พระเจ้าเล่าเสี้ยน ไม่ได้ถูกฆ่าครับ
หลังจากที่จงโฮยกับเตงงายได้ยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนแล้ว อีกไม่นานเตงงาย ก็มีหนังสือมาแจ้งแก่สุมาเจียวที่เมืองลกเอี๋ยง ความว่าตนได้อาสาจงโฮยยกทหารไปทางอิมเป๋ง และต่อมาก็มีหนังสือมากราบทูลพระเจ้าโจฮวน
แจ้งความที่ได้ยกทหารเดินทางประมาณเจ็ดพันเส้น ผ่านเขามอเทียนเนีย เข้ายึดเมืองอิวกั๋งเมืองปวยเสีย แล้วเดินทางต่อไปอีกประมาณพันหกร้อยเส้นจึงเข้าถึงเมืองเสฉวน
จูกัดเจี๋ยม มหาอุปราชของพระเจ้าเล่าเสี้ยน กับจูกัดสงบุตรชาย ยกทหารออกมาสู้รบก็พ่ายแพ้ไป สองพ่อลูกก็ตายในที่รบ พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงยอมอ่อนน้อมและมอบบัญชีพลเมือง เสบียงอาหาร และทรัพย์สินเงินทองในพระคลัง ให้ทั้งสิ้น ตนจึงยกกองทัพเข้าไปตั้งในเมืองเสฉวน
ต่อมาเตงงายได้มีหนังสือแจ้งความมาถึงสุมาเจียวอีกฉบับหนึ่ง มีความว่า
ข้าพเจ้าเตงงายขอคำนับมาถึงจินก๋งมหาอุปราช ด้วยข้าพเจ้ายกทหารมาตีเมืองเสฉวนนั้น ก็ได้สำเร็จแล้ว ครั้นจะยกทัพกลับมาโดยเร็ว ทแกล้วทหารทั้งปวงก็บอบช้ำอิดโรยนัก จะขอพักทหารยับยั้งอยู่ ณ เมืองเสฉวน ให้ทแกล้วทหารมีความผาสุขก่อน แลตัวเล่าเสี้ยนนั้น ข้าพเจ้าตั้งให้เป็นที่แพ้วกี๋จงกุ๋น แลทรัพย์สิ่งของทั้งปวงนั้น ครั้นข้าพเจ้าจะส่งมาก่อนก็เป็นทางไกล เกลือกจะเกิดอันตรายในกลางทาง ตัวข้าพเจ้ามิพ้นความผิด บัดนี้ข้าพเจ้าเก็บรวบรวมกันไว้เป็นปกติอยู่ อนึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองกังตั๋งก็ยังมิอ่อนน้อมกระด้างกระเดื่องนัก ถ้าแลทแกล้วทหารทั้งปวงหายอิดโรย จะให้ตบแต่งเรือรบยกไปตีเมืองกังตั๋งทีเดียว ฝ่ายพระเจ้าซุนฮิวรู้ว่าเมืองเสฉวนเสียแก่เรา ก็เห็นจะไม่แข็งอยู่ได้ ดีร้ายจะเข้ามาอ่อนน้อมต่อเรา อันเมืองกังตั๋งก็จะได้โดยง่ายเป็นมั่นคง ถ้าสำเร็จการทั้งนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะยกทหารกลับมาคำนับท่าน
สุมาเจียวได้แจ้งในหนังสือนั้นแล้ว ก็สงสัยคิดว่าเตงงายไปตีได้เมืองเสฉวน มีน้ำใจกำเริบหวังจะตั้งตัวเป็นใหญ่มิได้กลับมา จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งเป็นข้อรับสั่งว่า
เตงงายมีใจสัตย์ซื่อภักดีต่อเจ้า อุตส่าห์ทำการมิได้คิดแก่ชีวิต ยกพลทหารมาตีได้เมืองเสฉวนครั้งนี้มีความชอบนัก ตั้งให้เตงงายเป็นที่ท้ายอุ้ยมีศักดินาหมื่นหนึ่ง
แล้วสุมาเจียวก็แต่งหนังสือของตนไปถึงอุยก๋วน ซึ่งอยู่ในกองทัพของเตงงาย อีกฉบับหนึ่ง ความว่า
ซึ่งจะทำสงครามไปภายหน้านั้น จงบอกกล่าวทูลให้ทราบก่อน อย่าดูเบาแต่อำเภอใจให้ผิดด้วยธรรมเนียม
อุยก๋วนก็เอาหนังสือนั้นให้เตงงายดู เตงงายก็มีหนังสือตอบมาว่า
ซึ่งข้าพเจ้ามาทำการครั้งนี้เป็นทางไกล แม้เห็นได้ท่วงทีแล้วจะงดไว้บอกมาให้ทูลก่อน จึงค่อยทำการต่อภายหลัง จะมิเสียการไปหรือ สุดแต่ข้าพเจ้าได้ท่วงทีแล้วเมื่อใด จะรีบทำการสนองคุณเจ้าให้สำเร็จจงได้ ซึ่งมิได้บอกมาให้แจ้งก่อนประการใด แม้ท่านจะเอาโทษข้าพเจ้าก็ตามเถิด แต่ข้าพเจ้าจะเอาข้อราชการของพระเจ้าหมื่นปีให้จงได้
สุมาเจียวแจ้งความในหนังสือนี้แล้ว ก็ยิ่งมีความสงสัย จึงปรึกษาด้วยกาอุ้นว่า
“..........เตงงายมีหนังสือมาว่าจะทำการตามอำเภอใจตัวฉะนี้ ก็เพราะมีใจกำเริบคิดประทุษร้ายต่อเราเป็นมั่นคง ท่านจะคิดประการใดดี.........”
กาอุ้นจึงว่า
“...........ถ้าฉะนั้นขอให้มีหนังสือรับสั่งไปตั้งจงโฮยเป็นที่ชูเต๋า ใหญ่กว่าที่เจงไสจงกุ๋น ก็จะมีใจกำเริบขึ้น ถึงมาตรว่าเตงงายจะตั้งตัวเป็นใหญ่ ก็เห็นว่าจงโฮยจะมีความานะมิยอมเป็นน้อย ถ้อยทีจะแข็งกันอยู่ ดีร้ายจะเกิดวิวาทกันขึ้นเอง และตั้งอุยก๋วนให้เป็นผู้กำกับทหารทั้งสองกองด้วย...........”
สุมาเจียวก็เห็นชอบ จึงแต่งหนังสือให้คนถือไปถึงจงโฮยและอุยก๋วน ตามที่กาอุ้นแนะนำ ในไม่ช้าก็ได้รับหนังสือจากจงโฮยว่าเตงงายเป็นขบถ
สุมาเจียวได้แจ้งแล้วก็ปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เตงงายคิดการขบถกำเริบฉะนี้จะนิ่งไว้ไม่ได้ จึงนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าโจฮวน ให้มีหนังสือรับสั่งให้จงโฮยคิดอ่านกำจัดเตงงายเสียให้จงได้ แล้วเกณฑ์ทหารสามหมื่นให้กาอุ้นเป็นกองหน้า ยกไปทางตำบลเกียมโก๊ะ เพื่อเข้ายึดเมืองเสฉวน
กาอุ้นก็สงสัยว่าซึ่งจงโฮยบอกกล่าวโทษเตงงายมาครั้งนี้ น่าสงสัยอยู่ สุมาเจียวก็ว่าอย่าวิตกเลย เมื่อไปถึงเมืองเตียงฮันแล้วจะบอกเนื้อความให้เข้าใจ แล้วก็เร่งให้กาอุ้นยกกองหน้าไปโดยเร็ว แล้วก็เชิญพระเจ้าโจฮวนเสด็จไปในกองทัพหลวงออกจากเมืองลกเอี๋ยง ไปตั้งที่เมืองเตียงฮัน แล้วก็มีหนังสือไปบอกจงโฮยว่า
บัดนี้เรามีความวิตกถึงท่าน กลัวว่าจะยกไปกำจัดเตงงายนั้นจะมิสะดวก จึงยกกองทัพมาตั้งรออยู่ ณ เมืองเตียงฮัน ถ้าราชการขัดเคืองประการใด ก็ให้บอกไปจะยกทหารรีบมาช่วย
ขณะนั้นก็มีเรื่องวุ่นวายขึ้นในกองทัพของจงโฮยและเตงงาย เมื่อจงโฮยได้รับหนังสือจากสุมาเจียวแล้ว ก็รู้ว่าสุมาเจียวสงสัยตนว่าจะเป็นขบถ จึงคบคิดกับเกียงอุยซึ่งเข้ามาสามิภักดิ์ด้วย ให้อุยก๋วนไปจับเตงงายโดยไม่ทันรู้ตัว เอาใส่เกวียนส่งกลับมาให้สุมาเจียว
แล้วตนเองกับเกียงอุยก็ชักชวนนายทหารในกองทัพตั้งตัวเป็นใหญ่ในเสฉวน นายทหารส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย จึงเกิดสู้รบกันขึ้น จงโฮยกับเกียงอุยถูกฆ่าตาย ทหารของเตงงายก็ยกไปจะชิงตัวเตงงายคืน
อุยก๋วนเกรงว่าถ้าเตงงายรอด ตนก็จะเป็นอันตราย จึงให้ทหารคนสนิทตามไปฆ่าเตงงายเสีย
เมื่อกองทัพของวุยก๊กแบ่งเป็นหลายพวกฆ่าฟันกันเองตายหมดนั้น ชาวเมืองเสฉวนทั้งปวงหาผู้ใดจะบังคับมิได้ ก็เกิดการจลาจลฆ่าฟันกันเอง บ้านเมืองไม่มีขื่อแป จนกระทั่งอีกสองสามวันต่อมา กาอุ้นยกกองทัพมาถึง ก็ปราบปรามอาณาประชาราษฎรให้เรียบร้อยเป็นปกติแล้ว ก็ให้อุยก๋วนอยู่รักษาเมืองเสฉวน แล้วตนเองก็เอาตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนกับขุนนางเมืองเสฉวนอีกสี่คน ไปหาสุมาเจียวที่เมืองเตียงฮัน และแจ้งเรื่องให้ทราบสิ้นทุกประการ
สุมาเจียวก็พาพระเจ้าเล่าเสี้ยนกับขุนนางผู้ติดตาม มากับกองทัพวุยก๊กที่ยกกลับเมืองลกเอี๋ยง ครั้นถึงเมืองแล้วสุมาอี้ก็นำตัวพระเจ้าเล่าเสี้ยนมาชำระ และว่ากับพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า
“.............ท่านนี้เป็นคนมิดี หาสติปัญญามิได้ เสพแต่สุรามิได้นำพากิจการบ้านเมือง ทำให้แผ่นดินฟั่นเฟือนเสียจน อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนดังนี้ มิควรนัก ชอบแต่ประหารชีวิตเสียจึงจะควร...........”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังสุมาเจียวว่า มีความกลัวเป็นกำลังหน้าเศร้าสลดลงทันใด แล้วก็หมอบนิ่งอยู่ ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันขอโทษไว้ สุมาเจียวจึงยกโทษให้และตั้งให้เป็นที่ อ่านลกก๋ง มอบหญิงคนใช้ร้อยหนึ่ง กับแพรอย่างดีหมื่นพับ แลเงินทองเป็นอันมาก แล้วตั้งขุนนางซึ่งตามมานั้นมีตำแหน่งตามสมควร กับจัดถิ่นฐานบ้านเรือนให้อยู่ตามประเพณีเจ้าประเทศราช
อ่านลกก๋งก็คำนับสุมาเจียวลากลับมาที่อยู่
วันหนึ่งสุมาเจียวก็เชิญอ่านลกก๋งมากินโต๊ะ แล้วให้มีงานเต้นรำต่างๆ ขุนนางทั้งปวงซึ่งมาด้วยนั้น พากันนั่งก้มหน้าเป็นทุกข์ร้อนอยู่ หาเป็นที่จะดูเต้นรำไม่ แต่อ่านลกก๋งหรือพระเจ้าเล่าเสี้ยนนั้นเพ่งพระเนตรดูการเล่นยิ้มพรายรื่นเริงเป็นปกติ
สุมาเจียวเห็นดังนั้นก็แสร้งถามว่า ทุกวันนี้ท่านระลึกถึงเมืองเสฉวนอยู่หรือ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็บอกว่า
“............ข้าพเจ้าได้มาพึ่งวาสนาของท่าน ก็เป็นสุขอยู่ หาได้คิดระลึกถึงบ้านเมืองไม่..........”
อยู่มาอีกสามสี่วันสุมาเจียวก็เชิญพระเจ้าเล่าเสี้ยนมากินโต๊ะอีก และถามว่า
“..........ทุกวันนี้ท่านคิดจะใคร่กลับไปเมืองเสฉวนอยู่หรือ...........”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็เอาพระหัตถ์ปิดหน้าร้องไห้อยู่ สุมาเจียวจึงว่า
“...........เหตุใดพูดกันโดยดีท่านมาร้องไห้ฉะนี้เล่า............”
แล้วสุมาเจียวก็ชักเอาพระหัตถ์พระเจ้าเล่าเสี้ยนออกเสียจากพระพักตร์ ก็มิได้มีน้ำพระเนตรเป็นปกติอยู่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนอดสูแก่ใจ จึงว่า
“.........ถ้าท่านจะให้ข้าพเจ้ากลับไปเมืองเสฉวนก็จะได้ไป แม้ไม่เอ็นดูแล้วก็จนอยู่........”
สุมาเจียวแลทหารทั้งปวงได้ฟังก็กลั้นยิ้มมิได้ ชวนกันหัวเราะขึ้นทุกคน เพราะรู้ว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสแสร้งทำเป็นคิดถึงเมืองเสฉวน ตามที่พวกขุนนางแนะนำให้ หาได้คิดถึงด้วยพระองค์เองไม่
สุมาเจียวจึงคิดว่าพระเจ้าเล่าเสี้ยนนี้เป็นคนโฉดเขลา หาปัญญามิได้ ตั้งแต่นั้นมาก็มิได้มีความรังเกียจหรือระแวงสิ่งใดอีกเลย พระเจ้าเล่าเสี้ยนในตำแหน่งอ่านลกก๋ง ก็มีความสุขสบายอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง มิได้คิดจะกลับไปเมืองเสฉวนอีกเลยจนสิ้นชีวิต
แผ่นดินจ๊กก๊กก็อยู่ในความปกครองของวุยก๊กโดยเด็ดขาดตั้งแต่นั้น จนสิ้นสุดยุคสาม
แลกเปลี่ยนความรทางประวัติศาสตร์ของจีน
fhasatumton | |
![]() |
อุตส่าห์ copy มาให้ ไม่ได้ถูกฆ่า |
sos005 | |
![]() |
ขอบคุณครับไมต้องถึงมืออาจารย์มังกรหลับเลย |
fhasatumton | |
![]() |
หมิงไท่จู่ หมิงฮุ่ยตี้ หมิงเฉิงจู่ ( ค.ศ.1360 – ค.ศ. 1424) หมิงเหยินจง หมิงซวนจง ( ค.ศ. 1425-1435 ) หมิงอิงจง ( ค.ศ. 1457 – 1464 ) หมิงไท่จง ( ค.ศ. 1449 - 1457 ) หมิงเสี้ยนจง ( ค.ศ. 1464 – ค.ศ. 1487 ) หมิงเสี้ยวจง ( 1487 – 1505 ) หมิงหวูจง ( ค.ศ. 1505 – ค.ศ. 1521 ) หมิงซื่อจง ( ค.ศ. 1521 – 1567 ) หมิงมู่จง ( ค.ศ. 1567 – 1572 ) หมิงเสินจง (ค.ศ.1567 – 1620) หมิงกวงจง ( ค.ศ. 1620 –1620 ) หมิงซือจง ( ค.ศ. 1627 – 1644 ) นี่คือ รายพระนาม ฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์หมิง |
fhasatumton | |
![]() |
หมิงไท่จู่ ครองราชย์ 30 ปี หมิงฮุ่ยตี้ ครองราชย์ 6 ปี หมิงเหยินจง ครองราชย์ 10 เดือน |
fhasatumton | |
![]() |
หมิงไท่จู่ จูหยวนจาง(朱 元 璋 Zhu Yuanzhang)เป็นพระนามเดิมของจักรพรรดิหงหวู่ผู้สถาปนาราชวงศ์ต้าหมิงของจีน เกิดในครอบครัวชาวนาที่หมู่บ้านกูจวง ตำบลจงหลี อำเภอเหาโจว มณฑลอันฮุย เมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1328 บิดามีชื่อว่าจูซื่อเจิน มารดามีชื่อว่าเฉินสี ในวันที่เขาเกิดนั้นมีเรื่องเล่าว่าพ่อไปตักน้ำได้พบผ้าแพรแดงผืนหนึ่งซึ่งคนในหมู่บ้านต่างเห็นว่าเป็นมงคลนิมิต จูซื่อเจินจึงตั้งชื่อบุตรชายคนนี้ว่าจูหยวนจาง แปลว่า แผ่นหยกชั้นเลิศ ในปี ค.ศ. 1338 เกิดโรคระบาดซ้ำเติมความแห้งแล้งที่มีติดต่อกันนานหลายปี จูซื่อเจินกับนางเฉินสีและพี่ชายคนโตจูจ้งซื่อได้เสียชีวิตลง เพื่อนบ้านที่พอมีฐานะเกิดความสงสารจึงแบ่งที่ดินให้ใช้ฝังศพคนทั้งสาม จากนั้นบุตรที่เหลือจึงแยกย้ายเร่ร่อนไปรับจ้างหาเลี้ยงชีพ จูหยวนจางจำต้องไปบวชเป็นเณรที่วัดหวางเจวี๋ยซื่อ แต่ภัยแล้งที่มีติดต่อกันอย่างยาวนานทำให้วัดเองประสบปัญหาไม่น้อย พระและเณรในวัดต่างต้องออกธุดงค์ไปเที่ยวภิกขาจารต่างถิ่นซึ่งรวมถึงเณรจูหยวนจางด้วยเช่นกัน จนถึง ค.ศ. 1348 จึงได้บวชเป็นพระแต่บวชได้เพียงสี่ปีก็สึกออกมาเนื่องจากในขณะนั้นเกิดขบวนการปฏิวัติเพื่อขับไล่พวกมงโกลออกไปจากแผ่นดินจีนหลายกลุ่ม จูหยวนจางจึงไปร่วมขบวนการโค่นล้มราชวงศ์หยวนของกัวจื่อซิง( 郭 子 兴 ) ซึ่งใช้เมืองเหาโจวเป็นที่มั่น กัวจื่อซิงเห็นแววความสามารถของเขาจึงได้ยกหม่าชิวเซียงธิดาบุญธรรมให้เป็นภรรยา ในปี ค.ศ. 1352 จูหยวนจางปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งมีผลงานโดดเด่นกว่าผู้อื่นจึงได้รับเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วแต่ทำให้ถูกกัวจื่อซิงกับบุตรชายระแวงอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งกัวจื่อซิงจับเขาไปขังแต่หม่าชิงเซียงกับมารดาไปอ้อนวอนขอจึงได้รับการปล่อยตัว จูหยวนจางจึงตัดสินใจพาภรรยากลับไปอยู่ที่ตำบลจงหลีบ้านเกิดและได้ชักชวนเพื่อนในวัยเยาว์กับคนอื่นๆ จัดตั้งกองกำลังเป็นของตนเอง จาก 700 คนก็เพิ่มจำนวนมากกว่า 20000 คนภายในระยะเวลา 2 ปี ค.ศ. 1355 ฉีโจวหวางหรือกัวจื่อซิงพ่อตาของเขาสิ้นพระชนม์ลง บุตรชายทั้งสองไม่มีความสามารถพอ จูหยวนจางจึงได้ขึ้นเป็นผู้นำกองกำลังแทน ค.ศ. 1356 จูหยวนจางยกกำลังบุกเมืองจี้ซิงเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองอิ้งเทียน ( ปัจจุบันคือเมืองหนานจิง ) ใช้เป็นที่ตั้งกองบัญชาการทยอยกำจัดกลุ่มอำนาจอื่นๆ ที่ตั้งตัวเป็นอิสระเช่นกัน พร้อมกับใช้คำสั่ง “ สามไม่ ” คือ ไม่เผาบ้าน ไม่ฆ่าคน ไม่ปล้นชิง ทำให้ชาวเมืองอื่นๆ ต่างพากันยินยอมอย่างง่ายดาย ค.ศ. 1364 สถาปนาตนเองขึ้นเป็นหวู่หวาง ปกครองดินแดนแถบใต้แม่น้ำฉางจียง ค.ศ. 1367 วันที่ 28 เดือน 7 จูหยวนจางยกทัพบุกถึงนครต้าตูเมืองหลวงของราชวงศ์หยวน จักรพรรดิซุ่นตี้เห็นเหลือกำลังที่จะรับมือจึงพาเหล่าพระญาติพระวงศ์และชาวมงโกลหนีออกนอกด่านไปอยู่ที่เมืองซ่างตู วันที่ 2 เดือน 8 จึงได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเป่ยผิง ประกาศตั้งราชวงศ์ต้าหมิง สถาปนาตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ทรงพระนามว่าหมิงไท่จู่(明 太 祖 Ming Tai Zu)ใช้ศักราชประจำพระองค์ว่าหงหวู่ หรือหงอู่(洪 武) เปลี่ยนชื่อเมืองอิ้งเทียนเป็นหนานจิงใช้เป็นเมืองหลวง นอกจากนั้นโปรดให้โอรสให้เป็นหวาง ( อ๋อง )ไปครองเมืองต่างๆ เพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ คือ ตั้งองค์ชายจูเพียวเป็นฉินหวางไท่จือ องค์ชายจูตี้เป็นเยียนหวาง (燕王 ) ครองเมืองเป่ยผิง องค์ชายจูเฉวียนเป็นหนิงหวางครองเมืองต้าหนิง องค์ชายจูกุ้ยเป็นไต้หวางครองเมืองต้าถง องค์ชายจูกังเป็นจิ้นหวางครองเมืองไท่หยวน องค์ชายฝู่เป็นฉีหวางครองเมืองชิงโจว องค์ชายจูส่วงเป็นฉินหวางครองเมืองซีอาน องค์ชายจูอิงเป็นซู่หวางครองเมืองกานซู หมิงไท่จู่ได้ดำเนินการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสังคม ด้วยความประหยัดมัธยัสถ์ ผ่อนปรน แก่ประชากรส่วนใหญ่ และทรงศึกษาถึงความล้มเหลวของราชวงศ์ต่างๆ ในอดีตเห็นว่าภัยสำคัญเกิดจากการที่ขันทีเข้าแทรกแซงการบริหารราชการ จึงมีพระราชโองการให้จารึกแผ่นเหล็กประกาศห้ามขันทีเข้ายุ่งเกี่ยวกับการบริหารราชการ ผู้ฝ่าฝืนกำหนดโทษประหารสถานเดียว นอกจากนั้นยังได้ลดบทบาทของอัครเสนาบดีรวบอำนาจไว้ที่พระองค์ฎีกาและข้อราชการต่างๆ ต้องถวายถึงพระองค์โดยตรง อัครเสนาบดีเป็นเพียงผู้รับราชโองการไปดำเนินการ ในด้านทหารการเลื่อนลดปลดย้ายแม่ทัพนายกองก็ต้องผ่านการพิจารณาจากพระองค์โดยตรง นอกจากนั้นพระองค์ยังได้จัดตั้งจินอีเว่ย ( กองกำลังทหารเกราะทอง ) ให้เป็นกองกำลังพิเศษคอยถวายอารักขาและสอดแนมความเคลื่อนไหวของขุนนางและราษฎร เรียกได้ว่าพระองค์กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างแท้จริง ในรัชกาลของพระองค์กล่าวกันว่าทรงประหารขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องหากสงสัยว่าจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์กว่าห้าหมื่นคน โดยเฉพาะปลายรัชกาลหลังจากที่สถาปนาองค์ชายจูหยุนเหวิน(朱 允 文) พระราชนัดดาเป็นไท่จือแทนองค์ชายจูเพียว ( 朱 標 ) พระบิดาที่สิ้นพระชนม์ไปก่อน แม่ทัพหลายคนต้องถูกประหารเนื่องจากเกรงจะเป็นภัยในอนาคต ไม่เว้นแม้แต่แม่ทัพสีต๋าหรือฉีต๊ะผู้เคยออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระองค์แต่การตัดสินพระทัยของพระองค์กลับส่งผลร้ายมาให้พระราชนัดดาอย่างแรง จักรพรรดิหงหวู่ทรงครองราชย์นานถึง 30 ปี เสด็จสวรรคตวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1398 พระชนมพรรษาได้ 70 พรรษา พระศพได้รับการเชิญไปบรรจุไว้ที่สุสานเซี่ยวหลิง เชิงเขาจื่อจินซาน ชานกรุงหนานจิง ปิดฉากของมหาบุรุษที่มีชีวิตอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง จากลูกชาวนายากจนได้เป็นจักรพรรดิปกครองแผ่นดินจีนที่ยิ่งไพศาล |
fhasatumton | |
![]() |
หมิงฮุ่ยตี้ องค์ชายจูหยุนเหวิน( 朱 允 炆 Zhu Yunwen ) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1377 เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ขององค์รัชทายาทจูเพียว ขึ้นครองราชย์สมบัติต่อจากพระอัยกาหมิงไท่จู่ ทรงพระนามว่าฮุ่ยตี้ ( 恵 帝 ) ใ ช้ศักราชประจำพระองค์ว่าเจี้ยนเหวิน ( 建 文 Jianwen) พระองค์ทรงดำเนินนโยบายลดทอนอำนาจของบรรดาหวางต่างๆ อย่างเข้มงวด มีหวาง 5 องค์ถูกย้ายออกจากเมืองที่ประทับ บางองค์ถูกปลด บางองค์ต้องฆ่าตัวตาย เยี่ยนหวางจูตี้เองก็ถูกเพ่งเล็งเนื่องจากเป็นผู้ที่มีบทบาทมากในการศึกในคราวก่อนๆ อนึ่งก่อนที่หมิงไท่จู่จะสวรรคตทรงมีราชโองการห้ามหวาง องค์ต่างๆ เข้ามาถวายบังคมพระศพเพราะเกรงจะก่อรัฐประหาร แต่เยี่ยนหวางไม่ยอมทำตามราชโองการนี้นำทหารราชองครักษ์เดินทางมาหนานจิงแต่มีราชโองการของจักรพรรดิพระองค์ส่งมาห้ามจึงจำเป็นต้องกลับไปที่เป่ยผิง หลังจากสะสมอาวุธและฝึกซ้อมทหารใช้ชำนาญพระองค์จึงตัดสินพระทัยชิงลงมือยกทัพจากเป่ยผิงลงใต้เผชิญหน้ากับหลานชาย โดยอ้างว่าเพื่อกำจัดเหล่าขุนนางกังฉินสอพลอที่อยู่รอบข้างองค์จักรพรรดิ มีบันทึกว่าก่อนที่พระองค์จะนำกองทัพยกออกจากเมืองเกิดพายุพัดแรงจนกระทั่งหลังคาวังจนหักพังเสียหายซึ่งพระองค์กล่าวว่าเป็นเพราะได้เวลาที่พระองค์จะได้เสด็จเข้าไปประทับที่พระราชวังหลังคาเหลืองแล้ว การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1399 นานถึง 3 ปี ในระยะแรกเยี่ยนหวางเป็นฝ่ายเสียเปรียบเนื่องจากฝ่ายจักรพรรดิมีกองทหารปืนไฟ ซึ่งมีอานุภาพสูงทำให้ต้องทรงถอยทัพกลับไปทางเหนือแต่ทหารทางใต้ไม่คุ้นเคยกับอากาศหนาวทางภาคเหนือจึงล้มป่วยเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก จนกระทั่ง ค.ศ. 1402 กองทัพของพระองค์ยกมาถึงชานกรุงหนานจิง กองทัพฝ่ายจักรพรรดิเจี้ยนเหวินไม่สามารถต้านทานได้อีกเนื่องจากไม่มีแม่ทัพที่ชำนาญศึกเพราะถูกประหารไปตั้งแต่ปลายรัชกาลของหมิงไท่จู่ เหล่าขุนนางต่างพากันมาสวามิภักดิ์มากขึ้น ในวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1402 ปรากฏว่าเกิดเพลิงไหม้ภายในวังหลวงมีผู้พบพระศพของ ฮองเฮากับพระราชโอรสของหมิงฮุ่ยตี้ถูกเพลิงครอกภายในวังชั้นในแต่ไม่มีใครพบพระศพของหมิงฮุ่ยตี้ ( มีผู้สันนิษฐานว่าพระองค์ลอบหนีออกไปได้และผนวชก่อนที่จะเสียเมือง ) ต่อมาอีก 39 ปี ในรัชศกจ้งถ่ง มีผู้พบพระภิกษุชรารูปหนึ่งที่มีคนจำได้ว่าคือจักรพรรดิฮุ่ยตี้ หมิงอิงจงจึงมีราชโองการให้เชิญพระองค์มาประทับที่กรุงเป่ยจิง ที่ประทับของพระองค์ถูกปิดเงียบและสวรรคตอย่างสงบในกรุงเป่ยจิงนั่นเอง หมิงเฉิงจู่ ( ค.ศ.1360 – ค.ศ. 1424) หลังจากปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ที่สามของราชวงศ์หมิงแล้ว องค์ชายจูตี้ (朱 棣) Zhu Di) หรือเยี่ยนหวาง (เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1360) ขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1402 เฉลิมพระนามว่าหมิงเฉิงจู่ ( 成 祖 Chengzu )ในศักราชว่า หย่งเล่อ ( 永樂 Yongle ) มีราชโองการให้ประหารขุนนางที่พระองค์ทรงระแวงว่าเป็นจงรักภักดีต่อพระนัดดาของพระองค์กว่า 870 คน นอกจากนี้ยังดำเนินนโยบายลดทอนอำนาจเจ้าองค์อื่นๆ อย่างเข้มงวด เช่น ห้ามมีกองทหารประจำเมืองให้มีได้แต่ทหารรักษาพระองค์จำนวนหนึ่ง ห้ามเจ้าแต่ละเมืองติดต่อกันเองโดยไม่ได้รับพระราชานุญาต ในปีแรกที่ขึ้นครองราชย์มีพระราชโองการให้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เป่ยผิงเพื่อป้องชนกลุ่มน้อยทางเหนือรุกรานชายแดน ค.ศ. 1404 มีพระราชโองการให้อพยพราษฎรจาก เมืองหนานจิง มณฑลซานซี และมณฑลเจ้อเจียง แบ่งเป็น 5 สายเข้ามายังปักกิ่ง เพื่อเป็นแรงงานสร้างพระราชวังซึ่งก็คือ “พระราชวังต้องห้าม” หรือชื่อภาษาจีน คือ 紫禁城(Zijin Cheng - "Purple Forbidden City") ในการนี้ต้องเกณฑ์แรงงานหนึ่งแสนคนพร้อมกับช่างฝีมืออีกหลายพันคน การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามใช้เวลา 15 ปี และพระองค์ให้ความสำคัญกับการก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามเป็นอย่างมากโดยในปี ค.ศ.1406 ได้เสด็จฯ มาตรวจตราการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง ในปี ค.ศ. 1413 พระองค์จึงทรงย้ายจากหนานจิงมาประทับที่เป่ยจิง เป็นการถาวร แต่เฉลิมพระราชมนเทียรได้ไม่กี่เดือนก็มีฟ้าผ่าลงพระที่นั่งไท่เหอและเกิดเพลิงไหม้อาคารต่างๆ หลายหลัง และเกิดแผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 1416 จนต้องซ่อมแซมนานถึง 4 ปี ซึ่งพระองค์ประทับอยู่ในพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ไม่เกิน 4 ปี เพราะต้องนำทัพออกไปรบกับพวกมงโกล 5 ครั้ง คือ ในปี ค.ศ. 1410, 1422 1423 และ 1424 ในปี ค.ศ. 1403 พระองค์มีราชโองการโปรดให้ราชบัณฑิตกว่าสองพันคน พร้อมด้วยผู้อำนวยการใหญ่ 5 คน รองผู้อำนวยการอีก 20 คน จัดทำ “หย่งเล่อต้าเตี่ยน” สารานุกรมรวบรวมความรู้ทางวิชาการสาขาต่างๆ ทั้งหมด ใช้เวลาจัดทำ 4 ปี เป็นหนังสือกว่า22,937 บรรพ มหาสารานุกรมชุดนี้มีต้นฉบับ 1 ชุดและสำเนาอีก 2 ชุดเก็บรักษาไว้แต่หายสาบสูญไปจนปัจจุบันเหลือเพียง 370 บรรพ พระราชภารกิจที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือโปรดให้จัดสร้างกองเรือ “เป่าฉวน” ที่มีความยิ่งใหญ่ที่สุดในขณะนั้นมีทั้งสิ้น 62 ลำ ลำที่ยาวที่สุดวัดได้ 140 เมตร กว้าง 60 เมตร แต่ละลำประกอบด้วย ทหาร นายแพทย์ ล่าม นายกองเรือคือ เจิ้งเหอ ( 郑 和) Zheng He)ขันทีคนสนิทของพระองค์ที่เดินทางออกทะเลล่องไปทั่วโลก 7 ครั้งในรอบ 28 ปี ไปไกลถึง อินเดีย แอฟริกา นำสินค้าไปแลกเปลี่ยนกับชาติต่างๆ รวมทั้งเข้ามาถึงกรุงศรีอยุธยาตรงกับรัชกาลของสมเด็จเจ้านครอินทร์ และนำของหายากกลับมาถวายองค์จักรพรรดิ เจิ้งเหอนำกองทัพเรือจีนออกทะเลครั้งแรกเมื่อศักราชหย่งเล่อปีที่ 3 เดือน 7 ตรงกับ ค.ศ.1405 โดยออกเดินทางจากท่าเรือหลิวเจียก่าง มณฑลซูโจว หมิงเฉิงจู่สวรรคตขณะยกทัพกลับจากไปรบพวกมงโกลเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1424 พระศพถูกเชิญไปบรรจุที่สุสาน ฉานหลิง (長陵Chang-Ling) อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปักกิ่ง |
fhasatumton | |
![]() |
4. หมิงเหยินจง หมิงเหยินจง เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ.1378 เป็นพระราชโอรสของจักรพรรดิเฉิงจู่ มีพระนามว่าองค์ชายจูเกาจื้อ( Zhu Gaochi ) ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดา เมื่อวันที่ 7 กันยายน ค.ศ.1424 พระนามว่า หมิงเหยินจง ( Renzong )ใช้ศักราชหงซี ( Hongxi ) พระองค์ทรงเลื่อมใสในลัทธิขงจื้อ จึงยกเลิกกองเรือมหาสมบัติของพระบิดาและมีพระราชดำริที่จะย้ายเมืองหลวงลงไปอยู่ที่หนานจิง ตามเดิม แต่ทรงครองราชย์เพียงสิบเดือนก็ประชวรสวรรคต เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1425 แผนการต่างๆ จึงยุติไปโดยปริยาย พระศพถูกเชิญไปบรรจุที่สุสาน เสียนหลิง 5. หมิงซวนจง ( ค.ศ. 1425-1435 ) องค์ชายจูเจียนจี (Zhu Zhanji ) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1398 เป็นพระราชโอรสของจักรพรรดิหงซี เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ.1425 ทรงพระนามว่าหมิงซวนจง ( Xuanzong ) รัชศกซวนเต๋อ ( Xuande) ทรงเป็นจักรพรรดิที่พระทัยอ่อน ในตอนต้นรัชกาลมีพระญาติก่อกบฏเมื่อปราบปรามได้สำเร็จพระองค์ก็มิได้ลงโทษ ในปี ค.ศ.1431 มีราชโองการให้เจิ้งเหอเป็นแม่ทัพนำกองเรือออกเดินทางอีกเป็นครั้งที่ 7 ( ครั้งสุดท้าย ) กลับเข้ามาถึงปักกิ่งเมื่อ 1433 ทรงครองราชย์นาน 10 ปี สวรรคตเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1435 พระชนม์ได้ 36 พรรษา พระศพถูกเชิญไปบรรจุที่สุสาน จิ่นหลิง 6. หมิงอิงจง ( ค.ศ. 1457 – 1464 ) หมิงอิงจงเป็นพระราชโอรสของจักรพรรดิซนเต๋อ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1427 มีพระนามว่าองค์ชายจูชิเจิ้น (Zhu Qizhen) ครองราชย์เมื่อ 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1435 ขณะมีพระชนมพรรษาได้ 8 พรรษา ทรงพระนามว่าหมิงอิงจง (Yingzong )ใช้รัชศกว่าเจิ้งถง (Zhengtong ) เนื่องจากยังทรงพระเยาว์ราชการต่างๆ จึงตกอยู่ในมือของหวางเจิน (Wang Zhen)ขันทีที่เป็นพระพี่เลี้ยง นับวันอำนาจบารมีของหวางเจินก็เพิ่มพูนมากขึ้น มีขุนนางจำนวนไม่น้อยที่ต่อต้านหวางเจินก็ถูกสมัครพรรคพวกของหวางเจินจับกุมกำจัดไป แม้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยังต้องเรียกหวางเจินด้วยความนอบน้อมว่า วังฝู่ แปลว่า พ่อใหญ่ เมื่อครองราชย์มาได้ 13 ปี ใน ค.ศ. 1449 เหย่เซียนซึ่งเป็นข่านของเผ่าออยเร็ต ( มงโกลเผ่าหนึ่ง ) มีความเข้มแข็งขึ้น วันที่ 1 เดือน 7 ได้ยกทัพมาตีเมืองต้าถ่ง กองทัพหมิงไม่อาจต้านทานได้ต้องเสียแม่ทัพนายกองไปหลายคน ข่าวศึกมาถึงปักกิ่งขุนนางเกิดความหวาดวิตกมาก หวางเจินซึ่งไม่มีประสบการณ์ในการทำศึกแต่อยากจะมีชื่อเสียงให้ปรากฏก็ทูลยุยงให้หมิงอิงจงนำทัพยกไปรบกับเหย่เซียนด้วยพระองค์เอง ขุนนางต่างพากันคัดค้านความคิดนี้แต่หมิงอิงจงทรงปลงพระทัยเชื่อตามที่หวางเจินทูลทุกอย่าง ดังนั้นในวันที่ 16 เดือน 7 กองทัพหมิงที่มีพลกว่าหนึ่งแสนคนยกออกไปจากเมืองหลวงแต่ต้องเผชิญกับพายุฝนอยู่ที่ซวนฝู่ทหารล้มป่วยเป็นจำนวนมาก วันที่ 1 เดือน 8 กองทัพหมิงเดินทางไปถึงต้าถง แต่เมื่อทราบสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก หวางเจินไม่มีทางเลือกจึงทูลขอให้ยกทัพกลับทันที วันที่ 3 เดือน 8 เมื่อถอนทัพมาถึงที่เมืองไหวไหล ขุนนางต่างมีความคิดสองแนวคือเข้าไปตั้งรับกองทัพมงโกลภายในเมืองกับรีบยกทัพกลับปักกิ่งไปให้เร็วที่สุด แต่หวางเจินเห็นว่าขบวนสัมภาระส่วนตัวยังมาไม่ถึงจึงให้ตั้งค่ายอยู่ที่นอกเมือง กองทัพมงโกลตามมาทันก็ตั้งค่ายล้อมอย่างแน่นหนาทำให้ทหารขาดเสบียงและน้ำดื่ม วันที่ 15 เดือน 8 เหย่เซียนแกล้งแต่งคนมาเจรจาขอหย่าศึก หมิงอิงจงหลงเชื่อขณะที่กำลังถอนทัพ ทหารมงโกลก็บุกโจมตีทั้งสี่ทิศจนกองทัพหมิงพินาศ หวางเจินและแม่ทัพหลายคนตายในที่รบ อิงจงถูกจับไปเป็นตัวเชลย หยูเซียนรองเจ้ากรมกลาโหมเรียกระดมกองทัพหัวเมืองใกล้ๆ กรุงปักกิ่งเข้ามาต้านทานกองทัพมงโกลอย่างเข้มแข็งจนต้องถอยกลับออกไป ค.ศ. 1457 ขณะจักรพรรดิจิ่งไท่ประชวร หมิงอิงจงจึงสถาปนาพระองค์เป็นจักรพรรดิอีกครั้ง เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1457 ครั้งนี้เปลี่ยนไปใช้รัชศกเทียนซุ่น (Tianshun) ครองราชย์ครั้งที่สองนาน 8 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1464 พระศพบรรจุอยู่ที่ยู่หลิง (Yuling ) 7. หมิงไท่จง ( ค.ศ. 1449 - 1457 ) องค์ชายจูชิหยู (Zhu Qiyu ) เป็นพระอนุชาของจักรพรรดิอิงจง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ.1428 ดำรงพระอิสริยยศเป็นเฉิงหวาง หลังจากที่รู้ว่าจักรพรรดิอิงจงถูกพวกมงโกลจับไปเป็นเชลย วันที่ 18 เดือน 8 ฮองไทเฮาจึงมีพระราชโองการตั้งเฉิงหวางเป็นผู้สำเร็จราชการ จึงได้ยกขึ้นเป็นฮ่องเต้พระนาม หมิงไท่จง(Daizong ) เมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1449 ใช้รัชศกว่าจิ่งไท่ (Jingtai ) เดือน 10 กองทัพมงโกลยกมาถึงชานกรุงปักกิ่ง หยูเซียนเสนอให้ตั้งค่ายนอกเมืองรายไปตามประตูเมือง เหย่เซียนทำอุบายว่าจะส่งตัวหมิงอิงจงกลับขอให้ขุนนางผู้ใหญ่ออกมารับแต่หมิงไท่จงทรงรู้ทันให้ขุนนางชั้นผู้น้อยสองคนออกไปแทน วันที่ 11 เดือน 10 กองทัพมงโกลบุกตีค่ายต่างๆ แต่ถูกทหารหมิงต่อต้านจนพ่ายแพ้ไปหลายครั้งทำให้ทหารเสียกำลังใจ และเริ่มขาดเสบียง กอปรกับเห็นว่าราชวงศ์หมิงมีฮ่องเต้องค์ใหม่แล้วก็ไม่สามารถใช้อิงจงเป็นเครื่องต่อรองได้ จึงทำให้ต้องถอนทัพกลับไปเมื่อวันที่ 15 เดือน 10 หมิงอิงจงถูกปล่อยให้เป็นอิสระ หมิงไท่จงจึงสถาปนาให้เป็น ไท่ซ่างหวาง ( พระเจ้าหลวง ) และจัดวังให้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์แต่ไม่อนุญาตให้เสด็จไปมาได้ตามพระทัย 14 มีนาคม ค.ศ. 1457 หมิงไท่จงสวรรคต หลังจากประชวรเนื่องจากทรงเสียพระทัยที่พระราชโอรสสิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้านั้นไม่นาน 8. หมิงเสี้ยนจง ( ค.ศ. 1464 – ค.ศ. 1487 ) องค์ชายจูเจี้ยนจุน ( 朱 見 深Zhu Jianjun ) พระราชโอรสของจักรพรรดิอิงจง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1447 ได้ครองราชสมบัติเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1464 ขณะพระชนม์ได้ 17 พรรษา เฉลิมพระนามว่าหมิงเสี้ยนจง ( 憲 宗Xianzong ) ใช้รัชศกเฉิงฮั่ว ( 成 化Chenghua )ทรงเป็นฮ่องเต้ที่อ่อนแอแม้จะทรงทราบถึงภัยที่จะเกิดจากขันทีที่ตอนนี้มีอำนาจและอิทธิพลล้นฟ้า สามารถจับกุมและสังหารคนได้ (ซีฉ่างหรือที่ซ่องสุมของขันที เกิดขึ้นในรัชกาลนี้) แต่พระองค์ก็ไม่จัดการประการใดเพราะพระองค์ก็ถูกแวดล้อมด้วย ( แกมอิทธิพล ) ขันที อีกทั้งพระองค์เองยังทรงหวั่นไหวง่ายไม่ค่อยเสด็จออกว่าราชการให้ขุนนางเข้าเฝ้าถวายรายงาน ราชการต่างๆ จึงตกอยู่ในมือขันทีโดยปริยาย ในรัชกาลนี้ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น ทรงครองราชย์นาน 23 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1487 พระศพบรรจุอยู่ที่โม่วหลิง (Maoling) |
fhasatumton | |
![]() |
9. หมิงเสี้ยวจง ( 1487 – 1505 ) องค์ชายจูหยุนถัง (Youtang) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1470 ขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระราชบิดา(จักรพรรดิเฉิงฮั่ว) เมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ.1487 เฉลิมพระนามว่า เสี้ยวจง (Xiaozong ) ใช้ศักราชว่า หงจื้อ (Hongzhi ) สภาพของราชวงศ์หมิงตอนนี้เริ่มคลอนแคลนมาก เงินในท้องพระคลังร่อยหรอเพราะมีการทุจริตกันมาก ที่ดินต่างๆที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่างถูกพวกเชื้อพระวงศ์บ้าง เศรษฐีบ้างเข้าไปจับจองยึดครองเป็นจำนวนมากและต่างก็หลีกเลี่ยงการเสียภาษี ทำให้เงินที่จะส่งเข้าพระคลังลดน้อยลง ทำให้เกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม จึงทรงตั้งพระทัยที่จะกำจัดขุนนางที่ทุจริต ลดอำนาจของขันทีที่เป็นภัยใหญ่และปฏิรูปการปกครอง ทรงมัธยัสถ์ใช้จ่ายอย่างประหยัดแต่ลำพังพระองค์ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ เพราะตอนนี้ขันทีมีกำลังเข้มแข็งเกินกว่าที่จะปราบลงได้ พระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1505 พระศพเชิญไปบรรจุที่ ไท่หลิง (tailing 10. หมิงหวูจง ( ค.ศ. 1505 – ค.ศ. 1521 ) องค์ชายจูโฮ่วเจา (Zhu Houzhao ) เป็นพระโอรสของจักพรรดิเสี้ยวจง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1491 และขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่19 มิถุนายน ค.ศ.1505 ขณะมีพระชนม์เพียง 15 พรรษาเฉลิมพระนามว่า หมิงหวูจง (Wuzong ) ใช้รัชศกว่า เจิ้งเต๋อ (Zhengde) ทรงเป็นฮ่องเต้ที่รักความสำราญไม่ค่อยออกว่าราชการ มักจะออกไปปลอมพระองค์เสด็จเที่ยวนอกวังอยู่เสมอ บางครั้งไม่กลับปักกิ่งนานเป็นเดือนเป็นปีทีเดียว กอปรกับทรงมีขันทีหลิวจิ่น (Liu Jin )ที่คอยยุยงสนับสนุนคอยหาผู้หญิงมาบำเรอมอมเมาฮ่องเต้แล้วรวบอำนาจไว้ ขุนนางที่กล้าทัดทานต่างตกเป็นเหยื่อสังหารโหดของเน่ยฉ่างจนไม่มีใครกล้าทำอะไร มีบันทึกว่าครั้งหนึ่งมีพระราชโองการให้โบยขุนนางหลายสิบคนที่เข้าชื่อคัดค้านเรื่องความประพฤติของพระองค์ที่ประตูอู่เหมินจนตายไปหลายคนเลยทีเดียว หลิวจิ่นเองก็เหิมเกริมหนักข้อถึงกับวางแผนจะก่อกบฏเพื่อจะเป็นฮ่องเต้เสียเอง จนขุนนางอื่นๆ ต่างพากันทนไม่ไหว องค์ชายจูจื่อฟานจึงยกทัพรัฐประหารประกาศความผิดของหลิวจิ่น จนสุดท้ายหลิวจิ่นถูกจับได้โดนแล่เนื้อเป็นชิ้นๆ แต่หลังจากหลิวจิ่นตายพระองค์ก็หันมาโปรดปรานนายทหารชื่อเจียงปินแทนและมักจะเสด็จประพาสไปนอกวังเหมือนเดิม ค.ศ.1520 ขณะที่พระองค์เสด็จกลับปักกิ่ง ทรงออกมาตกปลาอยู่ที่หัวเรือก็บังเอิญเรือพระที่นั่งเกิดล่มเมื่อกลับถึงปักกิ่งก็ประชวร หมิงหวูจงเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1521 พระศพเชิญไปบรรจุที่คังหลิน 11. หมิงซื่อจง ( ค.ศ. 1521 – 1567 ) องค์ชายจูโฮ่วชง ( 朱 厚 熜Zhu Houcong ) เป็นพระราชนัดดาของจักพรรดิหวูจง ประสูติเมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1507 เป็นพระโอรสของ ซินซื่อหวาง ( 興 献 王) แห่งเมืองอานลู่ เนื่องจากจักรพรรดิหวูจงไม่มีพระโอรสดังนั้นขุนนางจึงถวายราชสมบัติให้แด่พระองค์ ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ.1521 เฉลิมพระนามว่า หมิงซื่อจง ( 世 宗Shizong) ใช้ศักราชว่าเจียจิ้ง (嘉 靖Jiajing) ในระยะแรกที่ครองราชย์สถานการณ์เป็นไปด้วยดีต่อมาพระองค์เกิดความขัดแย้งกับขุนนางเนื่องจากมีพระราชประสงค์ที่จะเฉลิมพระอิสริยยศของพระบิดากับพระมารดาให้เป็นฮ่องเต้และฮองเฮา เพื่อที่จะได้อัญเชิญป้ายพระนามของพระชนกกับพระชนนีมาประดิษฐานในศาลราชวงศ์ร่วมกับป้ายพระนามของฮ่องเต้องค์ก่อนๆ แต่ถูกขุนนางคัดค้านอย่างหนักทำให้พระองค์กริ้วมากปลดขุนนางออกนับร้อย บางคนถูกโบยจนตาย จากนั้นก็ไม่เสด็จออกว่าราชการ ทรงเลื่อมใสลัทธิเต๋ามากถึงกับตั้งนักพรตให้เป็นขุนนาง ค.ศ. 1523 โปรดให้สร้างแท่นบูชาสักการะเซียนตามลัทธิเต๋าและใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเพื่อแสวงหาอายุวัฒนะ สร้างอารามอย่างใหญ่โตให้นักพรตหลายแห่งทำให้สิ้นเปลืองทรัพย์สินและแรงงานเป็นจำนวนมาก ประกอบกับมีเหยียนซงที่อดีตเป็นเพียงขุนนางกรมพิธีการประจำหนานจิงคอยประจบสอพลอทำตัวเป็นผู้เลื่อมใสลัทธิเต๋าเช่นกันทำให้พระองค์เลื่อนให้เป็นนายกรัฐมนตรีนานถึง 20 ปี ในขณะที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะสำเร็จเป็นเซียน ค.ศ. 1540 ทางภาคเหนือชาวมงโกลคุกคามอย่างหนักทั้งบุกปล้นสะดม กวาดต้อนราษฎรไปเป็นเชลยอย่างต่อเนื่องแต่ทางราชสำนักทำได้เพียงส่งทหารไปตรึงกำลัง ทางด้านชายทะเล ในระหว่าง ค.ศ. 1540 – 1565 พวกไอนุหรือโจรสลัดญี่ปุ่นร่วมกับคนจีนบางคนเริ่มเข้ามาปล้นสะดมรุกรานแถบหัวเมืองตะวันออกของจีนแล้ว ( ปรากฏหลักฐานว่าสมเด็จพระนเรศวรมีพระราชสารไปทูลอาสารบญี่ปุ่นด้วย ) ไห่ญุ่ย ผู้ตรวจราชการการคลังยูนนาน ถวายฎีกากล่าวโทษเหยียนซง ทูลให้พระองค์เลิกงมงายและฟุ่มเฟือย ทำให้กริ้วมากสั่งขังไห่ญุ่ยหลังจากนั้นไม่นานก็ประชวร ต่อมามีพระราชโองการให้ปล่อยผู้ที่ต้องขัง ชดเชยปลอบขวัญผู้สูญเสีย พิจารณาลงโทษนักพรตตามสมควร พระองค์ทรงครองราชย์สมบัตินาน 45 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อ 23 มกราคม ค.ศ. 1567 พระศพเชิญไปบรรจุที่หย่งหลิน 12. หมิงมู่จง ( ค.ศ. 1567 – 1572 ) หมิงมู่จง พระราชโอรสของจักรพรรดิเจียจิ้ง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1537 มีพระนามว่าองค์ชายจูจื้อโฮว (Zhu Zaihou ) ขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1567 เฉลิมพระนามว่าหมิงมู่จง (Muzong ) ใช้รัชศกว่าหลงจิ่ง (Longqing ) ในช่วง 2 ปีแรกที่ขึ้นครองราชย์เสด็จออกว่าราชการทุกเช้าแต่หลังจากนั้นก็ไม่เสด็จออกว่าราชการอีกเลย ในรัชกาลนี้ไม่มีอะไรโดดเด่นนัก นอกจากสถานการณ์ทางภาคเหนือที่สามารถลดความตึงเครียดระหว่างหมิงกับมงโกลลงได้ เพราะทางมงโกลเกิดความขัดแย้งกันเอง ทรงครองราชย์นาน 6 ปี พระองค์เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1572 พระศพบรรจุที่เจ้าหลิง (Zhaoling ) 13. หมิงเสินจง (ค.ศ.1567 – 1620) องค์ชายจูยี่จุน (Zhu Yijun ) เป็นพระโอรสของจักรพรรดิมู่จง ประสูติเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1563 เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1572 เฉลิมพระนามว่าหมิงเสินจง (Shénzōng ) ใช้ศักราชว่า วั่นลี่(Wanli ) ด้วยพระชนม์เพียง 9 พรรษา ในตอนต้นของสมัยวั่นลี่สังคมจีนมีความสงบสุขและรุ่งเรืองมากเพราะมีจางจิ้วเจิ้ง (Zhang Juzheng ) ช่วยบริหารราชการ สามารถแก้ปัญหาการจัดเก็บภาษีได้สำเร็จทำให้มีเงินเข้าพระคลังเป็นจำนวนมาก พระองค์ได้ตั้งความหวังไว้ว่าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีให้ได้ แต่เมื่อจางจิ้วเจิ้งตายเมื่อ ค.ศ. 1582 แล้วพระองค์ต้องบริหารราชการเอง ต่อมาทรงความขัดแย้งกับขุนนางเรื่องการตั้งรัชทายาทที่พระองค์มีพระราชดำริที่จะสถาปนาโอรสองค์ที่ 3 ที่ประสูติจากพระสนมแทนโอรสองค์โต หลัง ค.ศ. 1587 ก็ไม่ออกว่าราชการอีกเลย ฎีการาชการต่างๆ ถูกปล่อยทิ้งไม่พิจารณาทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย จักรพรรดิวั่นลี่นอกจากจะไม่ทรงงานแล้วยังใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ค.ศ. 1596 เกิดเพลิงไหม้พระราชวังต้องใช้เงินจำนวนมากซ่อมแซม เงินในพระคลังร่อยหรอมากอีก ในขณะที่พระองค์เก็บพระองค์อยู่ในพระราชวัง ค.ศ. 1592 ฮิเดโยชิยกพลญี่ปุ่นบุกเกาหลี ทางการจีนต้องส่งทหารเข้าไปป้องกันทำให้เสียงบประมาณมหาศาลพระองค์ก็โปรดให้ขันที 50 คน ออกมาเก็บภาษีเพิ่มเติม ทำให้กิจการอุตสาหกรรมการค้าต่างๆ ต้องหยุดชะงัก ค.ศ. 1616 นูรฮาชิรวบรวมชนเผ่าหนี่เจินได้สำเร็จประกาศตั้งราชวงศ์โฮ่วจินที่ซิงจิง ค.ศ. 1618 ยกทัพบุกปล้นสะดมแถบหยางกวน ชิงเหอเจิ้ง ราชสำนักส่งทหารจีน 90000 คนกับทหารเกาหลีอีก 10000 คนไปรบอยู่จน ค.ศ. 1619 กองทัพจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่วั่นลี่ก็ไม่สนใจราชการมากกว่าเดิม เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 18 กันยายน ค.ศ.1620 ครองราชย์นาน 48 ปี พระศพเชิญไปบรรจุที่ติ้งหลิน (Ding Ling) 14. หมิงกวงจง ( ค.ศ. 1620 –1620 ) หมิงกวงจง เป็นพระราชโอรสของจักรพรรดิวั่นลี่ ประสูติเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 1582 มีพระนามว่าองค์ชายจูฉางลั่ว (Zhu Changluo ) เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ.1620 พระชนม์ 38 พรรษา เฉลิมพระนามว่าหมิงกวงจง (Guangzong )ใช้รัชศกว่า ไท่ชาง (Táichàng ) พระองค์ครองราชย์ได้เพียง 1 เดือนก็เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 26 กันยายน หลังจากเสวยพระโอสถที่ขันทีนำมาถวาย แล้วประชวรกะทันหัน พระศพบรรจุที่ซิ่นหลิง 15. หมิงซีจง ( ค.ศ. 1620 - 1627 ) องค์ชายจูโหยวจาว (Zhu Youjiao ) พระราชโอรสของจักรพรรดิวั่นลี่ ประสูติเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1605 ได้รับราชสมบัติเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1620 พระชนม์ 16 พรรษา เฉลิมพระนามว่าหมิงซีจง (Xizong ) ใช้รัชศกว่าเทียนฉี (Tianqi ) กล่าวกันว่าพระองค์นั้นทรงอ่านหนังสือไม่ออก สนพระทัยแต่งานช่างไม้จึงมีผู้เรียกพระองค์ว่า "ฮ่องเต้ช่างไม้" ไม่ค่อยออกว่าราชการคิดประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ จากไม้ ขันทีเว่ยจงเสียน (Wei Zhongxian)ได้เข้ามามีบทบาทกุมอำนาจแทนฮ่องเต้ เว่ยจงเสียนมักจะนำราชการต่างๆ มากราบทูลในเวลาที่จักรพรรดิเทียนฉีกำลังทรงงานไม้ พระองค์ก็มักจะให้เว่ยจงเสียนจัดการเอาตามที่เห็นควร นานวันเข้าเว่ยจงเสียนเมื่อได้มาคุมตงฉ่างก็เริ่มข่มเหงรังแกขุนนางอื่น มีหลายคนต้องถูกจับเข้าคุกขังลืมบ้าง ทรมานจนตายบ้าง เบาที่สุดก็โดนปลด ต่างเรียกเว่ยจงเสียนว่าเก้าพันปี แสดงให้เห็นว่าเป็นรองแต่ฮ่องเต้เท่านั้น ค.ศ. 1624 หยางเสียน ผู้ตรวจราชการถวายฎีกากล่าวโทษเว่ยจงเสียน 24 ข้อหาฉกรรจ์แต่ก็ไม่ทรงจัดการประการใด เว่ยจงเสียนรวบรวมรายชื่อผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูได้ถึง 700 คน โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายตงหลินจึงลงมือกวาดล้างครั้งใหญ่เมื่อ ค.ศ. 1625 หยางเสียนถูกจับและทรมานจนตายในคุก แผ่นดินราชวงศ์หมิงคลอนแคลนอย่างหนัก เว่ยจงเสียนวางแผนก่อกบฏส่งลูกหลานตัวเองเข้าครองบัลลังก์ แต่ว่าฮ่องเต้ก็สวรรคตเมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1627 เสียก่อน พระศพเชิญไปบรรจุที่ เต๋อหลิง |
fhasatumton | |
![]() |
16. หมิงซือจง ( ค.ศ. 1627 – 1644 ) องค์ชายจูโหยวเจียน (Youjian ) เป็นพระราชอนุชาของจูโหยวจาว ประสูติเมื่อ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ค.ศ. 1611 ขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1627 พระชนม์ 17 พรรษา เฉลิมพระนามว่าซือจง (Sizong )ใช้ศักราชว่า ฉงเจิน (Chóngzhēn ) พระองค์รู้ถึงความเลวร้ายที่เกิดจากขันทีจึงหาทางกำจัดเว่ยจงเสียนกับพระนมเก๋อ ทำให้เว่ยจงเสียนต้องชิงฆ่าตัวตายก่อน ในระยะแรกก็ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ดีแต่นานวันเข้าก็กลับไปสู่วังวนของความเหลวไหล สถานการณ์ในบ้านเมืองเลวร้ายเกินกว่าจะเยียวยา ขุนนางทุจริตเอารัดเอาเปรียบประชาชนเป็นจำนวนมาก เกิดภัยแล้งติดต่อกันหลายปี แถมยังมีสงครามจากพวกแมนจูทำให้ทางการต้องเรียกเก็บภาษีเพื่อนำไปใช้ในงานสงคราม หลี่จื้อเฉิง (Li Zicheng ) จึงรวบรวมชาวนาลุกขึ้นต่อต้านทางการ ทั้งสองฝ่ายรบกันนานหลายปีในระยะแรกทางการใช้แผนต่างๆ ทั้งเกลี้ยกล่อม โจมตี สามารถสกัดกองทัพกบฏได้ แต่ในระยะหลังหลี่จื้อเฉิงเก็บสะสมประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นฝ่ายรุกจนกองทัพราชวงศ์หมิงต้านทานไม่อยู่ ต่อมาเขาตั้งตัวขึ้นเป็น เฉิงหวาง (Chuǎng Wáng - The Roaming King ) วันที่ 18 เมษายน ค.ศ.1644 เมื่อหลี่จื้อเฉิงยกกองทัพชาวนามาถึงชานกรุงปักกิ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นจักรพรรดิซือจงจึงมีพระราชโองการให้ขุนนางทั้งหมดมาเข้าเฝ้า จากนั้นก็เสด็จกลับเข้าพระราชฐานชั้นในเสวยน้ำจัณฑ์แล้วรับสั่งให้พระโอรสไปหาที่ซ่อนตัว ต่อมาทรงทราบว่าพระมเหสีผูกพระศอสิ้นพระชนม์ในตำหนักแล้ว พระองค์ก็รับสั่งให้องค์หญิงฉางปิง (Princess Chángpíng พระนาม Zhū Huīchuò) มาเข้าเฝ้าและตรัสว่า "เจ้าเกิดมาในตระกูลของข้าต้องเคราะห์ร้าย ไม่มีความสุข" ตรัสจบพระองค์ก็ชักกระบี่ฟันพระธิดาแขนขาดไปข้างหนึ่ง วันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1644 จักรพรรดิซือจงได้เสด็จฯ ออกจากพระราชวังกับขันทีหวางเฉินเจิน (Wang Chengen) ไปที่จิ่งซานท้ายพระราชวัง ทรงปลงพระเมาลีลงปรกพระพักตร์แล้วทรงผูกพระศอกับต้นไม้ต้นหนึ่งจนสิ้นพระชนม์ ขันทีเฉาฮว่าฉุนจึงยอมเปิดประตูเมืองให้หลี่จื้อเฉิงแต่โดยดี หลังจากที่ยึดปักกิ่งแล้วหลี่จื้อเฉิงส่งสารให้หวู่ซานกุ้ย (Wu Sangui )แม่ทัพประจำด่านซานไห่กวนยอมจำนน ตอนแรก หวู่ซานกุ้ยก็จะจำนน แต่ต่อมาทราบว่าบิดาและเฉินหยวนหยวนเมียน้อยของเขาถูกหลี่จื้อเฉิงจับไป จึงประกาศว่าจะแก้แค้นแทนจักรพรรดิฉงเจิน แต่ไปสมคบกับแมนจูยอมเปิดด่านให้ส่งทหารแมนจูเข้ามาช่วย ครั้นหลี่จื้อเฉิงรู้ว่า เขาทรยศ จึงได้ยกทัพมาปราบเองและได้สู้กันจนฝ่ายหวู่ซานกุ้ยอ่อนแรงลง กองทัพแมนจูก็ได้โจมตีหลี่จื้อเฉิงอย่างดุเดือด จนต้องล่าถอยกลับไปปักกิ่ง ตั้งตัวเองเป็นฮ่องเต้แล้ววางเพลิงเผาพระราชวัง หลังจากนั้นกองทัพแมนจูก็ได้ตามบดขยี้กองทัพหลี่จื้อเฉิงจนได้ชัยชนะ หลี่จื้อเฉิงถูกลอบสังหารเมื่ออายุได้ 39 ปี พวกแมนจูต้องการเอาใจคนฮั่นจึงเชิญพระศพของจักพรรดิซือจงกับพระมเหสีไปบรรจุที่ซือหลิง จัดงานพระศพอย่างสมพระเกียรติ อันเป็นสิ้นสุดราชวงศ์หมิงที่มีมานานถึง 276 ปี |
fhasatumton | |
![]() |
ผมไปเจอมา เลยก๊อป มา ให้อ่าน ความจริง ผมยังอ่านไม่จบเลย แต่ผมเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่า เลยให้ พวกคุณ อ่านกันก่อน คราวหน้า อาจจะเอารูป ฮ่องเต้ต้าหมิงมาลง |
บุรุษนามผีเสื้อ | |
![]() |
ใครเจอเธอในฝันของบุรุษนามผีเสื้อบ้างครับ |
fhasatumton | |
![]() |
เธอในฝันของคุณคือใครล่ะครับ |
fhasatumton | |
![]() |
มาดูกันเลยครับ นี่คือ หมิงไท่จู่ฮ่องเต้ หรือ อีกพระนามว่า หงหวู่ฮ่องเต้ http://www.googeb.com/images/klz1186809684w.gif ![]() |
fhasatumton | |
![]() |
เอาแค่ปฐมกษัตริย์ไปก่อนละกันนะครับ |
fhasatumton | |
![]() |
หมิงเฉิงจู่ หรือ หมิงหย่งเล่อ ฮ่องเต้องค์ที่ 3 ฮ่องเต้ต้าหมิง องค์ที่ 2 หมิงฮุ่ยตี้ ไม่มีรูป http://www.googeb.com/images/klz1186810147a.jpg |
fhasatumton | |
![]() |
http://www.googeb.com/images/klz1186810147a.jpg http://www.googeb.com/images/klz1186810147a.jpg เอาใหม่ |
fhasatumton | |
![]() |
กว่าจะได้ เอาฮ่องเต้องค์สำคัญก่อน |
fhasatumton | |
![]() |
ข้าพเจ้าอยากรู้ว่า การสอบจอหงวน ต้องอายุกี่ปี ถึงจะสอบได้ |