โหะๆ คมดี แต่ไม่ทราบคับว่าใครพูด คงต้องถามจอมยุทธ์fhasatumton มั้งคับ
แลกเปลี่ยนความรทางประวัติศาสตร์ของจีน
vมังกรหลับv |
#181 vมังกรหลับv [ 06-08-2007 - 19:54:13 ] |
|
vมังกรหลับv |
#182 vมังกรหลับv [ 06-08-2007 - 19:56:40 ] |
|
ขงเบ้งมีคำคม และ ปรัชญาไว้เยอะมากๆคับ |
fhasatumton | |
![]() |
เรียน ท่าน จอมยุทธ มังกรหลับ คำๆนี้ ก็คุ้นหู ข้าพเจ้าเช่นกัน แต่นึกไม่ออก สงสัย ต้องจอมยุทธ ท่านอื่นแล้ว |
มังกรทองแดง | |
![]() |
คำนี้ผมเคยได้ยินจากหนังสือกาตูนสามก๊กหมาสนุกครับไมรู้ว่าอยู่เล่นไหนครับ แต่ผมประทับใจมากครับ |
vมังกรหลับv |
#185 vมังกรหลับv [ 06-08-2007 - 20:42:44 ] |
|
การ์ตูน พวกสามก๊กนี่จากผมที่อ่านๆมานิดหน่อยแล้ว ผมแนะนำว่าไม่ควรจะอ่านนะคับ เพราะตัดลายละเอียดออกไปเยอะมาก ถ้าคนเริ่มอ่านจริงๆอ่านจะเข้าใจเนื้อเรื่องผิดๆได้ ถ้าจะอ่านแนะนำให้อ่านเรื่องเต็มๆของมันไปรอบนึงก่อน แล้วทีนี้คุณจะไปอ่านของสำนักไหนก็แล้วแต่คุนจะไปละคับ |
fhasatumton | |
![]() |
ถามเรื่อง องค์ชายที่มีสิทธิในการขึ้นครองราชย์ อีกรอบ สมมุติว่า องค์ชายองค์หนึ่ง ที่สืบเชื้อสายมาจาก พระเชษฐา ของฮ่องเต้ เมื่อ ประมาณ 6 รัชกาลก่อน ถามว่า เขามีสิทธิ ขึ้นครองราชย์ ต่อจากฮ่องเต้ รัชกาลปัจจุบันได้หรือไม่ และ ระหว่าง โอรสองค์เล็ก ที่เกิดจาก สนมเอก (ฮองเฮา สิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้า และ โอรสที่เกิดจาก ฮองเฮา สิ้นไปหมด) กับ ฮ่องเต้ รัชกาล ปัจจุบัน กับ โอรสองค์โต ที่เกิดจาก ชู้ลับ ของสนมเอก ซึ่งเป็นพระเชษฐา ของฮ่องเต้ รัชกาลปัจจุบัน แต่ คิดว่า เป็น โอรสของ ฮ่องเต้รัชกาลปัจจุบัน ถามว่า พี่น้องคู่นี้ ใครมีสิทธิ ขึ้นครองราชย์ มากกว่ากัน ระหว่าง องค์โต ที่เกิดจาก ชูลับ ซึ่งเป็น พระเชษฐา ของฮ่องเต้ กับ โอรสองค์สุดท้อง ที่เป็น โอรสแท้ๆ ของฮ่องเต้ คำถาม อีกข้อ คือ สมมุติว่า ฮ่องเต้ มีโอรสองค์เดียว และสิ้นท่ามกลางสนามรบ ใครจะมีสิทธิขึ้นครองราชย์ต่อไป คำถามข้อสุดท้าย โอรส ที่เกิดจาก ฮองเฮา แต่ หลายคนคิดว่า ได้ตายไปแล้ว และกลับมาอีก ถามว่า เขามีสิทธิ เป็นรัชทายาท และ ได้ขึ้นครองราชย์หรือไม่ ถามอีกข้อนึง แต่ไม่เกี่ยวกับ รัชทายาท สมมุติว่า ไทเฮา ทำผิด ต้องโทษ ประหาร อยากทราบว่า สมมุติว่า ไม่ว่า ไทเฮา จะเป็นแม่เลี้ยง หรือ แม่แท้ๆ ฮ่องเต้ มีสิทธิตัดสินประหาร หรือไม่ (ในที่นี้ มี 2 กรณี คือ แม่เลี้ยง กับแม่แท้ๆ) |
vมังกรหลับv |
#187 vมังกรหลับv [ 07-08-2007 - 16:58:00 ] |
|
คำถามแรกขี้เกียจตอบละคับ ท่าน เอาไปค้นข้อมูลเอาเองดีกว่าข้าน้อยรู้ไม่มากอาจให้ความเข้าใจผิดๆได้ ส่วนข้อ 2 ไทเฮาก็มีสิทธิ์โดนประหารคับ แต่ส่วนมากฮ่องเต้ที่ไหนอยากจะฆ่าแม่ตัวเองมั่งละ ถึงจะผิดมากแค่ไหนก็คงจะไม่ฆ่าหรอก ถ้าฆ่าไปคนคงครหาว่าเป็นลูกเนรคุณ หนักๆหน่อยอาจจะมีราชโองการห้ามมายุ่มย่ามกับการบริหารราชการ หรือ ปลดจากตำแหน่ง แต่ที่โดนประหารก็น่าจะมีคับกรณีที่ฮ่องเต้องศ์นั้นเป็นหุ่นเชิด มีแต่ตำแหน่งแต่ไม่มีอำนาจ |
บุรุษนามผีเสื่อ | |
![]() |
มังกรหลับข้าขอโทษเรื่องที่ผ่านมา ยกโทษไห้ข้าด้วยข้าสำนึกผิดที่พูดจาไม่ดีต่อท่าน |
fhasatumton | |
![]() |
ราชวงศ์ซ่ง หรือ ราชวงศ์ซ้อง เป็นยุค ที่ฮ่องเต้อ่อนแอ และ มี ฮ่องเต้เด็ก มากที่สุด มากกว่า ราชวงศ์ใดๆ บนหน้า ประวัติศาสตร์จีน ข้าพเจ้าไปเจอมา |
vมังกรหลับv |
#190 vมังกรหลับv [ 07-08-2007 - 20:22:52 ] |
|
อย่างที่ผมเคยบอกไปล้วคับ ราชวงศ์ซ้องเป็นราชวงศ์ที่คนดีมีฝีมือไม่ควรจะรับราชการคับ เอาเวลาไปแต่งบทกวีดังๆดีกว่า เพราะกังฉินเยอะพอควร อำนาจทหารก็อ่อนแอ มีดีๆอยู่อย่างนึงก็บทกวี และ วรรณกรรมคับ ประเพณีรัดเท้าก็คล้ายๆว่าเกิดในยุคนี้ด้วยคับ คนในสมัยนั้นมักพูดกันว่า ใช้พู่กันได้คล่องแคล่ว 10 ปี ได้ดี กว่าควงดาบอยู่ในสมรภูมิ 20 ปี ราชวงศ์ซ้องจะเด่นๆก็เรื่องกาพย์เรื่องกลอน ส่วนเรื่องอำนาจทางการทหารนั้นอ่อนแอมากคับ ก็เพราะว่าปฐมกษัตริย์ของซ้องได้อำนาจจากการรัฐประหารเลยกลัวคนเดินรอยตาม จึงลิดลอนอำนาจทางทหารไปมากพอควร |
fhasatumton | |
![]() |
มาตรฐานสาวงามต่างยุค หลายคนสงสัยว่าความงามของผู้หญิงนั้นมีมาตรฐานหรือไม่ – คำตอบคือ “มี” แต่ยุคสมัยและสถานที่ที่แตกต่างบัญญัติกฎเกณฑ์ความงามที่ผิดแผกกัน บ้างมองร่างผอมๆ เป็นความงาม บ้างมองร่างท้วมๆ น่าพิสมัย บางคนมองว่าปากเล็กๆ สวยที่สุด บางคนว่าปากกว้างๆ มีเสน่ห์ดึงดูดใจ..... 1. ยุคหินใหม่ (เพศหญิงเป็นใหญ่) (ราว 6,000 – 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ผู้หญิงร่างกายใหญ่ล่ำสันแข็งแรง ซึ่งเป็นจุดเด่นของรูปปั้นเทพธิดาในยุคดังกล่าว ได้รับการยกย่องว่ามีความงดงาม ทำให้สันนิษฐานได้ว่า ความสามารถในการสืบพันธุ์และคลอดบุตรเป็นเกณฑ์วัดความงามของหญิงในยุคนี้ 2. ราชวงศ์เซี่ย-ซาง-โจว-ชุนชิว-จั้นกั๋ว ( 2,100 – 221ปีก่อนคริสต์ศักราช) ให้ความสำคัญกับความงามบนใบหน้าของหญิงสาว นิยมกุลสตรีท่าทางอ่อนแอบอบบางและเชื่อฟัง ซึ่งเป็นลักษณะความคิดของสังคมผู้ชายเป็นใหญ่ 3. ราชวงศ์ฮั่นตะวันตกจนถึงราชวงศ์ใต้และราชวงศ์เหนือ (202 ปี ก่อนคริสต์ศักราช-คริสต์ศักราช 589 ) - บูชาความงามสูงสุด ชื่นชมความงามแนวปรัชญา ซึ่งแม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังหาหญิงใดงามเปรียบกับมาตรฐานในยุคนี้ไม่ได้ แต่เมื่อถึงยุคราชวงศ์ใต้เหนือความคิดดังกล่าวก็เริ่มเสื่อมถอยลง 4. ราชวงศ์สุย-ราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 581-ค.ศ. 907 ) – สาวงามในยุคนี้ได้แก่ หญิงที่รูปร่างสมบูรณ์ หน้าผากกว้าง รูปหน้ากลม สุขุมเยือกเย็น สุขภาพดีและเป็นธรรมชาติ แต่หญิงสาวที่มีลักษณะแข็งแกร่งและอรชรอ้อนแอ้นก็ได้รับการชื่นชมเช่นกัน อีกทั้งในยุคดังกล่าวยังมีแฟชั่นการแต่งกายที่ค่อนข้างเปิดเผย กล่าวคือ การสวมชุดเผยเนินอกของหญิงสาว 5. ราชวงศ์ซ่ง(ซ้อง)-หยวน-หมิง-ชิง (ค.ศ. 960 - 1911 ) – นิยมผู้หญิงที่สุภาพอ่อนโยน ไหล่เล็ก หน้าอกแบน เอวคอด เท้าเล็ก ดังนั้นในยุคนี้จึงเกิดแฟชั่นรัดเท้า หรือ “เท้าดอกบัวทองคำขนาด 3 นิ้ว” ความเซ็กซี่ของผู้หญิงตัดสินจากขนาดเท้าที่เล็ก 6. ปลายราชวงศ์ชิงจนกระทั่งถึงยุคสาธารณรัฐจีน (ค.ศ.1911 -1949) – เท้าเล็กๆ เริ่มเสื่อมความนิยม แต่กลับมาให้ความสำคัญกับหน้าอกแทน ความงามแบบเซ็กซี่เริ่มปรากฏขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สังคมทั้งหมดยังคงยกย่องความงามแบบ “หลินไต้อี้ว์”* หรือ “สาวงามขี้โรค” เป็นแม่แบบ 7. หลังยุคสาธารณรัฐจีน – ความงามแบบตะวันออกและตะวันตกเริ่มผสมผสานกัน โดยในยุค 60 นิยมสาวเอวเล็กสะโพกใหญ่ งามแบบโครงกระดูกในยุค 70 งามแบบมีเนื้อมีหนังในยุค 80 และยุค 90 ก็เริ่มเข้าสู่ยุคความงามที่หลากหลาย |
fhasatumton | |
![]() |
อาหาร"ฮ่องเต้"ใช่...เลิศเลอ หลายคนอาจเข้าใจว่า อาหารระดับฮ่องเต้ มีคุณค่าทางโภชนาการ นานัปการ แต่หารู้ไม่ว่า ในโลกนี้ไม่มีอาหารวิเศษสุด เพียงแต่มนุษย์ ต้องบริโภคอาหาร ให้ครบห้าหมู่ และเข้าใจธาตุของตัวเอง รวมถึงความเป็นยินและหยาง อรการ กาคำ แม้จะเป็นนักชิมตัวยง แต่ก็ไม่เคยลิ้มรสอาหารจานเด็ด พระกระโดดกำแพง ดังนั้น เธอขันอาสา หาผู้รู้มาเล่าให้ฟัง ทั่วโลกยอมรับว่า อาหารจีนเป็นสุดยอดอาหารอร่อย สืบเนื่องจากอาหารในราชสำนักยุคเฟื่องฟู มักจะประโคมใส่ของดีมีคุณภาพ โสมตุ๋นยาจีน สารพัดบำรุงกำลัง จนมีราคาสูงลิบลิ่ว เกินกว่าสามัญชนคนธรรมดาในยุคปัจจุบันจะได้ลิ้มรส ยกตัวอย่าง พระกระโดดกำแพง มีเรื่องเล่าว่า องค์ชาย 14 แห่งราชวงศ์ชิง รู้ตัวว่า ถูกองค์ชาย 4 วางแผนชิงอำนาจ ทำให้พระองค์บรรทมไม่หลับ เสวย ไม่ได้ ผู้ปรุงอาหารในราชสำนัก จึงเปิดตำราระดมสุดยอดอาหาร เพื่อนำไปถวายบำรุงกำลังวังชาฮ่องเต้ อาหารชนิดนั้นต้องใช้กระบวนการตุ๋นถึง 18 ชั่วโมง ทันทีที่พระองค์เปิดฝาโถใส่อาหาร กลิ่นหอมของอาหารฮ่องเต้ ก็โชยออกสู่นอกพระราชวัง เข้าจมูกหลวงจีนวัดเส้าหลิน หลวงจีนก็เลยตบะแตก ทนไม่ได้ใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามกำแพงมาเอ่ยปากขอชิม อาหารสูตรนี้ จึงได้ชื่อว่า พระกระโดดกำแพง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บ้างก็บอกว่า เป็นเรื่องที่พระจีนกำลังออกบิณฑบาตอยู่ แต่ไม่มีใครใส่บาตรเลย พระท่านหิวมาก จนเกิดอาการตาลาย กระทั่งเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง กำลังปรุงอาหารอยู่ กลิ่นอาหารหอมเข้าจมูก พระท่านก็เลยกระโดดข้ามรั้วบ้านเข้ามา ทั้งสองเรื่องที่กล่าวมา ต่างเป็นเรื่องเล่า สุดยอดอาหารฮ่องเต้ พระกระโดดกำแพง เป็นสุดยอดอาหารฮ่องเต้ ราคาแพงมาก จึงเห็นได้ว่า หลายภัตตาคารโฆษณาเมนูเด็ด ‘พระกระโดดกำแพง’ ที่ไม่มีใครเหมือน แล้วพวกเขาแบ่งเกรดกันอย่างไร บางคนอาจนึกภาพไม่ออกว่า เมนูนี้เขาใส่เครื่องปรุงอะไรลงไปบ้าง แล้วทำไมมันถึงเป็นสุดยอดอาหารแพง ส่วนประกอบในพระกระโดดกำแพง มีตั้งแต่ หูฉลาม, ปลิงทะเล, กระเพาะปลาสด, รังนก, เป๋าฮื้อ ฯลฯ หูฉลามเองก็แบ่งได้หลายเกรด แต่ชนิดแพงสุด คือ ครีบหรือหูของ ‘ฉลามเสือ’ เส้นใหญ่เท่าไม้จิ้มฟัน ถือว่าเป็น ‘ราชาแห่งหูฉลาม’ ต้องมาจากประเทศ ‘โอมาน’ จึงจะถือว่ามีคุณภาพดี ราคาแพงที่สุดในโลก หูขนาด 14-16 นิ้ว ราคาขายชั่งละกว่าแสนบาท นอกจากนี้ ยังมี หมูแฮมจีน จากยูนนาน (ที่นี่จะมีอากาศหนาวทั้งปี ชนิดเย็นเฉียบเลยทีเดียว เขาจะมีกรรมวิธีเอาขาหมูไปฝังดินหมักด้วยความเย็นของดิน จะอร่อยวิเศษกว่าวิธีใดๆ) เอ็นกวาง, กระเพาะปลาสด (ถ้าเอามาปรุงพระกระโดดกำแพง ต้องเลือกอย่างหนา และต้องเป็นกระเพาะปลาตัวผู้เท่านั้น ตามธรรมชาติแล้วตัวผู้จะเนื้อแน่นกว่าตัวเมีย) เห็ดหอม, ปลิงทะเลแห้ง (อย่างดีต้องมาจากออสเตรเลีย ต้องแช่น้ำ 1 วันก่อนนำมาปรุงอาหาร เชื่อว่า ช่วยเสริมพลังเพศเป็นอย่างดี ไม่มีคอเลสเตอรอล), หอยเชลล์แห้ง (กังป๋วย), เป๋าฮื้อแห้ง (มีแบบขอบเขียว กับขอบดำ มีให้เลือก 20 เกรด ดีที่สุดต้องมาจากเม็กซิโก เป๋าฮื้อชั้นดี เวลาเอามีดกรีดลงไปในเนื้อ จะมีเสียง คลิก แสดงว่า เนื้อกรอบแน่น เอามาทำสเต๊กเป๋าฮื้อก็อร่อย) , นกเป็ดน้ำ (สมัยนี้ใช้ไก่ดำแทน เพราะนกเป็ดน้ำจะสูญพันธุ์แล้ว) รวมถึง โสมเกาหลี, ยาจีน (ฮ่วยชัง เก๋ากี้) และ เหล้าจีน และส่วนที่ขาดไม่ได้ ก็คือ ตังฉั่งเช่า ถ้าขาดเมื่อไหร่จะกลายเป็นพระปลอมทันที ‘ตังฉั่งเช่า’ เป็นหญ้าชนิดหนึ่ง ขึ้นในแถบทิเบต ช่วงดึกอากาศหนาวเย็น มันจะดูพลิ้วไหวตามสายลม ดูมีชีวิตชีวา มองคล้ายตัวหนอนคลานอยู่ตามพื้นดิน ราคาชั่งละประมาณ 60,000-200-000 บาท (1 ชั่งมี 6 ขีด) เมื่อได้ส่วนผสมทุกอย่างแล้วใส่รวมกัน เคี่ยวไฟอ่อนๆ ประมาณ 12-18 ชั่วโมง จึงได้เมนูเด็ด ‘พระกระโดดกำแพง’ ฮ่องเต้เสวยอะไร เมนูโปรดของฮ่องเต้ มีทั้งเนื้องู เนื้อชะมด หรือแม้แต่อุ้งตีนหมี ล้วนแต่เป็นเมนูบำรุงสุขภาพ เชื่อว่า เสวยแล้วจะมีกำลังวังชาดี ทั้งนี้ สุขสันต์ วิเวกเมธากร นักเขียนเรื่องจีนมีผลงานหนังสือกว่า 50 เล่ม และเป็นอาจารย์สอนภาษาจีนสุขสันต์วิทยา เห็นว่า ของดีๆ ทั้งหลายที่ฮ่องเต้เสวยไปนั้น หากเสวยมากเกินไปก็มีผลเสีย เพราะฮ่องเต้ ก็คือ มนุษย์ ลองคิดดูว่าร่างกายมนุษย์คนหนึ่งต่ออาหารมื้อหนึ่งจะบริโภคได้แค่ไหน บางครั้งอาหารดีๆ อาจเป็นพิษร้ายต่อพระองค์ด้วยซ้ำไป ที่สำคัญ ข้อมูลจีนที่ได้ศึกษา พบว่า จำนวนฮ่องเต้ 500 พระองค์มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 37.5 ปีเท่านั้น ทั้งที่เสวยแต่ของดีและราคาแพง ‘ถังไค่จง’ แห่งราชวงค์ถัง ถือว่าเป็นยอดมหาราชพระองค์หนึ่ง สวรรคตตอนอายุ 52 พรรษา เพราะอาหารผิดสำแดง มีฮ่องเต้หลายพระองค์ที่สวรรคตแบบนี้ รวมทั้งพระนางซูสีไทเฮา และขงจื้อ ด้วย “อาหารของฮ่องเต้ ก็แล้วแต่ละพระองค์จะโปรดปรานอะไร จะมาแบ่งเป็นอาหารฮ่องเต้ในแต่ละราชวงศ์ไม่ได้ เพราะบางราชวงศ์ตกต่ำ ก็ไม่ค่อยพิถีพิถันเรื่องอาหารการกิน อย่าว่าแต่อาหารฮ่องเต้เลย แม้แต่อาหารแบบธรรมดา ยังแทบไม่มีจะกิน อย่างเช่น ราชวงค์ฮั่นตอนปลาย ก่อนจะเป็น 3 ก๊ก ฮ่องเต้ต้องอยู่กับดิน กินกับทราย บางราชวงศ์บ้านเมืองสงบสุขดีแล้ว ฮ่องเต้ก็อยู่ในยุคที่ต้องเสพสุข หาความสำราญได้มาก เริ่มมีความฟุ่มเฟือยเข้ามาแทน นำของดีที่สุดทั่วแผ่นดินมาถวาย เป็นบรรณาการ (ภาษาจีนเรียกว่าจิ้มก้ง)“ ว่ากันว่า นางสนมเอกของฮ่องเต้พระองค์หนึ่งนามว่า ‘หยางกุ้ยเฟย’ โปรดปราน ‘ลิ้นจี่’ มาก สมัยก่อนไม่มีเครื่องบิน ไม่มีรถขนส่ง จึงต้องใช้ม้าเร็วนับพันกิโลเมตร เพื่อจะนำลิ้นจี่สดๆ ในภาคใต้ มาส่งที่นครซีอาน เมืองหลวง ผู้นำลิ้นจี่มาถวาย ต้องมาให้เร็วที่สุด เพื่อรักษาลิ้นจี่ให้สดเท่าที่จะสดได้ ทำให้ทั้งคนและม้าดีๆ ล้มตายลงระหว่างทางมากมาย เป็นเหตุหนึ่งของการล่มสลายราชวงศ์ถัง “ฮ่องเต้ที่เฟื่องฟูมีอาหารเสวยเยอะ เป็นร้อยเป็นพันอย่างในแต่ละมื้อ ท่านเสวยไม่หมดในคราวเดียว ก็จะเหลือให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ไล่มาจนถึงชั้นผู้น้อย ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของแต่ละสมัย บางพระองค์โปรดอาหารง่ายๆ กินอาหารดีทุกวันๆ ก็เบื่อ อยากมากินอาหารข้างถนนก็มี” อาหารฮ่องเต้ต้องวิเศษกว่าใคร แม้แต่ไก่ธรรมดาๆ นำมาถอนขน ถ้าเป็นอาหารชาวบ้าน ก็แค่ทำให้สุก แต่อาหารฮ่องเต้ต้องนำมาประดิดประดอยให้พิเศษกว่าเดิม ยกตัวอย่าง ‘ไก่’ ก็ต้องเรียกว่า ‘หงส์’ หรือ ‘งู’ ก็เรียก ’มังกร’ เหมือนอาหารไทยที่เรียก ‘ผ้าขี้ริ้ว’ ว่า ‘สไบนาง’ เวลาฮ่องเต้เสวย ก็จะมีการแสดงต่างๆ เช่น ฟ้อนรำ, ดนตรี จึงพัฒนามาเป็นศิลปวัฒนธรรมของชาวจีน และอาหารจีนมีการพัฒนาพิถีพิถัน จนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก “ฮ่องเต้มีสนมเยอะ ก็เลยมีการคิดสูตรอาหารบำรุงพลัง กระชุ่มกระชวย เพื่อรับศึกจากนางสนม อาหารบางอย่างก็ใช้ได้ บางอย่างก็เป็นการหลอกต้มกันก็มี อาหารฮ่องเต้ที่วิลิศมาหราขนาดไหน อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด ร่างกายคนเราต่อให้เป็นฮ่องเต้หรือใครก็ตาม ก็ถูกจำกัดโดยลักษณะกายภาพ เราจะเห็นว่า ฮ่องเต้ก็มีทั้งอ้วนทั้งผอม อายุสั้น อายุยืน อยู่ที่ว่าเสวยอะไร เอาไปใช้งานได้มากน้อยเท่าไหร่ ถ้าบำรุงร่างกายมากเกิน แล้วพระองค์หักโหมเกินกำลัง ฮ่องเต้หลายพระองค์ สวรรคตก่อนเวลาอันสมควร เพราะสิ่งเหล่านี้“ ร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน บางคนมีธาตุน้ำเยอะ บางคนมีธาตุไฟเยอะ หากมีธาตุไฟเยอะไม่ควรรับประทานอาหารที่บำรุงกำลังมากๆ เช่น โสมต่างๆ เพราะสมุนไพรโสมเกิดในเมืองหนาว แต่เมืองไทยเป็นเมืองร้อน “อาหารฮ่องเต้นับร้อยนับพันอย่าง ถูกชิมโดยขันทีนับร้อยนับพันคน ชิมคนละอย่าง ก็ไม่เป็นไร ยกตัวอย่างง่ายๆ ขันทีคนหนึ่งชิมเหล้า อีกคนหนึ่งชิมทุเรียน ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าฮ่องเต้องค์เดียวกันเสวยทั้งน้ำจันและทุเรียน ก็เสร็จ เพราะสองอย่างเข้าไปชนกัน จะมีปฏิกิริยาทางเคมีต่อกัน และยังมีอาหารอีกจำนวนมากที่มีลักษณะเช่นนี้ ในตัวคนเรามีธาตุไม่เหมือนกัน เช่น ธาตุดิน ทอง (เช่น ถ้าขาดธาตุเหล็ก หรือแมกนีเซียม จะเป็นโรคโลหิตจาง ต้องรับประทานตับ ซึ่งมีธาตุเหล็กมาก แต่ต้องระวังเพราะเครื่องใน คือ ตัวกรองของเสียในร่างกาย ต้องทำให้สะอาด รับประทานมากไม่ดี) ส่วนธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุไม้ ถ้าเราขาดธาตุไหน ก็ควรรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุดังกล่าว” ปกติแล้วอาหารฮ่องเต้จะมีราคาแพง อย่างอุ้งตีนหมี ปัจจุบันเป็นสัตว์อนุรักษ์ไปเรียบร้อยแล้ว เมนูงู และชะมด ต่างๆ ไม่เป็นที่ยอมจากทั่วโลก อีกเมนูอาหารจีนที่แพง ก็คือ ‘ปูขน’ มีบางพื้นที่และจับได้บางฤดูกาลเท่านั้น เป็นสัตว์ที่แทบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว เพราะมีความนิยมอย่างสูง สมัยก่อนราคาตัวละพันบาท ความอร่อยอยู่ที่การปรุงรสมากกว่า รสชาติก็เหมือนปูทะเลธรรมดา เพียงแต่เป็นสัตว์หายาก มีเฉพาะฤดูกาล จึงเป็นที่นิยมมาก “มีฮ่องเต้บางราชวงศ์เสวยอาหารพวกนี้แล้ว ก็ให้เวลากับภารกิจทางเพศกับนางสนมจำนวนมาก แม้จะมีเรื่องศึกทางชายแดน ก็ไม่สนใจ ส่งคนนั้นคนนี้ออกไปรับผิดชอบ ตัวเองยุ่งแต่เรื่องรัก สมองพระองค์ไม่ได้สนใจ จนถึงขนาดมีฮ่องเต้บ๊องๆ องค์หนึ่ง ทำให้ประเทศย่อยยับ ประชาชนยากจน ไม่มีข้าวจะกิน พระองค์ก็บอกว่าไม่มีข้าวกิน ก็กินเนื้อสัตว์แทนสิ แสดงว่า ท่านไม่มีสติเลย ยากจนไม่มีข้าว แล้วจะมีเนื้อสัตว์ได้อย่างไร หรือฮ่องเต้อีกพระองค์ พอมีสติขึ้นมานิดหนึ่ง แต่ก็ยังโง่อยู่ มีคนมารายงานว่า ประชาชนยากจน ลำบากเรื่องอาหารการกิน พระองค์คิดได้ว่าในราชสำนักก็ควรประหยัดด้วย มีอาหารอะไรง่ายๆ ไหม ก็มีเต้าหู้เป็นอาหารจากถั่วเหลือง พอตรวจท้องพระคลังแล้ว เต้าหู้ในราชสำนักราคาแพงกว่าในท้องตลาดนับพันเท่า ก็เลยถามกลับไป ขันที ตอบว่า เต้าหู้ฮ่องเต้ต้องพิเศษกว่าใคร ถั่วเหลืองต้องปลูกในนาแปลงพิเศษ วิเคราะห์ดูแล้วว่า ผืนนาแห่งนี้จะผลิตถั่วเหลืองได้ดีที่สุด และชาวนาก็ไม่ธรรมดาต้องเป็นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ปลูกถั่วคัดเม็ด 100 กิโลกรัม คัดเม็ดที่ดีที่สุดมาได้แค่ 1 กิโลกรัมเท่านั้นเอง ….” ไม่เพียงเท่านั้น ฮ่องเต้บางพระองค์ อยากสัมผัสชีวิตธรรมดา หนีออกจากวังไปชิมอาหารข้างถนน จนมีเมนู ไก่ขอทาน ขึ้นเหลา เป็นอาหารจีนที่แพงอีกเมนูหนึ่งเลยทีเดียว ต้องเข้าใจ ยิน-หยาง พวกช้าง ม้า วัว ควาย ต่างเป็นสัตว์ใหญ่กินพืชเป็นอาหารหลัก นั่นก็คือ ธรรมชาติจัดสรรให้เกิดความลงตัว สัตว์ใหญ่เหล่านี้ ถ้ากินสิ่งมีชีวิต คงมีสิ่งมีชีวิตตายไปไม่รู้เท่าไหร่ สัตว์พวกนี้ออกจะดูเชื่องช้า ซึ่งมีเกี่ยวข้องกับความเป็น ยิน (ความเย็น หรือหญิง ต้องออกเสียงให้ถูกต้อง ถ้าออกเสียงว่าหยิน ในภาษาจีนจะแปลว่าตัณหา ราคะ) และ หยาง (ความร้อนหรือผู้ชาย) ร่างกายคนเราจะมีความเป็นยินและหยาง อาหารที่เป็นหยาง เช่น มะละกอ สังเกตง่ายๆ มะละกอมียาง ก็คือ หยาง ส่วนแตงโมก็เป็นยิน ถ้ารู้จักใช้ นำเปลือกแตงโมมาถูผิวพรรณก็จะสวยงามเปล่งปลั่ง บางคนแม้จะอยู่บ้านเดียวกัน แต่ชอบอาหารต่างกัน แล้วแต่ร่างกายของแต่ละคนที่เป็นยิน หยาง หากคนที่มีร่างกายเป็นหยาง แต่ไปรับประทานอาหารเผ็ดร้อน เป็นหยางมากๆ ก็จะทำให้ร้อนใน รู้สึกไม่สบาย อย่างข้าวเหนียวเป็นหยาง คนจีนนำมาบดให้กลายเป็นแป้ง เพื่อลดความเป็นหยาง จึงทำเป็นเกี๊ยว ขนมจีบ ซาลาเปา พอนำไปนึ่ง (เพราะการนึ่งมีส่วนผสมของน้ำเยอะ และน้ำเป็นยิน) ก็จะกลายเป็นการลดความเป็นหยางให้กลายเป็นยิน ต่างจากอาหารฝรั่ง นำขนมปังไปอบ ทำให้กลายเป็นหยาง รับประทานแล้วร้อน เพราะฝรั่งอยู่เมืองหนาวต้องการอาหารที่เป็นหยาง เพื่อความอบอุ่นของร่างกาย เนื้อสัตว์ก็มีการแบ่งยิน-หยาง เช่น ปลาเป็นยิน และเนื้อสัตว์เป็นหยาง ส่วนผสมก็สำคัญ ถ้าเป็นยินแล้วนำมาทำต้มยำใส่พริก น้ำปลา และมะนาว รสจัดจ้านก็จะแปลสภาพเป็นหยางไป วิธีสังเกตง่ายๆ ถ้าตัวเรามีธาตุไฟเยอะ ก็คือ หยาง ต้องทานอาหารที่มีความเป็นยิน เพื่อให้ร่างกายเกิดความสมดุล ดื่มน้ำมากๆ ตื่นเช้ามาดื่มน้ำ 3-4 แก้ว ค่อยๆ ฝึกดื่ม อย่างไรก็ตาม หากจะรับประทานอาหารประเภทไหน ก็ควรรับประทานอย่างมีปัญญา เท่าที่ร่างกายของตัวเองต้องการ ให้รู้สึกว่ากินแล้วพอดี อิ่มสบายท้อง ไม่ใช่กินเพราะเชื่อตามโฆษณา คิดง่ายๆ อย่าง ‘อุ้งตีนหมี’ ขนาดตัวหมีเอง ยังอดอยากเอาตัวเองไม่รอด จนสัตว์พวกนี้แทบจะสูญพันธุ์แล้ว ฉะนั้นตัวมันจะมีคุณค่าทางอาหารได้อย่างไร อาหารฮ่องเต้ก็เช่นกัน เป็นสิ่งปรุงแต่งเพื่อธุรกิจ เป็นความฟุ้งเฟ้อของกษัตริย์จีนในอดีตที่ถ่ายทอดมาถึงคนรุ่นหลัง ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งฐานะ และความมีอันจะกิน ที่ไม่ผิดแผกแตกต่างกันเลย กินอย่างมีสติกันดีกว่า ซินเจียอยู่อี่ ซินนี้ ฮวดใช้ สวัสดีปีใหม่ค่ะ !!! พระกระโดดกำแพง สูตรเด็ดพระกระโดดกำแพงแต่ละแห่ง จะปรุงไม่เหมือนกัน แต่ต้องมี ‘ตังฉั่งเช่า’ เป็นสมุนไพรจีนชนิดหนึ่งลักษณะจะคล้ายตัวหนอนมาจากทิเบต ถ้าขาดสมุนไพรตัวนี้ ก็จะไม่ใช่พระกระโดดกำแพงของจริง ปกตินิยมเสิร์ฟกัน 3 ชั้น 3 หน ชั้นแรก เริ่มจากหูฉลาม-แฮมยูนนาน ก่อน ชุดที่สอง ปลิงทะเล, กระเพาะปลา, เห็ดหอม และชุดที่สาม เป็นกังป๋วย, เป๋าฮื้อ, เอ็นกวาง หลังจากกินครบ 3 ชั้นแล้ว คนเสิร์ฟจะตักยาจีนและไก่ดำแจก เป็นอันเสร็จพิธี พระกระโดดกำแพงชั้นยอด 1 โถ ราคาประมาณ 15,000 บาท ตักเป็นถ้วยเล็กๆ ได้ 10 ถ้วย ตกประมาณถ้วยละ 1,500 บาท ลองคิดดูว่า อาหารชั้นดีเมื่อนำมาเคี่ยวนานๆ แล้วจะเหลือคุณค่าอะไรบ้าง ที่แน่ๆ คงได้ลิ้มรสความสดชื่นจากสมุนไพรจีนเป็นอันดับแรกเท่านั้นเอง ไปอ่านเจอมา ทั้งนั้น |
fhasatumton | |
![]() |
หลังจากจักรพรรดิซุ่นจื้อสวรรคต เสี้ยวจวงไทเฮาก็ตั้งให้องค์ชาย 3 เสวียนเยี่ย เป็นจักรพรรดิองค์ต่อมา ใช้ชื่อรัชกาลว่า คังซี... จักรพรรดิคังซี เป็นจักรพรรดิที่ทรงครองราชย์นานมากเหมือนกัน 60 ปี (เท่าพระเจ้าอยู่หัวของเราเลย) ทรงเป็นนักรักพระองค์หนึ่ง เลยทำให้ผลสุดท้ายเกิดการแย่งชิงอำนาจในหมู่โอรสทั้งหลาย ในตอนแรกคังซีตั้งให้ อิ้นเหริงโอรสองค์ที่ 2 ทรงโปรดปรานมากเป็นรัชทายาทหรือไท่จือ ทรงเลี้ยงดูมาด้วยพระองค์เองแล้วก็มีครูอาจารย์เชี่ยวชาญลัทธิขงจื้อเป็นพิเศษมาอบรม แต่ผลกลับตรงข้าม ยิ่งโตขึ้นก็กลายเป็นเจ้าที่โหดร้าย เจ้าเล่ห์แสนกล ริษยาแม้กระทั่งพระราชอำนาจขององค์จักรพรรดิซึ่งเป็นพ่อแท้ๆ แต่ที่เลวร้ายที่สุด องค์รัชทายาทอิ้นเหริงดันเป็นโฮโม - -" ชอบคบหาเสมียนในวังแทนหญิงสาว ละก็ยังติดต่อซื้อเด็กผู้ชาย จากพวกค้าทาสในซูโจว เห้อ... ต่อมาเมื่อคังซีรู้แน่ชัดว่าลูกคนโปรดมีคู่สวาทเป็นชาย คังซีก็ทรงถอดถอนออกจากตำแหน่งรัชทายาท แต่ยังไงก็ลูกรักนี่นะ คังซีเลยโยนความผิดให้แก่ภูติผีปีสาจไปซะงั้น จากนั้นก้ประหารภิกษุนิกายลามะไปหลายรูปในข้อหาว่า ใช้เวทมนตร์คาถาทำให้โอรสของพระอง๕ผิดผู้ผิดคนไป แล้วก็กลับไปตั้งอิ้นเหริงป็นรัชทายาทอีกครั้ง... แต่อิ้นเหริงก็ไม่เคยทำอะไรที่เป็นมงคลเลย ต่อมาคังซีทรงทราบว่าอิ้นเหริงวางแผนคบคิดกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคน จะขึ้นครองราชย์ซะเอง แล้วยังชอบแอบดูผู้คนในที่ลับ ถ่มน้ำลายใส่ข้าราชบริพารที่ไม่ชอบ สบถสาบานเป็นประจำ คังซีเลยตัดสินใจถอดอิ้นเหริงออกจากตำแหน่งอีกครั้ง ทำให้ราชสำนักปราศจากรัชทายาท ขุนนางเลยพากัน ไปหนุนหลัง ร่วมเข้าเป็นพวกกับโอรสของคังซีที่มีแววว่าจะได้เป็นรัชทายาท แต่คังซีก็ไม่ได้ตั้งใคร เพราะผิดหวังกะอิ้นเหริง จนสุดท้ายจักรพรรดิคังซีก็สวรรคต โอรสที่ได้ครองราชย์ต่อมาคือ องค์ชายอิ้นเจิ้น โอรสองค์ที่ 4 กะหญิงสาวใช้ในวัง จริงๆแล้วในวันที่คังซีสวรรคต อิ้นเจิ้นได้ขี่ม้าไปยังตำหนักที่คังซีประชวรอยู่ เข้าไปในห้องบรรทมของคังซี แล้วก็ออกมาจากห้องพร้อมประกาศว่า จักพรรดิคังซีทรงแต่งตั้งให้ตนเป็นรัชทายาทสืบราชบัลลังค์ คำกล่าวนี้ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง เพราะคังซีกะลังประชวรหนักใกล้สิ้นพระชนม์อยู่แล้ว หรืออาจสิ้นพระชนม์ไปสดๆร้อนๆด้วยน้ำมือของอิ้นเจิ้นก็ไม่รู้ แต่ในที่สุดก็ตั้งตนเป็นจักพรรดิ(องค์ที่ 3 )ของราชวงศ์ชิง ทรงพระนามว่า ซือจง มีชื่อรัชกาลว่า หย่งเจิ้ง. |
fhasatumton | |
![]() |
ผมไป copy มา แต่อ่านมาหมดแล้ว |
fhasatumton | |
![]() |
จีนมีคำพูดว่า ฝูงสิงโตที่มีแพะเป็นผู้นำสู้ฝูงแพะที่มีสิงโตเป็นผู้นำไม่ได้ แสดงถึงความสำคัญของนายพลในสงคราม เมื่อศตวรรษที่2ก่อนคริสกาล ราชวงศ์ฮั่นได้สถาปนาขึ้น รัฐบาลฮั่นกับชนชาติซงหนู ทางภาคตะวันตกคงสันติภาพไว้ด้วยการแต่งงานระหว่างชนสองชาติ ชาวฮั่นและชาวซงหนู สองฝ่ายจึงไม่ได้ก่อสงครามใหญ่ แต่หลังจากนั้น มีคนร้ายยั่วยุให้ผู้นำของซงหนูตัดความสัมพันธ์กับรัฐบาลฮั่น ในปี158ก่อนคริสตกาล ทหารซงหนูรุกรานชายแดนของราชวงศ์ฮั่น ฆ่าประชาชนฮั่นและปล้นสิ่งของต่างๆของชาวฮั่น หอจุดไฟสัญญาณที่ชายแดนพากันจุดไฟส่งสัญญาณเตือนภัย แสงไฟสว่างกระจายอยู่ทั่วไป แม้อยู่ในเมืองฉางอัน เมืองหลวงของราชวงศ์ฮั่นก็ยังมองเห็นได้ชัด จักรพรรดิฮั่นเหวินตี้จึงมีรับสั่งให้นายพลสามนายนำทหารสามกองไปต่อสู้กับชาวซงหนู เพื่อป้องกันเมืองฉางอัน แล้วมีรับสั่งให้นายพลอีกสามนายนำทหารไปประจำที่ฐานใกล้ๆเมืองฉางอัน นายพลหลิวหลี่ประจำที่ป่าซ่าง นายพลสวีลี่ประจำที่จิงเหมิน ส่วนนายพลโจวย่าฟูประจำที่ซี่หลิ่ว ครั้งหนึ่ง จักรพรรดิทรงเสด็จเยี่ยมทหารที่ประจำในที่สามแห่งดังกล่าว และเสด็จแวะตรวจตรา พระองค์เสด็จถึงป้าซ่างก่อน เมื่อนายพลหลิวหลี่และพลทหารเห็นจักรพรรดิเสด็จ ก็รีบจัดพิธีต้อนรับมโหฬารเพื่อต้อนรับพระองค์ หน่วยรถม้าของจักรพรรดิทรงเข้าไปในฐานทัพ ไม่มีใครกล้าขวางทาง พระองค์ประทับอยู่ในฐานทัพป้าซ่างไม่นานก็เสด็จจากไป พวกนายพลและทหารก็รีบจัดการส่งเสด็จ ต่อจากนั้น จักรพรรดิก็เสด็จถึงจิงเหมิน นายพลสวีลี่ได้จัดงานต้อนรับมโหฬารเหมือนกัน สุดท้าย จักรพรรดิเสด็จถึงซี่หลิ่ว ทหารยามในฐานทัพของนายพลโจวย่าฟูเห็นมีทหารหน่วยหนึ่งมาแต่ไกล รีบรายงานต่อโจวย่าฟู พวกนายทหารและพลทหารรีบสวมใส่เสื้อเกราะ ถือธนูและดาบไว้ในมือ ทำตัวเหมือนเตรียมจะต่อสู้กับศัตรู ทหารกองหน้าขบวนเสด็จของจักรพรรดิไปถึงหน้าฐานทัพ ทหารยามที่เฝ้าฐานทัพรีบขวางหน้าไว้ ไม่อนุญาตให้เข้าไป ข้าราชการของหน่วยนำเสด็จตะโกนเสียงดังว่า จักรพรรดิเสด็จ ทหารเฝ้าประตูฐานทัพตอบโดยไม่กลัวเลยว่า “ในฐานทัพเราฟังแต่คำสั่งของนายพล นายพลไม่มีคำสั่ง เราจะให้พวกท่านเข้าไม่ได้” ข้าราชการกำลังจะโต้ตอบกับทหารเฝ้าประตูฐานทัพ รถทรงของจักรพรรดิก็เสด็จถึงแล้ว แต่ทหารเฝ้าประตูฐานทัพยังขวางกั้นทางของจักรพรรดิตามเดิม จักรพรรดิจึงต้องมีรับสั่งให้ผู้ติดตามแสดงสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ สั่งคนให้บอกโจวย่าฟูว่า “เราจะเข้าไปเยี่ยมทหารที่ฐานทัพ” โจวย่าฟูจึงสั่งให้เปิดประตูฐานทัพ ให้หน่วยรถม้าของจักรพรรดิเข้าไป หน่วยรถม้าของจักรพรรดิเมื่อเข้าไปในฐานทัพ ทหารเฝ้าประตูฐานทัพก็บอกพวกเขาอีกครั้งว่า “ในฐานทัพมีกฎระเบียบ ไม่ให้รถม้าแล่นในฐานทัพ” ข้าราชการที่ตามเสด็จจักรพรรดิต่างโกรธมาก แต่พระองค์กลับตรัสให้พวกเขาใจเย็นๆ เดินเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อไปถึงค่ายกลาง ก็เห็นโจวย่าฟูสวมเสื้อเกราะเต็มตัว ถืออาวุธไว้ ยืนอยู่ต่อพระพักตร์จักรพรรดิอย่างสง่างาม ยกมือขึ้นถวายบังคัล ทูลว่า “ข้าพระองค์สวมเสื้อเกราะเต็มตัว ไม่อาจคุกเข่าถวายความเคารพ ขอได้ทรงพระกรุณาอนุญาตให้ข้าพระองค์เข้าเฝ้าตามระเบียบของทหาร” จักรพรรดิทรงฟังคำกราบทูลของเขา จึงทรงตื้นตันพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงจับงอนรถม้าโน้มพระองค์ลงเล็กน้อย ตอบคำกราบทูลของโจวย่าฟู ต่อจากนั้น มีรับสั่งให้คนเอาใจใส่นายทหารและพลทหารทั้งหลาย หลังการเยี่ยม จักรพรรดิเสด็จจากซี่หลิ่ว ระหว่างทางกลับฉางอัน ผู้ตามเสด็จจักรพรรดิล้วนรู้สึกโกรธมาก เห็นว่าโจวย่าฟูไม่เคารพจักรพรรดิ แต่พระองค์กลับทรงชื่นชมโจวย่าฟูมากว่า “เห็นไหม นี่คือนายพลดี ทหารในป้าซ่างและจิงเหมินสองที่ ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม ถ้ามีศัตรูแอบเข้าโจมตี จะถูกจับแน่นอน แต่ฝึกทหารเหมือนโจวย่าฟู ศัตรูที่ไหนก็ไม่กล้าไปรุกราน” จากการสำรวจครั้งนี้ จักรพรรดิทรงเห็นว่าโจวย่าฟูเป็นนายพลที่ดีเยี่ยมแน่แท้ ปีต่อมา จักรพรรดิฮั่นเหวินตี้ทรงพระประชวรหนัก ในยามใกล้จะสวรรคต จักรพรรดิมีรับสั่งหาโอรสมาเฝ้าหน้าพระแท่นบรรทม ตรัสว่า “ในอนาคต ถ้าประเทศเราเกิดการกบฏ ต้องให้โจวย่าฟูนำกองทหาร จำไว้ดีๆ” หลังจากจักรพรรดิฮั่นเหวินตี้สวรรคต หลิ่วฉี โอรสของพระองค์ขึ้นครองบัลลังก์ เป็นจักรพรรดิฮี่นจิ่งตี้ เนื่องจากจักรพรรดิฮั่นจิ่งตี้ยังทรงพระเยาว์ ผู้นำ7เมืองที่มีหลิวสิ่ง ผู้นำเมืองอู๋เป็นหัวหน้าจึงมุ่งหมายก่อกบฏแย่งชิงราชบัลลังก์จากจักรพรรดิฮั่นจิ่งตี้ พระองค์จึงทรงมีรับสั่งให้โจวย่าฟูไปปราบปรามการกบฏให้สงบลง ในการร่วมกันโจมตี โจวย่าฟูได้ใช้กลยุทธ์เฝ้าอย่างเดียวแต่ไม่เข้าโจมตี มีอยู่หลายครั้ง ที่จักรพรรดิฮั่นจิ่งตี้ทรงมีรับสั่งให้เขาเข้าต่อสู้กับทหารกบฏ แต่เขาก็มิได้ทำตามรับสั่งของจักรพรรดิ โจวย่าฟูรู้ว่า แม้ว่าทหารกบฏเข้มแข็งมาก แต่พวกเขาเป็นฝ่ายกบฏ ไม่มีประชาชนสนับสนุน การก่อกบฏของพวกเขาจึงไม่น่าคงอยู่ได้นาน สุดท้ายก็เหมือนที่โจวย่าฟูคาดไว้ ยิ่งเวลาผ่านไป ทหารกบฏก็ยิ่งร้อนใจ พยายามจะรุกเข้าเมืองหลายครั้ง แต่โจวย่าฟูเฝ้าอย่างเดียวไม่สนใจเลย ต่อจากนั้น ทหารกบฏก็ใช้กลยุทธ์ทำที่จะไปตีทางหนึ่ง แต่ที่จริงรุกไปอีกทางหนึ่ง แต่ในสุดโจวย่าฟูก็ทำลายความตั้งใจของพวกเขา ในที่สุด ทหารกบฏจึงต้องถอยไป โจวย่าฟูรีบสั่งทหารตามไป และโจมตีทหารกบฏจนสำเร็จ หลิวสิ่งก็ถูกฆ่าตายระหว่างทางหนีกลับ ผู้นำอีก6คนเห็นหลิวสิ่งเสียชีวิต ทหารกบฏก็พ่ายแพ้ไป ก้ได้แต่ฆ่าตัวตายไปด้วย การปราบปรามการก่อกบฏของผู้นำ7เมืองให้สงบลงนั้น ได้รักษาความเป็นเอกภาพของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก เสริมอำนาจรวมส่วนกลางให้แข็งแรงยิ่งขึ้น จนเกิดยุคที่เจริญรุ่งเรืองในประวัติศาสตร์จีน |
fhasatumton | |
![]() |
อยากทราบว่า ราชวงศ์ไหน ยิ่งใหญ่ที่สุด และ รุ่งเรืองที่สุดครับ |
fhasatumton | |
![]() |
ใครรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ องค์ชาย 5 หย่งฉี บ้าง ที่เป็น โอรส ของเฉียนหลงฮ่องเต้อ่ะ |
sos005 | |
![]() |
ท่านอาจารย์มังกรหลับครับ หลังจากพระเจ้าเล่าเสียนแพ้ราชวงศ์ฮั่นจบสิ้นทุกอย่างเล่าเสียนทุกฆ่าเปล่าครับแล้วก็ทุกใครฆ่าครับ |