เที่ยว“สุสานจิ๋นซี” สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก
กองทัพทหารดินเผาจำนวนมากมายในสุสานจิ๋นซีฯที่หลายคนยกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก
ณ เชิงเขาหลีซัน เมืองซีอาน มณฑลส่านซี
เวลาบ่าย 2 โมงกว่าๆ วันที่ 29 มี.ค. ค.ศ.1974
ในขณะที่ “หยังจื้อฟา” ชาวนาหมู่บ้านซีหยัง กำลังก้มหน้าก้มตาขุดดินเพื่อทำเป็นบ่อน้ำอยู่เพลินๆ ที่เชิงเขาหลีซันที่อยู่ห่างจากตัวเมืองซีอานไปประมาณ 35 กิโลเมตร จู่ๆเขาก็ขุดไปเจอกับซากดินเผาเข้า ซึ่งซากดินเผานี้ไม่ธรรมดาด้วยประการทั้งปวงเพราะว่าเป็นซากดินเผาหัวม้าอายุกว่า 2 พันปี
และการขุดดินครั้งนั้นก็ไม่ใช่การขุดดินธรรมดา แต่ว่านั่นคือจุดกำเนิดของการเปิดกรุ“สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้” ที่เป็นหนึ่งในการค้นพบครั้งสำคัญของมนุษยชาติ ซึ่งหลายๆคนยกให้สุสานจิ๋นซีฯเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลกแห่งศตวรรษที่ 20 เลยทีเดียว
ซึ่งจะว่าไปแล้วการค้นพบสุสานจิ๋นซีฯนั้นถือว่ามาจากเหตุบังเอิญโดยแท้?!?
รูปปั้นจิ๋นซีฯตั้งโดดเด่นต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ลานจอดรถก่อนถึงทางเข้าสุสานทหารจิ๋นซีฯ
ปัจจุบันสุสานจิ๋นซีฯได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ.1987 และถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเมืองซีอาน
อนึ่งผู้ใดที่ไปเยือนซีอานแล้ว หากไม่เห็นรูปปั้นทหารดินเผาก็ประมาณว่ายังไปไม่ถึงเมืองซีอาน หรือไปแล้วก็ไม่ได้ออกไปไหน เพราะรูปปั้นดินเผาทหารจิ๋นซีฯนั้นสามารถเห็นได้ทั่วไปทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ มีทั้งตั้งโชว์ตามหน้าร้านอาหาร โรงแรม ตั้งประดับไว้ตามจุดสำคัญในเมือง และก็มีขายทั่วไปตามร้านขายของที่ระลึก ตามโรงแรม นับเป็นสินค้าโอทอปอันดับต้นๆ และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองซีอาน
แต่ที่ข้าพเจ้ากล่าวมานั้นเป็นรูปปั้นของเลียนแบบ ส่วนของจริงนั้นต้องไปดูที่สุสานกองทัพทหารจิ๋นซีฯ ที่เชิงเขาหลีซัน ซึ่งก่อนที่จะเข้าไปชมกองทัพทหารดินเผาของจิ๋นซีฯ หากข้าพเจ้าไม่เล่าเรื่องราวคร่าวๆของ"จิ๋นซีฮ่องเต้" หรือ“ฉินสื่อหวงตี้” ก็ดูจะกระไรอยู่ เพราะฮ่องเต้องค์นี้ถือเป็น 1 ใน 10 ยอดฮ่องเต้โลกไม่ลืมตลอดกาลแห่งแดนมังกรโดยเฉพาะในช่วง 4-5 ปีหลังมานี่ จิ๋นซีนับเป็นฮ่องเต้เบอร์หนึ่งแห่งเมืองจีนไปโดยปริยาย อันเป็นผลพวงมาจากบทประพันธ์เรื่อง “เจาะเวลาหาจิ๋นซี” ของหวงอี้ และภาพยนตร์เรื่อง “ฮีโร่”จากฝีมือกำกับของจางอี้โหมว
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=305473
หนึ่งในอาคารหลุมขุดค้นในสุสานทหารจิ๋นซีฯ
จิ๋นซีฮ่องเต้ ชื่อนี้นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ต่างพากันยกให้เป็นทั้งมหาราชและทรราชอยู่ในคนๆเดียวกัน
สำหรับความเป็นมหาราชของจิ๋นซีฮ่องเต้นั้น เริ่มจากการรวบรวมประเทศจีน ซึ่งแบ่งเป็น 7 ก๊กใหญ่ๆในยุคจ้านกั๋วหรือยุคสงครามที่มีการรบพุ่งกันกว่า 500 ปี ให้เป็นหนึ่งเดียว พร้อมสถาปนา ราชวงศ์ฉิน (221-206 ปี ก่อนค.ศ.)ขึ้นมา
หลังจากนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้ก็ได้สร้างคุณูปการมากมายต่อแผ่นดินจีน อาทิ การปกครองด้วยการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่พระองค์เอง การกำหนดให้ใช้ตัวอักษรจีนเป็นอย่างเดียวกันหมดทั่วประเทศ ใช้เงินตราประเภทเดียวกัน กำหนดใช้กฎหมายอย่างเป็นเอกภาพทั้งประเทศ กำหนดมาตรฐานชั่ง ตวง วัด อย่างเดียวกัน รวมถึงยังสร้างถนนหลวงไว้หลายสายด้วยกัน
หุ่นดินเผาที่ขุดขึ้นมาให้นักท่องเที่ยวชมมีทั้งที่สมบูรณ์และที่หักพังไปตามกาลเวลา
และที่ยิ่งใหญ่สุดๆก็เห็นจะเป็นการเชื่อมกำแพงเมืองของแคว้นต่างๆเพื่อสกัดการรุกรานของเผ่าซงหนูเผ่าให้กลายเป็น “กำแพงเมืองจีน” หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเมืองจีน
จากด้านสว่างสลับอารมณ์มาดูด้านมืดหรือด้านทรราชของฮ่องเต้องค์นี้กันบ้าง
เมื่อรวมจีนเป็นปึกแผ่นจิ๋นซีฮ่องเต้ก็ปกครองเมืองจีนด้วยอำนาจเหล็กอัน...มโหด ที่ใครขัดขืนหากถูกจับกุมได้ก็มีแต่ตายสถานเดียว ซึ่งเรื่องราวความ...มโหดของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่โด่งดังในกระแสธารประวัติศาสตร์ก็มี การสังหารหมู่นักศึกษาลัทธิขงจื้อ 400 คนแบบฝังทั้งเป็น และการสังหารนักปราชญ์จำนวนมาก การเผาตำราที่เห็นว่าขัดแย้งกับแนวคิดของตนทำให้วิชาการและ ศิลปะในยุคนั้นพลอยหยุดชะงักลง
นอกจากนี้จิ๋นซีฮ่องเต้ ยังรีดนาทาเร้นส่วยภาษีจากประชาชน เกณฑ์ชาวบ้านจำนวนมากไปสร้างกำแพงเมือง พระราชวัง สวน และสุสาน ทำให้ผู้คนล้มตายกันจำนวนมาก ในขณะที่จิ๋นซีฮ่องเต้กลับใช้ชีวิตเสวยสุข ซึ่งนี่ถือเป็นการบ่มเพาะความเคียดแค้น
ครั้นพอจิ๋นซีฮ่องเต้ สวรรคตเมื่อ 208 ปี ก่อนค.ศ. หลังจากนั้นอีก 2 ปี ราชวงศ์ฉินก็ล่มสลายโดยคลื่นมหาชนได้ร่วมมือกันโค่นล้มราชวงศ์ฉิน ซึ่งรวมระยะเวลาที่ราชวงศ์ฉินครองแผ่นดินจีนก็เพียงแค่ 15 ปีเท่านั้น แต่ว่าก็เป็น 15 ปีที่มากไปด้วยเรื่องราวอันวิจิตรเพริศแพร้วยิ่งนัก
หุ่นดินเผาบางส่วนนำมาตั้งไว้บนระดับพื้นปกติเพื่อทำการซ่อมแซม
เอาล่ะ เมื่อรู้เรื่องราวบางส่วนของฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้แล้ว ทีนี่ก็ได้เวลาไปตามดูสิ่งก่อสร้างอันน่าทึ่งของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่ สุสานจิ๋นซีฯกัน
สำหรับสุสานจิ๋นซีฯนั้น อยู่ที่เชิงเขาหลีซัน ห่างจากตัวเมืองซีอานไปทางทิศตะวันออกประมาณ 35 กม. ซึ่งหากนั่งรถไปจากเมืองซีอานประมาณชั่วกว่าๆ เมื่อรถแล่นผ่านเนินดินลูกใหญ่อันเป็นสถานที่ฝังศพของจิ๋นซีฯก็เตรียมลงเที่ยวได้แล้ว เพราะหลังจากนั้นอีกเพียงอึดใจก็จะถึงยังลานจอดรถที่มีรูปปั้นของจิ๋นซีฮ่องเต้ยืนโดดเด่น โดยมีเขาหลีซันเป็นฉากหลัง
ครั้นพอรถแล่นผ่าน “สุสานจักรพรรดิจิ๋นซี”(ที่ฝังพระศพจิ๋นซีฯ) ซึ่งเป็นเนินดินลูกใหญ่ก็เตรียมลงเดินเที่ยวได้แล้ว เพราะหลังจากนั้นอีกเพียงอึดใจก็จะถึงยังลานจอดรถที่มีรูปปั้นของจิ๋นซีฮ่องเต้ยืนโดดเด่น โดยมีเขาหลีซันเป็นฉากหลัง
กองทัพหุ่นนักรบในหลุมที่ 3
สำหรับที่ตั้งของหลุมขุดค้นนั้นอยู่ห่างจากที่จอดรถประมาณ 1 กม. ซึ่งเมื่อไปถึงยังหลุมขุดค้น จุดแรกที่ควรไปดูเพื่อความเข้าใจมาที่มาที่ไปของกองทัพทหารดินเผาก็คือที่ห้องฉายวีดีโอ 360 องศา ที่ภายในอุ่นเครื่องด้วยเรื่องราวความเป็นมาของการสร้างกองทัพทหารกินเผา และการขุดค้นทางโบราณคดี ซึ่งถือว่าเป็นการบิวด์อารมณ์ก่อนชมของจริงที่ยอดเยี่ยมไม่เบา
ครั้นพอเข้าชมของจริงข้าพเจ้าไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลายๆคนจึงยกให้สุสานทหารจิ๋นซีเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก เพราะสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นดูยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ
ไกด์ชาวจีนได้เล่าให้ฟังว่า จิ๋นซีฯใช้เวลา 37 ปีในการสร้างกองทัพหุ่นดินเผา(246-208 ก่อน ค.ศ.)เพราะเชื่อในชีวิตหลังความตาย ว่าหุ่นทหารเหล่านี้จะตามไปรับใช้และปกป้องในปรโลก ด้วยเหตุนี้หุ่นทหารแต่ละตัวจึงมีขนาดเท่าคนจริง และก็เป็นการจัดทัพเสมือนจริง
โดยเชื่อว่ากองทัพดินเผาทหารจิ๋นซีฯนั้นมีทั้งหมด 8 หลุม แต่ว่าปัจจุบันมีการขุดค้นเพียง 3 หลุม เพราะว่าทางเมืองจีนยังไม่อยากขุดค้นเนื่องจากว่ายังหาวิธีรักษาสีของตัวหุ่นหลังเปิดหลุมให้คงสภาพเดิมไม่ได้ เพราะเดิมนั้นเมื่อขุดหุ่นขึ้นมาใหม่ๆ ทหารแต่ละนายจะสวมชุดสีสดใส โดยส่วนใหญ่จะใส่เสื้อสีชมพู สวมกางเกงสีเขียว และฟ้า แต่ว่าเมื่อเปิดหลุมอากาศและแสงแดดเข้าไปทำปฎิกริยาทำให้สีของหุ่นลอกหายไปกลายเป็นสีดินเผาเพียวๆ
ในหลุมที่ 3 จัดแสดงไว้ด้วยหุ่นทหารที่สมบูรณ์เห็นแม้กระทั่งริ้วรอยบนใบหน้า
หลุมแรก ถือเป็นแนวหน้าหน่วยกล้าตาย มีหุ่นทหารทำท่าถืออาวุธ(ปัจจุบันไม่มีอาวุธในมือหุ่นดินเผาแล้ว)จำพวกหอก ดาบ กว่า 6,000 นาย ยืนเรียงแถวเป็นระเบียบในหลุมที่ขุดลึกลงไปกว่า 5 เมตร กว้าง 62 เมตร ยาว 230 เมตร รวมพื้นที่กว่า 14,000 ตารางเมตร โดยพวกทหารแนวหน้ายศต่ำจะใส่เสื้อผ้าธรรมดา ส่วนพวกยศขึ้นมาหน่อยจะใส่เสื้อเกราะ ส่วนแถวหลังจะมีรถศึก และม้าศึกตัวขนาดเท่าจริงอ้วนพีดูแข็งแรง รวมถึงทหารในชุดและท่าทางที่พร้อมรบเต็มที่
หลุมที่สอง มีพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร มีหุ่นพลรบประมาณ 1,000 นาย ที่เหลือเป็นขบวนหุ่นม้าศึกและรถม้า ที่เหลือยังไม่ได้ขุดขึ้นมา
ส่วนหลุมที่ 3 มีซากกระดูกสัตว์อยู่ด้านหน้า ว่ากันว่าเป็นเครื่องบูชายัญในพิธีศพ ในหลุมนี้มีทหารที่ขุดแล้ว และรถม้า ม้าศึก รวมกันประมาณ 70 ตัว ที่เหลือยังไม่ได้ขุดขึ้นมาเหมือนหลุมที่สอง จึงเห็นเป็นแนวคันดินชัดเจน
หากเดินผ่านๆดูเหมือนว่าหลุมที่ 3 ไม่ค่อยมีอะไรดู แต่จริงๆแล้วทางด้านซ้ายของประตูทางเข้ามีตู้โชว์หุ่นดินเผาที่สมบูรณ์เห็นรายละเอียดอยู่ในลักษณะท่าทางที่แตกต่างกันหลายตัว ซึ่งหุ่นแต่ละตัวจะมีหน้าตาไม่เหมือนกันโดยหุ่นส่วนใหญ่จะแสดงหน้าตาดุดันตามสไตล์นักรบ
เมื่อดูหลุมที่ 3 เสร็จแล้วก็อย่าเพิ่งรีบกลับ เพราะที่บริเวณหลุมขุดค้นยังมีสิ่งที่น่าสนใจให้ชมอีกในพิพิธภัณฑ์ที่ได้รวบรวมเอาของดีเอาไว้มากมาย อาทิ ข้าวของเครื่องใช้ในสมัยฉิน เครื่องประดับ สร้อย กำไล อาวุธโบราณ และที่ถือเป็นพระเอกก็คือรถม้าอออกศึกสำริดที่เล็กกว่าของจริงหนึ่งเท่า นับว่าเป็นงานที่น่าสนใจและเห็นถึงวิวัฒนาการการใช้เหล็กในสมัยราชวงศ์ฉินได้เป็นอย่างดี
ขบวนรถม้าศึกสำริดขนาดเล็กกว่าของจริงหนึ่งเท่าในพิพิธภัณฑ์
ข้าพเจ้าหลังจากชมน่าทึ่งของสุสานกองทัพทหารจิ๋นซีฯก็อดนึกไปถึงความยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้แดนมังกรองค์นี้ไม่ได้ เพราะว่านอกจากสุสานทหารฯที่หลายๆคนยกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลกแล้ว จิ๋นซีฮ่องเต้ยังได้ทำการเชื่อมกำแพงเมืองของแคว้นต่างๆเพื่อสกัดการรุกรานของเผ่าซงหนู ให้กลายเป็น“กำแพงเมืองจีน” 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอันลือลั่น
ณ วันนี้แม้ว่าจิ๋นซีฮ่องเต้จะจากโลกไปกว่า 2 พันปีแล้ว แต่ว่าเรื่องราวของพระองค์ยังคงอยู่ให้ผู้คนเล่าขานกันต่อไปทั้งในด้านมืดและด้านสว่าง นับเป็นหนึ่งในฮ่องเต้โลกไม่ลืมแห่งแดนมังกร ซึ่งหากใครได้ไปเที่ยวชมผลงานความยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้องค์นี้ไม่ว่าจะเป็นกำแพงเมืองจีน หรือกองทัพสุสานทหารจิ๋นซีฯ ก็นับว่ายากที่จะลืมเลือนเช่นกัน...
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ครับ หามาไห้อ่าน กัน
พรรคกระยาจก เรื่องน่ารู้
ยาจกอุดร |
#2 ยาจกอุดร [ 13-12-2007 - 12:51:57 ] |
|
ยลประติมากรรมธรรมชาติ ท่อง"ป่าหิน" ทิวทัศน์ป่าหินในมุมสูงยามเมื่อมองลงไปจากจุดชมวิวเก๋งจีน หลังจากในวันแรกที่ฉันนั่งกระเช้าขึ้นไปเที่ยว "ยอดเขาซีซาน" เพื่อเที่ยวชมสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ชมทิวทัศน์ของทะเลสาบเตียนฉือและเมืองคุนหมิง ประตูมังกร ชมสถาปัตยกรรมและประติมากรรมต่างๆบนยอดเขาแห่งนี้ ในวันที่สอง...รถมินิบัสคันเดิมเคลื่อนตัวลงไปทางใต้ของเมืองคุนหมิงเรื่อยๆ ท่ามกลางขุนเขา ต้นไม้ และบ้านเรือนชาวจีนที่มีอยู่เป็นช่วงๆ นอกเมืองอย่างนี้ บ้านของชาวคุนหมิงส่วนมากจะเป็นบ้านดิน ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ และปลูกพืชผักไว้ตรงที่ลุ่มด้านล่าง หินอาซือหม่าที่คนจีนจินตนาการมาจากภาพด้านข้างสาวชาวอาข่าสวมหมวกแบกตะกร้าใส่ดอกไม้ ใช้เวลาชั่วโมงกว่า สองข้างทางก็เริ่มเห็นหินน้อยใหญ่โผล่ขึ้นมาจากดินแดง ในพื้นที่อันกว้างใหญ่กว่าสนามฟุตบอลเป็นไหนๆ เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าจุดหมายของเราจวนเจียนจะถึงเต็มทีแล้ว แต่สวนหินสองข้างทางนี้ ยังไม่ถึงครึ่งของพื้นที่ในสวนหินของจริงด้วยซ้ำไป สวนหิน หรือป่าหิน ตั้งอยู่ทางใต้ห่างจากตัวเมืองคุนหมิง 90 กม. ป่าหินนี้มีอายุกว่า 270 ล้านปี มีพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล ครั้งหนึ่งเคยเป็นหินปูนอยู่ใต้ผืนน้ำ ครั้นเปลือกโลกดันตัวสูงขึ้น จึงกลายเป็นสวนหินที่ผุดขึ้นเหนือพื้นดิน และจากการกัดเซาะของสายน้ำและสายฝน การสึกกร่อนจึงทำให้หินแปรสภาพเป็นรูปร่างต่างๆ มากมาย สำหรับป่าหินแห่งนี้แบ่งเป็น "ป่าหินน้อย" และ"ป่าหินใหญ่" ซึ่งป่าหินแต่ละแห่งต่างก็มีจุดที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไป โดยป่าหินน้อยนั้นหากเดินไปตามถนนใหญ่สายหลักที่มีสะพานข้ามสระน้ำที่มีประติมากรรมหินตั้งโดดเด่นอยู่ตรงกลางสระ หากตรงไปตามถนนใหญ่ก็จะเป็นพื้นที่ของป่าหินใหญ่ที่มากมายไปด้วยหินสารพัดรูปแบบให้เลือกชม จุดชมวิวเก๋งจีนไฮไลท์แห่งป่าหินใหญ่ที่เมื่อขึ้นไปบนนั้นจะมองเห็นทิวทัศน์ของป่าหินได้รอบด้าน แต่ว่างานนี้คุณไกด์วิทย์ พาฉันและเพื่อนร่วมทริปเดินเลี้ยวไปทางซอกหินที่อยู่ทางซ้ายก่อน โดยไกด์วิทย์บอกว่าจะพาไปชมป่าหินน้อยก่อน ซึ่งในเส้นทางซอกซอนไปในดงป่าหินน้อยก็เต็มไปด้วยก้อนหินรูปร่างแปลกๆจำนวนมาก จนไกด์วิทย์พามาหยุดยังลานโล่งที่ล้อมรอบไปด้วยหินก้อนมหึมาขึ้นตระหง่าน ซึ่งที่นี่มีก้อนหินสัญลักษณ์ของป่าหินคุนหมิง โดยหินก้อนนี้มีชื่อว่า "อาซือหม่า" เป็นภาษาอาข่าชนพื้นเมืองในแถบป่าหิน ความโดดเด่นของหินอาซือหม่านั้น ไกด์วิทย์บอกว่าคนจีนจินตนาการเป็นรูป ด้านข้างของสาวชาวอาข่าสวมหมวกแบกตะกร้าใส่ดอกไม้ไว้ที่ด้านหลัง ซึ่งหากมองเผินๆหลายๆคนอาจจะไม่เห็นตามนั้น แต่ว่าหากมองตามชุดของสาวชาวอาข่าจำนวนหนึ่งที่เดินหันข้างสวมหมวกแบกตะกร้าใส่ดอกไม้เดินไป-มาบริเวณนั้นแล้ว ก็จะเห็นว่ามีความละม้ายกันมากทีเดียว ส่วนเหตุผลที่สาวชาวอาข่าแต่งชุดอาซือหม่ามาเดินป้วนเ...ยนแถวนั้น ก็เพราะว่าพวกเธอคือนางแบบที่มีไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวไปถ่ายรูปคู่ด้วย(50 หยวน) ส่วนนักท่องเที่ยวคนไหนหากอยากสวมชุดชาวอาข่าถ่ายรูปคู่กับก้อนหินอาซือหม่าที่นี่ก็มีชุดไว้บริการให้เช่าถ่ายรูปทั้งชายและหญิง สนามหญ้าที่ป่าหินน้อยนับเป็นหนึ่งในจุดถ่ายรูปยอดนิยม สำหรับฉันคงไม่มีเวลามาแต่งตัวแต่งหน้าเป็นชาวพื้นเมืองงานนี้จึงทำได้แค่ดูคนจีนแอ๊คท่าถ่ายรูป ก่อนที่จะออกเดินซอกซอนไปยังป่าหินใหญ่ที่เป็นเป้าหมายต่อไป ซึ่งเมื่อเดินข้ามสะน้ำขนาดย่อมที่มีเก๋งจีนให้หยุดพักผ่อนและถ่ายรูปก็จะเป็นดินแดนของป่าหินใหญ่ที่ภายในเป็นทางเดินเล็กๆ คดเคี้ยวเลี้ยวลดไปมา บ้างก็ต้องลอดบ้างต้องปีนป่าย เสมือนอยู่ในเขาวงกตก็ว่าได้ ซึ่งทางที่ดีควรเดินเกาะกลุ่มกันไว้ เพราะหากหลุดเส้นทางออกไปอาจจะเดินหลงเอาได้ง่ายๆ ที่ป่าหินใหญ่แห่งนี้มีความโดดเด่นตรงที่ มากมายไปด้วยก้อนหินขนาดสูงใหญ่ หินบางก้อนสูงเทียมตึก 4-5 ชั้น บางก้อนมีรูปร่างเหมือนจระเข้ หินรูปวัว-ควาย หินรูปช้าง หินรูปดาบที่แทงขึ้นไปบนท้องฟ้า และหินอีกสารพัดรูปร่าง ซึ่งหินแต่ละก้อน แต่ละแท่ง ต่างก็มีเรื่องเล่าและชื่อเรียกตามจินตนาการของคนจีน หัวใจป่าหินถูกลูบจนมันแผล็บ ซึ่งตลอดเวลาชั่วโมงกว่าในการเดินชมสวนหิน พวกเราต่างสนุกสนานไปกับการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ใช้หินก้อนเล็กตีหินระฆัง ซึ่งเป็นก้อนหินธรรมดาๆ แต่จะมีเสียงเหมือนระฆัง ทั้งที่หินก้อนอื่นๆ หรือแม้แต่ก้อนที่อยู่ติดกันกลับมีแค่เสียง แก๊กๆ การพยายามเอาคอลอดผ่านช่องของหินซึ่งยื่นออกมาสองด้าน ที่มีแต่คนตัวสูงเท่านั้นที่จะทำได้ การเดินผ่านช่องหินแคบๆ โดยไม่ให้ตัวโดนหิน ถ้าทำได้จะร่ำรวย และนอนบนแท่นหินซึ่งเชื่อกันว่า ถ้าใครได้นอนแล้วอธิษฐานอะไรก็จะได้สิ่งนั้น และเพื่อนๆ ก็ช่วยส่งเสียงอธิษฐานถึงเนื้อคู่กันใหญ่ ตอนที่ฉันขึ้นไปนอนบนแท่นหินนั่น เมื่อป่าหินน้อยมีไฮไลท์ ที่ป่าหินใหญ่ก็มีเช่นกัน โดนไฮไลท์ของป่าหินใหญ่จะอยู่ที่จุดชมวิว "เก๋งจีน" บนเขาหินที่เมื่อ ขึ้นไปบนนั้นจะสามารถมองลงมาเห็นทิวทัศน์ของป่าหินได้รอบด้าน ซึ่งเมื่อเดินไปถึงบนเก๋งเมื่อฉันมองลงไปในบางมุมนอกจากก้อนมหึมาก็ยังเห็นผู้คนมากมายกำลังเดินชมหินรูปร่างแปลกๆ คิดแล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเดินมาจนถึงจุดสิ้นสุดนี้ได้ แม้จะด้วยความเหนื่อยยาก แต่ก็ตื่นตาตื่นใจน่าดู สะพานเดินข้ามสระน้ำสู่พื้นที่ของป่าหินใหญ่ ครั้นเมื่อชมวิวและรับลมเย็นๆบนเก๋งจีนจนสมใจแล้ว ไกด์วิทย์ก็พาฉันเดินลงไปอีกทางเพื่อลูบหัวใจป่าหิน ซึ่งคนจีนเชื่อกันว่าเมื่อลูบคลำหัวใจป่าหินแล้วจะมีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หัวใจป่าหินถูกคนลูบกันจนมันแผล็บ สำหรับฉันเมื่อลูบคลำหัวใจป่าหินแล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับที่พักเพื่อเก็บของกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้น ทิ้งป่าหินไว้ให้นักท่องเที่ยวรุ่นต่อๆไปมาชื่นชมกับความน่าทึ่งของประติมากรรมธรรมชาติกันต่อไป.... * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * |
ยาจกอุดร |
#3 ยาจกอุดร [ 13-12-2007 - 12:57:45 ] |
|
ยลโฉม“บูเช็คเทียน”ที่มรดกโลก“ถ้ำหินหลงเหมิน” วัดเฟิ่งเซียนไฮไลท์สำคัญของถ้ำหินหลงเหมินที่พระนางบูเช็กเทียนสร้างขึ้น ในประวัติศาสตร์หลายพันปีของแผ่นดินจีน มีวีรสตรีถือกำเนิดขึ้นมากมาย แต่ว่ากับสตรีที่เป็นฮ่องเต้นั้นแล้ว แดนมังกรมีเพียงหนึ่งเดียวคือ จักรพรรดิหญิง “อู่เจ๋อเทียน” หรือที่บ้านเรารู้จักกันดีในนาม “พระนางบูเช็กเทียน” พญาหงส์เหนือมังกรอันลือลั่น สำหรับเรื่องราวชีวิตของบูเช็กเทียน (พ.ศ. 1168 –1249) ข้าพเจ้าถือว่าเพริศแพร้วยิ่งกว่านวนิยายเสียอีก โดยเฉพาะเส้นทางการขึ้นครองราชย์ของนาง ที่ในหนังสือประวัติศาสตร์ “ถังซู(ใหม่)” ได้กล่าวเอาไว้ว่า บูเช็กเทียนหลังจากถูกเรียกตัวเข้าวังเป็นเยาวสนมเมื่ออายุได้ 14 ปีในตำแหน่ง “ไฉเหยิน” (เจ้าปัญญา) ของ พระเจ้าถังไท่จง(หลี่ซื่อหมิน) แห่ง ราชวงศ์ถัง ครั้นพระเจ้าถังไท่จงสวรรคต บูเช็กเทียนและนางสนมกลุ่มหนึ่งได้ถูกขับออกจากวังให้ไปบวชชีอยู่ที่ วัดก่านเย่ในกรุงฉางอาน(ปัจจุบันคือเมืองซีอาน) ซึ่งเป็นเมืองหลวงในยุคนั้น มรดกโลกถ้ำหินหลงเหมิน สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองลั่วหยางที่ไม่เคยร้างลานักท่องเที่ยว โดยบูเช็กเทียนมีโอกาสกลับเข้าวังอีกครั้งเมื่อพระเจ้าถังเกาจงขึ้นครองราชย์ ในตำแหน่งเจาหยี(อันดับสอง) ซึ่งถือว่านี่คือจุดเริ่มต้นของเส้นทางการที่เต็มไปด้วยเลือด การสังหาร และเล่ห์กลอุบาย ในการขึ้นสู่บังลังก์เป็นฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวในแดนมังกร ก่อนที่นางจะสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้นแทนราชวงศ์ถัง ซึ่งบูเช็กเทียนได้สังหารทุกคนที่ขัดขวางเส้นทางแห่งอำนาจของนางอย่างเลือดเย็นและไตร่ตรอง เรื่องนี้ "หลินยู่ถัง" (Lin Yutang : พ.ศ.2438-2519)นักประพันธ์ชื่อดังของจีน ได้เขียนไว้ในหนังสือ “ประวัติบูเช็กเทียน” ถึงสถิติการฆ่าคนอย่างมีแผนการของนางว่า พระนางบูเช็กเทียนได้ฆ่าลูกสาว ลูกชาย หลาน และเชื้อพระวงศ์ที่ใกล้ชิดรวม 23 องค์ ฆ่าองค์ชายในรางวงศ์ถังแซ่หลี่ 50 องค์ ฆ่าเสนาบดีและขุนผลฝีมือดี 36 คน รวมทั้งหมด 109 คน!!! นี่ถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวด้านมืดของบูเช็กเทียน จากด้านมืดหันมาดูด้านสว่างของบูเช็กเทียนกันบ้าง ถ้ำผาหลงเหมินมีแม่น้ำอีเหอไหลผ่ากลางนับเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการท่องเที่ยว ที่นักประวัติศาสตร์จีนบางคนถือว่าบูเช็กเทียนเป็นวีรสตรีคนหนึ่ง ก็เพราะว่านางได้สร้างคุณความดีให้กับประเทศชาติมากมาย ซึ่งเรื่องที่โดดเด่นที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องของการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยหนึ่งในรอยอดีตอันยิ่งใหญ่ของบูเช็กเทียนนั้นอยู่ที่ “วัดเฟิ่งเซียน” ที่ถือเป็นไฮไลท์และสัญลักษณ์สำคัญทางการท่องเที่ยวของ มรดกโลก“ถ้ำหินหลงเหมิน”หรือ “ถ้ำผาหลงเหมิน” ในเมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน ถ้ำหินหลงเหมิน ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แหงความเลื่อมใสศรัทธาในศาสนาพุทธที่โดดเด่นไปด้วยศิลปะการแกะสลักหินอันยอดเยี่ยม โดยถ้ำแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นมาในราชวงศ์วุ่ย จากดำริของเซี่ยวเหวินตี้ฮ่องเต้(ครองราชย์ พ.ศ.1014-1042 นอกจากนี้เซี่ยวเหวินฮ่องเต้ยังเป็นผู้สร้าง วัดเส้าหลิน อีกด้วย) เพื่อทำนุบำรุงศาสนาพุทธโดยการให้ช่างแกะสลักพระพุทธรูปขึ้นที่หน้าผาแห่งนี้ บางช่วงของผนังถ้ำจะมีภาพแกะสลักหินเจดีย์ประดับอยู่ หลังจากนั้นถ้ำหินหลงเหมินก็มีการแกะสลักยาวนานต่อเนื่อง ก่อนที่จะสิ้นสุดลงในราชวงศ์ถังรวมระยะเวลาได้ 400 กว่าปี มีระยะทางรวมประมาณ 1.5 กิโลเมตร มีผาแกะสลักประมาณ 1,300 คูหา มีโพรงแท่นบูชา 2,345 ช่อง มีศิลาจารึกสลักอักษรจีนแลบันทึกต่างๆกว่า 3,600 หลัก มีเจดีย์พุทธแกะสลักกว่า 50 องค์ มีพระพุทธรูปองค์น้อยใหญ่แกะสลักกว่า 100,000 องค์ นอกจากจะมากมายด้วยพระพุทธรูปแกะสลักแล้ว ปัจจุบันถ้ำหินหลงเหมินถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งแห่งเมืองลั่วหยาง ซึ่งนอกจากจะมีรอยอดีตอันยิ่งใหญ่แล้ว ชัยภูมิของถ้ำแห่งนี้นับว่าเหมาะแก่การท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าถ้ำหินหลงเหมินมีแม่น้ำอีเหออันไหลผ่ากลาง แบ่งถ้ำหินหลงเหมินแห่งหุบเขาหลงเหมินเป็นฝั่งตะวันออกและตะวันตก ทั้งสองฝั่งหันหน้าเข้าหากัน และมีพระพุทธรูปแกะสลักอยู่ทั่วไป มีสะพานเชื่อม 2 ฟากฝั่ง ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งในมุมถ่ายรูปยอดฮิตของนักท่องเที่ยวในมุมสะพานสะท้อนเงาแม่น้ำ และจากสะพานหากเดินไปเรื่อยๆก็จะได้พบกับศิลปะการแกะสลักหินที่น่าสนใจมากมาย โดยที่น่าสนใจก็มี ถ้ำปิงหยัง ที่โดดเด่นไปด้วยศิลปะในยุคราชวงศ์วุ่ย (พ.ศ. 929-1055) ที่สะท้อนรสนิยมความงามของยุคนั้นออกมาคือพระพักตร์ของพระพุทธรูปจะมีหน้ารีเป็นรูปไข่ รูปร่างดูสูงเพรียว โดยที่ถ้ำแห่งนี้ได้แกะสลักรูปเซี่ยวเหวินตี้ฮ่องเต้และไทเฮากำลังประกอบพิธีทางศาสนาอยู่ ถ้ำพระพุทธรูปหมื่นองค์ที่เชื่อว่าสร้างขึ้นเพื่อรำลึกวันมาฆบูชา ถ้ำกู่หยัง ถือเป็นถ้ำแรกที่สร้างขึ้น ภายในถ้ำมีงานแกะสลักที่เต็มไปด้วนรายละเอียด มีโพรงแท่นบูชาพระพุทธรูป 3 ชั้น มีรูปพระศากยมุนี รูปพระศรีอาริยเมตรไตรในอิริยาบถที่แตกต่างกันไป อีกถ้ำหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยก็คือถ้ำพระพุทธรูปหมื่นองค์ ที่ภายในนอกจากจะมีองค์พระประธานแล้วยังมีรูปสลักพระพุทธรูปองค์เล็กขนาดนิ้วมือ ที่ว่ากันว่าเป็นพระพุทธรูปแกะสลักที่มีขนาดเล็กที่สุดแห่งถ้ำหินหลงเหมินอยู่ที่ผนังถ้ำจำนวนกว่า 15,000 องค์ ซึ่งมีความเชื่อว่าถ้ำนี้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวันมาฆบูชาที่มีพระอรหันต์มาชุมนุมกัน 1,250 รูป จากพระพุทธรูปที่เล็กที่สุดไปดูพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดกันบ้าง ที่วัดเฟิ่งเซียน ที่ข้าพเจ้าได้เล่าไว้ในเบื้องต้นว่านี่คือรอยอดีตด้านสว่างอันยิ่งใหญ่ของพระนางบูเช็กเทียน เพราะนางได้สั่งให้ช่างสร้าง “พระพุทธรูปโรจนะ” ที่สูงใหญ่ที่สุดแห่งถ้ำหินหลงเหมินขึ้นมา โดยสูงถึง 17.4 เมตร มีพระเศียรสูงถึง 4 เมตร นับเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดของถ้ำหินหลงเหมิน โดยมีงานแกะสลักพระพุทธรูปและเทพเจ้าขนาดรองลงมายืนอยู่ที่ผนังถ้ำทั้ง 2 ด้าน ซึ่งงานแกะสลักที่วัดนี้ถือเป็นงานแกะสลักชุดสุดท้ายของถ้ำหินหลงเหมิน ว่ากันว่าพระพักตร์ของพระโรจนะคือพระพักตร์ของบูเช็กเทียนนั่นเอง สำหรับองค์พระพุทธรูปโรจนะนั้น ไม่เพียงแค่ใหญ่โตอย่างเดียวแต่ยังเป็นพระพุทธรูปที่งดงามสมบูรณ์ที่สุด มีด้วยพระวรกายที่อวบอัด มีพระพักตร์กลมดูอิ่มเอิบสมบูรณ์ ถือเป็นงานศิลปะที่สะท้อนถึงรสนิยมความงามของราชวงศ์ถังได้เป็นอย่างดี ว่ากันว่าพระพักตร์ของพระพุทธรูปโรจนะองค์นี้ก็คือใบหน้าของบูเช็กเทียนนั่นเอง!!!เพราะว่านางเป็นคนสั่งให้ช่างสร้างขึ้นมา ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คล้ายกับกรณีของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่สลักรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ไว้บริเวณยอดปรางก์ ปราสาทบายน ซึ่งนักประวัติศาสตร์เชื่อกันว่าคือใบหน้าของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นอกจากนี้หากดูจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ประกอบอาจเป็นไปได้ว่า บูเช็กเทียนนั้นต้องการให้ช่างแกะสลักตัวเองขึ้นมา เพราะเชื่อคำของพระภิกษุรูปหนึ่งที่กล่าวว่า นางคือพระอาริยเมตรไตรกลับชาติมาเกิด เรื่องนี้จริง-เท็จอย่างไรคงต้องให้นักประวัติศาสตร์พิสูจน์กันต่อไป แต่ที่จริงแท้แน่นอนก็คือบูเช็กเทียนเป็นฮ่องเต้หญิงหนึ่งเดียวแห่งประวัติศาสตร์ชาติจีน ที่แม้ว่านางจะจากโลกไปร่วม 1,300 ปีแล้ว แต่ว่าเรื่องราวของนางยังคงอยู่ให้คนวิพากษ์วิจารณ์กันต่อไปว่า "บูเช็กเทียน" นางเป็นวีรสตรี หรือหญิงชั่วช้ากันแน่??? * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ถ้ำพระพุทธรูปหมื่นองค์ที่เชื่อว่าสร้างขึ้นเพื่อรำลึกวันมาฆบูชา ว่ากันว่าพระพักตร์ของพระโรจนะคือพระพักตร์ของบูเช็กเทียนนั่นเอง |
crystalliu |
#5 crystalliu [ 13-12-2007 - 13:47:01 ] |
|
ไม่ยาวหรอกคับ กำลังดี เลย เพิ่มความรู้ได้เย้อะคับ ถ้านำมา อีก ก็คงดีนะขอรับ รูบ เจ๋งไปเลย สุดยอด ท่านยาจกอุดร นี่ เจ๋ง จิงๆเลย ส่วนข้อความ นี่ไปก๊อปที่ไหนมาเหรอ ถ้าพิมพ์ นี่ มือหงิก แน่เลย |
ยาจกอุดร |
#6 ยาจกอุดร [ 13-12-2007 - 22:17:10 ] |
|
ก็ หาดูตาม เวป อะครับ เห็น มันน่าสนใจดีเลย เอามาไห้อ่านกันครับ |
ยาจกอุดร |
#8 ยาจกอุดร [ 13-12-2007 - 22:27:02 ] |
|
55555 ตาเฒ๋าก็กล่าว หนักเกินไป อายุเป็น สิ่ง ไม่เถี้ยง |
pumkin |
#9 pumkin [ 13-12-2007 - 22:29:55 ] |
|
ผมอยากรู้ว่าสมัยของสามก๊กมีอยุ่จิงหรอป่าวคับท่านขอทานเหนือช่วยเอาปะวัติของยุคสามก๊กมาหน่อยนะคับอยากรู้มากๆว่าคนสมันก่อนมีแบบนี้ด้วยหรือเช่นตาบอดแล้วกินตาของตัวเองอ่ะ(แฮหัวตุ้น)แล้วเขาเอาทหารมาจากไหนเยอะแยะหว่าสงสัยฟิตถ้าหาได้แล้วก้ขอบคุนมากนะคับ |
สยบทั่วเเผ่นดิน |
#11 สยบทั่วเเผ่นดิน [ 13-12-2007 - 22:34:32 ] |
|
ก็มีอยู่จริงขอรับ ยุค3ก๊กน่ะ ค.ศ. 220-280 แต่ที่เป็นวรรณกรรม ก็ไม่ได้จริงไปซะทุกเรื่องหรอกนะ ขอรับ......... |
ยาจกอุดร |
#12 ยาจกอุดร [ 13-12-2007 - 22:42:12 ] |
|
เนื่อเรื่อง ประวัติความเป็นมาแบบสั้น "แม่น้ำแยงซีเกียงไหลไปทางตะวันออก คลื่นกระทบกลบฝังวีรบุรุษแพ้ชนะเมื่อเหลียวมองดูกลับเป็นความว่างเปล่า ภูเขาสูงตระหง่านยังคงอยู่ กาลเวลาผันเปลี่ยนตะวันยังแดงฉาน ชายชราชาวประมงยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เชยชมลมหวนที่พัดผ่าน ดื่มเหล้าพบปะสรวลเสเฮฮากันตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีเรื่องมากมาย ล้วนพูดคุยอยู่ในวงสนทนา" มีคำพูดกล่าวว่าอำนาจใดในหล้า เมื่อแยกกันก็ต้องมีรวม มีรวมก็ต้องมีแยกจากกัน ในช่วงตอนปลายราชวงศ์โจวแคว้น 7 แคว้นได้มีการรบราแย่งชิงอำนาจกันและก็สิ้นสุดเมื่อเข้าสู่ราชวงศ์ฉิน ภายหลังราชวงศ์ฉินล่มสลายลงเกิดการรบแย่งชิงกันระหว่างสอง ตระกูลคือฉู่กับกับฮั่น ในที่สุดฝ่ายฮั่นซึ่งได้รับการสนับสนุนจากราษฎร์ก็็สามารถสถาปนา ความเป็นใหญ่และรวบรวมแผ่นดินจีนได้ในที่สุด และสถาปนาตัวเอง เป็นพระเจ้าฮั่นเกาจงแต่เนื่องจากภายในราชสำนักเกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวง โดยพวก ขันที และญาติของตัวเองึงทำให้ประเทศชาติอ่อนแอ เกิดเภทภัยไป ทุกหย่อมหญ้าประชาชนเดือดร้อนเป็นจำนวนมากเกิด ความวุ่นวาย และจลาจลไปทั่วทุกพื้นที่เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ก็เริ่มแข็งข้อจนเกิดการแย่งชิงความเป็นใหญ่ ในที่สุดบ้านเมืองก็แตกออกเป็น 3ส่วนคือ แคว้นเว่ยซึ่งนำโดยโจโฉมีที่มั่นอยู่ที่เมืองลั่วหยาง(ลกเอี๋ยง)แคว้นหวูซึ่งนำโดยซุนกวนมีที่มั่นอยู่ที่ี่เมืองเจี้ยนเย่(กังตั๋ง)ส่วนแคว้นฉู่ซึ่งนำโดยเล่าปี่มีที่มั่นอยู่ที่เฉิงตู(อยูในมณฑลเสฉวน) ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างพยายามแย่งชิงความเป็นใหญ่ซึ่งกันและกัน ตอนนี้ผู้กล้าทั้งหลายต่างจับจ้องโอกาส ี้แสดงความสามารถ ให้ประจักษ์ และเข้าสู้ศึกสามก๊ก ถ้ามีมากกว่านี้จะเอามาไห้อีกนะ |
vมังกรหลับv |
#13 vมังกรหลับv [ 13-12-2007 - 22:42:16 ] |
|
สามก๊กมีจริงคับ ถูกนำเอามาทำเป็นวรรณกรรมที่ทำมาจากเรื่องจริง แฮหัวตุ้นกินตา ตัวเอง เพราะแสดงถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวไงคับ ไม่ใชฃ่ประเพณีทีร่จะต้องกิน เหมือนท่านอยากจะโชว์หุ่นของตัวเองก็ถอดเสื้อโชว์กล้ามอย่างนี้หละคับ มันเป็นนิสัยเฉพาะตัวคับ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำ ทหารก็เอามาจากคนในประเทศนั้นแหละคับ คนจีนมีตั้งหลายล้าน ก็เกณฑ์คนนี่แหละคับไปเป็นทหาร เพราะคนมันมีเยอะไงคับถึงแม้จะตายไปบ้างก็มีคนอื่นๆอีก ก็เอามาเป็นทหาร อย่างเสฉวนของเล่าปี่ถ้าดูอัตราการเอาทหารออกจากเสฉวนในช่วงหลังๆของขงเบ้งจะเห็นว่ามีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ นั้นก็เพราะทรัพยากรบุคคลเริ่มหร่อยหรอเต็มทีคับ |
สยบทั่วเเผ่นดิน |
#14 สยบทั่วเเผ่นดิน [ 13-12-2007 - 22:45:05 ] |
|
ท่านขงเบ้ง แล้วอร่อย หรือ ป่าวขอรับ ตาของแฮหัวตุ้นน่ะ ...... |
ยาจกอุดร |
#15 ยาจกอุดร [ 14-12-2007 - 00:40:44 ] |
|
เรื่องน่ารู้ ก๊วยเจ๋ง และ อึ้งย้ง รีบเดินทางหมายไปให้ทันการชุมนุมใหญ่ของพรรคกระยาจก ผ่านเส้นทางกังหนำสายตะวันตก ประเทศจีนในตอนนั้นถูกไต้กิมยึดครองไปกว่าครึ่ง สถานการณ์บ้านเมืองเสื่อมทรุด อาณาเขตนับวันแต่ย่นย่อแคบเล็ก คิมหันตฤดู ฝนนึกจะตกก็ตก พอเมฆดำตั้งเค้า สิ้นเสียงฟ้าร้องพลันหยาดฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองพรั่งพรูหล่นจากท้องฟ้า ก๊วยเจ๋งกางร่มกระดาษน้ำมันมิทันไรก็ถูกสายลมกระโชกหอบปลิว คู่รักจึงเปียกปอน พอย่างกรายเข้าหมู่บ้านก็ขอแลกเสื้อกับชาวนามาผลัดเปลี่ยน คลี่ภาพวาด(งักฮุย)ที่อึ้งเอี๊ยะซือให้กำนัลพบว่าถูกน้ำฝนชะล้างเสียหาย เนื้อกระดาษเปื่อยเกินครึ่ง ลายเส้นหมึกเลอะเลือนแต่ปรากฏรอยเขียนอักษรปริศนาอ่านได้ว่า " .. ตำราพิชัยยุทธมก .. มือเหล็ก .. ยอดกลาง .. ข้อ .. ที่สอง .. " อึ้งย้งสงสัยว่าอ้วงง้วนอั้งเลียกคิดขโมยตำราพิชัยยุทธงักบู๊มกที่ซ่อนอยู่ตึกเขียวในวังหลวง อุตส่าห์คว้ากล่องศิลาบรรจุของแต่ตำรากลับอันตรธานไร้ร่องรอย จากคำบอกเล่าของหกประหลาดแดนกังหนำพอจะเชื่อมโยง ฮิ้วโชยยิ่ม,หัวหน้าพรรคฝ่ามือเหล็กเข้ากับตำราพิชัยยุทธ(ตำราอู่มู่)ได้ไม่ยาก ทั้งสองใช้เส้นทางเก็งโอ้วสายเหนือสู่เมืองงักจิว หยุดพำนักที่หองักเอี้ยงเล้า ชั้นบนมองเห็นทิวทัศน์ทะเลสาบท่งเท้งโอ้ว ขุนเขาโอบรอบผืนน้ำกว้างไกลไพศาลเหมาะแก่การเจริญสุราอาหาร ลู่อู่คา,ขอทานฝ่ายเสื้อผ้าสกปรกปรี่เข้ามาขอเศษอาหารแต่ไม่ยอมนั่งร่วมโต๊ะ ส่วนผู้อาวุโสแซ่กั่ง,แพ้,เนี่ยจัดอยู่ฝ่ายขอทานเสื้อสะอาดจับจองโต๊ะด้านทิศตะวันออกอยู่ก่อนแล้ว ขอทานอ้วน-ผอมเดินนำหน้าคุ้มครองเอี้ยคังจากหมู่บ้านงู้แกชึงมาปักหลักที่นี่ด้วย เอี้ยคังตกใจเมื่อเห็นก๊วยเจ๋งยังไม่ตายจึงเผ่นลงจากหอกระซิบบอกสมุนต้อนขอทานสิบกว่าคน ณ บริเวณนั้นมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกทันที ลู่อู่คาบอกก๊วยเจ๋งว่าฮิ้วโชยยิ่ม(คิ้วเชยยิ่น)เป็นหัวหน้าพรรคฝ่ามือเหล็ก มีอิทธิพลในละแวกมลฑลเลี่ยงโอ้วกับเสฉวน พลพรรคฆ่าคนปล้นสดมภ์ก่อกรรมทำเข็ญสุดชั่วช้า สมคบ,ติดสินบนเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและประเทศไต้กิมก่อจราจลภายในเพื่อสนับสนุนข้าศึกภายนอก อึ้งย้งตำหนิลู่อู่คาใส่เสื้อสกปรกมอมแมม,ตัวดำมะเมื่อม,กลิ่นเหม็นคละคลุ้งคงไม่ต่างจากฝ่ายขอทานเสื้อผ้าสะอาดเท่าใดนัก ลู่อู่คาน้อยใจสะบัดหน้าหนีลงจากหอโดยไม่เหลียวกลับมามอง.. สามผู้อาวุโสพรรคกระยาจกที่ติดตามเอี้ยคังลงจากหอย้อนกลับขึ้นมาใหม่ เฒ่าแพ้,ขอทานท้วมขาวบอกก๊วยเจ๋ง-อึ้งย้งว่าเมื่อกี้ลู่อู่คาใส่ยาพิษลงในอาหาร ตนจึงนำยาแก้พิษมาให้ อึ้งย้งไม่เชื่อเพราะคนเหล่านี้เป็นพวกเดียวกับเอี้ยคัง เมื่ออุบายแรกไม่ได้ผลเฒ่าแพ้จึงสะกดจิตก๊วยเจ๋ง-อึ้งย้งหมดเรี่ยวแรงเผลอหลับใหล ครั้นตื่นขึ้นมาก็รู้ว่าเสียท่าขอทานท้วมขาว ถูกเชือกหนังวัวใยโลหะพันธนาการรอบตัว-อุดปากด้วยผ้าชุบเมล็ดปอ เดือนเพ็ญของวันที่ 15 เดือน 7 ตรงกับวันชุมนุมใหญ่ของพรรคกระยาจกพอดี แสงจันทราอาบไล้ยอดเขากุนซัว กลางทะเลสาบท่งเท้งโอ้ว เหล่าขอทานนับพันนับหมื่นสมาชิกพรรคกระยาจกทะยอยกันมานั่งรายล้อมแท่นศิลาฮึงอ้วงไท้ เสียงไม้เท้าเคาะต๊กๆๆหยุดลงเมื่อรองหัวหน้าพรรคทั้ง 4 ปรากฎตัว เป็น ลู่อู่คา และ เฒ่ากั่ง,แพ้(ขอทานท้วมขาว),เนี่ย นั่นเอง เฒ่าแพ้กล่าวด้วยเสียงดังกังวานกับสมาชิกพรรคว่า อั้งฉิกกง ไปสู่ปรภพแล้วที่เมืองลิ่มอัน เหล่าขอทานตกอยู่ในความเงียบงัน บางคนส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญ-ตีอกชกตัว ลู่อู่คาถามเฒ่าแพ้ว่ามีใครเห็นกับตาว่าร่างอั้งฉิกกงไร้วิญญาณ เอี้ยคังถือไม้เท้าไม้ไผ่แหวกผู้คนขึ้นมาบนแท่นกล่าวอย่างแช่มช้าว่า หนึ่งเดือนก่อนอั้งฉิกกงถูก อึ้งเอี๊ยะซือ (ภูตบูรพา),ประมุขเกาะดอกท้อ และ นักพรตสำนักช้วนจินทั้ง 7 กลุ้มรุมทำร้ายจนตาย ทำให้พวกขอทานพลุ่งพล่านเดือดดาลร้องว่าจะไปล้างแค้นให้แก่ประมุขพรรค อันที่จริงเอี้ยคังมั่วนิ่มโกหกตาใส แค่ได้ยินอาวเอี้ยงฮงบอกว่า อั้งฉิกกง ถูกพลังลมปราณคางคกกระแทกร่างบาดเจ็บสาหัส ส่วนก๊วยเจ๋งคงถูกดาบตัวเองทิ่มสังหารในวังหลวง นึกไม่ถึงว่าจะเจอกันที่หองักเอี้ยงเล้า จึงบงการ 3 ผู้อาวุโสขอทานเสื้อสะอาดจับกุมก๊วยเจ๋ย-อึ้งย้งมาฆ่าทิ้งตรงนี้ ตอนเอี้ยคังหยิบฉวยไม้เท้าไม้ไผ่ในร้านรวงของ ส่าโก เห็นขอทานอ้วน-ผอมให้ความเคารพนบนอบจึงเลียบๆเคียงๆถามพอรู้เรื่องกิจการภายในพรรคกระยาจก 6-7 ส่วนตกกะไดพลอยโจนมาถึงขั้นนี้จึงเอ่ยต่อว่า ก่อนอั้งฉิกกงจะขึ้นสวรรค์ได้สั่งเสียให้ตนรับตำแหน่งประมุขพรรครุ่นที่ 19 แล้วรับมอบไม้ไผ่ด้ามนี้กับมือ สิ้นคำบังเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในหมู่ขอทานเพราะคิดไม่ถึงว่าตำแหน่งหัวหน้าพรรคกระยาจกจะมาตกแก่บุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ พรรคกระยาจกแบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือฝ่ายเสื้อสะอาด นอกจากสวมใส่เสื้อผ้าปุปะแล้วยังยึดติดชีวิตความเป็นอยู่แบบสามัญชน ส่วนฝ่ายเสื้อสกปรกยึดอาชีพภิกขาจร,รักษากฎวินัยเคร่งครัด ไม่สะสมวัตถุ-เงินทอง มิบังอาจร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับคนนอก การที่อั้งฉิกกงปกครองสมาชิกพรรค 2 ขั้วอำนาจอยู่ได้ก็เพราะใช้กุศโลบายรักษาความเที่ยงตรง-ไม่ลำเอียง ปีแรกจะสวมใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ปีที่สองจะใส่เสื้อผ้าสกปรก ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเช่นนี้ทุกปี ผู้อาวุโสฝ่ายเสื้อสะอาดทั้ง 3 แม้หมดหวังสืบทอดอำนาจแต่ก็ยังดีกว่าให้ลู่อู่คา,ฝ่ายเสื้อสกปรกดำรงตำแหน่งเหนือกว่า เอี้ยคังเยาว์วัยย่อมตะล่อมให้อยู่ในโอวาทง่ายดาย เมื่อลู่อู่คาตรวจสอบไม้เท้าเขียวมรกตเป็นสมบัติปังจู้แต่ละรุ่นตกทอดกันมาจริง ก็ทูนไม้เท้าไม้ไผ่ขึ้นเหนือศีรษะยอมรับเอี้ยคังเป็นประมุขพรรคคนใหม่ เหล่าขอทานส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีแล้วถ่มน้ำลายใส่หน้าเอี้ยคังตามกฎ อึ้งย้งจำเหตุการณ์บนเกาะเมฆรุ้งเรืองรองได้ว่า อั้งฉิกกงก็เคยถ่มเสมหะใส่ชายเสื้อของนางหลังถ่ายทอดตำแหน่งปังจู้ให้ ตอนนั้นนางเข้าใจผิดว่าอั้งฉิกกงคงบาดเจ็บสาหัสไม่สามรถถ่มเสมหะไปไกล หาทราบไม่ว่าเป็น พิธีกรรม แต่งตั้งปังจู้คนใหม่สุดพิลึก วณิพกพเนจรไปสี่ทิศย่อมถูกผู้คนหยามหยันดูหมิ่น ในฐานะผู้นำเหล่ากระยาจกจะรังเกียจเรื่องแค่นี้ไม่ได้ เอี้ยคังสั่งเฒ่าแพ้นำก๊วยเจ๋ง-อึ้งย้งในฐานะสมคบกับฆาตกรสังหารอั้งฉิกกงขึ้นมาบนแท่นศิลา ลู่อู่คาแย้งว่าทั้งสองเป็นศิษย์อั้งฉิกกงคงไม่เนรคุณครูบาอาจารย์ ลี้เซ็ง กับ อื้อเตี่ยวเฮง ,สมาชิกพรรคเคยเป็นหนี้ชีวิตก๊วยเจ๋ง-อึ้งย้งช่วยให้รอดพ้นเงื้อมมืออำมหิตของ อาวเอี้ยงโคก ขอรับประกันด้วยคน เอี้ยงคังจึงใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกถามก๊วยเจ๋ง(ผงกศีรษะรับหรือไม่รับ)โยงใยอึ้งย้งเป็นธิดาอึ้งเอี๊ยะซือ และ แต่งงานกับก๊วยเจ๋ง ส่วนก๊วยเจ๋งเคยเป็นศิษย์เจ็ดบรรพชิตช้วนจินมาก่อน สมควรถูกลงโทษสถานหนัก เฒ่าแพ้กับเฒ่าเนี่ยเงื้อกระบี่หมายประหารก๊วยเจ๋ง-อึ้งย้ง พลันยั้งมือเมื่อได้ยินเสียงประทัดแตก พลุไฟหลากสีพุ่งทะยานเหนือท้องทะเลสาบ เฒ่ากั่งละล่ำละลักรายงานเอี้ยคังว่า ฮิ้วโชยยิ่ม ,หัวหน้าพรรคฝ่ามือเหล็กและไพร่พลยกขบวนมาเยี่ยมคารวะประมุขพรรคกระยาจกคนใหม่ คบไฟส่องแสงจับต้องคนชุดดำหลายสิบ มีผู้หนึ่งร่างกายกำยำเปลือยอกสวมผ้าคลุมหลังยิ้มแย้มกล่าวทักทายเอี้ยคังพลางยื่นมือมาสัมผัส นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเกร็งพลังบีบกระดูกนิ้วเขาให้แหลกสลายจึงเดินลมปราณร้อนระอุลวกใส่กลางฝ่ามือเอี้ยคัง ผู้อาวุโสพรรคกระยาจกทั้ง 4 สะอึกเข้ามาอารักขา ฮิ้วโชยยิ่มกล่าวว่าเป็นปังจู้พรรคกระยาจกคิดทดสอบฝีมือเขาก่อน เอี้ยคังร้องโอดโอย,ใบหน้าขาวซีด,น้ำตาไหลหลั่ง,เจ็บปวดจนตัวงอ รู้ตัวว่าผิดแผนการประกาศศักดาต่อหน้าสมาชิกพรรค พอฮิ้วโชยยิ่มสะบัดมือออกร่างเอี้ยคังปลิวละลิ่วตกแท่นศิลาสลบไสล ระหว่างฮิ้วโชยยิ่มต่อกรกับเฒ่ากั่ง ก๊วยเจ๋งเงยหน้ามองฟ้านึกถึงมารดาที่อยู่กลางทะเลทรายอันไกลโพ้น ครั้นเห็นดาวเหนือทั้ง 7 ส่องแสงแวววาวพลันจดจำขบวนค่ายกลของเจ็ดบรรพชิตช้วนจิน พลังสมองแล่นคิดค้น เคล็ดวิชา ค่ายฟ้ากลดาวเหนือ อึ้งย้งหวั่นก๊วยเจ๋งจะเสียสติ ฮิ้วโชยยิ่มสำแดงฤทธิ์เดชฟาดฝ่ามือใส่ไม้เท้าเหล็กเฒ่ากั่งปักคาก้อนหินใหญ่ กล่าวว่าพรรคฝ่ามือเหล็กกับพรรคกระยาจกไม่คิดรุกรานต่อกันดุจน้ำคลองกับน้ำบ่อ และยังจัดของขวัญล้ำค่ามาคารวะ เหตุใดปังจู้พรรคกระยาจกจึงคิดตัดไม้ข่มนามแต่แรกพบ เอี้ยคังฟื้นคืนสติไม่กล้าโกรธแค้นอาละวาด ได้ยินว่าสมาชิกพรรคกระยาจกไปทำร้ายฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ปกป้องซ้ำยังเรียกตัวไปขอขมาซะอีก ลี้เซ็งกับอื้อเตี่ยวเฮงรู้สึกคับแค้นแน่นอก การประกอบวีรกรรมของพวกเขาขณะประสบเหตุสหายพรรคฝ่ามือเหล็กกำลังข่มเหงราษฎร - ฉุดคร่าผู้หญิงกลับต้องมาเสื่อมเสียเกียรติภูมิ จึงฆ่าตัวตายพร้อมกันไม่อาจยอมรับความอัปยศอดสู ท่ามกลางความคลั่งแค้นของเหล่ากระยาจกแต่ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ ฮิ้วโชยยิ่มพึงพอใจถือว่าเรื่องบาดหมางระหว่าง 2 พรรคยุติ ชายฉกรรจ์ขน...บห่อมาเปิดวางลงใกล้ๆเอี้ยคัง ทองคำ-อัญมณี ของมีค่าเหล่านี้คือของกำนัลเจ้าเตี่ยอ๋องแห่งประเทศไต้กิมนำมาบรรณาการ ขอเพียงเหล่ากระยาจกอพยพจากชายแดนภาคเหนือ,ถิ่นทุรกันดารซึ่งมีอากาศหนาวเหน็บข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงลงสู่ใต้ เอี้ยคังคะนึงว่ามิเสียแรงที่ตนสู้เสี่ยงรับตำแหน่งประมุขพรรคกระยาจก ลาถยศสรรเสริญ อันพึงมีพึงได้ก็ไม่สำคัญเท่ากับการประสานยุทธวิธีของ อ้วงง้วนอั้งเลียก ,ผู้เป็นบิดากรุยทางรุกรานแผ่นดินจีนสะดวกขึ้น สมาชิกพรรคกระยาจก ณ ดินแดนตอนเหนือตั้งตนเป็นศัตรูกับทหารกิมมาแต่ไหนแต่ไร คราที่กองทัพไต้กิมเคลื่อนลงสู่ใต้มักโดนพวกขอทานตลบหลัง เช่น ลอบสังหารแม่ทัพนายกอง หรือไม่ก็จุดไฟเผาเสบียงอาหาร เอี้ยคังจึงตกปากรับคำฮิ้วโชยยิ่มโดยไม่มีเงื่อนไข ลู่อู่คา,ผู้อาวุโสขอทานฝ่ายเสื้อสกปรกแสดงกริยาไม่พอใจจึงถูกฮิ้วโชยยิ่มสั่งสอน หักกระดูกนิ้วมือทั้ง 2 แหลกสลายก่อนจะบี้ศีรษะก็ถูกก๊วยเจ๋งขัดขวางไว้ทัน คัมภีร์นพยมวิวัฒนาการมาจาก ลัทธิเต๋า แนวทางเดียวกับวิชากำลังภายในสำนักช้วนจิน และค่ายกลฟ้าดาวเหนือเพียงแต่ลึกล้ำพิศดารสุดคณา ก๊วยเจ๋งศึกษาอยู่ครึ่งค่อนเดือนยังขบไม่แตก จวบจนเห็นดาวเหนือบนท้องฟ้าจึงประยุกต์วิชาหดเส้นเอ็นย่อกระดูกมาใช้ได้จริง เฒ่าแพ้ยืนเฝ้าก๊วยเจ๋งรู้สึกตื่นตระหนก เมื่อร่างเชลยย่อส่วนหลุดจากเชือกราวปลาไหล ตะปบคว้าวืดเหลือแต่กองเชือกผูกเงื่อนไว้แน่นหนาจึงร้องบอกสมุนช่วยจับโจรน้อย ก๊วยเจ๋งถูกมัดไว้นานสั่งสมเพลิงแค้นแน่นอกทราบว่าพวกขอทานถูกเอี้ยคังหลอกลวงจึงยั้งพลังฝ่ามือ ขอทาน 6-7 คนแค่ล้มระเนระนาด แล้วปราดเข้าไปแก้เชือกมัดร่างอึ้งย้งออก ขณะนั้นขอทานร่วมร้อยดาหน้ารุมล้อมประชิดเป็นชั้นๆ ยอดฝีมือทั้ง 8 มีฐานะรองจาก 4 ผู้อาวุโสขยับกายมาเบื้องหน้า ในนั้นมีขอทานอ้วน-ผอม,ผู้ชักนำ เอี้ยคัง จากหมู่บ้านงู้แกชึงรวมอยู่ด้วย ก๊วยเจ๋งเหวี่ยงเชือกท่า"ม้วนหวดหักกระดูกแข้ง"ออกไป พวกขอทานกระโดดตัวลอยหลบเลี่ยงพัลวัล ปล่อยก๊วยเจ๋งฟาดฝ่ามือใส่ขอทานอ้วน-ผอมกระเด็นชนชายฉกรรจ์ชุดดำ,ลูกพรรคฝ่ามือเหล็กหงายหลังตึง ฮิ้วโชยยิ่มเห็นบริวาร 2 คนเอ็นขาดกระดูกหักอาการปางตายรู้ว่าก๊วยเจ๋งใช้พลังถ่ายทอดข้ามวัตถุ ใคร่แสดงกระบวนท่าฝ่ามือเหล็กอันลือชื่อกับก๊วยเจ๋งบ้าง ประมือกันแค่หนึ่งเพลงฮิ้วโชยยิ่มกลับโบกมือส่งสัญญาณพลพรรคล่าถอย วิเคราะห์แล้วฝีมือตนเหนือกว่าก๊วยเจ๋งครึ่งขั้นแต่หาก ก๊วยเจ๋ง-อึ้งย้ง พลิกสถานการณ์นำพรรคกระยาจกนับพันนับหมื่นถล่มพรรคฝ่ามือเหล็กก็ยากจะต้านทานไหว ขอทานอาวุโสทั้ง 4 จัดทัพค่ายกลผนังแกร่งตามที่เอี้ยคังบัญชา อาศัยพวกมากผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกักล้อมจนศัตรูหมดเรี่ยวแรง ศูนย์กลางผนังกำแพงเมื่อถูกก๊วยเจ๋ง-อึ้งย้งตีโต้ก็ชะงักงันวูบหนึ่งก่อนสองปีกโอบกระหนาบเข้ามา เช่นนี้เรื่อยไปจนก๊วยเจ๋ง-อึ้งย้งถอยร่นถึงริมหน้าผา ก๊วยเจ๋งพลันเหวี่ยงร่างอึ้งย้งขึ้นไปบนแท่น ฮึงอ้วงไท้ เผชิญหน้าตัวต่อตัวกับเอี้ยคัง อึ้งย้งชิง ไม้เท้าตีสุนัข โดยใช้ท่าไม้ตาย(ชิงไม้เท้าจากปากสุนัข)แล้วจิ้มนิ้วใส่เบ้าตาเอี้ยคังอย่างง่ายดาย ก่อนประกาศก้องให้สมาชิกพรรคยุติการต่อสู้เพราะอั้งฉิกกงยังไม่ตาย เหล่าขอทานตะลึงงันยากจะเชื่อถือทั้งข่าวดีและข่าวร้ายในเวลาเดียวกัน ต่างเหลียวหน้ามายังแท่นที่อึ้งย้งยืนอยู่ อึ้งย้งเทิดทูนไม้เท้าไม้ไผ่ขึ้นสูงกล่าวต่อว่า โจรแซ่เอี้ย สมคบคิด กับพรรคฝ่ามือเหล็กปล่อยข่าวลืออั้งฉิกกงเสียชีวิต เอี้ยคังเป็นบุตรชายเจ้าเตี่ยอ๋องประเทศไต้กิมมีเจตนาล้มล้างราชวงศ์ซ้อง แล้วชูประกาศิตมือเหล็กสัญลักษณ์ไส้ศึก เอี้ยคังหน้าซีดเผือดตวัดมือซัดอาวุธลับใส่อึ้งย้งแต่โดนเกราะอ่อน อึ้งย้งพิสูจน์ได้ว่าตนได้รับการถ่ายทอดวิชาเพลงไม้เท้าตีสุนัขเพื่อครองตำแหน่งประมุขพรรคกระยาจกชั่วคราวขณะอั้งฉิกกงรับประทานอาหารอิ่มหนำสำราญอยู่ในวังหลวงเมืองลิ่มอัน เอี้ยคังฉวยโอกาสหลบหนีตอนสี่ผู้อาวุโสพรรคกระยาจกทดสอบฝีมืออึ้งย้ง เฒ่าแพ้เจ้าเล่ห์รู้ตัวว่าฝีมือเป็นรองใช้อุบายเก่าสะกดจิตอึ้งย้ง ก๊วยเจ๋งงัดเคล็ดวิชาในคัมภีร์นพยมตอบโต้ (ที่สุดแห่งการควบคุมจิตใจ-สังขาร) จนเฒ่าแพ้หัวร่อคลุ้มคลั่งเกือบขาดใจตายถ้าผู้อาวุโสทั้งสามไม่ร้องขออภัยโทษ อึ้งย้งยินดีทำตามหากผู้อาวุโสไม่ถ่มน้ำลายใส่ร่างนางตามกฎสถาปนาประมุขพรรคคนใหม่ พอตั้งหลักได้ก็เห็นเอี้ยคังลงเรือไปกับฮิ้วโชยยิ่มแล่นออกจากภูเขาสู่กลางทะเลสาบ อึ้งย้งสั่งเสียสมาชิกพรรคฝังศพ ลี้เซ็ง และ อื้อเตี่ยวเฮง อย่างสมเกียรติ มอบอำนาจรักษาการให้ลู่อู่คา พลางจูงมือก๊วยเจ๋งลงจากเขา เหล่าขอทานติดตามส่งถึงท่าเรือค่อยกลับขึ้นภูเขากุนซัวกำหนดแนวนโยบายบริหารพรรคใหม่ |
สยบทั่วเเผ่นดิน |
#16 สยบทั่วเเผ่นดิน [ 14-12-2007 - 00:47:18 ] |
|
จอมยุทธ์มังกรน้อย |
#17 จอมยุทธ์มังกรน้อย [ 14-12-2007 - 13:23:20 ] |
|
แต่สุด สุมาเอี้ยน ก็เป็นคนที่สามารถรวมแผ่นดินได้อีกครั้ง หลังจากที่แผ่นแบ่งออกเป็นสามก้ก นี้คือ ประวัติราชวงศ์จิ้นตะวันตก ของสุมาเอี้ยน เป็นยุคสมัยที่กลุ่มตระกูลใหญ่ก้าวเข้ามาเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมืองอย่างสูง เนื่องจากนโยบายการปกครองของซือหม่าเอี๋ยนหรือจิ้นอู่ตี้(พระเจ้าสุมาเอี๋ยน) โน้มเอียงไปในทางเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มตระกูลชนชั้นสูง (ซึ่งก็คือชนชั้นกลาง และต่ำในสมัยสามก๊ก พอมายุคนี้ก็กลายเป็นชนชั้นสูง เมื่อหนุนแซ่สุมาเป็นใหญ่สำเร็จ มันก็ต้องมีธุรกิจต่างตอบแทนกันบ้าง) อีกทั้งกฎหมายยังให้สิทธิพิเศษต่อขุนนางเจ้าที่ดิน ในการจัดสรรการถือครองที่ดินและผลประโยชน์อื่น ๆ โดยอ้างอิงจากระดับชั้นตำแหน่งขุนนาง ระเบียบเหล่านี้ได้กลายเป็นเครื่องมือการเพาะสร้างอำนาจแบบเบ็ดเสร็จให้กับกลุ่มตระกูลใหญ่เหล่านี้ ทำให้เกิดการแบ่งแยกทางชนชั้นในสังคมครั้งใหญ่ เพราะเพื่อรักษาสิทธิพิเศษนี้ ถึงกับตั้งข้อรังเกียจไม่ยอมนั่งร่วมโต๊ะหรือแต่งงานข้ามสายเลือดกับตระกูลที่ไม่ได้รับสิทธิพิเศษ ทำให้ผู้อยู่นอกวงถึงแม้จะได้เข้ารับราชการก็จะยังคงถูกมองอย่างแปลกแยกและกีดกันไม่ให้ได้รับการเลื่อนขั้นในตำแหน่งสูงขึ้น ขณะที่ขุมกำลังจากตระกูลใหญ่เหล่านี้เติบโตขึ้น ข้อขัดแย้งระหว่างกลุ่มก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทว่าอำนาจการปกครองจากส่วนกลางกลับอ่อนแอลง เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายในเวลาต่อมา ในยุคสมัยนี้ บ้านเมืองเสื่อมโทรม กลุ่มผู้มีอำนาจใช้ชีวิตอย่างความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขันและคดโกง ขณะที่คนจนถูกเรียกเก็บภาษีแพงลิบลิ่ว เหล่าปัญญาชนที่เกิดมาท่ามกลางยุคสมัยแห่งความวุ่นวายนี้ ต่างท้อแท้สิ้นหวัง พากันหลีกหนีความเป็นจริง ไม่ถามไถ่ปัญหาบ้านเมือง ชีวิตหมกมุ่นอยู่กับการเสพสุราและพูดคุยเรื่องราวไร้สาระ หรือเสนอแนวคิดเชิงดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นในสังคม ดังนั้นศาสตร์ในการทำนายทายทักและแนวคิดเชิงอภิปรัชญา จึงเป็นที่นิยมอย่างสูง ขณะเดียวกัน การแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจทางการเมืองในราชสำนักก็ทวีความเข้มข้นขึ้น อำนาจในการปกครองของฝ่ายราชสำนักตกอยู่ในภาวะวิกฤต จิ้นอู่ตี้เนื่องจากได้รับบทเรียนจากราชวงศ์วุ่ยที่ไม่ได้จัดสรรอำนาจให้เชื้อพระวงศ์เป็นเหตุให้ราชวงศ์จิ้นซึ่งอยู่ในตระกูลอื่นเข้าฉกฉวยอำนาจได้โดยง่าย ดังนั้น เพื่อรักษาพระราชอำนาจของตนไว้ จึงทรงอวยยศเหล่าเชื้อพระวงศ์ขึ้นเป็นอ๋อง ให้อำนาจในการตรวจสอบความเคลื่อนไหวทางทหารของกลุ่มอำนาจภายนอก ทำให้เชื้อพระวงศ์เหล่านี้สามารถบัญชาการกำลังทหารจำนวนไม่น้อย เมื่อถึงสมัยของจิ้นฮุ่ยตี้ การอวยยศซึ่งแต่เดิมมีจุดมุ่งหมายเพื่ออารักขาฐานอำนาจของราชสำนัก กลับเป็นบ่อเกิดของข้อขัดแย้งในการแบ่งลำดับขั้นการบริหาร ทำให้ภายในราชสำนักเกิดการแย่งชิงอำนาจครั้งใหญ่ บรรดาอ๋องพระราชทานต่างก็ถูกม้วนเข้าสู่วังวนแห่งอำนาจทางการเมือง นับตั้งแต่ปี 291 เป็นต้นมา เมืองลั่วหยาง ได้เกิดเหตุจราจล ‘8 อ๋องชิงบัลลังก์’ อ๋องทั้ง 8 ได้แก่ อ๋องเลี่ยง อ๋องเหว่ย อ๋องหลุน อ๋องจ่ง อ๋องหยิ่ง อ๋องอี้ อ๋องหยงและอ๋องเย่ว์ ต่างยกกำลังเข้าห้ำหั่นกันเกิดเป็นสงครามภายในขึ้น เหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองครั้งนี้กินเวลาถึง 16 ปี ทหารและพลเรือนลัมตายนับแสน หลายเมืองถูกทำลายล้างยับเยิน เป็นเหตุให้ราชวงศ์จิ้นตะวันตกที่แต่เดิมก็ไม่ได้มีผลสำเร็จในเชิงเศรษฐกิจมากนักอยู่แล้ว กลับยิ่งต้องเผชิญกับความเสียหายอย่างสาหัส สุดท้ายจิ้นฮุ่ยตี้ถูกวางยาสิ้นพระชนม์ บรรดาอ๋องต่างฆ่าฟันกันจนสิ้นเรี่ยวแรง... นับแต่สมัยฮั่นตะวันออกเป็นต้นมา ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในในแถบชายแดนภาคตะวันตกและภาคเหนือก็ได้ทยอยอพยพเข้าสู่แผ่นดินจีน เมื่อถึงปลายราชวงศ์วุ่ยและจิ้น เนื่องจากเกิดภาวะแรงงานขาดแคลนจึงมักมีการกวาดต้อนชนกลุ่มน้อยจำนวนมากเข้ามาเป็นแรงงานในประเทศ ชนเผ่าต่าง ๆเมื่อเข้ามาอยู่อาศัยระยะยาว จึงได้รับอิทธิพลจากชาวฮั่น ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่แต่เดิมเป็นปศุสัตว์เร่ร่อน หันมาทำไร่ไถนา บ้างก็ได้รับการศึกษา เข้ารับราชการ ต่อมาเนื่องจากได้รับการบีบคั้นจากการปกครองของเจ้าที่ดินชาวฮั่น และการรีดเก็บภาษีขั้นสูง ทำให้ความสัมพันธ์ทวีความตึงเครียดมากขึ้น จนในที่สุด พากันลุกขึ้นต่อต้านการปกครองจากส่วนกลาง โดยกลุ่มที่เริ่มทำการก่อนได้แก่กลุ่มขุนศึกของชนเผ่าต่าง ๆในช่วงปลายของจลาจล 8 อ๋อง ขณะที่บรรดาเชื้อพระวงศ์ผู้นำของแต่ละกลุ่มต่างทยอยกันเสียชีวิตในการศึก หัวหน้าของชนเผ่าซงหนูหลิวหยวน ก็ประกาศตั้งตัวเป็นอิสระ โดยใช้ชื่อว่าฮั่นกว๋อ(อันนี้ผมงงมักๆ เป็นเผ่าซงหนู แต่แซ่เล่า แถมตั้งชื่อก๊กตนว่า ฮั่น อีกตะหาก..ผู้รู้ตอบด้วย) ภายหลังหลิวหยวนสิ้น บุครชายชื่อหลิวชง ยกกำลังเข้าบุกลั่วหยางนครหลวงของจิ้นตะวันตก จับจิ้นหวยตี้ เป็นตัวประกันและสำเร็จโทษในเวลาต่อมา โดยเชื้อพระวงศ์ทางนครฉางอันเมื่อทราบเรื่องก็ประกาศยกให้จิ้นหมิ่นตี้ ขึ้นครองบัลลังก์สืบทอดราชวงศ์จิ้นต่อไปทันที ประชาชนที่หวาดเกรงภัยจากสงครามทางภาคเหนือ ต่างพากันอพยพลงใต้ จวบถึงปี 316 กองกำลังของชนเผ่าซงหนูบุกเข้านครฉางอัน จับกุมจิ้นหมิ่นตี้ เพื่อรับโทษทัณฑ์ จิ้นตะวันตกจึงถึงกาลล่มสลาย ราชวงศ์จิ้นตะวันตกอยู่ในอำนาจรวม 51 ปี มีกษัตริย์เพียง 4 พระองค์ และเป็นราชวงศ์เดียวในยุคสมัยวุ่ยจิ้นเหนือใต้(คริสตศักราช 220 – 589)ที่มีการปกครองแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียว |
ยาจกอุดร |
#18 ยาจกอุดร [ 14-12-2007 - 13:25:31 ] |
|
ขอบคุณ ลูก มาก ถ้ามีสิ่งน่ารู้ก็ นำพาโพส ที่นี้ได้นะ พ่อกะว่าจะทำเป็นห้อง การเรียนรูปไปเลย |
ยาจกอุดร |
#19 ยาจกอุดร [ 14-12-2007 - 14:24:00 ] |
|
กำแพงเมืองจีน กำแพงเมืองจีน (จีนตัวเต็ม: 長城; จีนตัวย่อ: 长城; พินอิน: Chángchéng, ฉางเฉิง) เป็นกำแพงที่มีป้อมคั่นเป็นช่วง ๆ ของจีนสมัยโบราณ สร้างในสมัย พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นครั้งแรก กำแพงส่วนใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรุกรานจากพวกมองโกล และพวกเติร์ก หลังจากนั้นยังมีการสร้างกำแพงต่ออีกหลายครั้งด้วยกัน แต่ภายหลังก็มีเผ่าเร่ร่อนจากมองโกเลียและแมนจูเรียสามารถบุกฝ่ากำแพงเมืองจีนได้สำเร็จ กำแพงเมืองจีนยังคงเรียกว่า กำแพงหมื่นลี้ (ภาษาจีน: 萬里長城; ตัวย่อ: 万里长城; พินอิน: Wànlĭ Chángchéng, วั่นหลี่ฉางเฉิง) กำแพงเมืองจีนมีความยาวทั้งหมดถึง 6,350 กิโลเมตร และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางด้วย [แก้] ระยะเวลาในการสร้าง กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นในระยะเวลา 4 ช่วงหลัก ๆ ดังนี้ พ.ศ. 338 (ราชวงศ์ฉิน) 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก พ.ศ. 443 (ราชวงศ์ฮั่น) พ.ศ. 1681 - 1741 (สมัย 5 ราชวงศ์ 10 อาณาจักร) พ.ศ. 1911 - 2163 (รัชสมัยจักรพรรดิหงอู่ ต้นราชวงศ์หมิง) |