ติชมหน่อยนะครับ อยู่ข้อความที่12นะครับ
ดาบเทพลาวา มาติ-ชมกันหน่อยขอรับ เเต่งเอง
|
เมฆาละลิ้วพริ้วสายลม |
#1 เมฆาละลิ้วพริ้วสายลม [ 04-01-2009 - 11:03:32 ] |
|
เมฆาละลิ้วพริ้วสายลม |
#2 เมฆาละลิ้วพริ้วสายลม [ 04-01-2009 - 11:21:44 ] |
|
อ่านเเล้วติ-ชมด้วยนะขอรับ |
หลี่ชิวสุ่ย |
#3 หลี่ชิวสุ่ย [ 04-01-2009 - 11:25:26 ] |
|
![]() |
เมฆาละลิ้วพริ้วสายลม |
#4 เมฆาละลิ้วพริ้วสายลม [ 04-01-2009 - 13:10:02 ] |
|
ขอคำติชมด้วยขอรับ |
กระบี่หยกเย็น |
#6 กระบี่หยกเย็น [ 06-01-2009 - 20:09:29 ] |
|
น่าสนใจดีครับ สำนวนที่ใช้ก็ดูดี บรรยายได้เห็นภาพกำลังดี ไม่เยิ่นเย้อหรือรวบรัดเกินไป ส่วนเนื้อเรื่อง อ่านเพียงเท่านี้ยังสรุปอะไรไม่ค่อยได้ แต่ก็น่าติดตามอยู่พอควร ชื่อของวิชาบางส่วนอาจมีไปคล้ายกับชื่อวิชาที่ผู้อ่านคุ้นเคยจากเรื่องอื่นๆ แล้วก็อาจมีพิมผิดบ้าง อย่างคนคุมรถม้านี่ 3 ขวบ เองเหรอ ตอนแรกนึกว่าพิมพ์ผิด แต่ เห็นผิด 2 ครั้งเลยไม่แน่ใจ ก็ขอเป็นกำลังใจให้ แต่งต่อไปครับ ![]() |
ธิดาจันทรา |
#8 ธิดาจันทรา [ 06-01-2009 - 21:30:50 ] |
|
อืม เหมันต์แปลว่าฤดูหนาวไม่ใช่หรอ เหมันต์พัดร่วงโรยโปรยปราย อันนี้มันแปลว่าหิมะ นะข้าว่า |
จอมยุทธ์เจ้าอินทรีย์ |
#9 จอมยุทธ์เจ้าอินทรีย์ [ 06-01-2009 - 21:37:36 ] |
|
ตามที่พี่เคยสอนทำได้ตรงแล้ว อืม เหลือจริงๆแค่อ่านซ้ำเกลาให้มันดีเท่านั้นแหละครับ ส่วนเรื่องการใช้สำนวนนั่นต้องฝึกไปเรื่อยๆมันจะเก่งเองครับ |
บุคคลอันตราย |
#10 บุคคลอันตราย [ 06-01-2009 - 23:10:11 ] |
|
ใช้ภาษาในการพรรณาค่อนข้างดีครับ แต่อาจจะมีบางคำที่ขัดแย้งกัน เช่น เหมันต์พัดร่วงโรยโปรยปราย คำว่า เหมันต์ แปลว่า ฤดูหนาว คงพัดร่วงโปรยปราย เหมือนกับ หิมะ ไม่ได้เพราะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ถ้าจะบอกว่า ลมเหมันต์พัดใบไม้ร่วงโปรยปราย อย่างนี้คอ่ยดูเข้ากับบรรยากาศหน่อยนะครับ สรุปก็อยู่ในเกณฑ์ดีแล้วครับ ฝากไว้นะ ไอน์สไตล์บอกว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ และท่านก่อนที่จะแต่งเรื่องดาบเทพลาวาก็ต้องนึกจินตนาการให้ถึงเห็นภาพเลย เมื่อผู้แต่งเห็นภาพ และถอดความเป็นอักขระ เมื่อนั้นแหละผู้อ่านก็จะเห็นภาพที่ผู้ประพันธ์ถอดออกมา ![]() |
หัวหน้าห้อง |
#11 หัวหน้าห้อง [ 12-01-2009 - 13:02:35 ] |
|
แต่งได้ดีขอรับ โครงเรื่องน่าสนใจ เรื่องสำนวนก็ขัดเกลาต่อไป หวังอย่างยิ่งที่จะได้เห็นผลงานต่อไปนะ ขอรับ |
เมฆาละลิ้วพริ้วสายลม |
#12 เมฆาละลิ้วพริ้วสายลม [ 16-01-2009 - 18:13:57 ] |
|
มาเเล้วครับ เเต่งได้เพียงนิดเดียวเอง เเก้ไขไปนิดหน่อยนะขอรับ ช่วยวิจารญ์ฉากต่อสู้ช่วงหลังๆให้ผมด้วยนะขอรับจะกลับไปเเก้ได้อย่างสมบูรณ์ |
เมฆาละลิ้วพริ้วสายลม |
#13 เมฆาละลิ้วพริ้วสายลม [ 16-01-2009 - 18:19:01 ] |
|
ตอนที่1 : เปิดคำภีร์เก้าเดียวดาย ลมเหมันต์พัดร่วงโรยโปรยปราย ลมหนาวแดนใต้พัดพาผ่าน พายุร้องกังวานดุจฟ้าฟาด ซัดอัดกระท่อมไม้สั่นไหว หิมะแห่งแดนทิเบตที่ตกอยู่ตลอดทั้งปีกำลังโหมกระหน่ำก่อตัวเป็นพายุหิมะที่รุนแรงทำให้มีพายุลมแรงทั่วทั้งบริเวณ ณ เชิงเขาทิเบตมีกระท่อมไม้เก่าๆผุพังหลังหนึ่งตั้งฐานมั่นอยู่ ตัวกระท่อมไม้อยู่ใจกลางของสระน้ำที่แข็งตัวเป็นลานกว้างยาวออกไป ถัดขึ้นบนฝั่งน้ำลายล้อมไปด้วยต้นไม้เก่าแก่หลายร้อยปียึดอยู่เรียงรายล้อมรอบเป็นวงกลม ในกระท่อมไม้หลังนั้นมีชายหนุ่มวัยสิบเก้าเศษ ได้อาศัยอยู่กับยายชรา ชายหนุ่มมีรูปร่างสง่าผมยาวสีดำ ใบหน้าเรียวยาว ดวงตาดุจดั่งราชสีห์ จมูกสันเป็นทางเรียวสวย ริมฝีปากดูสง่าแก่การพูดจา ลำตัวล้ำสันแข็งแรงเหมาะแก่การฝึกการยุทธ์ ยายชราวันเจ็บสิบปีเศษที่อยู่กับชายผู้นั้นตัวเตี้ยๆร่างกายทรุดโทรม นอนอ่อนแรงอยู่บนเตียง ใบหน้าของเธอออกกลมๆและหยาบกระด้างมีรอยย่นทั่วทั้งใบหน้า ดวงตาเล็กแทบจะปิด จมูกเล็กไม่โด่งนัก ริมฝีปากเ...่ยวย่นไปพร้อมกับใบหน้ายายชราผู้นั้นมีนามว่า จู้ล่าน อิงเอื้อ เมื่อสี่สิบปีที่แล้ว เคยถูกกล่าวขานในยุทธ์ภพว่าเป็นผู้เดียวที่ครอบครองวิชาคัมภีร์เก้าเดียวดายอยู่ แต่เธอต้องถอนตัวจากยุทธ์ภพเพราะคนรักของเธอ หว่าน ลิ้วจิง หัวหน้าพรรคมังกรผงาด ในขณะนั้นถูกรอบสังหารโดยเหล่าทหารมองโกล เธอจึงย้ายถิ่นฐานที่ตั้งไปทั่วแผ่นดินจีนหลายปีจนวัยชราได้ครอบงำ เธอจึงปักหลักอยู่ ณ กระท่อมเชิงเขาทิเบต ส่วนชายหนุ่มผู้นั้นมีนามว่า หว่าน ลิ้วจิง คือ นามที่ถูกตั้งโดยยายอิงเอื้อเนื่องจากลิ้วจิงเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง วันหนึ่งที่ยายชราไปเก็บพันธุ์ไม้หายากก็ได้เจอกับเด็กทารกถูกวางอยู่ ณ สุสานสำนักมังกรผงาด ยายชราจึงเก็บเด็กทารกมาเลี้ยงและได้ตั้งนามตามผู้ก่อตั้งพรรคมังกรผงาดนั่นก็คือคนรักของเธอ หว่าน ลิ้วจิง เขาชุบเลี้ยงลิ้วจิงให้เป็นคนมีมานะ อดทน ให้ฟันฝ่าอุปสรรค และยายอิงเอื้อนั้นยังฝึกวรยุทธ์ให้กับลิ้วจิงอีกด้วยนั่นอาจเป็นเพราะ ลิ้วจิงอยู่กับนางมานับสิบปี “ท่านยายอิงเอื้อ ท่านหิวไหมขอรับ”เสียงสุขุมที่แฝงความกังวลของชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยถามขึ้นมา ก่อนที่เขาจะยกกาน้ำเทลงในจอก และยกให้กับยายชราที่นอนห่มผ้าอยู่ที่เตียงดื่ม “ขะ....ข้า...... ไม่เป็นอะไรหรอก ลิ้วจิงเอ๋ย ไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอก คนเรามีเกิด ก็ ย่อมมีตาย ไปตามลิขิตฟ้ากำหนด”เสียงสั่นๆของยายอิงเอื้อที่นอนอยู่บนเตียงกล่าวกับชายหนุ่มผู้นั้น หลังจากที่ยายชราได้ดื่มน้ำต้มร้อนๆจากกาแล้วก็ได้นอนหลับไป หลังจากที่ยายอิงเอื้อหลับได้ซักพักหนึ่งลิ้วจิงก็ออกมาจากกระท่อมไม้หลังเก่าผุพังและเดินมุ่งหน้าขึ้นไปยังยอดเขาทิเบตเพื่อที่จะไปฝึกวรยุทธ์ท่ามกลางพายุเหมันต์ที่กำลังกระหน่ำอยู่ขณะนั้น ฟึบ! ฟึบ! มีเสียงฝีเท้าที่แตะกับลานน้ำแข็งของสระน้ำเบาๆดังขึ้นรอบๆกระท่อมไม้ทำให้ยายอิงเอื้อที่หลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมา ยายอิงเอื้อลุกขึ้นนั่งและลงจากเตียงเธอเดินมุ่งหน้าไปยังหน้าต่างที่อยู่ฝั่งซ้ายของกระท่อม เธอดันฟางที่ทำเป็นหน้าต่างออกไปข้างนอกและใช่มือยันไว้ไม่ให้ฟางที่ทำเป็นหน้าต่างหล่นกลับมาปิดเหมือนเดิม ตูม! ตูม! เศษดินปืนที่อัดด้วยพลังปราณถูกดีดเข้ามายังตัวกระท่อมโดยเข้ามาทางหน้าต่าง มันระเบิดกระจายออกที่หน้าของยายอิงเอื้อแรงอัดมหาศาลจากพลังปราณปริศนาทำให้ร่างของยายอิงเอื้อกระเด็นเข้าไปในกระท่อมและกระท่อมนั้นได้พังลงด้วยแรงอัดมหาศาล ตึบ ตึบ “คัมภีร์เก้าเดียวดายอยู่ที่ไหน จู้ล่าน อิงเอื้อ”เสียงแก่ๆยานๆกล่าวดังขึ้นพร้อมฝีเท้าที่กำลังย่ำเข้ามายังบริเวณพลังทลายของกระท่อมไม้ “ข้าได้เผาทำลายไปแล้ว”เสียงเบาๆของยายอิงเอื้อดังขึ้นจากใต้เศษไม้ที่พังลงมา เศษไม้มีเยอะมากทำให้ไม่สามารถจะขยับตัวได้สำหรับวัยชราอย่างอิงเอื้อ เธอพยายามจะลุกขึ้นแต่ก็ไม่สามารถลุกได้แต่จ้องมองเพียงชายปริศนาว่าเป็นผู้ใด “ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก เจ้าเคยบอกข้าไม่ใช่หรือว่า ‘คำภีร์เก้าเดียวดายจะอยู่กับเจ้าของตลอดเวลา’ ใช้ไหม อิงเอื้อ”เสียงแก่ๆยายๆดังขึ้นพร้อมปรากฏร่างของชายปริศนา ชายผู้นี้วัยห้าสิบปีเศษรูปร่างทรุดโทรมผมดำหยุกหยิกยุ้งเหยิง ฟันหลอ ผิวตัวดำแตกกร้าน ชุดที่ใส่ก็ขาดหลุดลุ้ย “หย่าน ตี้เพียว เจ้านี้เอง ยังไม่ถอนตัวจากยุทธ์จักรอีกรึ”ยายอิงเอื้อพูดด้วยน้ำเสียงเข้มที่ฟังดูอาฆาตน่ากลัว “แหม่! อิงเอื้อ ข้าจะไปถอนตัวได้เช่นไรเพราะข้ายังไม่ได้คัมภีร์เก้าเดียวดายจากเจ้านะซิ”ตี้เพียวสแยะยิ้มและกางมือขวาที่กำหมัดอยู่ตอนนั้น เขาสะบัดมือขวาที่กางอยู่ออกไปข้างหลังและอัดไปข้างหน้าตรงที่อิงเอื้ออยู่ ขณะที่กำลังดันมือขวาไปข้างหน้า ตรงกลางใบมือนั้นมีปราณสีดำสนิทเกิดขึ้นมามันก่อตัวจากก้อนเล็กๆและเริ่มใหญ่ขึ้นจนเท่ากำปั้น ตี้เพียวปล่อยปราณสีดำสนิทนั่นอัดเข้าที่กองเศษไม้ที่อิงเอื้อนอนอยู่ ตูม! ตูม! เศษไม้ระเบิดออกกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศเหลือไว้เพียงพื้นน้ำแข็งที่แตกร้าวซึ่งมีรอยไหม้สีดำอยู่ จุดที่มีรอยไหม้นั่นไม่มีร่างของอิงเอื้ออยู่ มีแต่เศษผ้าสีแดงหนึ่งชิ้นตกไว้ “พลังเจ้าถึงจะมหาศาลแต่มันยังช้าเหมือนเดิมนะ ตี้เพียว”เสียงของอิงเอื้อดังขึ้นข้างหลังของตี้เพียว ตี้เพียวรีบหันหลังกลับอย่างเร็วเขาเห็นอิงเอื้อยืนอยู่ สายตาของตี้เพียวเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ยังเร็วเหมือนเดิมนะ อิงเอื้อ”สิ้นเสียงคำกล่าวของตี้เพียวใต้เท้าของอิงอื้อที่เป็นลานน้ำแข็งก็ได้เกิดระเบิดขึ้น อิงเอื้อรอยขึ้นอยู่บนอากาศ มีวารีพุ่งขึ้นมามันถูกบังคับด้วยปราณของตี้เพียว วารีเริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างที่คล้ายกับมังกรมันหมุนรอบตัวเองและพุ่งตรงขึ้นมาหาอิงเอื้อ “ฝ่ามือสยบจักรพรรดิ”อิงเอื้อจับหลักและทิศทางได้ ในขณะที่ถูกแรงระเบิดดันให้ลอยขึ้นบนอากาศ เธอใช้วิชาตัวเบาพยุงตัวเธอไว้และหมุนตัวหนึ่งรอบก่อนที่จะซัดฝ่ามือซ้ายออกมา ฝ่ามือซ้ายของเธอมีพลังปราณสีส้มๆดูใสก่อตัวขึ้น พลังปราณที่ก่อนตัวนั้นได้กลายรูปร่างตามรูปฝ่ามือของอิงอื้อ และขยายใหญ่ขึ้น เมื่อวารีรูปมังกรพุ่งขึ้นมาใกล้ตัวของอิงเอื้อ เธอได้ฟาดปราณนั้นอัดกับวารีนั้น ตูม! อว่าง! เสียงระเบิดของการปะทะและเสียงกรีดร้องของวารีทรงมังกรดังขึ้นไปไกลหลายลี้ ปราณของอิงเอื้อสามารถชนะวารีของตี้เพียวได้ ปราณนั้นมีพลังมหาศาลทำให้ลานน้ำแข็งทั้งหมดแยกกระจายเป็นออกเป็นเศษชิ้นส่วนเล็กๆ “ฝ่ามือสยบจักรพรรดิหนึ่งในกระบวนท่าฝ่ามือเก้าเดียวดาย ช่างน่ากลัวเสียจริง”ตี้เพียวกระโดดลอยถอยหลังไปตั้งหลักอยู่ ณ พื้นดินที่ขึ้นจากฝั่งของลานน้ำแข็งที่ระเบิด อิงเอื้อลอยตัวลงมาแตะที่พื้นขอบสระฝั่งตรงข้ามกับตี้เพียว “ อั๊พ อั๊พ...”อิงเอื้อก้มลงไอเธอใช้มือซ้ายปิดปากและมือขวากุมที่ท้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อเธอชักมือซ้ายออกมาจากปากก็มีเลือดติดอยู่ที่มือ “เป็นอะไรไปรึ อิงเอื้อ หรือว่าเจ้าหมดสังขารแล้ว ให้ข้าช่วยสงเคราะห์เจ้าดีไหม”ตี้เพียวกล่าวด้วยถ้อยคำที่แฝงความอำมหิต เขากำลังจ้องมองอิงเอื้อด้วยความสมเพส “สังขารเป็นสิ่งที่ทุกคนมี แล้วแต่ว่ามันจะปรากฏเมื่อใด เจ้าไม่ต้องช่วยสงเคราะห์ข้าหรอกตี้เพียว เจ้าช่วยตัวของเจ้าเองดีกว่า”อิงเอื้อยกตัวขึ้นและใช้มือซ้ายเช็ดปากที่มีเลือดไหล เธอหลับตาและยืนตรงไม่ขยับเขยื้อน “โอหังนักจะตายอยู่แล้ว ข้าจะสงเคราะห์ให้เจ้าเอง ฝ่ามือจิ้งจอกขาว”ตี้เพียวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีโทสะ เขายกแขนทั้งสองขึ้น มือทั้งสองข้างกางออก ระหว่างกึ่งกลางของมือทั้งสองนั้นมีมีปราณสีฟ้าเข้มหมุนด้วยความเร็วสูงมันดูดลมและหิมะที่กำลังตกหนักอยู่เข้าไปผสมในตัว มันทวีความใหญ่ขึ้นและความเร็วในการหมุนก็เพิ่มขึ้น ฟึบ! ฟึบ! ตี้เพียวเหวี่ยงพลังปราณที่ตนยกออกไปข้างหน้ามันมุ่งหน้าไปหาอิงเอื้อขณะที่กำลังมุ่งหน้าไปนั้นพลังปราณสีฟ้านั้นก็ยังไม่หยุดหมุนมันยังก่อตัวกับสิ่งรอบข้างไปเรื่อยๆ ตูม! ตูม! พลังปราณนั้นมีพลังทำรายล้างสูงมากจนตี้เพียวที่อยู่สุดขอบสระตรงข้ามกับอิงเอื้อยังถูกแรงอัดนั้นผลักกระเด็นออกไปไกลประมาณสิบวาเศษ “ท่านยายอิงเอื้อ...!!!!!!”ลิ้วจิงตะโกนขึ้น ขณะที่เขากำลังเดินลงมาจากยอดเขาทิเบต เขารีบวิ่งลงมาจากเชิงเขาเพื่อมาดูว่าอิงเอื้อบาดเจ็บสาหัสหรือไม่? ไอเย็นที่ปิดบังจุดที่อิงเอื้อยืนอยู่เริ่มหายและจางลง ร่างของอิงเอื้อยังยืนอยู่ ณ จุดเดิมไม่ได้ขยับไปไหนแม้แต่นิดเดียว ร่างของอิงเอื้อถูกหุ้มไปด้วยปราณสีน้ำตาลดำซึ่งปราณนั้นมีรูปร่างคล้ายระฆังของเส้าหลิน อิงเอื้อเปิดตาออกมาและมองไปที่ลิ้วจิง ปราณที่หุ้มอยู่นั้นก็เริ่มสลายไป “....ฮะ ฮะ ฮะ อิงเอื้อเจ้ายังมีสุดยอดวิชาอยู่ในตัวอีกด้วยหรือ”ตี้เพียวลุกขึ้นมาจากกองหิมะที่ถูกแรงอัดพัดปลิวไป เขาตบที่เสื้อผ้าเพื่อปัดหิมะออกและเดินอย่างช้าๆไปหาลิ้วจิงซึ่งกำลังวิ่งด้วยความเร็วลงมาจากเชิงเขา “ลิ้วจิงรีบหนีไป อั๊พ! อั๊พ!”อิงเอื้อตะโกนขึ้นและก้มลงไอ เธอยกหลังขึ้นและสร้างพลังปราณขึ้นที่มือขวาเป็นปราณสีส้มเล็กๆ เล็กเท่าลูกปัด เธอดีดมันออกไปใส่ตี้เพียว ฟึบ! ฟึบ! ลูกพลังปราณสีส้มกลมเล็กเท่าลูกปัดได้ตรงเป้าเข้าที่อกซ้ายของตี้เพียว แต่ตี้เพียวใช้มือทั้งสองที่เคลือบด้วยพลังปราณปัดมันออกไปหาลิ้วจิงที่กำลังวิ่งอยู่ ลูกปราณสีส้มมุ่งตรงไปที่ลิ้วจิงด้วยความเร็ว ลิ้วจิงที่กำลังวิ่งมาอย่างไม่รู้เรื่องอะไรเลยนั้นกำลังตกเป็นเป้าเจ้าพลังปราณนั้น อั๊ก! อั๊ก! พลังปราณสีส้มลูกเล็กอัดเข้าที่อกของอิงเอื้อ เพราะอิงเอื้อใช้วิชาตัวเบากระโดดเหินอากาศไปรับพลังปราณนั้นแทนลิ้วจิง ร่างของอิงเอื้อกระเด็นถอยหลังอัดกับลิ้วจิงล้มลงสู่เชิงเขาที่มีหิมะปกคลุมอยู่ทั้งสองกลิ้งตกเชิงเขาจนถึงพื้นทั้งสองคนนอนหมดสติโดยมีหิมะทับอยู่ “ฮึ...ฮึ...อิงเอื้อส่งเคล็ดลับวิชาก้าวเดียวดายมาให้ข้าซะดีๆ ฮ่า...ฮ่า...”ตี้เพียวหัวเราะด้วยความสะและเดินไปจับที่หัวของอิงเอื้อ และดูดซับวิชาจากหัวเข้าสู่ร่างกาย ส่วนอิงเอื้อที่ไร้สติกำลังโดนดูดเคล็ดลับวิชาอยู่นั้นก็ได้ลืมตาขึ้นช้าๆ หน้าเธอซีดขาวเหมือนคนใกล้ตายเธอรีบใช้มือซ้ายที่อยู่ข้างๆลิ้วจิงแตะไปที่ตัวของลิ้วจิงแล้วปล่อยอะไรซักอย่างสู่ร่างของลิ้วจิงโดยที่ตี้เพียวไม่รู้ ฟึบ! ตุบ! ร่างของอิงเอื้อเอนลงไปนอนยังพื้นแต่มือซ้ายก็ถ่ายปราณอะไรซักอย่างเข้าตัวของลิ้วจิงและในที่สุดมือของอิงเอื้อที่สัมผัสลิ้วจิงนั้นได้อ่อนแรงลงและปล่อยจากตัวของลิ้วจิงตกลงสู่พื้น ตี้เพียวที่ได้รับเคล็ดวิชาก้าวเดียวดายนั้นก็ได้เดินจากไปทางทิศทักษิณของยอดเขาทิเบต พายุเหมันต์ที่พัดกระหน่ำมาตลอดได้เริ่มเบาแรงลงร่างของสองหลานยายยังคงไร้สติ มีกลุ่มชายกลุ่มใหญ่ใส่ชุดสีขาวปนฟ้ากำลังขี่ม้ามาจากทางตอนอุดรพวกเขาหยุดม้ากะทันหันเมื่อได้เจอร่างของสองหลานยายระหว่างทาง ชายผมยาววัยสี่สิบปีเศษที่นำขบวนมายกมือซ้ายขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ตามมาหยุด ชายผมยามวัยสี่สิบปีเศษได้กระโดดลงจากม้าและเดินไปสำรวจอาการของสองหลานยายเขาสั่งให้ชายสองถึงสามคนที่คุมรถไม้อยู่นั้นมาแบกตัวของสอนหลานยายไปยังหลังรถไม้และกลุ่มชายเสื้อขาวปนฟ้าก็ได้เคลื่อนไปซึ่งพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังทิศบูรพาของเขาทิเบต กั๊บ! กั๊บ! กั๊บ! แสงอรุณสาดส่อง เสียงฝีเท้าม้าที่วิ่งด้วยความเร็วมุ่งหน้าไปยังทิศบูรพาดังก้องรอบบริเวณทำให้ลิ้วจิงที่นอนอยู่บนรถไม้รู้สึกตัวขึ้น เขาพยายามลืมตาขึ้นและกวาดสายตาไปรอบๆเพื่อหาร่างของยายอิงเอื้อ ลิ้วจิงเห็นยายอิงเอื้อนอนอยู่ข้างๆจึงลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆและใช้มือขวากุมมือซ้ายของยายอิงเอื้อไว้ “ท่าน...ท่าน...ทำไมร่างของข้าและยายถึงมาอยู่บนหลังรถม้านี้ได้เช่นไร”ลิ้วจิงเอ่ยถามชายผู้คุมม้าลากรถไม้ที่นั่งอยู่ข้างหน้าด้วยความสงสัย “สำนักข้านั้นได้เดินทางมาจากทิศอุดรมุ่งไปทิศบูรพาระหว่างทางนั้นได้เจอร่างของเจ้าและยายของเจ้าท่านประมุขจึงสั่งให้พวกข้านำร่างของเจ้าและยายของเจ้ามาอยู่บนหลังม้านี้..”เสียงของชายวัยสามสิบปีเศษผู้ที่คุมม้าลากรถไม้ดังขึ้น เขาหันมามองลิ้วจิงและยิ้มบางๆให้ “แล้วท่านจะมุ่งหน้าไปยังแห่งใดหรือ”ลิ้วจิงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะเอนตัวลงนอนกับไม้ลากและมือขวาของเขายังกุมมือของยายอิงเอื้ออยู่ “พวกข้านั้นจะมุ่งหน้าไปยังพรรคพฤกษาสีรุ้ง ...การเดินทางยังอีกไกลเจ้าหนุ่มเจ้าพักผ่อนไปเถอะ”ชายวัยสามสิบปีเศษที่คุมม้าอยู่กล่าวก่อนที่จะควบม้าตามขบวนที่นำหน้าต่อไป ลิ้วจิงที่เอนตัวลงนอนนั้นก็ได้หลับตาลงอยู่ข้างๆยายอิงเอื้อ พรรคพฤกษาสีรุ้ง เป็นพรรครักสงบตั้งฐานมั่งอยู่ที่หุบเขาพฤกษาประกายซึ่งหุบเขานี้อยู่ระหว่างพื้นที่ติดต่อแดนใต้และแดนเหนือ พรรคพฤกษาสีรุ้งควบคุมโดย ตู้ เหวียงปิว หัวหน้าพรรควัยหกสิบปีเศษ เป็นบรมจารนักพรตที่เก่งที่สุดในยุทธ์ภพ และทั่วยุทธ์ภพเชื่อกันว่าเป็นชายหนึ่งในห้าของพรรคตะวันดับจันทราเดือดซึ่งเป็นพรรคที่สร้างดาบเทพลาวาขึ้นมา เมื่อม้าวิ่งตามเส้นทางไปไม่นานนักก็ได้เข้าเขตเส้นทางขึ้นเขาที่อันตรายที่สุดชื่อของภูเขาลูกนี้คือ “ภูเขาแห่งความตายเป้เปียว”เส้นทางเขาแคบกว้างเพียงหกวาและโค้งหักศอกหลายสิบโค้งยาวไปไกลหลายลี้ ผู้คนต่างว่ากันว่าผู้ที่เข้าทาในเส้นทางนี้หายสาบสูญไม่เคยได้ออกมาซึ่งจะถูกเหล่าโจรเหมันต์ปล้นฆ่าและข่มขืน ฟึบ! ฟึบ! ก๊า! ก๊า! ฝูงอีกาสีดำสนิทตาแดงวาวขนาดใหญ่บินขึ้นมาจากแผ่นดินด้านล่างของภูเขาเป้เปียวที่มีความลึกเกือบถึงสองลี้เหล่าอีกาสีดำสนิทต่างแตกตื่นพุ่งบินหนีทิศทางไปมาซึ่งมุ่งหน้าลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า พอฝูงอีกายักษ์สีดำสนิทบินลอยสู่ท้องฟ้าแล้วมีกลุ่มคนหลายสิบคนสวมชุดสีดำสนิทคล้ายสีเดียวกับสีของคนอีกายักษ์ที่บินสู่ฟากฟ้าเมื่อครู่นี้ กลุ่มคนเหล่านั้นใส่หมวกฟางปิดบังใบหน้ามิดชิดในมือทั้งสองข้างสวมกงเล็บเหล็กสีขาวมันวาวด้านละสามใบ พวกเขายืนขวางทางม้าวิ่งเป็นแถวตอนเรียงกันสามถึงสี่แถว หยุด! ฮี๊! ฮี๊! เหวียงปิวหยุดขบวนม้าทั้งหมดที่กำลังวิ่งขึ้นเขาเป้เปียวระหว่างทางก่อนที่ขบวนม้านั้นจะถึงกลุ่มคนชุดดำสนิท เขากระโดดลงมาจากหลังมาและเหยียดสายตาท้าทายกลุ่มคนชุดดำสนิท ศิษย์ของพรรคพฤกษาสีรุ้งที่อยู่ในขบวนและหลังขบวนต่างพากันเดินขึ้นไปยังหน้าขบวน “ท่าน..ท่าน...ท่านขอรับ เกิดเหตุใดขึ้นกับขบวนรถม้าหรือ”ลิ้วจิงยกตัวขึ้นนั่งและถามชายวัยสามสิบปีเศษที่คุมรถม้าแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆดังตอบกลับลิ้วจิงจึงกวาดสายตาไปรอบๆเห็นเหล่าพรรคพฤกษาสีรุ้งยืนกระจุกอยู่หน้าขบวนจึงรีบลุกขึ้นพร้อมก้าวกระโดดลงจากหลังรถไม้และรีบเดินไปยังหน้าขบวนรถม้าทันที “พวกเจ้ามีเหตุใดกับขบวนรถม้าของข้า....”เหวียงปิวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดันแฝงด้วยความอำมหิต เขาใช้มือขวาล้วงไปยังเสื้อด้านหลังบริเวณระหว่างเอวและชักมือออกมาในมือของเหวียงปิวได้กำพัดไม้ใบหนึ่งไว้ “พวกข้าแค่ต้องการเสบียงอาหารและไม่ต้องการประมือกับพวกเจ้าจงส่งเสบียงมาแล้วพวกเจ้าจงรีบไปซะ”ชายชุดดำสนิทเสียงเข้มใหญ่ผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมก้าวออกมายืนอยู่ข้างหน้ากลุ่มคนชุดดำสนิททั้งหมด การวางท่าทางของชายชุดดำสนิทผู้นั้นแสดงให้เห็นได้ว่าจะเป็นผู้นำของเหล่าคนชุดดำสนิท “.....ชิชะ....นี่มันเสบียงของพวกข้าเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะสั่งให้ข้าเคารพหรือทำตามสิ่งที่เจ้าต้องการ”ชายวัยสามสิบปีเศษผู้คุมรถไม้ที่ลิ้วจิงได้นอนอยู่ข้างหลังกล่าวขึ้นพร้อมชักดาบสีแดงมันวาวรูปร่างดูเล็กเพรียวพรายเป็นดาบสองคมออกมาจากปลอกดาบที่ถืออยู่ในมือซ้าย เขายกดาบเล่มนั้นขึ้นชี้ปลายดาบตรงไปที่กลุ่มคนชุดดำสนิท “โอหังนัก...ข้านั้นกล่าวด้วยถ้อยคำสุภาพแก่เจ้าแต่เจ้ากลับไม่ให้เกียรติแก่ข้า”ชายชุดดำสนิทที่ยืนอยู่หน้ากลุ่มคนชุดดำสนิทกล่าวขึ้นก่อนที่จะยกมือซ้ายที่สวมกงเล็บเหล็กเกาที่ปลายหางตา สิ้นเสียงของหัวหน้ากลุ่มคนชุดดำสนิท เหล่าคนชุดดำก็พุ่งกระโจนด้วยความเร็วเข้าหาเหวียงปิวและลูกศิษย์พรรคพฤกษาสีรุ้ง “...ข้าไม่มีระการใดจะกล่าวกับเจ้าแล้วถ้าต้องการเสบียงก็ต้องข้ามศพพวกข้าทั้งสำนักไปก่อน”เหวียงปิวกล่าวและสบัดพัดที่กำอยู่ในมือขวาให้กางออกก่อนใช้พัดกวักเรียกกลุ่มคนชุดดำสนิทเหล่านั้นด้วยท่าทางที่เอาจริง ส่วนลูกศิษย์พรรคทั้งหมดและลิ้วจิงก็ตั้งท่ามั่นที่พร้อมจะประมือกับเหล่าคนชุดดำสนิท ครึก! เคร๊ง! ท่ามกลางพื้นภูเขาเป้เปียวที่แสนอันตรายเสียงของการปะทะศาสตราระหว่างพรรคพฤกษาสีรุ้งกับเหล่าคนชุดดำสนิทดังก้องสั่นไปหลายลี้ ทั้งสองฝ่ายต่างห้ำหั่นกันอย่างพลิ้วไหว เหวียงปิวร่ายรำเตะต่อยดุจสายวายุที่พัดผ่าน เขาใช้มือขวาที่ถือพัดอยู่นั้นตวัดขึ้นไปข้างหน้าที่ซึ่งมีศัตรูยืนอยู่ ฟึบ! ตูม! เมื่อเหวียงปิวตวัดพัดของเขาขึ้นนั้นมีปราณสีเขียวเข้มปนขาวออกมาจากพัด ปราณนั้นมีลักษณะเป็นพระจันทร์เสี้ยวความยาวของมันประมาณสี่วามันพรุ่งตรงไปตัดร่างส่วนบริเวณเอวของคนชุดดำสนิทผู้หนึ่งที่กำลังจะฆ่าลูกศิษย์พรรคพฤกษาสีรุ้งด้วยความเร็วสูงทำให้ร่างของคนชุดดำผู้นั้นขาดเป็นสองส่วนทันที “ขะ ขะ ขอบคุณขอรับ...ทะ....ทะ...ทะ...ท่านเหวียงปิว”ลูกศิษย์พรรคพฤกษาสีรุ้งผู้นั้นที่นั่งกองอยู่บนพื้นเอ่ยเป็นเสียงสั่นๆขึ้นด้วยความหวาดกลัว เขาค่อยๆพยายามตั้งสติก่อนที่จะลุกขึ้นจากพื้นและกระโจนเข้าไปยังสงครามอันดุเดือดเลือดเย็นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเหวียงปิวเหลือบมองไปรอบๆสงครามการประมือเขาได้เห็นเหล่าลูกศิษย์สำนักต่อสู้อย่างเหนื่อยยากลำบากเขาจึงตะโกนดังขึ้นว่า“เหล่าศิษย์สำนักพฤกษาสีรุ้งทุกคน...วันนี้ข้าขอร่วมสู้กับพวกเจ้าจนกว่าชีวิตของข้าจะหาไม่”เหวียงปิวกลับมาต่อสู้ประมือกับเหล่าคนชุดดำสนิทอีกครั้งเขาใช้วิชายุทธ์ที่คล่องแคล่วและดุดันจัดการกับเหล่าคนชุดดำซึ่งเปรียบได้กับพระยาเหยี่ยวที่กำลังตะคุปปลาน้อยขึ้นจากครูน้ำแคบๆ ทางด้านลิ้วจิงเขาใช้วรยุทธ์อันน้อยนิดที่ยายอิงเอื้อฝึกให้ต่อสู้กับคนชุดดำสนิท คนชุดดำสนิทผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากหลังม้าและง้างแขนเพื่อที่จะใช้กรงเล็บฟันที่ลิ้วจิง ลิ้วจิงเห็นดังนั้นจึงย่อเข่าลงทำให้คนชุดำสนิทผู้นั้นฟันลิ้วจิงไม่โดนและร่างของคนชุดดำสนิทผู้นั้นลอยอยู่กลางอากาศ ลิ้วจิงไม่รอช้าบิดข่อเท้าซ้ายไปทางขวาเอนตัวลงนอนและใช้มือซ้ายดันพื้นไว้เพื่อไม่ให้ตัวตกลงสู่พื้นเขาเตะอัดเข้าที่บริเวณหน้าอกของชายชุดดำสนิทด้วยเท้าขวาทำให้ชายชุดดำสนิทผู้นั้นกระเด็นไม่เป็นท่าออกไปประมาณสี่วาจนชนเข้ากับคนชุดดำสนิทอีกสามถึงสี่คนล้มลงไปสู่พื้น ฟึบ! ฟึบ! “กรงเล็บเพลิงเหล็กกล้า...”หัวหน้าชายชุดดำสนิทกระโดดตัวลอยเหนือพื้นพุ่งไปข้างหน้ามุ่งอัดเข้าหลังของลิ้วจิงลักษณะการพุ่งเป็นแนวนอนระนาบขนานกับพื้นประมาณสองวาและหมุนตัวรอบตนเองด้วยความเร็วสูงโดยแขนทั้งสองได้ยืดกางออกไปทางฝั่งซ้ายและฝั่งขวาจนตึง แรงหมุนของวิชากรงเล็บเหล็กกล้าได้ปล่อยปราณสีฟ้าสว่างแทรกตัวอยู่บริเวณใบของกรงเล็บและอากาศบริเวณรอบข้างเริ่มก่อตัวเข้ากับกรงเล็บที่กำลังหมุนจึงทำให้เพิ่มอนุภาคปราณสีฟ้าสว่างนั้นยิ่งมากขึ้นไปอีกเท่าตัว “เจ้าหนุ่มระวังด้านหลังของเจ้า”ชายวัยสามสิบปีเศษตะโกนเรียกลิ้วจิงก่อนที่จะรีบวิ่งกระโดดเข้ามากันกงเล็บเหล็กกล้า ลิ้วจิงได้ยินดังนั้นจึงหมุนตัวกลับหลังแล้วโดนชายวัยสามสิบปีเศษใช้มือซ้ายผลักร่างของเขาให้กระเด็นออกไป ฟึบ! ฉึก! ฝับ! ปลายกรงเล็บที่หมุนตัวด้วยความเร็วสูงเจาะทะลุเข้ากลางท้องชายวัยสามสิบปีเศษพลังปราณที่แทรกตัวอยู่ที่ปลายกรงเล็บและอากาศที่เพิ่มอนุภาคพลังปราณทำให้บาดแผลของชายวัยสามสิบปีเศษขยายกว้างมีรัศมีราวสองนิ้ว ทางด้านลิ้วจิงซึ่งถูกชายวัยสามสิบปีเศษผลักไปนั้นก็ได้ถูกอัดด้วยพลังปราณของวิชากรงเล็บเหล็กกล้าซึ่งกระจายออกตอนปะทะกันทำให้ลิ้วจิงกระเด็นออกไปชนทางตัวของภูเขาโดยหัวไปชนกับหินขนาดใหญ่ข้างๆเส้นทางจนสลบไป หัวหน้าคนชุดดำสนิทชักกรงเล็บออกจากท้องของชายวัยสามสิบปีเศษและร่างของชายวัยสามสิบปีเศษนั้นก็ได้หมดสติค่อยๆกองลงกลับพื้นอย่างช้าๆ “ท่านเหวียงปิวขอรับ...นั่นท่านอู่เหล่อ ใช่ไหมขอรับ”ลูกศิษย์พรรคพฤกษาสีรุ้งผู้หนึ่งที่ต่อสู้อยู่ข้างๆเหวียงปิวกกล่าวและใช้มือซ้ายชี้ไปทางด้านฝั่งตัวภูเขา เหวียงปิวหันไปดูตามที่ศิษย์พรรคพฤกษาสีรุ้งผู้นั้นกล่าวเขาก็ได้พบร่างของอู่เหล่อที่นอนกองอยู่ตรงเท้าของหัวหน้าคนชุดดำสนิท “อู่เหล่อ..”เหวียงปิวอุทานขึ้นและกระโดดด้วยความเร็วพร้อมกางพัดในมือขวาของเขาไปหาหัวหน้าคนชุดดำสนิททันที ฟึบ! ฟึบ! เหวียงปิวกระโดดมายืนอยู่ข้างหน้าของหัวหน้าคนชุดดำสนิทและจ้องมองด้วยสายตาแห่งโทสะ ลักษณะของเหวียงปิวเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หน้าตาของเขาตอนนี้บึ้งตึงสายตาอาฆาตแค้นมือซ้ายที่แนบข้างกำไว้แน่นจนทำให้เห็นเส้นเลือดโผล่ขึ้นมาที่หลังมือเต็มไปหมด มือขวาที่กางพัดอยู่นั้นก็ได้สะบัดข้อมือขึ้นลงๆอยู่บริเวณใบหน้า “ฮะ ฮะ ฮะ...เข้ามา..”หัวหน้าคนชุดดำสนิทกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงท้วมแฝงด้วยความอำมหิตพร้อมใช้เท้าซ้ายสะบัดร่างของอู่เหล่อที่ไร้สติกระเด็นออกไป เขาใช้กงเล็บทั้งสองข้างของเขาไขว้กันและถูขึ้นลงทำให้ได้ยินเสียงเหล็กเสียดสีซึ่งดังก้องทั่วบริเวณสงครามเหล่าพรรคพฤกษาสีรุ้งและคนชุดดำสนิทที่ต่อสู่อยู่บริเวณสงครามได้ยินเสียงเหล็กเสียดสีกันนั้นต่างมือไม้เท้าขาอ่อนเรี้ยวแรงล้มหมดสติกันเกือบหมด “เสียงนั้นมันไม่ได้ผลต่อสภาพร่างกายของข้าแม้แต่น้อย....เจ้ามิสามารถล้มข้าได้หรอก”เหวียงปิวกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุมเยือกเย็นขึ้นและเดินอย่างช้าๆมุ่งไปหาหัวหน้าคนชุดดำสนิทในมือขวาที่กางพัดอยู่ก็สะบัดข้อมือช้าๆเรื่อยๆไม่หยุด |
เมฆาละลิ้วพริ้วสายลม |
#14 เมฆาละลิ้วพริ้วสายลม [ 21-02-2009 - 18:44:40 ] |
|
ช่วยการวิจารย์หน่อยครับ |
|