เข้าระบบอัตโนมัติ

เจ้าบทเจ้ากลอน


เด็กชายไร้นาม
#101   เด็กชายไร้นาม    [ 13-08-2009 - 20:56:18 ]

ตัวเอ๋ยตัวทะยาน
อย่าบันดาลดลใจให้ใฝ่ฝัน
ดูถูกกิจชาวนาสารพัน
และครอบครัวครองกันอันชื่นบาน
เขาเป็นสุขเรียบเรียบเงียบสงัด
มีประวัติเป็นไปไม่วิตถาร
ขออย่าได้พูดเย้าเยาะพูดเราะราน
ดูหมิ่นการเป็นอยู่เพื่อนตูเอย...



ฝ่ามืออัสนีบาต
#102   ฝ่ามืออัสนีบาต    [ 13-08-2009 - 21:00:45 ]

โห ท่านเด็กชายไร้นาม ท่านเล่นก็อปรำพึงในป่าช้ามาทั้งดุ้นเลยเหรอ



เด็กชายไร้นาม
#103   เด็กชายไร้นาม    [ 13-08-2009 - 21:02:38 ]

สกุลเอ๋ยสกุลสูง
ชักจูงจิตฟูชูศักดิ์ศรี
อำนาจนำความสง่าอ่าอินทรีย์
ความงามน้ำใจมีไมตรีกัน
ความร่ำรวยอวยสุขได้ทุกอย่าง
เหล่านี้ต่างรอตายทำลายขันธ์
วิถีแห่งเกียรติยศทั้งหมดนั้น
แต่ล้วนผันมาบรรจบหลุมศพเอย...



เด็กชายไร้นาม
#104   เด็กชายไร้นาม    [ 13-08-2009 - 21:03:02 ]

เหอๆ...ครับ ...



เด็กชายไร้นาม
#105   เด็กชายไร้นาม    [ 13-08-2009 - 21:04:01 ]

จัดได้ว่ารำพึงในป่าช้าเป็นครูกลอนของผมเลยก็ว่าได้เลยนำมาลงให้ก่อนน่ะครับ เดี๋ยวหมดแล้วจานำที่แต่งเองมาลง...เอาลงทีเดียวเลยดีมั้ยนี่...



เด็กชายไร้นาม
#106   เด็กชายไร้นาม    [ 13-08-2009 - 21:05:25 ]

เพราะผมศึกษาสำนวน และวิธีการเล่นคำหรืออื่นๆจากกลอนทั้ง 33 บทนี่แหละครับ ...ผมเลยถนัดกลอนดอกสร้อยที่สุดไงครับ ...แต่ก็มีบางบทที่ไม่สมบูรณ์ก็ต้องนำมาแต่งเพิ่มหรือปรับปรุงครับ



เด็กชายไร้นาม
#107   เด็กชายไร้นาม    [ 13-08-2009 - 21:12:14 ]

เอามาลงเลยละกันครับ....อันที่เอามาลงนี่คือ ผ่านการดัดแปลงบางบทให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นแล้วครับ...



กลอนดอกสร้อย รำพึงในป่าช้า

๑.วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน
วัวควายพ่ายลาทิวากาล ค่อยค่อยผ่านท้องทุ่งมุ่งถิ่นตน
ชาวนาเหนื่อยอ่อนต่างจรกลับ ตะวันลับอับแสงทุกแห่งหน
ทิ้งทุ่งให้มืดมัวทั่วมณฑล และทิ้งตนตูเปลี่ยวผู้เดียวเอย ฯ

๒.ยามเอ๋ยยามนี้ ปฐพีมืดมัวทั่วสถาน
อากาศเยือกหนาวคราววิกาล สงัดปานป่าใหญ่ไร้สำเนียง
มีก็แต่จิ้งหรีดกระกรีดกริ่ง เรไรหริ่งร้องขรมระงมเสียง
คอกควายวัวรัวเกราะเปาะเปาะเพียง รู้ว่าเสียงเกราะแว่วแผ่วแผ่วเอย ฯ

๓.นกเอ๋ยนกแสก จับจ้องร้องแจ๊กเพียงแถกขวัญ
อยู่บนยอดหอระฆังบังแสงจันทร์ มีเถาวัลย์รุงรังถึงหลังคา
เหมือนมันฟ้องดวงจันทร์ให้ผันดู คนมาสู่ส้องพักมันรักษา
ถือเป็นที่รโหฐานนมนานมา ให้เสื่อมผาสุกสันต์ของมันเอย ฯ

๔.ต้นเอ๋ยต้นไทร สูงใหญ่รากย้อยห้อยระย้า
และต้นโพธิ์ร่มแจ้แผ่ฉายา มีเนินหญ้าใต้ต้นกล่นเกลื่อนไป
ล้วนร่างคนในเขตประเทศนี้ ดุษณีนอนราย ณ ภายใต้
แห่งหลุมลึกลานสลดระทดใจ เรายิ่งใกล้หลุมนั้นทุกวันเอย ฯ

๕.หมดเอ๋ยหมดห่วง หมดดวงวิญญาณลานสลาย
ถึงลมเช้าชวยชื่นรื่นสบาย เตือนนกแอ่นลมผายแผดสำเนียง
อยู่ตามโรงมุงฟางข้างข้างนั้น ทั้งไก่ขันดุเหว่าระเร้าเสียง
โอ้เหมือนปลุกร่างกายนอนรายเรียง พ้นสำเนียงที่จะปลุกให้ลุกเอย ฯ





๖.ทอดเอ๋ยทอดทิ้ง ยาวหนาวผิงไฟล้อมอยู่พร้อมหน้า
ทิ้งเพื่อนยากแม่เหย้าหาข้าวปลา ทุกเวลาเช้าเย็นเป็นนิรันดร์
ทิ้งทั้งหนูน้อยร่อยร่อยรับ เห็นพ่อกลับปลื้มเปรมเกษมสันต์
เข้ากอดคอฉอเลาะเสนาะกรรณ สารพันทอดทิ้งทุกสิ่งเอย ฯ

๗.กองเอ๋ยกองข้าว กองสูงราวโรงนายิ่งน่าใคร่
เกิดเพราะการเก็บเกี่ยวด้วยเคียวใคร ใครเล่าไถคราดพื้นฟื้นแผ่นดิน
เช้าก็ขับโคกระบือถือคันไถ สำราญใจตามเขตประเทศถิ่น
ยึดหางยามยักไปตามจินต์ หางยามผินผันตามใจเพราะใครเอย ฯ

๘.ตัวเอ๋ยตัวทะยาน อย่าบันดาลดลใจให้ใฝ่ฝัน
ดูถูกกิจชาวนาสารพัน และครอบครัวครองกันอันชื่นบาน
เขาเป็นสุขเรียบเรียบเงียบสงัด มีประวัติเป็นไปไม่วิตถาร
ขออย่าได้เย้าเยาะพูดเราะราน ดูหมิ่นการเป็นอยู่เพื่อนตูเอยฯ

๙.สกุลเอ๋ยสกุลสูง ชักจูงจิตฟูชูศักดิ์ศรี
อำนาจนำความสง่าอ่าอินทรีย์ ความงามน้ำใจมีไมตรีกัน
ความร่ำรวยอวยสุขได้ทุกอย่าง เหล่านี้ต่างรอตายทำลายขันธ์
วิถีแห่งเกียรติยศทั้งหมดนั้น แต่ล้วนผันมาบรรจบหลุมศพเอย ฯ

๑๐.ตัวเอ๋ยตัวหยิ่ง เจ้าอย่าชิงติซากว่ายากไร้
เห็นจมดินน่าสลดระทดใจ ที่ระลึกสิ่งไรก็ไม่มี
ไม่เหมือนบ่งศพญาติตบแต่ง เครื่องแสดงเกียรติเลิศประเสริฐศรี
สร้างสถานการบุณย์หนุนพลี เป็นอนุสาวรีย์สง่าเอย ฯ

๑๑.ที่เอ๋ยที่ระลึก ถึงอธึกงามลบในภพพื้น
ก็ไม่ชวนชีพที่ดับให้กลับคืน เสียงชมชื่นเชิดชูคุณผู้ตาย
เสียงประกาศเกียรติเอิกเกริกลั่น จะกระเทือนถึงกรรณนั้นอย่าหมาย
ล้วนเป็นคุณแก่ผู้ยังไม่วางวาย สืบเกียรติญาติไปภายภาคหน้าเอย ฯ



๑๒.ร่างเอ๋ยร่างกาย ยามตายจมพื้นดาษดื่นหลาม
อย่าดูถูกถิ่นนี้ว่าที่ทราม อาจขึ้นชื่อลือนามแต่ก่อนไกล
อาจจะเป็นเจดีย์มีพระศพ แห่งจอมภพกษัตริย์จักรพรรดิใหญ่
ประเสริฐด้วยสัตตรัตน์จรัสชัย ณ สมัยก่อนกาลบุราณเอย ฯ

๑๓.ความเอ๋ยความรู้ เป็นเครื่องชูชี้ทางสว่างไสว
หมดโอกาสที่จะชี้ต่อนี้ไป ละห่วงใยอยากรู้ลงสู่ดิน
อันความยากหากให้ไร้ศึกษา ย่อปัญญาความรู้อยู่แค่ถิ่น
หมดทุกข์ขลุกแต่กิจคิดหากิน กระแสวิญญาณงันเท่านั้นเอย ฯ

๑๔.ดวงเอ๋ยดวงมณี มักจะลี้ลับอยู่ในภูผา
หรือใต้ท้องสมุทรสุดสายตา ก็เสื่อมซาสิ้นชมนิยมชน
บุปผาชาติชูสีและมีกลิ่น อยู่ในถิ่นที่ไกลเช่นไพรสณฑ์
ไม่มีใครได้เชยเลยสักคน ย่อมบานหล่นเปล่าดายมากมายเอย ฯ

๑๕.ซากเอ๋ยซากศพ อาจเป็นซากนักรบผู้กล้าหาญ
เช่นชาวบ้านบางระจันขันรำบาญ กับหมู่ม่านมาประทุษฐ์อยุธยา
ไม่เช่นนั้นท่านกวีเช่นศรีปราชญ์ นอนอนาถเล่ห์ใบ้ไร้ภาษา
หรือผู้กู้บ้านเมืองเรืองปัญญา อาจจะมานอนจมถมดินเอย ฯ

๑๖.คุณเอ๋ยคุณเหลือ ผู้เอื้อเฟื้อเกื้อชาติซึ่งอาจหาญ
แน่วนับซื่อสัตย์ต่อรัฐบาล ไม่เห็นการส่วนตัวไม่กลัวตาย
แสวงชอบกอบคุณอุดหนุนชาติ กษัตริย์ศาสน์แม้ปลิดชีวิตถวาย
ไว้ประวัติแก่ชาติญาตินิกาย ได้อ่านภายหลังลือระบือเอย

๑๗.ชาวเอ๋ยชาวนา วาสนากั้นไว้ไม่วิตถาร
ไม่ชั่วล้นดีล้นพ้นประมาณ สองประการนี้แหละขวางทางครรไล
คือไม่ลุยเลือดนั่งบัลลังก์ราช นำพินาศนรชนพ้นพิสัย
แต่ปิดทางกรุณาอันพาไป ยังคุณใหญ่ยิ่งเลิศประเสริฐเอย ฯ



๑๘.มักเอ๋ยมักใหญ่ ก่อนแต่ใฝ่ฝันฟุ้งตามมุ่งหมาย
อำพรางความจริงใจไม่แพร่งพราย ไม่ควรอายก็ต้องอายหมายปิดบัง
มุ่งแต่โปรยเครื่องปรุงจรุงกลิ่น คือความฟูมฟายสิ้นลิ้นโอหัง
ลงในเพลิงเกียรติศักดิ์ประจักษ์ดัง เปลวเพลิงปลั่งหอมกลบตระหลบเอย ฯ

๑๙.ห่างเอ๋ยห่างไกล จากพวกมักใหญ่ฝักใฝ่หา
แต่สิ่งที่เหลวไหลใส่อาตมา ความมักน้อยชาวนาไม่น้อมไป
เพื่อรักษาความสราญฐานวิเวก ร่มเรื้อเฉกหุบเขาลำเนาไศล
สันโดษดับฟุ้งซ่านทะยานใจ ตามวิสัยชาวนาเย็นกว่าเอย ฯ

๒๐.ศพเอ๋ยศพไพร่ ไม่มีใครขึ้นชื่อระบือขาน
ไม่เกรงใครนินทาว่าประจาน ไม่มีการจารึกบันทึกคุณ
ถึงบางทีมีบ้างเป็นอย่างเลิศ ก็ไม่ฉูดฉาดเชิดประเสริฐสุนทร
พอเตือนใจได้บ้างในทางบุณย์ เป็นเครื่องหนุนนำเหตุสังเวชเอย ฯ

๒๑.ศพเอ๋ยศพสูง เป็นเครื่องจูงจิตให้เสื่อมใสศานติ์
จารึกคำสำนวนชวนสักการ ผิดกับฐานชาวนาคนสามัญ
ซึ่งอย่างดีก็มีกวีเถื่อน จารึกชื่อปีเดือนวันดับขันธ์
อุทิศสร้างไปตามทางธรรม์ ของผู้นั้นผู้นี้แก่ผีเอย ฯ

๒๒.ห่วงเอ๋ยห่วงอะไร ไม่ยิ่งใหญ่เท่าห่วงดวงชีวิต
แม้คนลืมสิ่งใดได้สนิท ก็ยังคิดขึ้นมาได้เมื่อใกล้ตาย
ใครจะยอมละทิ้งซึ่งสิ่งสุข เคยเป็นทุกข์ห่วงใยเสียได้ง่าย
ใครจะยอมละแดนแสนสบาย โดยไม่ชายตาใฝ่อาลัยเอย ฯ

๒๓.ดวงเอ๋ยดวงจิต ลืมสนิทกิจการงานทั้งหลาย
ย่อมละชีพเคยสุขสนุกสบาย เคยเสียดายเคยวิตกเคยปกครอง
ละทั้งถิ่นสำราญเบิกบานจิต ซึ่งเคยคิดใฝ่เฝ้าเป็นเจ้าของ
หมดวิตกหมดเสียดายหมดหมายปอง ไม่ผินหลังเหลียวมองด้วยซ้ำเอย ฯ



๒๔.ดวงเอ๋ยดวงวิญญาณ เมื่อยามละพรากไม่จากขันธ์
ปองแต่ให้ญาติมิตรสนิทกัน คล่าวน้ำตาตางบรรณาการไป
ธรรมดาพาคะนึงถึงหลุมศพ หรือที่ชุมเพลิงเผาเฝ้าร้องไห้
คิดถึงกาลก่อนเก่ายิ่งเศร้าใจ ตามวิสัยธรรมดามาเกิดเอย ฯ

๒๕.ท่านเอ๋ยท่านสุภาพ ผู้ใคร่ทราบสนใจศพไร้ศักดิ์
รู้เรื่องจากป้ายจดลายลักษณ์ ทางทีจักรำพึงคิดถึงตน
มาม้วยมรณ์นอนคู้อยู่อย่างนี้ คงจะมีผู้สังเกตในเหตุผล
ปลงสังเวชซาบเสียวเ...่ยวกมล เหมือนกับตนท่านบ้างกระมังเอย ฯ

๒๖.บางเอ๋ยบางที อาจจะมีผู้เฒ่าเล่าขยาย
รำพันความเป็นไปเมื่อใกล้ตาย จนตราบวายชีวาตน์อนาถใจ
อนิจจาเห็นเขาเมื่อเช้าตรู่ ออกจากบ้านเดินสู่เนินใหญ่
ฝ่าน้ำค้างกลางนามุ่งคลาไคล ผิงแดดในยามเช้าหนาวนักเอย ฯ

๒๗.ต้นเอ๋ยต้นกร่าง อยู่ที่ข้างเนินใหญ่พุ่มใบหนา
มีรากเขินเผินพ้นพสุธา กลางวันเขาเคยมานอนผ่อนอารมณ์
นอนเหยียดหยัดดัดกายภายใต้ต้น ฟังคำรณวารีมี่ขรม
กระแสชลไหลเชี่ยวเป็นเกลียวกลม เขาเชยชมลำธารสำราญเอย ฯ

๒๘.ป่าเอ๋ยป่าละเมาะ ยังอยู่เยาะเย้ยให้ถัดไปนั่น
เขาเดินมาป่านี้ไม่กี่วัน ปากรำพันจิตรำพึงคะนึงใน
บัดเดี๋ยวดูสลดระทดจิต เหมือนสิ้นคิดขัดหาที่อาศัย
หรือคล้ายคนทุกข์ถมระทมใจ หรือคู่รักร้างไม่อาลัยเอย ฯ

๒๙.ต่อเอ๋ยต่อมา ณ เวลาวันใหม่มิได้เห็น
ทั้งกลางนากลางเนินเผอิญเป็น ใต้ต้นกร่างว่างเว้นเช่นเมื่อวาน
เห็นคนหนึ่งเกินไปใจว่าเขา แต่ไม่เข้ากลางนามาสถาน
ที่เขาเคยพักผ่อนแต่ก่อนกาล ทั้งไม่ผ่านป่าเข้าผิดเขาเอย ฯ



๓๐.ถัดเอ๋ยถัดมา เห็นเขาหามศพไปใจสลด
เสียงประโคมครื้นครั่นน่ารันทด ญาติทั้งหมดตามมาโศกาลัย
ทำการศพตบแต่งที่ระลึก มีบันทึกถ้อยคำประจำไว้
อยู่ที่ดงหนามนั่นถัดนั้นไป ความอย่างไรเชิญท่านไปอ่านเอย ฯ

๓๑.ที่เอ๋ยที่นี้ อนุสาวรีย์ศรีสถาน
แห่งชายไม่ประจักษ์ศฤงคาร แม้สกุลคุณสารต่ำปานไร
ขออย่าได้ขึ้งเคียดรังเกียจเขา ขอจงเคารพงามตามวิสัย
มัจจุราชรับพาเขาคลาไคล ทิ้งร่างไว้ทวงเคารพผู้พบเอย ฯ

๓๒.น้ำเอ๋ยน้ำใจ ซึ่งเนาในร่างกายผู้ตายนี้
ล้วนสุภาพผ่องใสด้วยไมตรี ทั้งโอบอ้อมอารีมีในตน
คุณนี้นำชำร่วยอวยสนอง บำเหน็จมองมูลมากวิบากผล
คือห่วงใยยั่วหยัดอัสสุชล จากฝูงชนผู้ใฝ่อาลัยเอย ฯ

๓๓.แต่เอ๋ยแต่นี้ เป็นหมดที่ใฝ่จิตริษยา
เป็นหมดที่อุปถัมภ์คิดนำพา เป็นนับว่า "อโหสิกรรม" กัน
เขาจะมีดีชั่วติดตัวไป เป็นวิสัยกรรมแต่งแสร้งสร้างสรรค์
ดำเนินไปตามทางชนคนสามัญ ซึ่งทิ้งอยู่คู่กันกับนามเอย ฯฯ




เด็กชายไร้นาม
#108   เด็กชายไร้นาม    [ 13-08-2009 - 21:13:05 ]

บทที่ 25 ตรงที่เป็น+++++ คือ เ ...่ ยวกมล ครับ



เด็กชายไร้นาม
#109   เด็กชายไร้นาม    [ 13-08-2009 - 21:16:45 ]

...คำนี้พิมพ์ไม่ได้จริงๆ...เอาละเอาที่ผมแต่งเองลงมั่งนะครับ...มีเวลาว่างก็เขียนเรื่อยๆครับ...

เมื่อเอ๋ยเมื่อใด
ยามฟ้าไร้ดวงดาวซึ่งพราวแสง
เหมือนละครผกผินสิ้นแสดง
สุดแสลงชีวินสิ้นปกครอง
เมื่อถึงยามฟ้าไร้แสงแห่งดาวนี้
แต่ยังมีแสงจันทร์ที่สาดส่อง
ดุจชีวิตมีความหวังยังเรืองรอง
คงปรองดองสมานฉันทุกวันเอย

...เด็กชายไร้นาม...





ฝ่ามืออัสนีบาต
#110   ฝ่ามืออัสนีบาต    [ 13-08-2009 - 21:34:27 ]

ส่วนผมยึดแนวกลอนของอ.เนาว์เป็นแนวทางครับ



เด็กชายไร้นาม
#111   เด็กชายไร้นาม    [ 14-08-2009 - 19:22:34 ]

อืม...อ.เนาวรัตน์ ท่านก็เป็นศิลปินแห่งชาติซึ่งผมก็นับถือท่านเหมือนกันครับ กลอนแต่ละบทที่ผมเคยได้อ่านของอ.เนาวรัตน์ก็ไพเราะมากเลยครับ แต่ผมใช้แนวกลอนของ พระยาอุปกิตศิลปสารเป็นแนวทางครับ...



เด็กชายไร้นาม
#112   เด็กชายไร้นาม    [ 14-08-2009 - 19:24:58 ]

ยามเอ๋ยยามใด
แสงสุกใสปกปิดทุกทิศา
ช่างสดใสดวงใจในนภา
บนฝืนฟ้าพานัยตาสราญรมณ์
แต่ยามใดชีวิตที่มืดมิด
คนคิดผิดไม่หวนกลับมาอาศรม
ชีวิตคนก็เป็นบัวโดนโคลนตม
ไม่สาสมความผิดคิดร้ายเอย...

...เด็กชายไร้นาม...



เด็กชายไร้นาม
#113   เด็กชายไร้นาม    [ 14-08-2009 - 19:33:21 ]

ฟากเอ๋ยฟากฟ้า
ผืนนภากว้างใหญ่แผ่ไพศาล
ดูยิ่งใหญ่มากล้นพ้นประมาณ
จิตคนพาลย่อมไม่อาจจะพาดไป
แต่จิตที่ผ่องผุดสุจริต
ดวงจิตคิดบริสุทธิ์ผุดผ่องใส
อันพระธรรมคงสถิตย์นำจิตใจ
สู่สววรค์ครรไลหมดภัยเอย...

...เด็กชายไร้นาม...



น้องคำตัน
#114   น้องคำตัน    [ 14-08-2009 - 19:53:34 ]

อันว่าคนก็คือคนวันยันค่ำ

จิตใจต่ำช้าชั้วก็ตัวหมาย

แต่สิงดีนีก็ทำมิว่างวาย

โตเป็นควายมิวายทำความดี

ทำไปเถิดทำไปเถิดทำไปเถิด

ความประเสิธเกิดเป็นนิตสถิตผล

มิมีใดจะประสิทธ์ชีวิตคน

ได้เท่าผลแห่งความดีทวีคุณ







เด็กชายไร้นาม
#115   เด็กชายไร้นาม    [ 14-08-2009 - 21:36:07 ]

สิ้นเอ๋ยสิ้นสุด
ที่มนุษย์ได้แต่งแสร้งสร้างสรรค์
เคยพูดคุยฉอเลาะเสนาะกรรณ
ทุกคืนวันเช้าเย็นเป็นอาวร
ที่ท้ายสุดของมนุษย์สุดยากหยั่ง
เป็นเช่นดั่งผู่เฒ่าท่านเล่าสอน
อันชีวิตแสนสั้นถูกบั่นทอน
ล้มลงนอนจมความตายสุขใจเอย...

...เด็กชายไร้นาม...



ฝ่ามืออัสนีบาต
#116   ฝ่ามืออัสนีบาต    [ 17-08-2009 - 18:49:53 ]

แห่งความว่างเวิ้งว้างหว่างอารมณ์



เด็กชายไร้นาม
#117   เด็กชายไร้นาม    [ 17-08-2009 - 22:26:53 ]

แห่งความว่างเวิ้งว้างหว่างอารมณ์
แห่งคำคมสมสอนใจไทยทั้งผอง



auplantar
#118   auplantar    [ 18-08-2009 - 06:56:53 ]

แห่งหนใดจะมีที่ให้พัก
ข้าคิดหนักหาที่พึ่งไว้พักใจ
ขอฝากตัวฝากใจได้ไหมเอย


*-* *-* *-*


เดี๋ยวมาใหม่นะครับตอนเย็น



auplantar
#119   auplantar    [ 18-08-2009 - 07:04:33 ]

อันความรักเป็นดั่งเมฆบนท้องฟ้า
ให้ชีวาตื่นฝื้นจากหลับไหล
แม้ไม่มีความรักไม่เป็นไร
ขอให้มีสัจธรรมพิทักตน



ถามกันว่าสัจธรรมคือสิ่งใด
ขอบอกให้คำนั้นคือความว่างเปล่า
ช่วยกล่อมเกลาชีวิตให้ปลงตน
จะสอนคนให้รู้จักหักห้ามใจ



ดั่งคำสอนพุทธองค์ทรงเมตตา
ว่าสัตว์โลกที่เกิดมาเพื่อสิ่งใด
ท่านชี้ทางเป็นดั่งแสงที่นำชัย
ให้พ้นภัยจากทกุข์ละมุนกาย



ชอเฮียงส่วย
#120   ชอเฮียงส่วย    [ 18-08-2009 - 08:41:21 ]

แห่งความว้างเวิ้งว้างหว่างอารมณ์
แห่งคำคมสมสอนใจไทยทั้งผอง
แห่งมวลมิตรจิตนึกตรึกปรองดอง



ตอบกระทู้
ชื่อ
รหัส กรอกตัวอักษร ตามภาพ
ข้อความ


emo-smile emo-happy emo-lol emo-enjoy emo-kiku emo-cool emo-hoho emo-drool emo-hungry emo-kiss emo-sorry emo-sad emo-cry emo-tear emo-question emo-doubt emo-shock emo-redface emo-plz emo-peevish emo-angry emo-moody emo-sneer emo-makefaces emo-good emo-touched emo-love emo-bore emo-tired emo-vomit
bold italic underline img link superscript subscript size color space justifyleft justifycenter justifyright quote box youtube