ขอประวัติเจงกิสข่ายหน่อย
|
ไร้นาม |
#1 ไร้นาม [ 12-12-2007 - 18:01:32 ] |
|
คือว่า.... เราจกะทำรายงานอ่านะ อยากได้ประวัติแบบยาวๆอ่ะช่วยหาหน่อยดิ |
vมังกรหลับv |
#2 vมังกรหลับv [ 12-12-2007 - 18:05:12 ] |
|
จัดให้ |
vมังกรหลับv |
#3 vมังกรหลับv [ 12-12-2007 - 18:06:04 ] |
|
เออว่าแต่ใครในที่นี้พอมีประวัติท่านพระยาตากยาวๆบ้างคับ ผมก็จะทำรายงานเหมือนกัน พอดีขี้เกียจหา ใครที่มีอยู่แล้วช่วยลงให้ผมด้วยนะคับ |
vมังกรหลับv |
#4 vมังกรหลับv [ 12-12-2007 - 18:07:52 ] |
|
เจงกิสข่าน ตำนานกล่าวว่าต้นตระกูลของเผ่ามองโกลนั้นเป็นพี่น้องสองคน คนพี่มีสามตาจึงมองได้ไกลกว่าคนทั่วไป วันหนึ่งพี่น้องคู่นี้ออกล่าสัตว์ พี่ชายมองเห็นรถม้าคันหนึ่งที่อยู่ไกลลิบและมีหญิงงามมาด้วย พี่จึงบอกน้องชายว่าจะชิงมาให้เป็นภรรยาของน้อง นั่นเป็นที่มาของการกำเนิดลูกชายทั้งหมดห้าคน พี่น้องทั้งห้าคนนี้ได้สืบเชื้อสายวงค์ตระกูลต่อไปอีกมากมายจนไปเป็นชาวมองโกลกลุ่ม ต่างๆ น้องชายคนสุดท้องคือต้นตระกูลสายตรงของเจงกิสข่าน ทางด้านเหนือของประเทศจีนมีชนเผ่าเร่ร่อนมากมายที่อาศัยอยู่ในทุ่งราบอันกว้างใหญ่ ในหน้าหนาวอากาศหนาวจัดจนต้องพาฝูงสัตว์มาหาอาหารตามบริเวณทางใต้ ในหน้าร้อนทุ่งราบทางใต้ส่วนใหญ่แห้งแล้งและ ทุรกันดารจึงต้องพาฝูงสัตว์ไปอาหารตามทางเหนือ ชาวมองโกลเป็นชนเผ่าหนึ่งที่เร่ร่อนบนหลังม้าไม่มีบ้านอยู่กันตามกระโจม บริเวณที่มีหญ้ามีน้ำ เสื้อผ้าทำจากหนังสัตว์ ไม่รู้จักปีฤดูการถือว่าหญ้าเขียวเป็นหนึ่งปี จนเมื่อเวลาล่วงไปธรรมชาติได้คัดสรรชีวิตที่เข็มแข็งเท่านั้นให้อยู่รอด ชนเผ่านี้กลายเป็นชนเผ่าที่ ทนหนาวทนร้อนทนหิว ชำนาญการใช้ชีวิตบนหลังม้า เชี่ยวชาญการใช้เกาทัณฑ์ เตมูจิน เกิดปี ค.ศ.1162 บิดาเป็นหัวหน้าเผ่าคิยาด ทางตอนกลางของมองโกเลีย ริมแม่น้ำรูเลน ประเพณีมองโกลถือว่าเมื่อจับแม่ทัพหัวหน้าข้าศึกได้จะต้องนำชื่อของเชลยมาตั้งเป็นชื่อของบุตรชาย เพื่อให้ความกล้าหาญแข็งแรงของศัตรูที่ตนจะฆ่าได้ถ่ายทอดสู่บุตรของตน เจงกิสข่านในวัยเด็กจึงมีชื่อว่า เตมูจิน จากชื่อแม่ทัพเผ่าทาทาร์ นอกจากนี้ในตำนานยังบอกด้วยว่าทารกเตมูจินที่เกิดมามีปานแดงที่ฝ่ามือ มีผู้ทำนายว่าจะได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต พออายุได้ 9 ขวบ บิดาเตมูจินถูกลอบปลงพระชนม์ ทำให้ชนเผ่าถูกตีแตก ครอบครัวและเตมูจินต้องลี้ภัยไปที่อื่น มีแม่เลี้ยงดูแลเพียงลำพัง ต้องเร่ร่อนดำเนินชีวิตด้วยการล่าสัตว์และต้อนฝูงสัตว์ในดินแดนที่เป็นสาธารณรัฐมองโกเลียในปัจจุบัน เตมูจินมีคุณสมบัติของความเป็นผู้นำ คือเฉลียวฉลาด กล้าหาญ มีแววนักสู้ การที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนตั้งแต่เด็กทำให้เตมูจินกลายเป็นนักรบที่ดุดันตั้งแต่อายุ เพียงแค่สิบกว่าขวบ ช่วงวัยรุ่นยังไม่ถึง 20 ปีเริ่มสานสัมพันธไมตรีกับเผ่าต่างๆ ของมองโกลด้วยวิธีทางการทูต ในปี 1189 พระองค์สถาปนาและเป็นผู้นำชนเผ่าคิยาด ซึ่งเป็นชนเผ่าดั้งเดิมอีกครั้ง เริ่มดำเนินการฝึกปรือพลกำลังจัดตั้งเป็นกองทัพทหารอย่างยิ่งใหญ่บนที่ราบกว้าง จนมีแสนยานุภาพเกรียงไกร ประกอบด้วยทหารม้าเป็นส่วนใหญ่ ทรงคัดเลือกผู้บัญชาการทัพด้วยพระองค์เอง กำหนดให้ชายฉกรรจ์ทุกคนต้องเป็นทหาร เพราะปกติวิถีชีวิตของชาวมองโกลนั้นเร่ร่อน ดังนั้นจึงสามารถระดมทัพจากประชากรได้ง่าย ในปี ค.ศ.1206 เตมูจินนำชาวมองโกลเป็นสหพันธ์เดียว และได้รับการขนานนามว่า "เจงกิสข่าน" หรือ "จักรพรรดิผู้เกรียงไกร" หลังจากนั้นเส้นทางการยึดครองก็เริ่มต้นขึ้น ปี ค.ศ.1209 ชาวมองโกลเริ่มปฏิบัติการทางทหารต่อมณฑลซีเซี่ย ซึ่งประกอบด้วยดินแดนส่วนใหญ่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน และบางส่วนของทิเบต การต่อสู้ดำเนินไปจนถึง ค.ศ.1210 ผู้ครองมณฑลซีเซี่ยยอมศิโรราบ ด้วยการรบอย่างเป็นระบบกองทัพของเจงกิสข่านก็พิชิตจีนทั้งหมด รวมทั้งแหลม ซึ่งปัจจุบันคือประเทศเกาหลี และบางส่วนขอธิเบต การต่อสู้ดำเนินไปจนถึง ค.ศ.1210 ผู้ครองมณฑลชีเชียก็ยอมสิโรราบ ด้วยการรบอย่างเป็นระบบกองทัพของเจงกิสข่านก็พิชิตจีนทั้งหมด รวมทั้งแหลมซึ่งปัจจุบันคือประเทศเกาหลี ก่อนจะหันไปทางตะวันตกเพื่อรบกับชาวเติร์กเมื่อราชทูตจำนวนหนึ่งถูกสังหาร ไม่นานก็สามารถยึดภูมิภาคซึ่งปัจจุบันประกอบด้วยอิรัก อิหร่าน และภาคตะวันตกของเตอร์กิสถาน ต่อด้วยภาคเหนือของอินเดียและปากีสถาน ก่อนจะมาถึงรัสเซียและยึดครองดินแดนตั้งแต่อ่าวเปอร์เซียไปจนถึงหมาสมุทรอาร์คติก ยุคสมัยของเจงกิสข่านจบลงระหว่างการปราบกบฏในมณฑลชีเชียช่วง ค.ศ.1226 หลังพระองค์ตกจากหลังม้าจนได้รับความบอบช้ำภายในอย่างหนัก แต่กองทัพของพระองค์ก็สามารถเดินหน้ายึดครองเมืองหลวงของชีเชียได้เป็นผลสำเร็จ แม้จักรวรรดิของเจงกิสข่านจะยิ่งใหญ่กินพื้นที่ 2 ทวีป แต่ก็ยังไม่เท่ากับอาณาเขตที่ “กุบไลข่าน” หลานชายที่สืบทอดมรดกต่อมาจากปู่ หลังจากปกครองแคว้นและเมืองต่าง ๆ มาได้ระยะหนึ่ง พุบไลข่านก็คิดการใหญ่ตัดสินใจที่จะพิชิตญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศเดียวที่ยังไม่ยอมก้มหัวให้ กุบไลข่านระดมกองเรือ 4,400 ลำ บรรทุกคน 140,000 คนมุ่งหน้าสู่เกาะญี่ปุ่น แต่แล้วจู่ ๆ เพียงคืนเดียวในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1281 กองเรือดังกล่าวและ ลูกเรือทั้งหมดกลับอันตรธานหายไป นับเป็นการสูญเสียชีวิตผู้คนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทางทะเล และเป็นจุดเปลี่ยนที่พลิกผันชะตาโลกที่สำคัญ กว่า 700 ปีที่กองเรือที่ว่าหายสาบสูญ เบื้องหลังจุดจบต่างถูกคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ จนกระทั่งชาวประมงญี่ปุ่นคนหนึ่งได้พบวัตถุหนัก ๆ ซึ่งทำจากทองแดง และมีรอยจารึกแบบมองโกล ด้วยความร่วมมือของเรือหาปลาลำนั้น ทีมงานนักโบราณคดีใต้น้ำนำโดย เคนโซ ฮายาชิดะ ผู้เชี่ยวชาญการดำน้ำแห่งสมาคมคิวชู โอกินาว่าเพื่อโบราณคดีใต้น้ำ พร้อมด้วยเจมส์ เดลกาโด้ แห่งพิพธภัณฑ์ชายฝั่งแวนคูเวอร์ เดินทางสู่อ่าวอิมาริห่างจากชายฝั่งญี่ปุ่นเพียง 3.2 กิโลเมตร ที่นั่นพวกเขาได้ค้นพบซากอับปางของเรือมองโกลขนาดมหึมา ดาบเหล็กและหมวกเหล็กซึ่งมีการประดับประดา ซากศพมนุษย์ ลูกระเบิดดินเหนียวที่ยังไม่ระเบิด และสมอขนาดมหึมาสิบอันที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง ซึ่งกลายมาเป็นสิ่งยืนยันข้อสันนิษฐานของฮายาชิดะที่ว่า เรือเหล่านี้มาจากจีนช่วงศตวรรษที่ 13 เนื่องจากในสมัยนั้นจีนเป็นศูนย์กลางการต่อเรือของจักรวรรดิมองโกล แต่ที่น่าพิศวงมากกว่านั้นก็คือ ตำแหน่งของสมอที่บ่งบอกว่าเรือเหล่านี้จมลงอย่างรุนแรงมาก ตำนานของญี่ปุ่นที่บอกว่า “กามิกาเซ่” หรือ “พลังของเทวดา” กวาดล้างการบุกจู่โจมของเรือลำนี้ แต่ผลการศึกษาของจูเลี่ยม เฮ็มมิ่ง ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของโลกเรื่องพายุใต้ฝุ่นกลับพบว่า กองเรือนี้อาจตกเป็นเหยื่อของพายุใต้ฝุ่นที่รุนแรงกว่าปกติ หรือซุปเปอร์ใต้ฝุ่น แต่ใต้ฝุ่นก็อาจไม่ใช่ปัจจัยเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมนี้ขึ้น เพราะเครื่องใช้โบราณหน้าตาประหลาดบางอย่าง อาจบ่งชี้ถึงความผิดพลาดของมนุษย์หรือการทรยศหักหลัง แม้รัชสมัยของกุบไลข่านจะจบลงอย่างน่าตื่นตะลึง แต่มรดกที่ทิ้งไว้อย่างการประดิษฐ์เงินกระดาษจนใช้แพร่หลายอยู่ทุกวันนี้ หรือการสร้างเมืองใหม่สองเมืองอย่างเมืองทาทูหรือนครปักกิ่ง และเมืองชางทู เมืองหลวงแห่งใหม่ที่มีอีกชื่อว่าชานาตู และการนำกระแสศิลปะใหม่ ๆ มาสู่ประชาชนทำให้มองโกลยืนอยู่ในแถวหน้าของวัฒนธรรมโลก ส่วนอันนี้สรุปด้านต่างๆของยอดมหาราชันผู้นี่ครับ ด้านรัฐศาสตร์ เจงกิสข่านสามารถรวมเผ่ามองโกล ที่มีอยู่ มากมายหลายเผ่าเข้าเป็นสมาพันธ์ชาวเผ่า ได้ตั้งแต่มีวัยเพิ่ง แตกพาน นับเป็นสมาพันธ์แห่งแรกของโลกก็ว่าได้ และต่อมามีการรวมตัวสมาพันธ์ดังกล่าว เข้าเป็นอาณาจักร เดียวกัน โดยมีเจงกิสข่านเป็นกษัตริย์องค์แรก มีการขยายอาณาจักรออกไปเรื่อยๆ จนอาณาเขตด้านตะวันออก จดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มองโกเลียกลาย เป็นมหาจักรวรรดิขึ้นในเวลาต่อมา นอกจากการขยายอาณาจักรออกไปได้กว้างไกลแล้ว ยังรวบรวมช่างฝีมือ และผู้มีศิลปวิทยาการด้านต่างๆ ส่งกลับมายังมองโกเลียด้วย นอกเหนือจากทรัพย์สินเงินทองที่ยึดมาได้จากการบุกโจมตีอาณาจักรต่างๆ ด้านการศาสนา โดยปรกติชาวมองโกเลีย นับถือศาสนาพุทธ และลัทธิ "เต็งกรี" หรือ ลัทธิบูชาเทพ ชาวมองโกเลียนับถือเจงกิสข่าน เป็นเทพองค์หนึ่ง เป็นเทพชั้นราชาแห่งสวรรค์ แต่พระองค์ก็ไม่ขัดขวาง หรือกดขี่ศาสนาอื่น ดังนั้น ในมองโกเลียจึงมีทุกศาสนา ไม่ว่าพุทธ อิสลาม คริสต์ หรือลัทธิเต็งกรี แม้แต่ในพระบรมราชวงศ์ ของเจงกิสข่านยังมีผู้นับถือศาสนา กันเกือบทุกศาสนา ด้านการทหาร ในยุคของเจงกิสข่าน ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า โลกได้รับความยับเยิน จากภัยสงครามมากกว่ายุคใดในสมัยโบราณ ไม่ว่าสงครามครูเสด สงครามรวมอาณาจักรจีน สงครามในเอเชียกลางไม่มีครั้งไหน ที่บ้านเมืองจะถูกทำลายยับเยิน และผู้คนจะเสียชีวิตมากมายเท่าครั้งนี้ การรบของเจงกิสข่านไม่เหมือน จักรพรรดิองค์ใดในโลก ตามปรกติหากยอมอ่อนน้อมโดยดีก็จะมีการกำหนด ให้ส่งราชบรรณาการทุกปี แต่สำหรับเจงกิสข่านนั้น นอกจากเครื่องราชบรรณาการแล้ว ยังมีการเกณฑ์ไพร่พล เข้าร่วมในกองทัพด้วย จะเห็นได้ว่าในการเข้าตีกรุงแบกแดดเมื่อปี ค.ศ.1208 กองทัพเจงกิสข่าน ประกอบด้วยทหารจากจอร์เจีย อาร์เมเนีย และเปอร์เซียรวมอยู่ด้วย และหากบ้านเมืองใดต่อสู้ขัดขืน ก็จะตะลุยตีจนยึดเมืองได้ จากนั้นก็จะมีการสำรวจ ดูว่าชาวเมืองคนใด เป็นช่างฝีมือ และมีความรู้ความสามารถ ทางวิทยาการต่างๆ จะถูกส่งกลับไปมองโกเลีย ที่เหลือจะ ถูกสังหารหมด ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ สตรีหรือคนชรา แม้ว่าเจงกิสข่านจะนับถือศาสนาทุกศาสนา แต่ก็ไม่ละเว้นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาใด หากปรากฏว่ามีศัตรูเข้า ไปซ่อนตัวอยู่จะสั่งเผาทันที มีการบันทึกไว้ว่า เมื่อบุกตะลุยเข้าไปใน ดินแดนรัสเซีย เจ้าผู้ครองนครชาวรัสเซียหนีเข้าไปซ่อนตัวในโบสถ์ ด้วยคิดว่าเจงกิสข่านจะไม่ทำอันตราย แต่เจงกิสข่านก็สั่งให้เผาโบสถ์ให้ไฟคลอกจนสิ้น พระชนม์ทั้งเป็นทั้งหมด เจงกิสข่านบอกว่า ที่เผาโบสถ์ไม่ใช่เพราะลบหลู่พระเจ้า แต่เพราะคนเลวไปทำให้โบสถ์มัวหมองจึงต้องทำลายทิ้ง วีรกรรมยิ่งใหญ่ หากพิจารณาตามพื้นเพเดิมแล้ว เจงกิสข่านเป็นเพียงหัวหน้าเ ผ่ามองโกลเร่ร่อนเผ่าเล็กๆ เท่านั้น อาศัยอยู่ในเต็นท์ ไม่มีบ้านเมืองของตนเอง แต่สามารถปราบปรามจักรวรรดิต่างๆได้ราบคาบอย่างง่ายดาย ถือเป็นวีรกรรมที่ควรจะยกย่อง วีรกรรมที่จัดว่ายิ่งใหญ่นั้นได้แก่ การบุกตะลุยเข้าตีเมืองซามาร์คาน จนแตกกระเจิงโดยใช้เวลาไม่มากนัก ซามาร์คาน เป็นนครหลวงระดับ มหานครของจักรพรรดิ ชาห์ มูฮัมหมัด แห่งมหาจักรวรรดิ "ควาริตซึ่ม" ซามาร์คานต้องเรียกว่ามหานคร เพราะมีพลเมืองถึง 200,000 คน ภายในกำแพงเมือง จักรวรรดิ "ควาริตซึ่ม" ต้องเรียกมหาจักรวรรดิ เพราะครอบคลุมประเทศใหญ่ๆ ในปัจจุบันไว้ร่วมสิบประเทศ รวมทั้งอัฟกานิสถานและ อิหร่าน พรมแดนด้านตะวันตก จดทะเลสาบแคสเปียน ด้านใต้จดมหาสมุทรอินเดียภายในมหานครซามาร์คาน มีทหารประจำการพร้อมรบอยู่ถึง 110,000 คน เจงกิสข่านเคลื่อนพล 8 หมื่น ส่วนมากเป็น กองม้าบุกเข้าตีจนแตกพ่าย เมื่อยึดซามาร์คาน ได้ก็มีการสั่งเผาเมืองทั้งเมือง และไล่ฆ่าผู้คนตายนับแสน เหลือไว้เฉพาะช่างฝีมือ และผู้มีความรู้เพียง 30,000 คน และส่งคนเหล่านี้ไปมองโกเลีย เพื่อเป็นทรัพยากรบุคคลของชาติต่อไป เจงกิสข่านเกือบครองโลก นักประวัติศาสตร์ให้ความเห็นตรงกันว่า หากรุกไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อไหร่ เจงกิสข่าน จะได้ ชื่อว่าเป็น มหาจักรพรรดิองค์แรก และองค์เดียวที่ครองโลกได้ โลกในยุคนั้นมีแค่จากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก แถวเมืองจีนไล่ไปถึงฝั่ง มหาสมุทรแอตแลนติก เท่านั้น เพราะเป็นเขตที่มีการตั้งอาณาจักร มีวัฒนธรรมกัน กองทัพเจงกิสข่านตะลุยยึดได้รัสเซียกว่าค่อนประเทศ บุกถึงยุโรปกลางและเยอรมันเตรียมบุกยึดเกาะอังกฤษอยู่แล้ว แต่เปลี่ยนใจเดินทางกลับบ้านเมืองเสียก่อน นักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า หากเดินทัพต่อไปจริงๆ ก็คงยึดได้ไม่ยาก กองทัพประหลาด และกลยุทธ์ผ่าเหล่า เจงกิสข่านจัดรูปแบบ กระบวนทัพแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เดินทัพไปเลี้ยงสัตว์พวกวัวควาย และแพะ ตลอดจน ม้าศึกไปด้วย เมื่อสั่งบุกโจมตี ก็สามารถรวมพลได้เร็วและสามารถเข้าตีได้อย่างสายฟ้าแลบ กำลังหลักของเจงกิสข่านจะมีประมาณ 100,000 คน แบ่งออกเป็นสิบ "ทูเมน" หรือกองพลมีกําลังรบ 10,000 นาย แต่ละกองพลจะมีผู้ติดตามทหารอีก นายละ 4 คน โดยเฉลี่ย ดังนั้น ในแต่ละกองพล จะมีผู้คนติดตาม ขบวนทหารอีกประมาณ 4 หมื่นคน เมื่อเข้าตี ขบวนครอบครัวผู้ติดตามทหารมา จะต้องถอยห่างออกไปทางด้านหลังแนวรบ หน่วยรบจะได้รับการฝึกปรือเพลงอาวุธ ทุกประเภทอย่างเจนจบ ศึกษายุทธศาสตร์ต่างๆจากหลายชาติ เช่น เปอร์เซีย อาหรับ และจีน ในการเดินทัพ "ทูเมน" หรือกองพลต่างๆ จะจัดกระบวนทัพ เป็นแนวหน้ากระดานกว้าง 50 ไมล์ โดยมีทัพหลวงอยู่ตรงกลาง เจงกิสข่านพร้อมกับพระมเหสีและพระสนมจะประทับอยู่ในเต็นท์เดียวกัน เป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ ติดล้อเพื่อให้เคลื่อนที่ได้ ในตอนกลางวันเต็นท์หลวง จะทําหน้าที่เป็นที่ออกขุนนาง และรับราชทูต ส่วนกลางคืนใช้เป็นที่ประทับ ซึ่งประทับในเต็นท์เดียวกันหมด ทั้งพระมเหสี พระสนม พระโอรสและธิดา เต็นท์ถัดไปข้างหลัง จะเป็นของพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งจะเคลื่อนไปข้างหน้า ตามลําดับความสําคัญ ของฐานานุรูป โดยใช้วัวนับสิบตัวลาก ในขบวนทัพจะมีม้าสํารอง ไว้คอยเปลี่ยนเป็นจํานวนมาก นอกจากนั้นยังมีฝูงแกะแพะติดตาม ไปด้วยทุกกองพล เพื่อใช้เป็นแหล่งเสบียง เนื่องจากชาวมองโกลนิยม ดื่มนมสัตว์เป็นอาหารหลัก และยังได้เนื้อเป็นอาหารอีกด้วย การเคลื่อนทัพไปในยามปรกต ิใช้ความเร็วตํ่ามากเพียง 5 ไมล์ต่อวันเท่านั้น และจะมีการหยุดพักการเดินทาง วันละ 4 ครั้ง เพื่อรีดนมสัตว์เป็นอาหาร เมื่อจะเข้าทําการโจมตี กองพลทั้งสิบจะเข้ารวมตัว กับทัพหลวงอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งไปข้างหน้าราวสายฟ้าแลบ จะเห็นได้ว่า เจงกิสข่าน ตะลุยไปแล้วทั่วโลก บุกเกาหลี ข้ามทะเลไปตีถึงญี่ปุ่น ลุยมาถึงฮานอย ในอดีต และเหยียบไปถึงเมืองพุกามในพม่า นอกจากมีความสามารถ ในการรบอย่างสุดยอดแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม เนื่องจากให้เสรีใน การนับถือแก่ ทุกศาสนาในโลก โดยไม่กดขี่หรือกีดกัน เจงกิสข่านพิสูจน์ตัวเองแล้วว่า ไม่ใช่คนเถื่อน เพราะยังมีใจรักอารยธรรมและวัฒนธรรม แม้จะนิยมการเผาบ้านเมือง และถาวรวัตถุของศัตรู แต่ก็เป็นไปด้วยเหตุผล ทางยุทธศาสตร์ประการเดียว และยังมีการไว้ชีวิต ช่างฝีมือ และผู้มีความรู้ด้านศิลปวิทยาการต่างๆ และส่งกลับมองโกเลีย ด้วยหวังว่าจะได้สอน ชาวมองโกเลียให้มีความก้าวหน้า ในศิลปวิทยาการต่างๆ บ้าง แต่เหนือสิ่งอื่นใด การที่เจงกิสข่านสามารถ ตะลุยปราบหัวเมืองต่างๆ ไปได้เกือบทั่วโลกโดยไม่มีใครต้าน พลานุภาพได้ และไม่มีใครทําได้สําเร็จเช่นนี้ ตลอดช่วงสหัสวรรษเดียวกันนี้ ก็พอเพียงที่จะได้รับการยกย่อง แล้วว่า เป็นมหาบุรุษได้อย่างไม่มีข้อกังขา. พอมีอยู่แค่นี้หนะคับ แต่กระทู้ ชนเผ่าเร่ร่อนของผมยังมีอีกเยอะมีทั้งเจงกิสและเผ่าอื่นและลูกหลานเจงกิส ท่านคงต้องไปหาดูไม่เกินหน้า2หน้า3หลอกมั้ง |
ศักดิ์ศรีจอมยุทธ |
#6 ศักดิ์ศรีจอมยุทธ [ 12-12-2007 - 19:46:19 ] |
|
โหอ่านไม่ไหวอ่าเพ่ รู้แต่ว่าเจงกิสข่านี่อยู่เผ่ามองโกลใช่ปะเพาะดูมังกรหยกตอนที่ราชครูจักรทองมันไปหาเจงกิสข่านอ่า ใช่ปะ |
vมังกรหลับv |
#7 vมังกรหลับv [ 12-12-2007 - 19:59:46 ] |
|
ไม่ใช่ ที่ราชครูกิมลุ้นไปหาข่านมองดกลนั้น คนนั้นคือกุบไลข่านหลานปู่ของเจงกิสข่านอีกที |
vมังกรหลับv |
#8 vมังกรหลับv [ 12-12-2007 - 20:00:45 ] |
|
รักการอ่านหน่อยสิคับ แค่นี้มันยังน้อยนะคับ |
จอมยุทธ์มังกรน้อย |
#9 จอมยุทธ์มังกรน้อย [ 13-12-2007 - 13:50:28 ] |
|
เขาไปหาใน google ก็ได้ครับ มีข้อมูลเยอะมากเลยครับ ![]() |
|