ในยุคของจิ๋นซีฮ่องเต้ กล่าวคือเมื่อประมาณกว่าสองพันกว่าปีมาแล้ว เป็นสมัยที่บ้านเมืองมีการทำศึกสงครามตลอดเวลา และสภาพสังคมมีความวุ่นวายไร้ระเบียบ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้ระบบการปกครองที่มุ่งเน้นในเรื่องอำนาจและกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อทำให้บ้านเมืองกลับมาสู่สภาพปกติ ประชาราษฎร์อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข
อาจกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของจิ๋นซีฮ่องเต้ในการก่อตั้งมหาอาณาจักรจีน เป็นผลมาจากปรัชญาการปกครองของฮั่นเฟยจื่อและชางหยาง ซึ่งเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของจิ๋นซีฮ่องเต้ และด้วยความกล้าเสนอมุมมองที่ตรงกันข้ามกับทรรศนะของขงจื้อเกี่ยวกับแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์และสามารถนำมาปรับประยุกต์ใช้กับหลักความเป็นผู้นำ และหลักในการบริหารคน จึงทำให้ในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นยุคแรกที่จีนสามารถรวมชาติรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
การโจมตีลัทธิขงจื้อ
ก่อนหน้ายุคจิ๋นซีฮ่องเต้ ประชาชนต่างมีความเชื่อตามหลักคำสอนของขงจื้อที่ว่า
1. ธรรมชาติของมนุษย์นั้นดีงามและสามารถขัดเกลาได้ให้มีคุณธรรม
2. ผู้ที่เกิดในตระกูลสูงจะมีโอกาสเป็น “คนดี” ได้มากกว่าปุถุชนโดยทั่วไป
แต่ฮั่นเฟยจื่อและชางหยางกลับมีทรรศนะที่แตกต่างจากขงจื้อ ดังนี้
1. ธรรมชาติของมนุษย์นั้นชั่วร้าย กล่าวคือ มีความโลภ, ความขี้เกียจ, พร้อมที่จะโกงเมื่อมีโอกาสและมีแต่ความเห็นแก่ได้ เมื่อมนุษย์ทุกคนต่างต้องเสาะแสวงหา จึงต้องแย่งชิงกันเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนต้องการ เกิดการต่อสู้กับสังคมวุ่นวาย ดังนั้น ฮั่นเฟยจื่อและชางหยางจึงเห็นว่า ควรยอมรับนิสัยดิบของมนุษย์ แต่ได้เสนอแนวคิดว่า
• สังคมจะเป็นระเบียบได้ถ้าชนชั้นปกครองสามารถสกัดกั้นความชั่วร้ายของมนุษย์ไม่ให้ปรกฏออกมาได้
• ถ้าเรารู้จักใช้นิสัยดิบของมนุษย์ให้เกิดประโยชน์ ก็จะสามารถสร้างบ้านเมืองที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้
2. มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาค : คนที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ มีโอกาสได้รับการอบรม จึงได้กลายเป็น " คนดี " แต่ถ้าไม่ได้รับการศึกษาก็กลายเป็น " ชนชั้นต่ำ " ได้ อย่างไรก็ดี " ชนชั้นต่ำ " ในภายหลังถ้าได้รับการอบรบก็สามารถเลื่อนชั้นเป็นชนชั้นปกครองได้
ฮั่นเฟยจื่อกับชางหยางมียุทธวิธีในการรับมือกับนิสัยดิบของมนุษย์ ดังต่อไปนี้
1. ความโลภ : มนุษย์ไม่รู้จักพอ จึงต้องใช้ความโลภหยุดความโลภ
รณรงค์ให้ประชาชนมาเป็นชาวนาและทหาร เพราะชาวนาสามารถหาอาหารและทำให้ทหารมีกำลังไปสู้รบทำให้ประเทศชาติไม่ถูกรุกราน ดั้งนั้น จึงใช้กลวิธี
• ประกาศให้ครอบครองที่ดินและบ้าน รวมทั้งงดเก็บภาษีชั่ว 3 อายุคนสำหรับผู้ที่มาเป็นชาวนา ทำให้ประชาชนแห่กันมาเป็นชาวนา รวมทั้งคนจากแคว้นอื่นก็พากันเข้ามาสมัครเป็นชาวนา
• เพิ่มอัตราภาษีสำหรับพ่อค้าเพื่อบีบให้มาเป็นชาวนา
• ต้องมีใบผ่านทางเข้าเมือง : เพื่อป้องกันมิให้พวกบัณฑิตเข้าเมืองมาเผยแพร่ความรู้แก่ชาวนา เพราะถ้าชาวนาฉลาดจะปกครองยากและอาจเกิดการต่อต้านอำนาจรัฐ
2. ความขี้เกียจ
• ให้ชาวนาทำงานหนัก ๆ จนเหนื่อยและเบื่อ เพื่อจะได้เปลี่ยนมารับราชการทหาร
• สำหรับผู้ที่เพิ่งอพยพมาจากแคว้นอื่นก็ให้เป็นชาวนาไปก่อน
3. ความโกง : วิธีป้องกันกลโกงของมนุษย์
• ต้องใช้กฎหมายที่เข้ม มีบทลงโทษที่หนัก
• ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและไม่มีการเลือกปฏิบัติ
• ต้องมีการใช้กฎหมายจริงต่อผู้ที่ฝ่าฝืน เพื่อให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์
• ตรวจสอบกันเอง : จัดแบ่งกลุ่มชาวนาออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ แล้วให้มีการตรวจสอบกันเองว่าใครไม่ทำงานก็ให้มาแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อนำตัวมาลงโทษ
4. ความเห็นแก่ได้
• ทั้งฮั่นเฟยจื่อและชางหยางเห็นตรงกันว่า มนุษย์นั้นปากกับใจไม่ตรงกัน สามารถพูดเพื่อผลประโยชน์หรือปกปิดความผิดของตนได้ แต่ทั้งสองท่านมีมิติมุมมองต่างกันเล็กน้อยคือ
• ชางหยางจะระวังประชาชนจะลุกฮือพากันต่อต้านอำนาจรัฐ จนลืมมองบทบาทของเหล่าเสนาบดี ทำให้เขาต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า โดยบรรดาเสนาบดีที่ชอบสอพลอ แต่ฮั่นเฟยจื่อ มองเหนือกว่าชางหยางไปอีกขั้น คือ ให้ความระมัดระวังเสนาบดีมากกว่าประชาชน ดังนั้น จึงได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและ เพิ่มเติมกฎหมาย ดังนี้
ปรัชญาการปกครองของฮั่นเฟยจื่อ
1. ความสำคัญของกฎหมาย : ต้องมีความศักดิ์สิทธิ์ มีบทลงโทษอย่างจริงจังและเคร่งครัด
• เมื่อมีการออกกฎหมายแล้วต้องกระจายข่าวให้ประชาชนได้รับทราบโดยถ้วนหน้า
• ตรวจสอบเสนาบดีว่า ทำตามสัญญาที่ให้ไว้หรือไม่ ถ้าไม่ ก็ต้องมีการลงโทษ และถ้าใครทำเกินกว่าที่พูดไว้ ก็ให้นำตัวไปลงโทษเช่นกัน เพราะแสดงว่าเป็นผู้ที่ประเมินสถานการณ์ไม่ชัด ขาดความน่าเชื่อถือ
2. ศาสตร์ในการปกครอง
• ฮ่องเต้ควรวางตัวให้เป็นกลาง และเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการออกกฎหมาย
• ไม่ควรหูเบา : อย่าเชื่อเหล่าเสนาบดี เพราะอาจทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง
• ไม่ควรไปเข้าพันธมิตรกับรัฐที่ใหญ่กว่าหรือเล็กกว่า เพราะ
: ถ้าเข้าร่วมกับรัฐเล็กกว่า
• รัฐเราจะมีความเสี่ยงมาก เพราะถ้ารัฐเล็กนั้นอ่อนแอมาก แล้วถูกโจมตีรัฐ เราจะช่วยได้รึเปล่า และมองมุมกลับ ถ้ารัฐเราถูกโจมตี รัฐเล็กจะช่วยเราได้มากน้อยแค่ไหน หรืออาจเข้าร่วมกับศัตรูโจมตีเราก็เป็นได้
: ถ้าเข้าร่วมกับรัฐใหญ่กว่า
• เราต้องเสียตราประทับให้แก่รัฐใหญ่ ทำให้เราเสียชื่อเสียงเสียเกียรติ
• เราต้องเสียทรัพย์สินเพราะต้องนำไปถวายต่อรัฐใหญ่ แต่ก็ไม่รู้ว่ารัฐใหญ่จะคุ้มกันเราได้มากน้อยแค่ไหน
3. อำนาจของกฎหมาย : ไม่เลือกปฏิบัติ , ใช้กฎหมายตัดสินทุกปัญหา
• นักปกครองต้องมองความจริงตรงตามความจริง
• สูงสุดของอำนาจ คือ การมองสิ่งต่าง ๆ นอกกรอบด้วยจิตที่แนบนิ่ง มองทุกอย่างด้วยสายตาอันยุติธรรม
เครดิต www.quixest.com/b_school/bschool021.html