ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง มีเกิดย่อมมีดับ
ไม่มีสิ่งใดคงทนตลอดกาล
สิ่งที่ดีที่สุดในยุคหนึ่ง อาจใช้ไม่ได้ในอีกยุคหนึ่ง
การปกครองสมัยถังก็เช่นกัน มีข้อดี ก็มีข้อเสีย
หากจะว่าไป ระบบการปกครอง "แทบทั้งหมด" ของราชวงศ์ถัง โดยเฉพาะตอนต้น จนถึงยุคของถังเสวียนจงนั้น "ลอก" มาจากราชวงศ์สุยล้วนๆ
ไม่ว่าจะเป็นระบบแบ่งที่นา ระบบเก็บภาษี ระบบสอบขุนนาง ระบบการปกครองแบบ ๓ เสิ่ง ๖ ปู้ ๙ ซื่อ ๕ เจี้ยน ๑ ถาย เรียกว่า copy มาแทบทั้งดุ้น
ระบบพวกนี้นั้นดี แต่เมื่อใช้ไปนานๆ ข้อเสียก็ค่อยๆเกิด มันไม่ได้เกิดที่ระบบ แต่เกิดที่คนนำไปปฏิบัติ
ในยุคของหลี่ซื่อหมิน เป็นยุคที่ระบบต่างๆเหล่านี้อยู่ในช่วงที่กำลังดำเนินไปอย่างราบลื่น เพราะตัวหลี่ซื่อหมินเองรู้จักใช้คน
แต่เมื่อเวลาล่วงไป แค่ถึงยุคของถังกาวจง ลูกหลี่ซื่อหมินเอง ปัญหาก็เริ่มเกิด
ที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ ระบบการเก็บภาษีและเกณฑ์ทหารโดยอิงระบบการแบ่งที่นาอันมีรายละเอียดดังนี้
ทางการจะแบ่งที่นาให้ชายหญิงทุกคนที่บรรลุนิติภาวะทำการไถหว่าน ที่นานี้มีทั้งนาข้าวและนาหม่อน จากนั้นก็จะเก็บภาษีตามสัดส่วนของที่นาที่ได้รับแบ่ง(อาจจะมีการอนุโลมแปรผันตามคุณภาพดิน) แล้วใน ๑ ปี ชายฉกรรจฺจะถูกเกณฑ์แรงงานประมาณ ๑ เดือน(จำนวนจำไม่ได้แน่ชัด แต่ประมาณนี้) ใน ๑ เดือนนี้ อาจจะโดนเกณฑ์ไปเป็นทหารประจำชายแดน ประจำถิ่นต่างๆ หรือเป็นแรงงานก่อสร้าง แต่ที่สำคัญคือ "เสื้อผ้า เสบียง และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ผู้ถูกเกณฑ์ต้องออกเองหมด" เพื่อเป็นการลดภาระด้านรายจ่ายของประเทศ
ข้อเสียของระบบนี้สำหรับประชาชนคือ ทำให้ประชาชนต้องรับภาระค่าใช้จ่ายหนักมาก โดยที่ทางการถือว่า ได้แบ่งที่นาให้ไปแล้ว(ดูเหมือนคนที่ถูกเกณฑ์จะได้รับเว้นภาษี แต่ผู้หญิงก็ต้องเสียภาษีด้วย)
ข้อเสียต่อระบบทหารคือ ทำให้ได้ทหารที่ไม่ประจำ ไม่ชำนาญพื้นที่ผลัดเปลี่ยนกันมาตลอด
และสุดท้าย เมื่อข้อเสียข้อหลังหนักหนากว่า พวกที่ถูกเกณฑ์ไปเฝ้าชายแดนไกลๆ ก็เริ่มโดนเกณฑ์เกินกำหนดเวลาไปโข เช่น ไม่ได้กลับบ้านเป็นปีๆ แทนที่จะถูกเกณฑ์แค่ ๑ เดือนตามความเป็นจริง
ถึงตอนต้นยุคของบูเช็คเทียน ปัญหาจากระบบแบ่งที่นาได้รุนแรงขึ้นทุกขณะ โดยที่พบว่า ผู้ที่ตามกฎหมายควรได้รับแบ่ง ๔๐ ไร่ เป็นต้น กลับได้รับแบ่งจริงแค่ ๕ ไร่ หรือไม่ได้รับเลย แต่ยังต้องจ่ายภาษีของ ๔๐ ไร่ตามกฎหมายต่อไป
และบางครอบครัว มีสมาชิกแค่คนเดียว แต่ดันได้แบ่ง ๙๐ ไร่ และต้องจ่ายภาษีของ ๙๐ ไร่ ทั้งที่ทำนาเองคนเดียวขนาดนั้นไม่ไหวเห็นๆ
เมื่อมาถึงยุคถังเสวียนจง ที่ถือกันว่าเป็นยุคเจริญสูงสุดของราชวงศ์ถัง ระบบนี้ก็ถึงแก่กาลล่มสลาย ถังเสวียนจงได้เปลี่ยนระบบเก็บภาษีเป็นเก็บตามรายได้ และจำนวนที่ดินในครอบครองที่แท้จริง และเปลี่ยนจากระบบเอาคนที่ถูกเกณฑ์แรงงานไปเป็นทหารชั่วคราว มาเป็นรับสมัครทหารอาชีพ
คราวนี้ ลางวิบัติของราชวงศ์ถังก็เริ่มต้น เพราะราชวงศ์ถังนั้นมีพื้นที่มาก กองกำลังชายแดนจึงมากตามไปด้วย เพื่อรับมือกับพวกชนกลุ่มน้อยรอบด้าน และบรรดานายพลเหล่านั้น เมื่อถึงยุคถังเสวียนจง ได้มอบอำนาจให้ครบ ๓ อย่าง คือ อำนาจปกครอง อำนาจเก็บภาษีประชาชนในเขตปริมณฑลที่ทหารคุ้มครอง และอำนาจทหารในมือ ทำให้พวกนี้สามารถก่อกบฏได้อย่างสบายมาก
จากการประมวลของนักวิชาการที่วิจัยด้านนี้ พบว่า จำนวนของทหารรักษาชายแดนทั้งหมด เป็น ๘๕% ของกำลังทหารทั่วประเทศ ในขณะที่ทหารในกำมือของฮ่องเต้ มีเพียง ๑๕% เท่านั้น
ข้อเสียอีกอย่างของราชวงศ์ถัง คือ การใช้ขันที อันเริ่มมาตั้งแต่ยุคถังไท่จงน่ะแหละ และใช้มาเรื่อยๆแบบหนักข้อขึ้นทุกที จนมาโดนขันทีกุมอำนาจเอาในสมัยหลังจากถังเสวียนจงในที่สุด
ราชวงศ์ถังเจริญอยู่ได้ประมาณ ๑๐๐ ปี พอถึงปีการปกครองเทียนเป่าของรัชกาลถังเสวียนจง หลังเหตุการณ์กบฏอานสื่อ ราชวงศ์ถังก็เละตุ้มเป๊ะลงไปทุกวัน ทั้งขุนศึกชายแดนตัดแบ่งดินแดนตั้งตัวเป็นใหญ่ เงินภาษีไม่ส่งหลวง ขุนนางหลวงที่ส่งไปควบคุมถูกฆ่าส่งกลับ แล้วยังมีขันทีกุมอำนาจ ถอดตั้งฮ่องเต้ได้ตามใจชอบ แถมบรรดาขุนนางในราชสำนักก็ทะเลาะเบาะแว้งแบ่งพรรคแบ่งพวกกันเอง ราชวงศ์ถึงหลังยุคถังเสวียนจงก็แค่อยู่ไปวันๆเพื่อรอวันล่มสลายเท่านั้น
ส่วนราชวงศ์ซ่ง ในตอนต้นนั้น เพราะอิทธิพลจากปลายยุคราชวงศ์ถังตามด้วยยุค ๕ ราชวงศ์ ๑๐ แว่นแคว้นที่ทำสงครามรบพุ่งกันไม่หยุดหย่อน ทำให้ซ่งไท่จู่ได้ดำเนินนโยบายปกครองแบบตัดอำนาจบรรดาขุนพล และก็ทำได้สำเร็จเสียด้วย ทำให้ตลอดสมัยซ่ง ไม่มีเหตุขุนพลกุมอำนาจแย่งบัลลังก์เลย
บวกกับได้รับบทเรียนจากยุคราชวงศ์ถังเรื่องขันที ทำให้ราชวงศ์ซ่งระวังเรื่องขันทีเป็นพิเศษ และตลอดราชวงศ์ซ่งก็ไม่มีเหตุการณ์ขันทีกุมอำนาจเลยเช่นกัน ทั้งที่มีฮ่องเต้เด็กในราชวงศ์ซ่งเหนือถึง ๒ องค์
คุณ puppy น่าจะอ่านระบบการปกครองและบทความวิเคราะห์ระบบการปกครองของราชวงศ์ถังมาให้ละเอียดกว่านี้ ก่อนจะบอกว่า
"การปกครองสมัยราชวงศ์ถัง ได้รับการยกย่องว่าเป็นการปกครองที่ดีที่สุดของจีน
ราชวงศ์อื่น ไม่มีการปกครอง มีแต่การช่วงชิงอำนาจเท่านั้น"
ราชวงศ์ฮั่นนั้น ในยุคฮั่นเหวินตี้กับฮั่นจิ่งตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก และฮั่นกวงอู่ตี้กับฮั่นหมิงตี้ในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เองก็ได้รับยกย่องว่าเป็นยุคที่บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข ประชาชนอยู่ดีกินดีไร้ภัยสงคราม เพราะฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้ที่ดี คำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก ไม่แพ้ยุคของถังไท่จงเลย โดยเฉพาะยุคของฮั่นเหวินตี้กับฮั่นจิ่งตี้นั้น กล่าวกันว่า ข้าวในยุ้งฉางของชาวบ้านมีเต็มจนล้น จนมันเน่าแล้วก็ยังกินไม่ทัน เพราะยุคนั้น เก็บภาษีน้อยมาก แค่ ๑/๓๐ แถมมีอยู่ ๑๒ ปีที่ไม่มีการเก็บภาษีเลย
แม้ว่าพอถึงยุคของฮั่นอู่ตี้ จะจัดการผลาญสมบัติที่พ่อและปู่สร้างไว้ให้จนเกลี้ยงคลัง เพราะทำสงครามกับพวกซยงหนูตลอดก็ตาม แต่เส้นทางสายไหมก็เกิดในยุคของฮั่นอู่ตี้นี่เอง และในยุคของฮั่นอู่ตี้ อาษาจักรจีนได้แผ่ขยายออกไปกว้างมาก เป็นตัวอย่างอย่างดีให้แก่ราชวงศ์ถังะเลยทีเดียว อย่าว่าแต่ระบบการปกครองของราชวงศ์ถังเอง ก็มีรากฐานส่วนหนึ่งมาจากราชวงศ์ฮั่นด้วย
และแม้ราชวงศ์ซ่งจะมีกำลังทหารอ่อนแอ แต่ระบบการปกครองนั้นพัฒนาจนเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป โดยเฉพาะราชวงศ์ซ่งเหนือ
ตั้งแต่การคัดเลือกขุนนางโดยอิงการสอบเข้าเป็นสำคัญ มีแต่ขุนนางที่เข้าเป็นขุนนางได้โดยการสอบเข้าเท่านั้น ที่จะมีโอกาสได้ดำรงตำแหน่งสูงๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันเหตุการณ์ขุนนางที่เป็นราชนิกูลกุมอำนาจ เพราะในสมัยถังนั้น พวกที่ได้เป็นขุนนาง มักเป็นพวกลูกท่านหลานเธอ ทั้งราชนิกูลญาติฮ่องเต้เอง และบรรดาญาติพี่น้องของไทเฮา ฮองเฮา นางสนมทั้งหลาย รวมทั้งบรรดาราชบุตรเขย ทำให้เกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงคิดชิงบัลลังก์ได้ง่าย ในขณะที่ขุนนางสมัยซ่งนั้นจะถือความจงรักภักดีเป็นหลัก อาจจะขัดแข้งขัดขากันเอง แต่ไม่เคยคิดชิงบัลลังก์
และราชวงศ์ซ่งยังมีกฎว่า ห้ามบรรดาราชนิกูล ญาติของบรรดาสนมของฮ่องเต้ รวมถึงไทเฮา ฮองเฮา ราชบุตรเขยทั้งหลาย ดำรงตำแหน่งมหาเสนาบดีเด็ดขาด รวมทั้งห้ามบรรดาญาติของฮองเฮา ไทเฮา และนางสนมเข้าไปในวังหลังเพื่อเข้าพบผู้หญิงในวังหลังด้วย แม้จะเป็นลูกสาว น้องสาว หรือหลานสาวของตัวเองก็ตาม
และในราชวงศ์ซ่ง ฮ่องเต้จะมีกฎว่า จะไม่ประหารขุนนางบุ๋น จะมีแต่การลด , ปลดตำแหน่ง หรือเนรเทศเท่านั้น ขุนนางบุ๋นทุกคนจึงมีโอกาสตั้งตัวใหม่ได้ทุกเวลา โดยเฉพาะขุนนางตงฉินที่จะไม่ถูกขุนนางกังฉินใส่ร้ายจนถึงตายได้ง่ายๆ
และในราชวงศ์ซ่งเหนือนั้น ฮ่องเต้ส่วนมากจะไม่ใช่ลูกชายคนโต แต่จะเป็นน้องชาย ลูกคนรองๆลงไป หรือหลานชาย(เพราะมีฮ่องเต้บางองค์ไม่มีทายาท) ไงๆก็ถือว่าถูกเลือกมาแล้วก่อนจะมานั่งแท่น
และในราชวงศ์ซ่ง หากฮ่องเต้ไม่หนุนหลัง มหาเสนาบดียากยิ่งจะกุมอำนาจได้ เพราะจะมีกลุ่มขุนนางที่อ่องเต้ตั้งขึ้นเป็นพิเศษ ทำหน้าที่จับผิดบรรดาเสนาบดีที่อยู่ปลายยอดปิรามิดแห่งอำนาจทั้งหลายโดยเฉพาะ
คำว่า "จับผิด" นั้น หมายถึง แค่มีข่าวลือว่ามหาเสนาบดี หรือขุนนางในราชสำนักคนไหนไปทำอะไรไม่ดี ขุนนางคนที่ถูกว่าก็ต้องนั่งอยู่บ้านรอรับการพิพากษาแล้ว แม้อาจจะพิสูจน์ได้ว่าเรื่องนั้นไม่มีมูลความจริง ขุนนางผู้ฟ้องร้องก็ไม่มีความผิดใดทั้งสิ้น เพราะทำไปตามหน้าที่ ทำให้บรรดาขุนนางในสมัยซ่งเหนือประพฤติตัวระมัดระวังเรียบร้อยกันกันค่อนข้างมาก
และระบบของราชวงศ์ซ่ง ยังมีการจำกัดอำนาจของฮ่องเต้(โดยความสมัครใจของฮ่องเต้เอง) โดย คำสั่งของฮ่องเต้ ต้องได้รับการอนุมัติจากสภาขุนนางก่อน จึงจะสามารถประกาศใช้ได้ หากขุนนางเห็นว่าคำสั่งนั้นไม่เหมาะสม ก็สามารถปิดผนึกส่งกลับคืนให้ฮ่องเต้ได้
ไม่ว่าในราชวงศ์ใด ล้วนแต่ตั้งระบบที่เหมาะสมกับการปกครองในช่วงนั้นๆออกมากันทั้งนั้น แต่ไม่ว่าระบบมันจะดีแค่ไหน จะใช้ให้ได้ผลนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับตัวคนนำไปใช้ด้วย
ฉนั้น เมื่อเวลาล่วงไปสักพัก อาจจะไม่กี่สิบปี หรือร้อยกว่าปี ระบบก็จะเริ่มเสื่อม การปกครองจะเริ่มเหลวแหลก สุดท้ายราชวงศ์ก็จะล่มสลาย เป็นอย่างนี้ทุกราชวงศ์นั่นล่ะ ไม่เว้นแม้แต่ราชวงศ์ถัง