ส่วนยุทธจักรเส้าหลินตำนานระบุว่า ถือกำเนิดขึ้นในราว 23 ปี ก่อน พ.ศ. (ค.ศ. 520) โดยท่าน โพธิธรรม สมณะใน พระพุทธศาสนาผู้ จาริกมาจากอินเดีย ท่านเป็นผู้ริเริ่มการฝึกฝนออกกำลังกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ แข็งแรง ลักษณะการเคลื่อนไหวของ ร่างกายในการ ฝึกฝน นั้น ท่านได้เลียนแบบมาจากท่าที ของสัตว์ชนิดต่างๆ ที่ได้พบเห็นมา และ นับแต่นั้น ภิกษุแห่งวัด เส้าหลินก็ถือปฏิบัติ การฝึกฝน ร่างกายรวมทั้งวิทยายุทธ์ ทั้งหลาย เป็นวัตรประจำวัน
อันการที่ภิกษุจำต้องเรียนรู้วิทยายุทธ์นั้น ก็เนื่องมาจากวัดเส้าหลินอยู่ทางดินแดน ภาคใต้ โดยดินแดนตอนเหนือมีราชวงศ์เว่ยปกครอง และมีท่าทีคุกคามสถานภาพของ พุธทศาสนา ทางตอนใต้ พระท่านจึงต้องเตรียมรับมือไว้ครับ หาใช่ฝึกไปเข่นฆ่ารุกรานใครไม่
หลักวิทยายุทธ์ของเส้าหลินนั้น จะเน้นไปในด้านความแข็งแกร่ง ของกล้ามเนื้อและกระดูก เคลื่อนไหวรวดเร็วและมีพละกำลัง ซึ่งจะต่างกับ บู๊ตึ๊ง ซึ่งเป็นอีกสำนักยุทธจักรหนึ่ง ซึ่งเน้นไปทางด้านนิ่มนวล หรือที่เรียกกันว่าใช้ความอ่อนโยนสยบความ ดุดันนั่นแหละครับ
แต่ไม่ว่าจะเป็นเส้าหลินหรือบู๊ตึ๊ง ต่างก็ต้องศึกษา พื้นฐานวิทยายุทธ์อันเดียวกันก่อน ซึ่งมีอยู่ 2-3 อย่าง อาทิ
กำลังภายใน (เหน่ยลี่) จัดว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญ ที่สุดก็ว่าได้ เพราะหากว่าปราศจากกำลังภายในอัน แข็งแกร่งเสียแล้ว การจะเหาะเหินหรือจี้จุดก็มิอาจ จะกระทำได้ดังใจ ซึ่งความสามารถ พิเศษนี้จะ เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนักสู้มี จิตใจที่สงบแน่วแน่ลุ่มลึก เรียกว่าต้องใช้ สมาธินั่นแหละครับ มีการควบคุม การหายใจให้แผ่วเบาสมํ่าเสมอ ทั้งนี้ คนทั่วไป จะหายใจเข้าราวๆ 18 ครั้งต่อนาที แต่นักสู้ผู้กล้าจะ สามารถควบคุม การหายใจเข้าจนเหลือเพียง 3 ครั้งต่อนาทีเท่านั้น ซึ่งตามหลัก วิทยาศาสตร์แล้ว ผู้ใดที่มีการหายใจช้ากว่าก็จะมี หัวใจและปอด รวมทั้งร่างกายที่แข็งแรงกว่า ครับ ซึ่งเมื่อควบคุมสมาธิได้แล้ว เหล่าจอมยุทธ์ก็สามารถ รวบรวมพลังให้เป็นหนึ่งเดียวไปที่ นิ้วหรือฝ่ามือจนมีพลานุภาพ อาจทำลายแม้กำแพงอัน แข็งแกร่งได้โดยง่าย
การสกัดจุด ได้แก่ การใช้นิ้วจี้จุดสำคัญ อันเป็น ศูนย์ ประสาทบนร่างกายของศัตรู ทำให้มัน ผู้นั้น ถึงแก่การเป็นอัมพาต มิอาจเคลื่อนไหวร่างไป ชั่วขณะ ซึ่งผู้มีวิทยายุทธ์นี้จะต้องเรียนรู้ถึง ตำแหน่งจุดสำคัญนั้น ซึ่งมีอยู่มากมายทั่วร่าง โดยหลักการถือว่าเมื่อจี้จุดดังกล่าวแล้ว จะทำให้ กระแสโลหิตถูกปิดกั้น มิอาจไหลวนเวียนไปเลี้ยง ร่างกายได้ เกิดอาการชา และถ้าถูกปิดกั้นนานๆ ก็ส่งผลให้ ถึงแก่เด๊ดสะมอเร่ได้ครับ
พลังดัชนี (จินก้งจือ) ได้แก่ การฝึกให้นิ้ว มีความแข็งแกร่งดุจเพชร แรกๆ ก็เริ่มจากการ ฝึกทิ่มทะลวงวัสดุอ่อนๆ เช่น ต้นกล้วย ต้นไม้ อิฐ ไปจนถึงกำแพงและหินผา ฝึกกันทั้งวันทั้งคืน จนสามารถทิ่มศิลาเป็นรูโบ๋ได้อย่างง่ายดาย ก็ถือว่า สำเร็จวิทยายุทธ์นี้แล้ว
วิชาตัวเบา (ฉิงกง) เป็นเทคนิคการฝึกฝน ร่างกายให้ตัวเบาและว่องไว ก็อย่างที่เห็นนักสู้ ผู้กล้าสามารถเหินขึ้นไปต่อกรกันบนยอด ไม้หรือบนหลังคาเก๋งจีนนั่นแหละครับ นักบู๊บางคนถึง กับเดินบนผิวนํ้าในทะเลสาบได้อย่างสบายๆ ซึ่งแท้จริงแล้วอาจจะ “เว่อร์” ไปหน่อย เพราะใน คัมภีร์กังฟูของเส้าหลินนั้น อย่างเก่งก็เพียงแต่ฝึกให้นักสู้สามารถตัวเบาเกาะไต่กำแพงสูงๆ ขึ้นไปได้คล้ายจิ้งจกเท่านั้น ซึ่งแค่นี้ก็ต้องฝึกกันเป็นปีๆ อย่างเหน็ดเหนื่อยรวดร้าวกว่าจะมี ความชำนาญ
นอกเหนือจากการฝึกต่อสู้ด้วยมือเปล่าดังกล่าวแล้ว นักสู้ก็ยังเรียนรู้ถึงการใช้อาวุธได้ด้วย ซึ่งมีอยู่ หลายหลากครับ ตั้งแต่ ดาบ ธนู ทวน ง้าว สามง่าม กระบอง ตลอดไปถึงอาวุธหน้าตาแปลกๆ เช่น คราด เชือกกับลูกตุ้ม ไปจนถึงอาวุธลับที่ปล่อยไปทำร้ายศัตรูจากวิถีไกล
สำหรับยุทธจักรเส้าหลินนั้น ตำนานกล่าวว่า มีกระบวนท่ามือเปล่าอยู่ถึง 172 ท่า โดยใน วัดจะ มีภาพแกะสลักไม้ของท่าวิทยายุทธ์ เหล่านี้ติดอยู่ในห้องโถงใหญ่ ส่วนโถงด้าน ในจะเป็นที่เก็บ อาวุธต่างๆ โดยแขวนไว้กับ ราวซึ่งพร้อมที่จะ ฉวยคว้ามาใช้งานได้ ทันท่วงที
เพลงมวยของวัดเส้าหลินอาจ แบ่งออกได้ มากกว่า 50 ชนิด ในชื่อต่างๆ กัน ที่รู้จักกัน ดีก็มีอาทิ ฝ่ามืออรหันต์ กระบวนท่าเจ็ด ดาวเหนือ พลังจู่โจมกระแสนํ้าบ่า เป็นต้น
เส้าหลินป็นวัดหลักของพุทธศาสนาในแผ่นดิน จีนครับ จึงมีความมั่งคั่ง ภายในวิหารมี ประติมากรรม 8 อรหันต์ทองคำลํ้าค่าประดิษฐานอยู่ ซึ่งเป็นที่หมายปองของโจรร้าย และจอมยุทธ์สำนักอื่น การฝึกฝนต่อสู้จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ซึ่งภิกษุเส้าหลินจำเป็นต้องใช้เพื่อ ปกป้องวัด
ชื่อเสียงของยุทธจักรวัดเส้าหลินระบือไกล มีผู้มาขอเป็นศิษย์รํ่าเรียนมากมาย จนต้องเปิดสาขา ขึ้นอีกแห่งหนึ่งในมณฑลทางใต้ และยั่งยืนเกริกไกรอยู่หลายร้อยปี และเป็นเสาหลักในการ ต่อต้านการรุกรานของพวกแมนจู
แต่แล้วในที่สุด ความโด่งดังของ วัดเส้าหลินก็มี อันต้องปิดฉากลงด้วยนํ้ามือ ของแมนจู ซึ่งปราบราชวงศ์หมิงลงอย่าง ราบคาบ และก่อตั้งราชวงศ์ชิงขึ้นวัดเส้า หลินซึ่งเคยต่อต้านแมนจู จึงถูกขุนศึก สือโย่ง-ซาน แห่งแมนจูเผาทำลาย เพลิงไหม้อยู่ นานถึง 40 วัน วิหารและ โถงใหญ่ถูกผลาญเรียบตำรับตำรา ทั้งด้านการแพทย์และวิทยายุทธ์โดน เผาเป็นเถ้าถ่านสิ้น
เหลือไว้แต่เพียงตำนานอันเลื่อง ลืออยู่ถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันการต่อสู้ด้วยมือเปล่าและการใช้อาวุธประกอบลีลาการร่ายรำของเอเชียนั้น เป็นที่นิยมของแทบทุกประเทศ มีการตั้งสำนักศึกษาวิทยายุทธ์แบบจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ตลอดจน ของไทยเราตามที่ต่างๆ ทั่วโลก




