เตียวหยุน จูล่ง - สุภาพบุรุษนักรบ
เขียนถึงตัวละครตัวนี้เป็นคนแรก เพราะเป็นความชอบส่วนตัว ด้วยเหตุที่ว่านี่คือตัวละครจากร้อยกว่าตัวในเรื่องสามก๊กที่ผมนั้นชอบและนับถือมากท
ี่สุด
สุภาพบุรุษจากเสียงสาน
ผู้กล้ากลางสมร
เสือร้ายแห่งเตียงปัน
ยากไร้ แต่ใช่จะตื่นทอง
ผู้ติดเดือยทอง
ต้องขอขอบคุณ “ยาขอบ” นักเขียนในดวงใจคนหนึ่งของผม ที่ได้ให้สมญานามแก่ผู้กล้าท่านนี้ไว้มากมาย ละยังมีอีกมากที่ผมจำได้ไม่หมด ซึ่งเน้นไปทางการแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญไม่เป็นสองรองใครในฐานะยอดขุนศึก แต่ก็แฝงไว้ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนสมเป็นสุภาพบุรุษ
เตียวหยุน จูล่ง ซึ่งคนไทยนิยมเรียกชื่อรองมากกว่านั้น เป็นยอดขุนศึกชาวจีน ซึ่งมีชีวิตโลดแล่นอยู่ในยุคสงครามที่โด่งดังที่สุดอย่างสามก๊ก โดยถ้าข้อมูลผมไม่ผิดพลาด เขาจะมีอายุอยู่ในระหว่างปี ค.ศ. 157 – 229 รวมอายุได้ 72 ปี
แต่บางฉบับนั้นบอกว่าเกิดในปี 168 ตัวผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอันไหนจะถูกต้องกว่ากัน เพราะจูล่งเป็นตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องสามก๊กที่ไม่มีใครสามารถระบุอายุได้แน่ชัด
แต่ไม่ว่าจะเกิดปีไหนหรือมีอายุเท่าไหร่ก็ไม่ใช่เรืองสำคัญ สิ่งสำคัญหรือการวัดความสำเร็จสำหรับคนเรานั้นไม่ใช่อยู่ที่ว่ามีอายุกี่ปี หรือว่าอยู่ได้นานแค่ไหน แต่มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่คนผู้นั้นได้กระทำหรือฝากชื่อเอาไว้ต่างหาก
ซึ่งถ้าเช่นนั้นแล้ว จูล่ง ก็ถือได้ว่าเป็นยอดบุรุษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในเรื่องสามก๊ก
ทำไมผมถึงพูดเช่นนี้
ถ้าเช่นนั้นก่อนอื่นจะขอบอกเล่าถึงประวัติของเขาอย่างคร่าวๆก่อนแล้วกัน โดยจะขอยึดจากสามก๊กฉบับของหลอก้วนจงและเหมาจงกังเป็นหลัก เนื่องจากทุกๆคนจะรู้จักเนื้อหาในสามก๊ก 2 ฉบับนี้มากกว่าของเฉินโซ่ว
ประวัติโดยย่อ
เตียวหยุน ชื่อรอง จูล่ง เกิดที่อำเภอเจินติ้ง จังหวัดเสียงสาน เมื่อครั้งที่เขาเกิดขึ้นมานั้นมีเมฆขาวก้อนใหญ่ลอยเด่นอยู่เหนือนภาของดอยเสียงสาน บิดาจึงได้ตั้งชื่อว่า หยุน ซึ่งแปลว่าเมฆ
เกี่ยวกับชื่อนี้คนไทยกับคนจีนนั้นอ่านไม่เหมือนกัน ชื่อเตียวหยุนนั้น หากอ่านแบบจีนจะสามารถอ่านได้ว่า จ้าวหยุน
จนเมื่อเติบใหญ่เขียนได้ จึงมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า เตียวจูล่ง
อาจเพราะเกิดมาในวันที่มีเมฆขาวโดดเด่นและมีคำว่าเมฆอยู่ในชื่อ จึงทำให้ จูล่ง ชอบสีขาวเป็นพิเศษ โดยมักจะสวมเสื้อผ้าสีขาว แม้แต่ม้าที่ขี่ก็ยังชอบสีขาว ซึ่งในภายหลังนั้นยามที่อยู่ในสนามรบ หากมีนักรบที่สวมชุดขาวและมีขี่ม้าสีขาวอยู่หน้ากองทัพล่ะก็ เหล่าข้าศึกถึงกับพากันกลัวหัวหด เพราะเป็นที่รู้กันว่านั่นคือเอกลักษณ์ประจำตัวของแม่ทัพเตียวจูล่ง
ช่วงที่เขาเกิดมานั้นแผ่นดินเริ่มเกิดความวุ่นวายจากไฟสงครามภายในประเทศซึ่งเป็นผลม
าจากความเหลวแหลกของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เหล่าเด็กหนุ่มลูกผู้ชายอย่างเขาจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการที่จะใช้ชีวิตรอด ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มฝึกฝนการขี่ม้ายิงธนู การใช้อาวุธ ทั้งทวนและดาบจนเชี่ยวชาญ
เมื่อโตเป็นหนุ่มฉกรรจ์ อายุประมาณ 24-25 ปี เขาได้กลายเป็นหัวหน้าของเหล่าคนหนุ่มในอำเภอ ซึ่งมีราวร้อยกว่าคน ในช่วงนั้นเองที่เกิดกบฏโพกผ้าเหลืองลุกฮือทั่วประเทศขึ้น ราชสำนักไม่มีกำลังเพียงพอที่จะปราบปราม โดยเฉพาะตามหัวเมืองทั่วไป
เขาจึงได้ปรึกษาเหล่าพรรคพวกว่าสมควรที่จะรวมกลุ่มขึ้นมาแล้วไปสมัครเป็นทหารเข้าร่ว
มกับกองกำลังของขุนศึกคนใดคนหนึ่งเพื่อช่วยยุติความวุ่นวายนี้ ซึ่งโดยส่วนมากแล้วคนที่อยู่ในเมืองและอำเภอละแวกเดียวกับจูล่งนั้นมักจะไปเข้ากับกอ
งกำลังของอ้วนเสี้ยวหรือไม่ก็ของกองซุนจ้าน ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็เป็นขุนศึกใหญ่มีชื่อของยุคนั้น
จูล่งได้ไปเข้าสังกัดของอ้วนเสี้ยวแต่อยู่ได้ไม่นานก็ปลีกตัวออกมา แล้วไปเข้ากับกองซุนจ้านแทนเพราะเขาเห็นว่าเจ้านายอย่างอ้วนเสี้ยวไม่เหมาะสม
ตรงจุดนี้เองที่มีความแตกต่างกันระหว่างสามก๊กฉบับเฉินโซ่วและหลอก้วนจง ซึ่งจะยกไปกล่าวไว้ในภายหลัง
ในตอนที่จะมาอยู่กับกองซุนจ้านนั้นถือเป็นการเปิดตัวจูล่งเป็นครั้งแรกในหนังสือสามก
๊ก ซึ่งถือเป็นวีรกรรมครั้งแรกของเขาด้วย
กล่าวคือในการรบครั้งหนึ่งระหว่างกองซุนจ้านและอ้วนเสี้ยวนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายได้ปะทะกันที่สะพานศิลาแห่งหนึ่ง กองซุนจ้านเป็นฝ่ายพลาดพลั้งเสียทีถูกบุนทิวทหารเอกของอ้วนเสี้ยวไล่ต้อนจนตัวเองต้อ
งขี่ม้ากระเจิงมาเพียงลำพัง และมุ่งที่จะข้ามสะพานหนีไปยังอีกฝั่ง
ตอนนั้นเองที่ได้มีนายทหารหนุ่มชุดขาวหน้าใส ขี่ม้าถือทวนเข้ามาขวางบุนทิวไว้ บุนทิวนั้นได้ชื่อว่าเป็นจอมทวนแห่งยุคในขณะนั้นก็คิดว่าจะสามารถเอาชนะนายทหารหนุ่ม
ไร้ชื่อได้ง่ายๆ แต่หลังจากปะทะไปไม่กี่เพลงก็คาดผิด เพราะนอกจากนายทหารหนุ่มคนนั้นจะต้านทานตนเองไว้ได้แล้ว ยังเล่นงานเขาจนเกือบจะพ่ายแพ้ ร้อนจนงันเหลียงทหารเอกของอ้วนเสี้ยวอีกคนที่ขี่ม้าตามมามาช่วยเอาบุนทิวออกไป
หลังจากเล่นงานบุนทิวจนถอยกลับไปได้แล้วเขาก็พากองซุนจ้านหนีมาที่สะพานอีกฝั่งเพื่อ
มาสมทบกับกองทัพของกองซุนจ้าน
นักรบหนุ่มคำนับกองซุนจ้าน กองซุนจ้านพิเคราะห์ดูเขาก็รู้สึกพิศวงต่อใบหน้าเกลี้ยงเกลาขาวสะอาด ดูไม่มีลักษณะของคนที่อยู่ในสนามรบมาก่อน
นักรบหนุ่มประกาศชื่อตนเองว่า ชื่อ เตียวหยุน จูล่ง เป็นชาวเมืองเสียงสาน เดิมเคยสังกัดทัพอ้วนเสี้ยว แต่อ้วนเสี้ยวเป็นคนหยาบช้าจึงคิดผละจากมาและมารับขอรับใช้กองซุนจ้านแทน
หลังจากนั้นกองซุนจ้านให้จูล่งเป็นผู้ควบคุมและฝึกสอนกองทหารม้าในกองทัพของตน โดยในยุคนั้นกองทหารม้าของกองซุนจ้านได้ชื่อว่าเป็นกองทหารม้าที่แข็งแกร่งที่สุด โดยตัวกองซุนจ้านนั้นถึงกับได้ฉายาว่าเป็นอัศวินม้าขาว และการที่ได้จูล่งซึ่งเป็นยอดทหารม้าแห่งยุคไปอยู่ด้วย ก็ทำให้เขากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทางตอนเหนือเทียบเคียงกันกับอ้วนเสี้ยว
แต่เพราะความที่เขาไม่ได้ให้จูล่งได้ใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่ และตัวกองซุนจ้านเองนั้นความจริงก็ไม่ได้ต่างจากอ้วนเสี้ยวท่าใดนัก จึงทำให้เขาไม่อาจยิ่งใหญ่ได้มากกว่านี้และมีจุดจบที่ไม่ดีนักซึ่งจะขอยกไว้กล่าวถึง
ทีหลัง
จากนั้นไม่นานจูล่งก็ได้พบกับผู้ที่จะทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงในภาย
หลัง
คนผู้นี้มีลักษณะเด่นทางกายอย่างหนึ่งนั้นคือมือยาวถึงเข่า หูยืดยาน ท่าทางนอบน้อมต่อผู้คน เขาก็คือเล่าปี่
ตอนนั้นเล่าปี่เป็นขุนศึกผู้หนึ่งที่มุ่งหวังจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินเช่นเดียวกับคนอื่น
ๆ เพียงแต่ยังไม่มีฐานกำลังเป็นของตัวเองได้แต่ไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ซึ่งกองซุนจ้านก็เป็นคนหนึ่งที่เขามาขอพึ่งพิงด้วย
กองซุนจ้านนั้นเคยเป็นเพื่อนในสมัยเรียนของเล่าปี่ จึงรับเล่าปี่กับน้องร่วมสาบานอีกสองคนซึ่งเป็นยอดนักรบที่โด่งดังอย่างกวนอูและเตีย
วหุย โดยให้พวกเขาเป็นผู้ควบคุมทหารจำนวนหนึ่ง
และยกอำเภอผิงหยวนให้ดูแล และส่งจูล่งไปช่วยฝึกสอนทหารม้าให้
และตอนนี้เองที่เล่าปี่ได้พบและร่วมงานกับจูล่ง
เล่าปี่ประทับใจในความเก่งกาจและความสุภาพชนของจูล่ง จึงพยายามทาบทามจูล่งให้มาอยู่ด้วยกันกับตน ตัวจูล่งเองก็รู้สึกประทับใจอะไรบางอย่างในตัวเล่าปี่ แต่เขาก็ปฏิเสธไปเพราะเขาให้เหตุผลว่าตัวเขาได้พูดไปแล้วว่าจะรับใช้กองซุนจ้าน จึงไม่ควรกลับคำพูด ซึ่งทำให้เล่าปี่ประทับใจในคุณธรรมของเขามากขึ้นไปอีก
ภายหลังต้องลาจากเล่าปี่กลับไปช่วยงานกองซุนจ้านที่กำลังเตรียมรบกับอ้วนเสี้ยว ซึ่งก่อนลานั้นเล่าปี่ถึงกับร้องไห้หนักที่ต้องจากจูล่ง ซึ่งจูล่งเองนั้นคงจะประทับใจมากจนพูดในทำนองที่ว่าหากกองซุนจ้านต้องมีอันเป็นไป เขาจะขอมาอยู่กับเล่าปี่แทน
ในความรู้สึกของจูล่งนั้น เขาคงคิดว่าตนเองได้พบนายที่แท้จริงแล้ว
จูล่งกลับมาอยู่กับกองซุนจ้านแต่กองซุนจ้านกลับไม่ได้ให้เขาเป็นแม่ทัพหน้า ซึ่งผลของมันนั้นหนักหนามากเมื่อกองซุนจ้านรบแพ้อ้วนเสี้ยวจนต้องถอยหนีไปอยู่ที่เมื
องอี้จิง
ภายหลังจูล่งต้องกลับบ้านเกิดเพื่อไปไว้ทุกข์ให้พี่ชายที่ตายไปตามธรรมเนียมจีนโบราณ
ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าต้องไว้ทุกข์เป็นเวลากี่ปี แต่ในช่วงนี้เองที่จูล่งได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์อย่างน้อยๆก็ 3-4 ปี ซึ่งโดยส่วนตัวนั้นผมคิดว่าจูล่งเองคงจะรู้สึกตัวแล้วว่ากองซุนจ้านก็ไม่ได้ต่างจากอ
้วนเสี้ยวที่เขาจากมาเลย จึงหายหน้าไปนานขนาดนั้น
ปี ค.ศ. 196 ผลจากการที่ไม่มีจูล่งอยู่คอยให้คำแนะนำ ทำให้กองซุนจ้านทำตัวเหลวแหลกเมื่อตอนแก่ และต้องฆ่าตัวตายพร้อมกับลูกเมียอย่างน่าเศร้าเมื่ออ้วนเสี้ยวยกทัพใหญ่มาประชิดเมือ
ง
ปี ค.ศ. 2000 จูล่งได้กลับเข้ามาในหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้งเมื่อเขาได้พบกับเล่าปี่ ที่หนีจากอ้วนเสี้ยวมา และได้เข้าร่วมกับเล่าปี่
นับจากนี้เป็นต้นไปจูล่งก็ได้อยู่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ของเล่าปี่และครอบครัวตราบไป
จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
ในตอนที่จูล่งได้พบกับเล่าปี่อีกครั้งนั้นในหนังสือสามก๊กได้เล่าไว้อย่างน่าตื่นเต้
นไม่น้อยและเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเก่งกล้าของจูล่งอีกครั้งหนึ่งด้วย
ครั้งนั้น 3 พี่น้องร่วมสาบาน เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ได้แยกกระจัดกระจายไปคนละทาง เล่าปี่ไปอยู่กับอ้วนเสี้ยว กวนอูไปยู่กับโจโฉ ส่วนเตียวหุยไปยึดเอาเมืองเล็กเมืองหนึ่งชื่อเมืองเก๋าเซียมาได้ กวนอูนั้นเมื่อได้หนีจากโจโฉนั้นได้มาพบกับเตียวหุย และบอกเตียวหุยว่าตนจะไปตามหาเล่าปี่ให้พบ เมื่อได้พบเล่าปี่แล้วสมความตั้งใจแล้วก็มุ่งหน้าเพื่อกลับไปหาเตียวหุย
ระหว่างทางกวนอูได้พบกับจิวฉอง ซึ่งเป็นอดีตโจรผ้าเหลืองที่เลื่อมใสในตัวกวนอู จิวฉองนั้นมีเพื่อนอีกคนที่ชื่อหุยง่วนเสียน ซึ่งทั้งคู่ต่างเป็นหัวหน้ากลุ่มโจรที่มีกำลังอยู่ราว 600-700 คน ตัวจิวฉองนั้นบอกว่าตนจะนำพรรคพวกกว่า 30 คนไปตามตัวหุยง่วนเสียงเพื่อให้รวบรวมสมัครพรรคพวกมามอบให้กวนอู
แต่เมื่อจิวฉองกลับมาก็ปรากฏบาดแผลเลือดาบทั่วตัว เล่าปี่กับกวนอูถึงกับตกใจจึงสอบถาม จิวฉองจึงว่าตนนั้นได้ไปถึงเขาโงจิวสาน เพื่อจะชวนหุยง่วนเสียนแต่ว่าหุยง่วนเสียนนั้นได้โดนคนผู้หนึ่ง ไม่ทราบชื่อเสียงรูปร่างสูงใหญ่ สวมเกราะขาว ขี่ม้าขาว ถือทวนเป็นอาวุธแทงตาย และอีก 30 คนที่พาไปด้วยก็ถูกฆ่าทั้งหมด ดีที่ตนนั้นพอจะได้เรียนรู้ฝีมือจากกวนอูมาบ้าง ไม่เช่นนั้นคงไม่รอด
กวนอูถึงกับตกตะลึงในความเก่งกาจของคนผู้นี้ จึงตั้งใจจะไปขอดูหน้าและขอประลองดูสักตั้ง แต่เล่าปี่คิดว่าถ้ามีคนที่เก่งกาจขนาดนี้ก็น่าที่จะชวนให้มาอยู่ด้วย จึงไปด้วยกันกับกวนอู
เมื่อกวนอูไปถึงก็ป่าวประกาศเรียกตัวคนผู้นั้นออกมา ชายคนนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา สวมเกราะขาว ขี่ม้าขาว มือถือทวนเป็นอาวุธ เล่าปี่เห็นก็จำได้ทันทีว่าคือจูล่ง
เมื่อได้คุยกันแล้วจึงได้ความว่าหลังจากกองซุนจ้านตายนั้น อ้วนเสี้ยวได้ส่งคนมาชวนให้จูล่งไปอยู่ด้วยหลายครั้ง แต่เขาไม่ต้องการ เมื่อได้ข่าวเล่าปี่อยู่ที่เมืองกิจิ๋ว จึงออกเดินทางมาเพื่อหวังจะพบ ระหว่างทางได้พบหุยง่วนเสียนกับพรรคพวกกลุ่มโจร เห็นม้าขาวของเขาสวยดีจึงคิดจะแย่งชิง เขาจึงจำเป็นต้องฆ่าเสีย พวกโจรเมื่อเห็นในฝีมือของเขาต่างพากันหวาดกลัวจึงยกให้เขาเป็นหัวหน้า และรอคอยที่จะได้พบกับเล่าปี่มาตลอดเพื่อจะได้ไปร่วมงานกัน
เล่าปี่จึงได้ตัวจูล่งมาอยู่ด้วย และยกให้เขาเป็นนายทหารองครักษ์ประจำตัวทำหน้าที่พิทักษ์ตัวเขารวมไปถึงครอบครัว
จากนั้นไม่นานเล่าปี่คิดจะตีเมืองฮูโต๋ ราชธานีของโจโฉ โดยอาศัยในจังหวะที่โจโฉนั้นรบติดพันกับอ้วนเสี้ยว แต่โจโฉรู้ตัวจึงเตรียมตั้งรับไว้แล้ว
เล่าปี่แบ่งกำลังเป็น 3 กองเข้าตีทางตะวันออก ตก และตรงกลาง โดยตะวันออกให้กวนอู ตะวันตกให้เตียวหุย ส่วนตรงกลางนั้นมีเล่าปี่กับนายทหารคนใหม่อย่างจูล่ง ซึ่งจุดที่โจโฉป้องกันเองและเป็นจุดที่โจมตีหนักที่สุดคือตรงกลาง
โจโฉส่งเคาทูนายทหารเอกจอมพลังเข้าตีเล่าปี่ก่อน และได้ปะทะกับจูล่งซึ่งเป็นนายทหารหน้าใหม่สำหรับฝ่ายโจโฉ
เคาทูนั้นได้ชื่อว่าเป็นจอมพลังอันดับหนึ่งของโจโฉที่มีพละกำลังระดับเดียวกับเตียวห
ุยทีเดียว แต่เคาทูก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะจูล่งได้
สามพี่น้องร่วมสาบานต่างทึ่งในความเก่งของจูล่งและหวังจะได้เห็นฝีมือของเขาอีก คราวนี้จึงเป็นฝ่ายเข้าตีทัพโจโฉบ้าง แต่ครั้งนี้เคาทูไม่ได้ออกมาสู้อีก และสุดท้ายทัพเล่าปี่ที่มีจำนวนน้อยกว่ามากนั้นก็ได้พ่ายแพ้ จนต้องหนีตายออกมา และระหว่างหนีนั้นก็ถูกเตียวคับ ทหารเอกคนสำคัญของโจโฉ ตามล่าแต่เล่าปี่ก็ได้จูล่งช่วยต้านไว้ จูล่งได้แสดงความสามารถฆ่าทหารองครักษ์ของเตียวคับจนตายหมด ด้านเตียวคับเองก็เกือบพ่ายแพ้จนต้องถอยหนีออกมา ทำให้เล่าปี่หนีรอดมาได้
หลังจากแตกพ่ายแล้วเล่าปี่ก็มาขอพึ่งเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติ เพราะแซ่เดียวกัน ช่วงที่อยู่เกงจิ๋วกว่า 6-7นี้เอง เล่าปี่ได้พยายามเสาะหาผู้มีความสามารถและผู้มีปัญญาโดยเฉพาะนักปราชญ์เข้ามาช่วยเหล
ือ ซึ่งในที่สุดก็ได้ตัวขงเบ้งมาเป็นที่ปรึกษา
หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องราวมากมาย ซึ่งจะขอพูดแบบย่อที่สุด เพราะนี่คือประวัติของจูล่งหากตรงไหนที่ไม่เกี่ยวนักผมจะพยายามไม่เอ่ยถึง
ปี ค.ศ.208 เล่าเปียวผู้ครองเกงจิ๋วตาย เล่าจ๋องบุตรคนเล็กซึ่งมีชัวฮูหยินผู้เป็นแม่และชัวมอผู้เป็นอาหนุนหลังได้ขึ้นครองแ
ทนที่จะเป็นเล่ากี๋ซึ่งเป็นบุตรคนโต ฝ่ายโจโฉซึ่งเสร็จจากการรวบรวมแผ่นดินทางภาคเหนือและภาคกลางนั้น ก็มุ่งเป้ามาที่เกงจิ๋วซึ่งเป็นด่านสำคัญสำหรับการยึครองทางภาคใต้และได้กรีฑาทัพนับ
แสนเพื่อยึดเกงจิ๋ว
เล่าจ๋องนั้นยอมสวามิภักดิ์และยกเมืองเกงจิ๋วให้โจโฉ ทำให้เล่าปี่นั้นจำต้องถอยร่นลงใต้ โดยระหว่าทางนั้นได้มีชาวบ้านนับหมื่นนับแสนคนขอติดตามไปด้วย
การเดินทางโดยมีชาวบ้านไปด้วยนั้นทำให้กองทัพเดินทางได้ช้ามาก และเมื่อถึงเนินเตียงปันก็ถูกกองทัพของโจโฉไล่ทัน
ตรงนี้เองที่ได้เกิดเอาเหตุการณ์ที่ได้สร้างชื่อให้จูล่งกลายเป็นยอดขุนศึกที่มีชื่อ
เสียงสะท้านแผ่นดิน โดยผมจะขอย่อจากที่เขียนไว้ในหนังสือสามก๊กมาบอกเล่าโดยพยายามไม่ให้เสียรสชาติที่สุ
ด
เล่าปี่นั้นได้ปรึกษากับขงเบ้งแล้วเห็นว่าคงจะไม่สามารถหนีการโจมตีของโจโฉได้พ้นแน่
ขงเบ้งจึงอาสาไปขอกำลังเสริมมาจากเล่ากี๋ซึ่งอยู่ที่เมืองแฮเค้ามาช่วยและแบ่งชาวบ้า
นอีกจำนวนหนึ่งให้กวนอูพาหนีไปทางเรือแล้วให้มาสมทบกันที่ภายหลัง ซึ่งเล่าปี่ก็เห็นด้วย
ภายในกองทัพจึงเหลือทหารเอกแค่ 2 คนเท่านั้นคือเตียวหุยกับจูล่ง โดยเตียวหุยมีหน้าที่เป็นองครักษ์ให้เล่าปี่ ส่วนจูล่งเป็นองครักษ์ให้กับลูกเมียของเล่าปี่
ในที่สุดทัพของโจโฉก็ตามมาทัน และตีทัพของเล่าปี่จนแตกกระจาย เล่าปี่นั้นได้เตียวหุยช่วยพาหนีไปจนข้ามสะพานเตียงปันได้ แต่ขบวนของครอบครัวเล่าปี่ที่จูล่งเป็นผูดูแลนั้นยังคงติดอยู่ภายในทัพของโจโฉ และฮูหยินทั้ง 2 คนรวมถึงลูกชายของเล่าปี่ที่ยังแบเบาะอยู่นาม อาเต๊า ก็หายสาบสูญไปด้วย
จูล่งถือว่าเป็นความรับผิดชอบของตนเองจึงได้ออกตามหา และได้พบกับกำฮูหยิน ภรรยาหลวงของเล่าปี่ แต่ยังไม่พบบิฮูหยิน ผู้เป็นภรรยารองและอาเต๊า
เนื่องจากสถานการณ์คับขัน จูล่งจึงตัดสินใจพาเอากำฮูหยินไปส่งให้กับเตียวหุยซึ่งรออยู่ที่หน้าสะพานเตียงปันก่
อน จากนั้นจึงถือทวนประจำตัวและควบม้าขาวคู่ใจกลับเข้าไปในดงกองทัพนับแสนของโจโฉอีกครั
้งเพื่อตามหาฮูหยินและอาเต๊า
ตอนที่จูล่งนำกำฮูหยินไปส่งให้เตียวหุยนั้น มีจุดน่าสนใจอยู่ นั่นคือก่อนที่จูล่งจะพบฮูหยินนั้น เขาได้พบกับบิฮองนายทหารของเล่าปี่คนหนึ่งซึ่งแตกทัพมา บิฮองนั้นแจ้งต่อจูล่งว่าฮูหยินทั้ง 2 และอาเต๊าได้พลัดหายไปในกองทัพโจโฉ จูล่งได้ฟังดังนั้นจึงให้บิฮองล่วงหน้าไปหาเล่าปี่ ส่วนตนนั้นหันม้าควบกลับเข้าไปในกองทัพโจโฉ
บิฮองตกใจจึงตะโกนถามว่าทำไมจูล่งถึงต้องควบม้ากลับเข้าไปในทัพศัตรู จูล่งตะโกนกลับมาว่าจะไปหานายแล้วก็ควบม้าหายไป บิฮองเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเข้าใจว่าจูล่งคิดจะไปสวามิภักดิ์กับโจโฉแทน และไปรายงานต่อเล่าปี่
แต่เล่าปี่นั้นบอกว่าจูล่งได้เข้ามาอยู่กับเราในยามยากและเชื่นตัวจูล่งว่าเป็นผู้มี
ความสัตย์และมีคุณธรรม ดังนั้นจึงเชื่อใจในตัวจูล่งว่าไม่ทรยศแน่
และจู่ล่งก็ภักดีต่อเล่าปี่ตราบจนถึงวันสุดท้ายจริงๆ
จูล่งตะลุยจนพบกับกองทหารของโจโฉกองหนึ่งซึ่งมีธงแพรผืนใหญ่อยู่เบื้องหน้าแสดงให้เห
็นว่านานทหารที่นำทัพเป็นคนสำคัญ และก็สำคัญจริงๆเพราะเขาคือแฮหัวอิ๋น ญาติของโจโฉผู้ทำหน้าที่พิทักษ์อาวุธคู่กายของโจโฉ
โจโฉมีดาบคู่กายอยู่ 2 เล่ม นั่นคือ ดาบอิเทียน และดาบชิงกัง ดาบทั้ง 2 เล่มต่างเป็นดาบชั้นยอดโดยเฉพาะดาบชิงกังนั้นได้ชื่อว่าเป็นดาบที่ “ฟันเหล็กก็ดุจฟันหยวก” ขอเพียงดาบเดียวก็สามารถฟันศัตรูตรงหน้าให้สิ้นชื่อได้ ต่อให้เกราะเหล็กก็ตาม
ดาบอิเทียนนั้นเป็นดาบที่โจโฉจะถือติดกายไว้ ส่วนดาบชิงกังนั้นได้ให้แฮหัวอิ๋นทำหน้าที่คอยดูแลรักษา
แฮหัวอิ๋นเมื่อเห็นจูล่งแต่ผูเดียวควบม้าเข้าหากองทหารของตนจึงหมายจะเข้าปราบด้วยชิ
งกัง แต่ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียวของจูล่ง ชื่อของแฮหัวอิ๋นก็หายไปจากหนังสือสามก๊กทันทีโดยที่ดาบชิงกังยังไม่ทันจะได้ชักออกจ
าฝักด้วยซ้ำ
กองทหารของแฮหัวอิ๋นต่างแตกฮือเมื่อนายทัพตาย ส่วนตัวจูล่งนั้นรู้สึกเอะใจกับดาบที่แฮหัวอิ๋นสะพายไว้ ประกอบกับดาบในมือเขาคงจะชำรุดเต็มทน จูล่งจึงได้หยิบเอาดาบชิงกังขึ้นมาและลองชักออกดู
ที่กลางดาบมีชื่อติดหราอยู่และดาบก็เป็นเหล็กเนื้อเขียวแวววับ เขาจึงแน่ใจว่าต้องเป็นดาบชั้นดีแน่ จึงได้ตัดสินใจเก็บเอาไว้เอง
ดาบชิงกังเมื่อเปลี่ยนมือมาอยู่กับจูล่ง ในภายหลังก็ได้โอกาสสำแดงอานุภาพที่แท้จริงออกมา และกลายเป็นอาวุธประจำตัวของเขานับแต่นั้น
เหมือนใบไม้ร่วง ต่อจากแฮหัวอิ๋นแล้ว นายทหารของโจโฉแทบจะทุกระดับจนถึงนายพล ต่างก็ล้มตายกันระเนระนาดในทุกทีเมื่อมีอัศวินชุดขาว ขี่ม้าสีขาว ตะลุยผ่านไป จนในที่สุดเขาก็ได้มาถึงบ่อน้ำร้างแห่งหนึ่ง ที่นั่นเองเขาได้พบกับบิฮูหยินที่กัลงกอดอาเต๊านั่งอยู่ข้างบ่อ
จูล่งดีใจมากรีบเชิญให้ฮูหยินขึ้นม้าเพื่อหนีไปด้วยกัน แต่นางปฏิเสธเพราะว่าถ้านางขึ้นม้าไปด้วย จะทำให้หนีไปได้ช้า จูล่งจึงว่าให้นางขึ้นม้าส่วนตัวเขาจะขอเดินเท้าพาหนีเอง
แน่นอนว่านางไม่ยอม ในที่สุดเมื่อทหารศัตรูเข้ามาใกล้ นางจึงฝากฝังอาเต๊าให้จูล่งแล้วอาศัยตอนที่จูล่งเผลอกระโดดลงบ่อน้ำฆ่าตัวตายเพื่อไม
่ให้เป็นภาระแก่เขา
จูล่งเสียใจมากแต่ก็รีบรวมสตินำหินมาทับบ่อน้ำไว้เพื่อไม่ให้ทหารโจโฉได้ศพนางไป ส่วนตัวเขาได้เอาทารกอาเต๊าใส่ไว้ในเสื้อเกราะแล้วพันกับผ้าติดไว้แนบอก
จากนั้นจูล่งก็สวมวิญญาณเพขฌฆาต ชนิดที่ไม่เคยมีใครได้มาก่อน ใช้ทวนคู่ใจควบม้าบุกตะลุยและ “ฆ่า” ทุกๆคนที่มาขวางหน้า
จุดหมายของเขาคือต้องไปให้ถึงสะพานเตียงปันที่เตียวหุยเฝ้าอยู่โดยเร็วที่สุดเพื่อคว
ามปลอดภัยของอาเต๊า ดังนั้นเมื่อพบข้าศึกมาขวาง เขาจะเน้นลงมือที่ตัวหัวหน้าก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อทำให้พวกทหารที่เหลือเสียขวัญและ
ไม่กลัวไปเอง
หลังจากฆ่าไปมากเขาก็ได้พบกับ เตียวคับ ยอดขุนศึกที่เคยประมือกันมาก่อนอีกครั้ง
เตียวคับนั้นเมื่อสมัยที่อยู่กับอ้วนเสี้ยวเคยประมือกับเขามาแล้ว ตอนนี้พอมาอยู่กับโจโฉก็ได้กลายเป็นขุนศึกคนสำคัญที่เก่งกาจยิ่งกว่าเมื่อก่อน
แต่จูล่งก็ไม่หวั่นเข้าปะทะกับเตียวคับนับสามสิบเพลง แล้วก็จูล่งที่เสียเปรียบในเรื่องความสดและต้องคอยพะวงกับอาเต๊าก็อาศัยจังหวะที่ตนเ
องได้เปรียบควบม้าผละออกไป ซึ่งเตียวคับเองก็ไม่อาจจะตามไปได้ทัน
ในที่สุดหลังจาก 2 วันที่ไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ในการวนเวียนอยู่ในดงข้าศึกนับแสนๆ จนในที่สุดก็สามารถหนีออกมาจนถึงเทือกเขาเตียงกุนสัน เนินเตงยาง
บนที่ราบสูงนั้นเองโจโฉได้เฝ้าสังเกตการณ์ดูการรบอยู่จากเบื้องบน สิ่งที่เขาเห็นและทำให้เขาถึงกับตกตะลึงนั้นก็คือ ภาพของอัศวินคนหนึ่งที่สวมชุดขาวและขี่ม้าขาวโดดเด่นเป็นสง่ากำลังบุกฝ่าตะลุยกองทหา
รนับแสนของเขา ไม่ว่าทหารคนนี้จะตะลุยเข้าไปในทางใด ซ้าย หรือ ขวาทหารของโจโฉก็จะพากันล้มตายและแตกฮือกระเจิดกระเจิงเมื่อนั้น
โจโฉอดแปลกใจไม่ได้ที่ในโลกนี้ยังมีคนที่เก่งและกล้าบ้าบิ่นแบบนี้อยู่ด้วย และรู้สึกว่าการต่อสู้ที่เขาเห็นอยู่เบื้องหน้านี้มันช่างเป็นภาพแห่งสมรภูมิที่สวยง
ามอะไรเช่นนี้ ภาพของม้าขาวที่ตะลุยไปทางไหน ทหารทางนั้นก็แตกฮือเมื่อนั้น คงจะเป็นสิ่งที่หาไม่ได้อีกแล้วไม่ว่าจะในสนามรบไหน จนถึงกับหลุดปากออกมาว่า “ไอ้นี่มันช่างเป็นยอดเสือจริงๆ”
แล้วจึงถามแฮหัวตุ้นแม่ทัพคนสนิทว่าไอ้เสือที่ว่านี่ชื่ออะไร ซึ่งแฮหัวตุ้นเองก็ไม่รู้จึงได้ควบม้าลงไปตะโกนถามจูล่งเอง
จูล่งตะโกนกลับว่า “เราคือ เตียวจูล่ง หยุน ชาวเสียงสาน”
แฮหัวตุ้นกลับไปรายงานให้โจโฉทราบ โจโฉเมื่อได้ยินก็รู้สึกชอบใจในความเก่งกล้าของจูล่ง จึงได้มีคำสั่งห้ามให้ทหารใช้ธนูและให้จับเป็นจูล่ง
ต้องยอมรับว่านี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้จูล่งรอดชีวิตมาได้ เพราะโจโฉเห็นว่านักรบที่แท้จริงอย่างจูล่งนั้นไม่สมควรที่จะต้องมาตายด้วยลูกธนู
เมื่อไร้อุปสรรคอย่างลูกธนูเช่นนี้ สิ่งที่จูล่งต้องคอยระวังก็มีแค่นายทหารที่จะเข้ามาปะทะด้วยฝีมือเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้เกินความสามารถของเขาเลย
ศัตรูชุดสุดท้ายที่มาขวางหน้าเขาเป็นนายทหารคนสนิทของแฮหัวตุ้นชื่อว่าจงจิ๋นและจงสิ
นสองพี่น้องซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องเพลงขวานและเพลงทวนซึ่งแฮหัวตุ้นยอมรับในฝีมือ
แต่ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียวของจูล่งที่ได้กลายเป็นมือทวนอันดับหนึ่งของยุคไปแล้
ว จงจิ๋นก็ถูกแทงตกม้าตาย
จงสินคิดจะแก้แค้นให้พี่ชายจึ้งควบม้าตามหลังจูล่งอย่างกระชั้นชิด และเมื่อควบตามถึงจังหวะที่จงสินคิดว่าตัวเองได้เปรียบและพร้อมจะจู่โจม จูล่งซึ่งไม่ได้มองเหลียวหลังเลยแต่อาศัยการมองเงาของจงสินเพื่อดูตำแหน่งนั้นก็ใช้ม
ือเปลี่ยนทวนที่อยู่ในมือขวาไปด้านซ้าย แล้วใช้มือขวาที่ว่าางอยู่ชักกระบี่ชิงกังออกมาจากจากฝัก
ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวจงสินก็สิ้นชื่อ และทำให้จูล่งได้รู้ถึงอานุภาพของกระบี่ชิงกังเป็นครั้งแรก
กระบี่ชิงกังเมื่อครั้งอยู่ในมือแฮหัวอิ๋นแล้วเป็นได้แค่ของประดับที่อยู่ในฝัก แต่เมื่อมาอยู่ในมือของจูล่งมันได้กลายเป็นอาวุธที่ร้ายกาจของเขาไป
หลังจากจัดการสองพี่น้องจงแล้ว บุนเพ่งนายทหารของอ้วนเสี้ยวที่มาสวามิภักดิ์กับโจโฉก็รีบไล่ตามมา ความจริงจูล่งจะจัดการบุนเพ่งนั้นก็ไม่น่าจะยาก เพราะเคยรู้มือมาตั้งแต่สมัยที่อยู่กับกองซุนจ้านแล้ว แต่ตอนนี้ความปลอดภัยของอาเต๊าต้องมาก่อน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะหนีจากบุนเพ่งแล้วในที่สุดก็สามารถพาอาเต๊ามาถึงสะพานเตียงป
ันสำเร็จ และฝากให้เตียวหุยช่วยจัดการกับศัตรูที่ตามมา ส่วนตัวเขาก็รีบพาอาเต๊าไปหาเล่าปี่ทันที
เมื่อพบเล่าปี่แล้ว สิ่งแรกที่เขาพูดนั้นกลับเป็นการขอให้เล่าปี่ลงโทษที่ตัวเขาไม่อาจช่วยบิฮูหยินไว้ได
้ ทั้งที่ผลงานของเขาที่ได้ช่วยเหลืออาเต๊าออกมาจากข้าศึกนับแสนนั้นมันเป็นผลงานระดับ
สุดยอดที่คงจะไม่มีใครทำได้อีกแล้วแต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงมันเลย
เล่าปี่รับอาเต๊าคืนจากจูล่ง ซึ่งเด็กน้อยอาเต๊านั้นหลับสนิทโดยไม่รู้เรื่องราวขณะที่อยู่ในอ้อมอกจูล่ง
เล่าปี่เมื่อรับอาเต๊ามาแล้วก็ปล่อยอาเต๊าตกลงพื้น จูล่งตกใจรีบเข้าไปรับอาเต๊าไว้ ฝ่ายเล่าปี่ก็ถึงกับตะโกนลั่นว่าเพราะเด็กคนนี้แท้ๆ จูล่งทหารเอกเราจึงเกือบจะต้องตายไป แล้วก็ร้องไห้ ตามแบบที่ตัวเองถนัด
ตรงจุดนี้เองที่นักวิจารณ์ นักประวัติศาสตร์และอีกหลายๆคนต่างตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการกระทำอันเสแสร้งของเล่าปี่
เพื่อเป็นการซื้อใจจูล่ง
จริงไม่จริง ไม่มีใครรู้ แต่หากจริงล่ะก็ถือว่าเล่าปี่ประสบความสำเร็จแล้ว เพราะนับแต่นั้นจูล่งก็กลายเป็นทหารเอกที่จงรักภักดีต่อเล่าปี่และครอบครัวของเล่าปี
่อย่างแท้จริง จนถึงขั้นที่มีผู้กล่าวว่า 3 พี่น้องร่วมสาบานนับแต่นี้ต้องเพิ่มจูล่งเข้าไปอีกหนึ่ง ซึ่งแม้เขาจะไม่ได้ร่วมสาบานด้วยแต่สำหรับเล่าปี่แล้ว จูล่งเปรียบเหมือนเป็นพี่น้องร่วมสาบานอีกคนหนึ่ง
หลังเสร็จศึกที่เนินเตียงปันแล้ว ฝ่ายเล่าปี่ก็ถอยร่นมาอยู่ที่เมืองแฮเค้าของเล่ากี๋ และด้วยคำแนะนำของขงเบ้ง เล่าปี่จึงตัดสินใจผูกพันธมิตรกับซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่
อันดับหนึ่งทางตอนใต้ ร่วมกันต่อต้านโจโฉ
ขอกล่าวถึงผลการรบเล็กน้อย โดยผลการรบที่เตียงปันนั้นฝ่ายเล่าปี่พ่ายแพ้อย่างยับเยินก็จริง แต่โจโฉไม่ได้ดีใจมากนักเพราะตัวเขาก็สูญเสียไม่น้อย เพราะเมื่อตรวจสอบความเสียหายนั้น ฝ่ายโจโฉสูญเสียนายกองใหญ่ 12 นาย ทหารเอกถึง 50 คน และยังมีทหารทั่วไปอีกมากมายนับไม่ถ้วน
โดยทั้งหมดนั้นมาจากฝีมือของนักรบคนเดียวที่มีเพียงทวนและกระบี่ 1 เล่ม กับม้าอีก 1 ตัว
นั่นคือ เตียวจูล่ง
ปี ค.ศ.208 ปีเดียวกันนั้นเอง พันธมิตรร่วมระหว่างเล่าปี่ซุนกวน ได้ปะทะกับกองทัพเกือบ 1 ล้านของโจโฉที่ผาแดง หรือที่รู้จักกันในนาม “สงครามเซ็กเพ็ก” ถึงแม้ฝ่ายเล่าปี่ซุนกวนจะมีกำลังน้อยกว่ามาก แต่ทางซุนกวนนั้นมีจิวยี่แม่ทัพเรือยอดอัจฉริยะแห่งยุคเป็นแม่ทัพใหญ่ และทางชาวกังตั๋งนั้นก็มีความสามัคคีที่จะสู้ศึกสูงมาก
นอกจากนี้ยังมีขงเบ้งกับบังทองซึ่งเป็น 2 ที่ปรึกษาแห่งยุคร่วมกันวางแผนช่วยเหลืออยู่ลับหลัง ประกอบกับเกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นในกองทัพโจโฉทำให้สุดท้ายแล้วฝ่ายโจโฉต้องแตกพ่ายแ
พ้อย่างย่อยยับกลับไป
เมื่อโจโฉถอยกลับไปแล้วหัวเมืองตามมณฑลเกงจิ๋วที่ไม่มีทัพของโจโฉเฝ้าอยู่ก็กลายเป็น
เป้าหมายของฝ่ายเล่าปี่และซุนกวน โดยเล่าปี่นั้นอาศัยจังหวะที่จิวยี่รบกับโจโฉดอดเข้าไปเอาหัวเมืองเหล่านั้นมาได้ 3 หัวเมือง
ตรงจุดนี้มีเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับจูล่งในด้านความคิดและการกระทำของเขาอยู่อย่างหนึ
่งซึ่งผิดไปจากผู้คนในยุคเดียวกัน
เล่าปี่ได้ให้จูล่งยกทัพไปตีเมืองกุ้ยหยางซึ่งปรากฏว่าจูล่งสามารถยึดเอาเมืองได้โดย
ไม่ต้องรบเพราะเจ้าเมืองคือเตียวหอมนั้นหวาดเกรงในฝีมือของจูล่ง
เมื่อยึดได้แล้วเตียวหอมก็รับรองจูล่งอย่างดีและหาทางเอาใจจูล่งอย่างเต็มที่
จูล่งนั้นรู้สึกถูกชะตากับเตียวหอมก็เพราะพวกเขาต่างแซ่เตียวเหมือนกัน จึงได้สาบานเป็นพี่น้องกัน โดนเตียวหอมยกจูล่งเป็นพี่ และหลังจากดื่มกินกันพอประมาณแล้ว เตียวหอมก็เรียกให้พี่สะใภ้ที่ชื่อนางฮวนซีของตนออกมาช่วยเก็บจานชามให้ จูล่งจึงว่าเตียวหอมไม่น่าให้พี่สะใภ้ทำแบบนี้
แต่ที่เตียวหอมทำนั้นเพราะมีจุดประสงค์นั่นคือเขาต้องการให้จูล่งได้เห็นหน้านางฮวนซ
ี ซึ่งถือเป็นหญิงงามคนหนึ่ง
หลักจากนางออกไปแล้ว เตียวหอมก็ว่า พี่สะใภ้ของตนนั้นอาภัพเพราะเสียสามีไป ตัวนางเองก็ไม่ยอมแต่งงานใหม่ โดยตั้งเงื่อนไขว่าจะยอมแต่งงานใหม่ก็ต่อเมื่อ ชายคนนั้นมีแซ่เดียวกับตนและเป็นวีรบุรุษผู้กล้าแห่งยุค ซึ่งจูล่งนั้นก็มีคุณสมบัติครบถ้วน และจูล่งเองก็ยังไม่มีภรรยา ดังนั้นเขาจึงคิดจะยกพี่สะใภ้ของตนให้กับจูล่ง
จูล่งได้ฟังก็โกรธแล้วว่า เราท่านต่างเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน พี่สะใภ้ของท่านย่อมเป็นเหมือนพี่ของข้าด้วย ท่านทำเช่
เตียวหยุน จูล่ง (copy)
|
รักคือสิ่งใด |
#1 รักคือสิ่งใด [ 17-10-2008 - 00:16:47 ] |
|
ขุนเขายามราตรี |
#2 ขุนเขายามราตรี [ 17-10-2008 - 11:00:44 ] |
|
ข้าก็ชื่นชอบท่านจูล่งเหมือนกัน เป็นสุภาพบุรุษที่หาได้ยากในยุคปัจจุบัน |
รักคือสิ่งใด |
#3 รักคือสิ่งใด [ 17-10-2008 - 18:41:25 ] |
|
ในยุคนั้นก็หายากนะ บุรุษผู้ไม่พลาด |
|