์จักยังคงอยู่

ศักราช เฉียนหยวน (ไจ่ง้วง) ปีที่ 7 ในรัชสมัยพระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ พ.ศ. 394 เจ้า หลิวอู่ ทรงสดับรับฟังว่า ทางพระราชสำนักองค์รัชทายาท หลิวหย่ง ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เจ้า เหนียน จึงทรงรีบเข้าเฝ้าพระราชมารดาขอพระเชษฐา ฮ่องเต้ แต่งตั้งพระองค์เป็นพระอนุชารัชทายาท พระนางโต้วจีทรงรับปากทรงเอ่ยพระโอษฐ์ขอกับ ฮ่องเต้

ฮ่องเต้ ทรงเกรงพระทัยพระราชมารดา ทรงรับปากขอปรึกษากับเหล่าขุนนางอำมาตย์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมขุนนางอำมาตย์ บังเอิญขณะนั้นขุนนาง หยวนเอง ผู้ซื่อสัตย์และเคร่งครัดในระเบียบราชประเพณี มีความดีความชอบมาตั้งแต่ ฮ่องเต้ พระองค์ก่อน ได้รับตำแหน่งก้าวหน้ามาเป็นอำมาตย์ขุนนางผู้ใหญ่ ในที่ประชุมขุนนาง หยวนเอง ได้กราบทูลว่า
“ข้าพระองค์เห็นว่าฝ่าพระบาทไม่สมควรแต่งตั้งเจ้า เหนียนหวาง เป็นรัชทายาทพะย่ะค่ะ”
“เจ้ามีเหตุผลเป็นเช่นใดหรือ”
พระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ ทรงตรัสถาม
“พระองค์ทรงจำได้ไหมว่าในยุคสมัยชุนชิว (ชุงชิว) ที่เมืองรัฐซ่ง (ซ้อง) เจ้า ซ่งซวนกง (ซ้องซวงกง) ได้สืบทอดสมบัติให้แก่อนุชา ไม่สืบทอดสมบัติแก่โอรส เป็นเหตุให้เมืองรัฐ ซ่ง เกิดการจลาจลวุ่นวายตลอดมาหลายยุคหลายสมัย เจ้าเมืองรัฐอื่น ๆ จึงไม่มีใครกล้าสืบทอดสมบัติแก่อนุชาพะย่ะค่ะ”

พระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ ทรงฟังเช่นนั้นก็ทรงยินดีพระทัย รีบเสด็จกลับไปเฝ้า ฮองไทเฮา ทูลตามเหตุผลของอำมาตย์หยวนเอง พระนาง ฮองไทเฮา ถึงแม้จะไม่พอพระทัย แต่ทรงจนด้วยเหตุผลเรื่อจึงเลยตามเลย
เจ้า หลิวอู่ กลับบ้านเมืองที่ดินแดน เหนียน ด้วยความสิ้นหวัง เมื่อเดือน 4 ของปีนั้น พระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ ทรงโปรดให้แต่ตั้งเจ้า เจียวจงหวาง (กาตังอ้วง) หลิวเช่อ (เล่าเถียก) เป็นองค์ชายรัชทายาท เป็นการตัดสิ้นความทะเยอทะยานของเจ้าเหนียนหวาง

พระนางโต้วจีฮองไทเฮาทรงพระประสงค์อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระโอรสองค์เล็ก และเพื่อเป็นการปลอบใจเจ้า เหนียนหวาง ทรงให้ ฮ่องแต้ ก่อสร้างทางใต้ดินจากดินแดน เหนียน ทะลุไปถึงนคร ฉานอาน ฮ่องเต้ ทรงเห็นว่าจะต้องสิ้นเปลืองเงินทองและกำลังไพร่พลมหาศาล จึงทรงใช้ลูกไม้เดิมขอวางแผนปรึกษากับคณะขุนนางอำมาตย์ และก็ได้รับการปฏิเสธ

วันหนึ่งของหลายเดือนต่อมา พระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ ทรงรับทราบว่า ข้าหลวงเอก หยวนเอง และขุนนางผู้ใหญ่อีกหลายคน ถูกลอบสังหารตายอยู่ที่นอกประตูเมือง อันหลินเหมิน (อังเล่งมึ้ง) พระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ ทรงเดาว่าเป็นฝีมือของเจ้า เนียนหวาง พระอนุชาเป็นแน่ เพราะขุนนางที่ถูกสังหารนั้นล้วนแต่เป็นขุนนางที่คัดค้านการแต่งตั้งพระอนุชารัชทายา
ท ทรงให้มือปราบไปชันสูตรพิศูจย์ศพ ได้พบมีดสั้นเล่มหนึ่งที่ข้าง ๆ ศพของ หยวนเอง เป็นหลักฐานระบุว่าเป็นอาวุประจำกายของขุนนางหัวเมือง เหนียน พระองค์ทรงส่งมือปราบไปสืบสางคดีถึงเมือง เหนียน ส่วนตัวมือปราบเองรู้อยู่ว่าผู้ที่บงการเป็นตัวการอยู่เบื้องหลังคือเจ้า เหนียนหวาง เมื่อถึงเมือง เหนียน มือปราบคงไม่กล้าจับเจ้า เหนียนหวาง เพียงจับสมุนคนสนิทของเจ้า เหนียนหวาง
คือ กงซุนกุ้ย (กงซุงกุ้ย) และ หยางเสิ้น (เอี่ยเส่ง) เจ้า เหนียนหวาง ทรงวางแผนชิงเอา กงซุนก



vมังกรหลับv
#265   vมังกรหลับv    [ 21-08-2007 - 19:51:29 ]

ความรู้แน่น



fhasatumton
#266   fhasatumton    [ 21-08-2007 - 19:59:10 ]    IP: 58.9.125.177

ข้าพเจ้า กำลังจะเริ่มแต่งนิยาย ที่เกี่ยวกับ ฮั่นเหวินตี้อยู่ (เขียนไปยังเนี่ย) แต่ เนื้อเรื่อง อาจจะแตกต่งจาก อันนี้ นิดหน่อย



fhasatumton
#267   fhasatumton    [ 21-08-2007 - 21:42:28 ]    IP: 58.9.125.177

สมัยราชวงศ์ชิง เขาให้ไว้เครากันหรือเปล่าครับ ขุนนาง ไว้เคราได้ไหม ฮ่องเต้บางองค์ ของ ราชวงศ์ชิง ยังมีเคราเลย



vมังกรหลับv
#268   vมังกรหลับv    [ 21-08-2007 - 21:49:18 ]

ไม่แน่ใจนะคับ ประชาชนนี่น่าจะได้อยู่แล้วนะคับ แต่ทหารอาจจะห้าม ส่วนข้าราชการในราชสำนักคิดว่าน่าจะไว้ได้นะคับ ส่วนที่เห็นในหนังจีนนั้นที่ไม่ไว้เคราส่วนใหญ่เป็นขันที(อันนี้ไม่ต้องโกนเป็นของมันเอง) ส่วนทหารอาจจะเพื่อความเป็นระเบียบ แล้วที่เราดูในหนังมันก็คือหนังอะคับ หน้าตาดาราก็อาจดูเกลี้ยงเกลาเพื่อถ่ายทำแล้วออกมาดูดีคับ ต้องหารูปวาดพวกประวัติศาสตร์แล้วมาวิเคราะห์ดู



fhasatumton
#269   fhasatumton    [ 22-08-2007 - 13:52:34 ]    IP: 58.9.123.229

ฮั่นเหวินต้ฮ่องเต้ ทรงเป็น 1 ใน 24 ยอดลูกกตัญญู พระองค์ ทรงครองราชย์ได้ 23 ปี พระชนม์มายุ 46 พรรษา อันหลังนี้ ไปเจอมา



tee
#270   tee    [ 22-08-2007 - 14:24:14 ]    IP: 203.146.6.86

ถามเกี่ยวกับ ราชวงศ์ แมงจู ครับ ทำไมดูในหนังจียบางเรื่องผู้ชาย ต้องโกนหัวครึ่งหัวแล้วไว้หางเปีย แต่บางเรื่องไม่ต้องโกนหัวแค่รวบผมก็ไว้หางเปีย งง จริงๆ ตกลงสมัยนั้นต้องไว้ผมยังไงแน่ครับหรือไว้ได้ทั้งสองแบบ ขอบคุณครับ



vมังกรหลับv
#271   vมังกรหลับv    [ 22-08-2007 - 15:08:36 ]

เรื่องไหนมั้งอะที่ไว้ทั้งหัวแล้วไว้เปียด้วย



fhasatumton
#272   fhasatumton    [ 22-08-2007 - 17:45:27 ]    IP: 58.9.125.156

ไม่ทราบว่า ท่าน มังกรหลับ ยังอยากจะอ่าน นิยายจีน ของข้าพเจ้า อยู่หรือเปล่า (เรื่องที่แต่งไปได้ครึ่งตอน เป็นเรื่อง ที่ไม่มีอยู่จริงบนโลก จินตนาการล้วนๆ ยังไม่มีชื่อเรื่อง อย่างเป็นทางการ แต่ชื่อตอน คือ สายน้ำแห่งกาลเวลา) อยากให้ท่าน ช่วยพิจารณา แต่ ถ้าอยากอ่าน นิยายอิงประวัติศาสตร์จีน คงต้องรอหน่อย



vมังกรหลับv
#273   vมังกรหลับv    [ 22-08-2007 - 17:51:20 ]

ตั้งกระทู้ใหม่แล้วแบ่งคนอื่นอ่านมั้งก็น่าจะดี จะได้มีคนช่วยกันวิจารณ์ โพสกระทู้นี้ก็มีเราคนเดียวละมั้งที่อ่าน เท่าๆที่ดูมากระทู้นี้ก็มีแต่ผมกับท่าน fhasatumton ที่คอยตอบอะ



มือกระบี่ไร้ชื่อ
#274   มือกระบี่ไร้ชื่อ    [ 22-08-2007 - 17:54:04 ]    IP: 203.113.39.9

มีอะไรอยากจะถามผมเกี่ยวกับกระทู้นี้ไหมครับ



fhasatumton
#275   fhasatumton    [ 22-08-2007 - 17:54:45 ]    IP: 58.9.125.156

ขอบคุณท่านมังกรหลับ ข้าพเจ้า ก็คิดว่าเช่นนั้น



fhasatumton
#276   fhasatumton    [ 22-08-2007 - 18:01:00 ]    IP: 58.9.125.156

ข้าพเจ้า ได้ตั้งกระทู้แล้ว เชิญไปดูได้ เป็นเรื่องราว ที่ไม่มีอยู่จริงบนโลก จินตนาการล้วนๆ แต่มี กำลังภายใน



fhasatumton
#277   fhasatumton    [ 22-08-2007 - 19:30:36 ]    IP: 58.9.125.156

ถ้าท่านมังกรหลับ เข้าไปอ่านแล้ว กรุณาวิจารณ์ด้วยนะครับ ท่านอื่นด้วย




สำหรับคำถาม ที่จะถามท่านต่อ คือ อนุชา ฮ่องเต้ สามารถขึ้นครองราชย์ ต่อจาก ฮ่องเต้ ได้ไหม ทั้งๆที่ ยังไม่ได้แต่งตั้งรัชทายาท แต่มี ราชโรสแล้ว และ ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และ ฮ่องเต้ ได้แต่งตั้ง อนุชา เป็น ฮ่องเต้ต่อ ราชโอรส ของฮ่องเต้ สามารถ ชิงบัลลังก์ กลับคืนมาได้หรือไม่



vมังกรหลับv
#278   vมังกรหลับv    [ 22-08-2007 - 19:34:42 ]

ชิงบัลลังก์มันก็ได้อะคับ ใครมีอำนาจพอก็ทำได้ทั้งนั้นละคับ แต่การชิงบรรลังมันไม่ใช่ประเพณีนะคับ แต่ในประวัติศาสตร์จีนเกิดบ่อยมากชิงบัลลังก์รัฐประหารนี่มีประจำ



fhasatumton
#279   fhasatumton    [ 23-08-2007 - 19:39:52 ]    IP: 58.9.132.52

ท่านคิดว่า ความรักระหว่าง ซุ่นจื้อฮ่องเต้ กับ สาวชาวฮั่นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า (ชื่ออะไรก็ไม่รู้ ประวัติศาสตร์ ไม่ได้บอกเอาไว้) และ พระมารดาของ องค์ชาย 4 คิดว่า เป็น ชาวฮั่น หรือ ชาวแมนจู



พู่กันจีน
#280   พู่กันจีน    [ 23-08-2007 - 22:35:25 ]    IP: 61.7.133.218

คารวะท่านมังกรหลับ และชาวยุททุกท่าน ผู้น้อยซาบซึ้งในความรู้ความสามารถของท่าน ข้าอยากทราบว่า ก่อนที่จะสอบจอหงวน ต้องศึกษาวิชาใดบ้าง



ตอบกระทู้
ชื่อ
รหัส กรอกตัวอักษร ตามภาพ
ข้อความ


emo-smile emo-happy emo-lol emo-enjoy emo-kiku emo-cool emo-hoho emo-drool emo-hungry emo-kiss emo-sorry emo-sad emo-cry emo-tear emo-question emo-doubt emo-shock emo-redface emo-plz emo-peevish emo-angry emo-moody emo-sneer emo-makefaces emo-good emo-touched emo-love emo-bore emo-tired emo-vomit
bold italic underline img link superscript subscript size color space justifyleft justifycenter justifyright quote box youtube