ตำนานปาท่องโก๋ มีที่มาจากนายทหารจีนผู้หนึ่ง นามว่า งักฮุย รับราชการในแผ่นดินพระเจ้าเกาจง งักฮุยเป็นนายทหารที่ซื่อสัตย์ เข้มแข็ง ช่วยแผ่นดินปราบกบฏ รบกองโจร เป็นที่รักใครของประชาชน ศึกครั้งสำคัญก็คือ การทำสงครามกับพวกกิม ซึ่งเป็บชนชาติเร่ร่อนพเนจร แถบภาคอีสานของจีนใกล้กับเกาหลี งักฮุยรบจนเกือบชนะอยู่แล้ว แต่ก็ได้รับพระบรมราชโองการให้ยกทัพกลับ ทั้งนี้เนื่องจากฉินฮุ่ย มหามนตรีผู้ลอบสวามิภักดิ์ต่อพวกกิม คอยเพ็ดทูลยุยง ส่งเสริมพระเจ้าเกาจงให้เจรจายุติสงครามกับพวกกิม
งักฮุยเสียใจมาก ถึงกับกล่าวว่า "เสียแรงที่เราบากบั่นต่อสู้พวกกิม ด้วยความยากลำบากเป็นเวลาถึง 10 ปี ความอุตสาหะนั้น จะต้องพินาศลงชั่วเวลาเพียง
วันเดียวเท่านั้น"
ครั้นกลับมาแล้ว ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการชั้นองคมนตรี แต่ฉินฮุ่ยและพรรคพวก ได้คอยหาโอกาสกำจัดงักฮุยเสีย จึงคอยใส่ร้ายป้ายสีว่างักฮุยคิดกบฏ จนในที่สุดงักฉัยและบุตรถูกจับไปจำขังอยู่ในเรือนจำ เป็นเวลา 2 เดือน แต่รูปคดีไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะงักฮุยไม่มีความผิดแต่ประการใด ฉิ่งไขว่จึงลอบมีหนังสือลับ ไปยังพัสดี เรือนจำให้สังหารงักฮุยเสีย
การสิ้นชีพอย่างน่าอนาถของวีรบุรุษงักฮุยผู้นี้ จึงกลายเป็นธรรมเนียมของประชาชนชาวจีน ให้นำแป้งสาลีมา ปั้นเป็นสองชิ้นติดกันแล้วทอดน้ำมัน เรียกว่า "อิ้วจาก้วย" (คนไทยเรียกเพี้ยนเป็น "ปาท่องโก๋" ซึ่งที่จริงแล้ว เป็นขนมคนละ ชนิดกัน) ทั้งนี้เพื่อแสดงความเคียดแค้นในตัวฉิ่งไขว่ โดยเปรียบเทียบแป้งสาลีเป็นเนื้อของฉินฮุ่ยและภรรยา นำมาทอดกินให้หายแค้นนั่นเอง
เชื่อหรือไม่ ปาท่องโก๋ ขนมแห่งประวัติศาสตร์จีน
|
คุณชายต้วน |
#1 คุณชายต้วน [ 21-10-2007 - 23:01:00 ] |
|
คุณชายต้วน |
#2 คุณชายต้วน [ 21-10-2007 - 23:03:49 ] |
|
พอดีเปิดเว็ปไหนเจอมาไม่รู้ เห็นมีความรู้แปลกใหม่ดี เลยเอามาเผลแพร่เล่าสู้กันฟัง |
จอมยุทธ์พเนจร | |
|
น่ากิน |
vมังกรหลับv |
#4 vมังกรหลับv [ 21-10-2007 - 23:15:24 ] |
|
ฉินไคว่หรือฉินข้วย ขุนนางกังฉินสมัยซ่ง ที่หน้ารูปปั้นงักฮุยที่เมืองจีน ยังมีรูป ฉินข้วย กับภรรยาขุกเข่าต่อหน้า เทพงักฮุยอีกด้วยคับ ซึ่งเวลาคนไปไหว้ศาลเจ้านี้ ก็จะถ่มน้ำลายใส่รูปปั้นฉินข้วยและภรรยา งักฮุยได้ชื่อว่าเป็นขุนศึกไร้พ่ายด้วย |
vมังกรหลับv |
#5 vมังกรหลับv [ 21-10-2007 - 23:16:28 ] |
|
ยังมีอีกหลายอย่างคับ อย่างเช่น ขนมบะจ่าง ซาลาเปา - หมั่นโถว โอเลี้ยง |
vมังกรxลับv |
#6 vมังกรxลับv [ 21-10-2007 - 23:20:10 ] |
|
โอ้ว ได้ความรู้อีกเยอะเลยครับ _______ ถามหน่อยนะครับ แล้วงักฮุย คนนี้ใช้คนเดียวกับที่คิด ตำราพิชัยสงครามงักฮุย รึเปล่าครับ |
อีเต่า.......... (4พ | |
|
อืม...ใช่เเล้ว ครับท่านต้วน อีเต่า... เคยฟังตอนนั้น ที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เคยเล่าให้ฟัง ตอนที่มีเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขับไล่เผด็จการทักษินฯ |
vมังกรหลับv |
#8 vมังกรหลับv [ 22-10-2007 - 09:47:56 ] |
|
ใช่แล้วคับ งักฮุยที่ว่านี่ เป็นคนเดียวกับที่เรื่องมังกรหยก อ้างถึงคับ |
มือกระบี่ไร้นาม |
#9 มือกระบี่ไร้นาม [ 22-10-2007 - 10:56:29 ] |
|
สมัยซ่งใต้ นี่มีแต่ขุนนางที่ติดสินบนจากทหารจินทั้งนั้นเลย แม่ทัพเยวี่ยนเฟยอุตส่าห์บากบั่นมุ่งทำสงครามกับทหารจินมา กลับสูญสิ้นเพราะไอ้คนโฉดฉินข่วย สมัยนั้นฮ่องเต้ก็โดนยุแหย่ น่าสงสารแม่ทัพเยวี่ยนเฟยและคนที่ตายจากสงครามจินจริงๆ |
คุณชายต้วน |
#10 คุณชายต้วน [ 22-10-2007 - 11:40:58 ] |
|
ถ้าผมจได้นะ หม่านโถวอะ คือหม่านโถวขงเบ้งเป็นคนคิดค้นขึ้นเมื่อตอนที่ยกทัพลงใต้ไปปราบเบ้งเฮ้ก แต่พอเมื่อปราบเบ้งเฮกได้ ตอนที่ขงเบ้งกำลังยกทัพกับเสฉวน เกิดพายุระหว่างการล่องเรือกลับ ขงเบ้งจึงได้ให้คนทำอาหารมาชนิดหนึ่ง ให้โยนไปเพื่อบวงสรวงให้กับเทพ อาหารชนิดนั้นก็คือหม่านโถวนั่นเอง |
คุณชายต้วน |
#11 คุณชายต้วน [ 22-10-2007 - 11:42:49 ] |
|
ตำนานของบะจ่าง มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมา ในสมัยจั้นกว๋อ (ราวก่อนค.ศ. 403 - 211) กษัตริย์ฉู่เซียนอ๋อง ทรงโปรดปรานขุนนางกังฉินเป็นอย่างมาก ต่อมา กวีผู้รักชาตินาม "ชวีหยวน" ได้พูดเตือนพระองค์ ทำให้ชวีหยวนถูกปลดจากตำแหน่ง และถูกไล่ออกจากเมืองหลวง นอกจากนี้ รัฐฉินยังถูกรัฐฉู่เข้ารุกรานจนประเทศล่มสลาย ประชาชนยากไร้ ชวีหยวนรู้สึกอดสูแก่ใจที่ไม่อาจช่วยเหลือประเทศชาติได้จึงกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย เมื่อชาวบ้านที่นับถือในตัวชวีหยวนทราบเรื่องเข้า ก็ช่วยกันหาศพของชวีหยวน แต่ก็ไม่พบ และเพื่อเป็นการระลึกถึงความรักชาติของชวีหยวน พวกชาวบ้านจึงได้มีการโยนบะจ่างลงในน้ำ เพื่อให้บรรดาสัตว์น้ำไม่ต้องไปกินศพของชวีหยวน แต่มากินบะจ่างแทน |
มือกระบี่ไร้นาม |
#12 มือกระบี่ไร้นาม [ 22-10-2007 - 11:46:19 ] |
|
อ้อใช้ครับ หมั่นโถนี่คิดค้นโดยขงเบ้งครับ เขาสั่งปั้นแป้งเป็นรูปหัวคน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะสี่สิบเก้าลูกนะ |
จอมยุทธ์มังกรน้อย |
#13 จอมยุทธ์มังกรน้อย [ 23-10-2007 - 16:03:07 ] |
|
นี้ก็คือ ประวัติของงักฮุย ซึ่งชาวงสุดท้ายของชีวิตก็เป็นสาเหตทีทําให้เกิดขนมปาท่องโก๋ ขึ้นมา งักฮุย* หรือชื่อเรียกในภาษาจีนกลางคือ เย่ว์เฟย (岳飞; ค.ศ.1103-1142 / พ.ศ.1646-1685) เกิดในยุคปลายของราชวงศ์ซ่งเหนือ (ค.ศ.960-1127) ที่มณฑลเหอหนาน เมื่อครั้งยังเล็ก ณ บ้านเกิดของเขาเกิดอุทกภัยใหญ่จากการแตกของเขื่อนกั้นแม่น้ำเหลือง (黄河) มารดาของงักฮุยต้องอุ้มบุตรชายไว้ในอ้อมกอด อาศัยซุกตัวอยู่ในโอ่งลอยตามน้ำไปเรื่อยๆ เพื่อรักษาชีวิตให้รอด เมื่อล่วงเข้าสู่วัยหนุ่ม ในภาวะที่ประเทศกำลังตกอยู่ในวิกฤตเนื่องจากฮ่องเต้สองพระองค์ของราชวงศ์ซ่งเหนือ คือ ซ่งฮุยจง (宋微宗) และซ่งชินจง (宋钦宗) ถูกพวกจิน (金; ค.ศ.1115-1234) จับตัวไปเป็นเชลยศึก จนในที่สุดนำมาสู่จุดจบของราชวงศ์ซ่งเหนือ งักฮุยเมื่อพบเห็นกับเหตุการณ์เช่นนี้จึงตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ว่าจะต้องกอบกู้ดินแดนที่สูญเสียและชาติกลับคืนมาให้ได้ ความตั้งใจนี้เมื่อประกอบกับการสนับสนุนมารดา เขาจึงสมัครเข้าเป็นทหารรับใช้ให้กับราชวงศ์ซ่งใต้ (南宋; ค.ศ.1127-1279) ที่ขณะนั้นองค์ฮ่องเต้คือ ซ่งเกาจง (宋高宗) ได้ย้ายเมืองหลวงหนีมาทางใต้ จากเ+++ยนเหลียง (汴梁; ปัจจุบันคือเมืองไคเฟิง) มาอยู่ที่หลินอัน (临安; ปัจจุบันคือเมืองหางโจว) โดยก่อนที่งักฮุยจะออกจากบ้านไปรับใช้ชาติ มารดาได้สลักอักษรจีน 4 ตัวไว้ที่กลางแผ่นหลังของบุตรชาย ความว่า 尽忠报国 จิ้นจงเป้ากั๋ว รู้รักภักดี พลีชีพเพื่อชาติ 尽忠报国- รู้รักภักดี พลีชีพเพื่อชาติ วลีที่กล่าวถึงเมื่อใด ย่อมนึกถึงวีรบุรุษนามงักฮุย (岳飞) เมื่อเข้ารับราชการทหาร งักฮุยที่พกความมุ่งมั่นไว้เต็มเปี่ยมก็แสดงความกล้าหาญและสามารถรบชนะสังหารข้าศึกไปเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งผลงานไปเข้าตาแม่ทัพนาม จงเจ๋อ (宗泽) ต่อมาแม่ทัพจงเจ๋อก็ถ่ายทอดวิชาความรู้ในการทำศึกสงครามนานาประการให้กับงักฮุยโดยหมดสิ้น โดยหวังว่างักฮุยจะเป็นกำลังสำคัญในการกู้ชาติต่อไป หลังจากที่แม่ทัพจงเจ๋อเสียชีวิต งักฮุยก็ได้เป็นผู้สืบทอดในตำแหน่งแม่ทัพต่อ และสร้างผลงานจนได้ดำรงแม่ทัพใหญ่ในตำแหน่ง เจี๋ยตู้สื่อ (节度使) เมื่ออายุเพียง 32 ปีเท่านั้นแต่ทั้งนี้งักฮุยก็มิได้แสดงอาการยโสโอหังต่อตำแหน่งใหญ่ของตัวเองแต่อย่างใด สังเกตได้จากที่ครั้งหนึ่งฮ่องเต้เคยออกปากว่าจะสร้างจวนหลังใหม่ให้ งักฮุยกลับตอบปฏิเสธโดยกล่าวกับฮ่องเต้ไปว่า "ในเมื่อยังกวาดล้างศัตรูได้ไม่สิ้นซาก กระหม่อมจะมีมาคำนึงถึงเรื่องบ้านของตัวเองได้อย่างไร?" เมื่อก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ ชื่อเสียงของงักฮุยก็ยิ่งขจรขจาย โดยเฉพาะในแง่ของความเข้มงวดและระเบียบวินัยของกองทัพ มีอยู่ครั้งหนึ่งขณะที่ฝึกซ้อมการรบอยู่นั้น เมื่อบุตรชาย (เย่ว์หยุน:岳云) ของงักฮุยบังคับม้าศึกควบขึ้นเนินลาดแล้วเกิดบังคับม้าไม่อยู่จนทั้งคนทั้งม้าเสียหลักล้มลง ด้านงักฮุยเมื่อทราบดังนั้นก็มิได้แสดงความอาทรต่อบุตรของตัวเองเหนือกว่าพลทหารนายอื่นแต่อย่างใด ออกคำสั่งให้ดำเนินการลงโทษบุตรชายของตนไปตามกฎระเบียบ มากกว่านั้น สิ่งที่ทำให้กองทัพของงักฮุยครองใจชาวบ้านมากไปกว่านั้นก็คือ "ความซื่อสัตย์" และ "ซื่อตรง" เมื่อพบว่าพลทหารขอเชือกปอจากชาวบ้านหนึ่งเส้นเพื่อนำมามัดไม้ฟืน งักฮุยก็สั่งให้ลงโทษพลทหารผู้นั้นไปตามระเบียบ ขณะที่เมื่อกองทัพของงักฮุยผ่านไปยังหมู่บ้านใดก็จะตั้งค่ายนอนกันริมทาง แม้ชาวบ้านเชิญให้เหล่าทหารเข้าไปพักผ่อนในบ้านอย่างไรก็ไม่ยินยอม ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วว่าในกองทัพของงักฮุยมีคำขวัญที่ได้รับการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดประการหนึ่ง คือ "แม้ต้องหนาวตายก็ไม่ขอเบียดเบียนบ้านชาวประชา แม้ต้องอดตายก็จะไม่ปฏิบัติตัวเยี่ยงโจร-ขโมย" ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างงักฮุยกับเหล่าทหารในกองทัพก็เป็นไปด้วยความแนบแน่นยิ่ง โดยเมื่อมีพลทหารคนใดป่วยงักฮุยก็จะไปเยี่ยมด้วยตัวเอง พร้อมส่งคนไปให้การดูแลครอบครัวของพลทหารผู้นั้น ขณะที่หากเบื้องบนตบรางวัลอะไรให้มา งักฮุยก็จะจัดสรรแบ่งปันให้พลทหารของตนอย่างเท่าเทียมโดยที่ไม่คำนึงว่าจะเหลือตกถึงตนเองหรือไม่ ด้วยเหตุฉะนี้ กองทัพของงักฮุยจึงมีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง และเมื่อประกอบกับความรู้ความสามารถในด้านสงครามของงักฮุยแล้วก็ทำให้ในการรับทุกครั้งกับชนเผ่าจินนั้น กองทัพงักฮุยได้รับชัยชนะอยู่เสมอๆ จนพวกจินนั้นเกิดความเกรงกลัวอย่างมาก จนกระทั่งมีคำกล่าวกันว่า "โยกภูเขานั้นง่าย คลอนทัพงักฮุยนั้นยากยิ่ง" ทัพงักฮุยประสบชัยชนะกรีฑาทัพขึ้นภาคเหนือเพื่อยึดดินแดนคืนได้มากมาย บุกจนกระทั่งตั้งทัพอยู่ห่างจากเมืองหลวงเดิมเพียง 20 กิโลเมตรเท่านั้น** เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ฉินฮุ่ย/ฉินข้วย/ชีนไคว่ (秦桧) ขุนนางกังฉิน (ว่ากันว่าฉินฮุ่ยและภรรยาแซ่หวังเคยถูกกองทัพของจินจับตัวเป็นเชลยศึก แต่สุดท้ายก็ถูกปล่อยตัวกลับมายังซ่งโดยให้สัญญาว่าจะเป็นสายลับให้กับทางจิน***) ผู้ซึ่งประจบสอพลอฮ่องเต้ซ่งเกาจงจนได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงกราบทูลต่อองค์ฮ่องเต้ว่าทัพของงักฮุยนั้นเป็นอุปสรรคต่อการเจรจาสงบศึกกับเผ่าจิน ด้านฮ่องเต้ซ่งเกาจงก็เชื่อในคำของฉินฮุ่ย และออกโองการบัญชาให้งักฮุยถอนทัพกลับมายังเมืองหลวง ทางฝั่งงักฮุยแม้จะทักท้วงและออกอาการดื้อดึงเช่นไรก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งพระบัญชาของฮ่องเต้ส่งมาเป็นฉบับที่ 12 งักฮุยจึงถอดใจ พร้อมกับทอดถอนใจรำพึงกับตัวเองด้วยความช้ำใจอย่างสุดแสนว่า ความพากเพียร 10 ปีของตนกลับต้องกลายเป็นเพียงเถ้าธุลีในพริบตา เมื่องักฮุยปฏิบัติตามพระบัญชาถอนทัพกลับมายังเมืองหลวง ฉินฮุ่ยก็ใส่ร้ายว่างักฮุยนั้นมักใหญ่ใฝ่สูง คิดการณ์ใหญ่จะก่อกบฎล้มล้างราชสำนัก งักฮุยได้ฟังดังนั้นก็ไม่โต้ตอบอะไรด้วยคำกล่าวอะไร เพียงแต่คลายชุดท่อนบนของตนออก เผยให้ฉินฮุ่ยเห็นถึงคำว่า "尽忠报国" อักษรสี่ตัวที่มารดาสลักไว้ด้านหลัง ขุนนางกังฉินเมื่อเห็นดังนั้นก็ชะงัก เอ่ยปากอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว อย่างไรก็ตาม ฉินฮุ่ยก็ยังไม่ยอมลดละความพยายามในการป้ายสีงักฮุยต่างๆ นานา แม้จะตรวจไม่พบความผิดใดๆ ก็ตาม แต่ในที่สุดฉินฮุ่ยก็ปั้นเรื่องจนทำให้งักฮุยต้องถูกโทษประหารจนได้ โดยเมื่อมีขุนนางฝ่ายงักฮุยคนอื่นๆ ทักท้วง และตั้งคำถามฉินฮุ่ยว่ามีหลักฐานในการกล่าวโทษงักฮุยหรือไม่ ฉินฮุ่ยก็ตอบว่า "อาจจะมีก็ได้ (莫须有)" คำตอบของฉินฮุ่ยที่ว่า "อาจจะมีก็ได้" นี้ ภายหลังกลายเป็นศัพท์ที่ถูกจารึกไว้ต่อๆ มาว่ามีความหมาย คือการให้ร้ายผู้อื่นโดยปราศจากหลักฐาน ทั้งนี้ในวันที่งักฮุยถูกประหารชีวิต ก็มีพลเมืองดีที่รู้เรื่องราวและเคารพรักในตัวงักฮุยนำศพของเขามาทำพิธีฝังศพ โดยเวลาต่อมาได้มีการเคลื่อนย้ายหลุมฝังศพของงักฮุยมาตั้งไว้ริมทะเลสาบซีหู ณ เมืองหางโจว ส่วนตอนหลัง ชาวบ้านรู้ว่า งักฮุยถูกใสร้าย ชาวบ้านเลยนําเอาแป้งมาปั้นเป็นรูปคนสองติดอยู่ด้วยกัน ก็คือ ฉินไข้วกับเมียของฉินไขว้ แล้วนําเอาไปทอดในนํามันที่ร้อน แล้วก็สาปแช่งไปด้วยในระหว่างที่ทอด |
pumkin |
#15 pumkin [ 23-10-2007 - 16:48:22 ] |
|
เอ๊ยๆๆๆ ไม่ไช่ฉินหุ้ยลืมจำผิดจำถูกเปนฉินไขว้ตังหากที่เชี่ย |
มือกระบี่ไร้นาม |
#16 มือกระบี่ไร้นาม [ 23-10-2007 - 16:48:44 ] |
|
ใช่ครับ พูดแล้วแค้น เสียดายคือทหารที่สู้รบกับงักฮุยแล้วตายไป เท่ากับว่าตายเปล่าเลย |
|