มีด้วยกันทั้งหมด 5 ขั้น ด้วยกัน
ขั้นที่ 1
การฝึกมวยไท่เก๊กต้องให้ร่างตั้งตรง , ให้พลังบนกระหม่อมเบาว่อง , ผ่อนคลายหัวไหล่ถ่วงศอก , เก็บอกเอวตรง , เปิดสะโพกงอเข่า ฝึกจนพลังเคลื่อนต่ำลงและจมลงที่ตังชั้ง(ตันเถียน) แต่ผู้ที่เริ่มฝึกฝนยังไม่สามารถที่จะควบคุมหลักสำคัญเหล่านี้ได้หมด ต้องฝึกจากท่าเดี่ยวๆ เพื่อกำหนดทิศทาง , แง่มุม, ตำแหน่ง , ทิศทางการเคลื่อนของมือและเท้าให้ได้ ดังนั้น ในขั้นนี้ยังอย่าเพิ่งเน้นในเรื่องหลักของร่างกายมากเกินไป ควรเป็นไปแบบง่าย ๆ เช่น ศรีษะและร่างกายส่วนบนต้องมี ฮือเล้งเตงแก่ (พลังบนกระหม่อมเบาว่อง) , เก็บอกเอวตรง ในขั้นที่ 1 นี้เพียงต้องการให้ศรีษะตั้งตรงแบบธรรมชาติ , ร่างการตั้งตรง , ไม่เอนไปข้างหลังหรือก้มไปข้างหน้า , ไม่เอียงซ้ายหรือเอียงขวาก็ใช้ได้แล้ว เวลาฝึกมวยดูที่ร่างกายและแขนขา การเคลื่อนไหวแข็งกระด้าง , แข็งนอกในกลวง , มีการตีเร็ว พุ่งเร็ว,ขึ้นเร็ว , ลงเร็ว, มีพลังขาด , มีการค้ำ เหล่านี้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา เพียงต้องการให้มุ่งมั่นในการฝึกฝนทุก ๆ วัน โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณครึ่งปี ก็จะคุ้นเคยกับท่ามวยทำให้การเคลื่อนไหวพัฒนาคุณภาพดีขึ้น อีกทั้งยังสามารถค่อย ๆ ชักนำลมปราณในร่างกายให้เคลื่อนไหวตามร่างกายและแขนขาได้ ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่ขั้นตอนของท่าร่างภายนอกชักนำลมปราณภายในได้ เมื่อชำนาญมากขึ้นยังสามารถค่อย ๆ เข้าสู่วิถีแห่งแรงรู้ได้ นี่คือฝีมือขั้นที่ 1
ในขั้นนี้ ความสามารถในการใช้ต่อสู้ยังจำกัดอย่างมาก เนื่องจากการเคลื่อนไหวของร่างกายยังไม่สอดคล้องและรับกัน การเคลื่อนไหวยังไม่เป็นระบบ ท่าร่างยังไม่ได้มาตราฐานยังคงมีแรงกระด้างอยู่ , มีพลังขาด , แรงทิ้ง(ห่าง) , แรงค้ำ ท่ามวยยังมีจุดที่ยุบและนูนลมปราณภายในเพิ่งจะมีความรู้สึกได้ ไม่สามารถให้ลมปราณเคลื่อนอย่างปลอดโปร่งจนสามารถส่งพลังออกไปได้ พลังนั้นไม่ได้ขึ้นมาจากเท้าที่หยั่งรากขึ้นมาสู่ขา,ควบคุมโดยเอว แต่เป็นไปโดย เป็นพลังที่ไม่ได้รับมาเป็นทอดแต่เป็นการกระโดดจากข้อต่อหนึ่งสู่อีกข้อต่อหนึ่ง ดังนั้นในขั้นที่ 1 นี้ยังไม่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ ถ้าหากเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ฝึกยุทธ์ย่อมคล่องแคล่วกว่า ถึงแม้ว่าท่วงท่ายังไม่ปราดเปรียว แต่พอรู้หลักการผ่อนแรงและทำให้คู่ต่อสู้เสียหลักอยู่บ้าง จึงทำให้มีบางครั้งสามารถตีคู่ต่อสู้ได้แต่ตัวเองก็ยังยากที่จะสามารถรักษาความสมดุลย์ของร่างกายไว้ได้ ดังนั้นจึงเรียกขั้นนี้ว่า " 1 อิม 9 เอี๊ยง เหมือนท่อนไม้ " อะไรคืออิมเอี๊ยง(อินหยาง) ในหลักของมวยไท่เก็ก ว่างคืออิม , เต็มคือเอี๊ยง , รวมคืออิม , แยกคือเอี๊ยง , หยุ่นคืออิม , แกร่งคือเอี๊ยง อิมและเอี๊ยงคือสิ่งตรงกันข้ามที่เป็นสหภาพกัน ขาดอย่างหนึ่งไม่ได้ สองสิ่งนี้ต้องผสมผสานเข้าด้วยกัน เอาสองอย่างนี้(อิมเอี๊ยง) มาแบ่งเป็น 10 ส่วน ฝึกจนถึงขั้น อิมเอี๊ยงได้ดุลยภาพ กล่าวคือ อิม 5 ส่วน และ เอี๊ยง 5 ส่วน นี่คือฝึกฝนได้จนบรรลุความสำเร็จที่มาตราฐาน ขั้นที่ 1 นี้ " 1 อิม 9 เอี๊ยง " แกร่งมากหยุ่นน้อย อิมเอี๊ยงขาดดุลยภาพ ไม่สามารถใช้(ต่อสู้)ได้ดังใจนึก ดังนั้นผู้ฝึกที่อยู่ช่วงขั้นที่ 1 นี้อย่าเพิ่งไปสนใจกับการใช้ต่อสู้
ขั้นที่ 2
ตั้งแต่ปลายขั้นที่ 1 จนถึงช่วงต้นของขั้นที่ 3 ผู้ฝึกเริ่มจะมีความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของลมปราณภายใน นี่คือขั้นที่ 2 ในขั้นนี้สิ่งที่พัฒนาขึ้นมาคือ ในขณะฝึกฝนสามารถที่จะขจัดความกระด้างของร่าง , การทิ้ง , การค้ำ , ความไม่กลมกลืนของท่าได้ทำให้ลมปราณภายในสามารถโคจรได้อย่างเป็นแบบแผน ภายในและภายนอกสัมพันธ์กัน หลังจากสำเร็จขั้นที่ 1 มาแล้ว แม้ว่าจะคุ้นเคยกับหลักพื้นฐาน ของการฝึกฝนท่วงท่า มีความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของลมปราณ แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนของลมปราณในร่างกายได้ ซึ่งมีอยู่ 2 สาเหตุ
สาเหตุแรก คือ ยังไม่สามารถควบคุมองค์ประกอบของร่างกายในส่วนต่าง ๆ ให้เป็นมาตรฐานได้ เช่น เก็บอกเกินไปจนทำให้เอวงอหลังโกง เอวตรงเกินไปจนทำให้ก้นยื่นและอกเบ่งออก ด้วยเหตุนี้จำต้องพัฒนาอีกขั้นอย่างเข้มงวดให้สามารถควบคุมส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้เป็นแบบแผนที่แน่นอน แก้ไขส่วนที่ขัดแย้งกันเองให้เป็นหนึ่งเดียว จนถึงขั้นสัมพันธ์กันทั้งร่างกาย (สัมพันธ์มีสัมพันธ์ภายในและสัมพันธ์ภายนอกสัมพันธ์ภายในมี-จิตกับความตั้งใจสัมพันธ์,ลมปราณกับพลังสัมพันธ์ , เอ็นกับกระดูกสัมพันธ์ สัมพันธ์ภายนอกมี-มือกับเท้าสัมพันธ์ , ศอกกับเข่าสัมพันธ์ , ไหล่กับสะโพกสัมพันธ์ ) ทั้งภายในและภายนอก แยกพร้อมกัน ในแยกมีรวมอยู่ด้วยกัน , ในรวมมีแยก หนึ่งรวมหนึ่งแยก แยกและรวมรับกัน
สาเหตุที่ 2 คือ ในเวลาฝึกฝนมักจะเกิดการเอาใจใส่ในส่วนหนึ่งแต่ขาดการเอาใจใส่ในส่วนอื่น กล่าวคือในการเคลื่อนไหวหนึ่ง มีส่วนหนึ่งของร่างกายเคลื่อนไหวเร็วกว่า ผ่านไปแล้วเกิดแรงค้ำ อีกส่วนของร่างกายช้ากว่ายังไม่ถึงเกิดการทิ้งขาดช่วง ทั้ง 2 สาเหตุนี้ เป็นการละเมิดกฎเกณฑ์การเคลื่อนไหว ของมวยไท่เก๊ก จุดสำคัญของมวยไท่เก๊กคือในการเคลื่อนไหวหนึ่ง ๆ จะไม่ทิ้ง ตี่ซีแก่(ฉันซือจิ้ง) ในทฤษฎีมวยกล่าวไว้ว่า " ฉันซือจิ้งมีต้นกำเนิดจากไต มีอยู่ในทุกส่วน(ของร่างกาย) ไม่มีเวลาไหนที่ไม่มี(ฉันซื้อจิ้ง) " ในแนวทางการฝึกมวยไท่เก็กอย่างเข้มงวดเพื่อบรรลุถึงฉันซื้อจิ้ง จุดสำคัญอยู่ที่ผ่อนคลายหัวไหล่ถ่วงศอก , เก็บอกเอวตั้งตรง, เปิดสะโพกงอเข่า เป็นต้น ใช้เอวเป็นแกนกลางข้อต่อแต่ละข้อรับกันเป็นช่วง ๆ มือหมุนเข้าข้างในใช้มือนำศอก, ใช้ศอกนำไหล่ , ใช้ไหล่นำเอว (แต่แท้จริงแล้วเอวยังคงเป็นหมุนหลักอยู่ดี) เวลามือหมุนออกข้างนอกใช้เอวผลักดันไหล่ , ใช้ไหล่ผลักดันศอก , ใช้ศอกผลักดันมือ ก่อให้เกิดการหมุนบิดของแขน และการหมุนบิดของขาเกิดการหมุนบิดของเอวและหลัง 3 ส่วน สัมพันธ์กันก่อให้เกิดการหยั่งรากที่เท้า ควบคุมด้วยเอวและรูปลักษณ์ที่นิ้วมือ ซึ่งมีการบิดเกลียวส่งมาเป็นทอด ๆ ในขณะที่ฝึกมวย ถ้าหากรู้สึกว่ามีส่วนใดของร่างกายไม่ถูกต้อง หรือไม่มีพลัง ก็ให้ปรับเรื่องของฉันซือจิ้งในส่วนของเอวและขาก็จะแก้ไขได้ ดังนั้น การระมัดระวังและสนใจหลักสำคัญของร่างกาย ช่วยให้ตลอดร่างสัมพันธ์กัน การควบคุมหลักของฉันซือจิ้ง คือ หลักการในการฝึกในขั้น 2 เพื่อขจัดสิ่งขัดแย้งกันเองในร่างกายออกไปในตอนกลางของขั้นที่ 1xผู้ฝึกเริ่มการฝึกท่ามวยหลังจากคุ้นเคย และชำนาญในท่ามวย จะสามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของลมปราณภายในร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เพลิดเพลินอย่างยิ่ง ไม่มีความรู้สึกเบื่อหน่าย แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ฝีมือขั้นที่ 2 ถึงตอนนั้นจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่ ในขณะเดียวกันก็มักจะเกิดการเข้าใจผิดในสาระสำคัญ เข้ายึดถือในสิ่งที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ฝึกจนเกิดการผิดเพี้ยนอย่างมาก หรือมีบางคราวฝึกแล้วรู้สึกว่าราบรื่นอย่ายิ่ง รู้สึกถึงพลังแต่พอถึงเวลาผลักมือกลับใช้ไม่ออก เป็นสาเหตุให้เกิดความหงุดหงิด กลุ้มใจขาดความมั่นใจ และพาลเลิกเสียกลางคัน จึงต้องอาศัยจิตใจที่สู้ไม่ถอยเท่านั้น โดยทั่วไปต้องใช้เวลา 4 ปี จึงจะสำเร็จฝีมือในขั้นที่ 2 บรรลุถึงระดับพลังเดินทะลุทลวงทั่วร่าง ถึงเวลานั้นความมันใจเต็มร้อยยิ่งฝึกยิ่งเพลิดเพลินถึงขั้นเลิกไม่ได้แล้ว
ในการใช้ต่อสู้ ฝีมือช่วงต้นขั้นที่ 2 กับขั้นที่ 1 มีผลเช่นเดียวกัน ใชัจริงไม่ค่อยได้ผล ในตอนปลายขั้นที่ 2 ซึ่งใกล้จะเข้าขั้นที่ 3 แล้ว การใช้ต่อสู้เริ่มมีผลแล้ว ส่วนช่วงกลางของขั้นที่ 2 การใช้ต่อสู้เป็นดังต่อไปนี้ การฝึกมวยและการผลักมือเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก เวลาฝึกมวยมีปัญหาเช่นไร เวลาผลักมือย่อมพบปัญหาเช่นนั้น สิ่งสำคัญของมวยไท่เก๊ก คือ ตลอดทั่วร่างทำงานสัมพันธ์กัน ต้องไม่เคลื่อนไหวส่งเดชสะเปะสะปะ สิ่งสำคัญเวลาผลักมือคือ " เพ้งลี่จี่อั่ง (เผิงลวี่จี่อั้น) ต้องจำให้แม่น , บนล่างสัมพันธ์กันผู้อื่นอยากจะบุก , ถ้าเขาใช้พลังมาตีฉัน , นำเขาให้เคลื่อนใช้สี่ตำลึงปัดพันชั่ง " การฝึกพลังฝีมือขั้นสองนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังแล่นทั่วร่าง , ปรับท่าร่างให้ถูกต้อง, บรรลุถึงขั้นการส่งพลังรับกันเป็นทอด ๆ หมายถึงการแก้ไขท่าร่างที่สะเปะสะปะรำแบบส่งเดช เนื่องจากเวลาผลักมือ ยังไม่สามารถควบคุมฝ่ายตรงข้ามได้ดังใจ คู่ต่อสู้ยังสามารถมองหาจุดอ่อนได้ หรือพยายามล่อหลอกให้คุณเกิดจุดบกพร่อง คือ เต้ง (ติ่ง-ค้ำ) , ปิ้ง (เปี่ยน-แบน) , ติว (ติว-ทิ้งห่าง) , ขั่ง (คั่ง-ต้าน) จนสามารถเอาชนะคุณได้ เพราะว่า เมื่อเวลาที่ผลักมือคู่ต่อสู้บุกเข้ามาใช้จุดอ่อนของคุณ ให้เป็นประโยชน์ทำให้คุณเสียสมดุลย์ หรือบังคับให้ต้องก้าวถอยแล้วใช้กำลังของคุณเพื่อแก้ไขการบุกเข้ามานั้น สรุปคือ พลังฝีมือในขั้นที่ 2 ไม่ว่าจะบุกเข้ากระทำหรือจะแก้ไขการจู่โจม เป็นการกระทำแบบฝืน ๆ และมักจะเป็นไปในลักษณะลงมือก่อนย่อมเป็นต่อ (ซึ่งผิดหลักของมวยไท่เก๊ก) ในช่วงนี้ยังไม่สามารถถึงจุด ที่เรียกว่าทิ้งตนเองเข้าร่วมกับผู้อื่น , อาศัยจังหวะในการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะสามารถแก้ไขการบุกได้ แต่ยังคงปรากฎจุดบกพร่องในเรื่องของค้ำ,แบน,ทิ้งห่าง และต้าน ด้วยเหตุนี้ ในยามผลักมือไม่สามารถใช้เพ้ง,ลี่,จี่,อั่ง ให้เหมาะสมกับโอกาสได้ จึงเรียขั้นนี้ว่า "2 อิม 8 เอี๊ยงมือสับสน "
ขั้นที่ 3
"คิดจะฝึกมวยให้ดีได้ ต้องฝึกให้วงเล็กลง" การฝึกมวยไท่เก๊กตามขั้นคือ จากวงใหญ่สู่วงกลาง , จากวงกลางสู่วงเล็ก , จากวงเล็กสู่ไม่มีวง ที่เรียกว่า "วง" ไม่ได้หมายถึง วงของการเคลื่อนมือและเท้า แต่หมายถึงการโคจรของลมปราณภายใน พลังฝีมือขั้นที่ 3 เป็นขั้นของ "จากวงใหญ่สู่วงกลาง" คัมภีร์ไท่เก๊ก กล่าวไว้ว่า "จิตและลมปราณ คือ นาย เนื้อและกระดูกคือบ่าว" ดังนั้น การฝึกมวยไท่เก๊กจึงต้องเน้นในการ ใช้จิต เมื่อตอนอยู่ในขั้นที่ 1ความคิดและพลังความตั้งใจ (จิต) อยู่ที่การฝึกฝน และควบคุมท่าทางภายนอก ของมวย เมื่อมาขึ้นที่ 2 เป็นการใช้จิต เพื่อตรวจสอบและแก้ไขในการเคลื่อนไหวของแขนขา และร่างกายทั้งภายนอกและภายในที่ไม่ถูกต้องขัดแย้งกันเอง เพื่อให้บรรลุถึงลมปราณที่ทะลุทะลวงทั่วร่าง เมื่อเข้าสู่ฝีมือขั้นที่ 3 เนื่องจากลมปราณไหลเวียนไม่ติดขัดแล้ว จึงเน้นเรื่องการใช้จิตไม่ใช้กำลัง ,การเคลื่อนไหวเบาแต่ไม่ลอย ,จมแต่ไม่แข็งกระด้าง, ให้หยุ่นนอกแกร่งใน , ในหยุ่นแฝงความแกร่ง ,ตลอดร่างสัมพันธ์กัน , ไม่มีการเคลื่อนไหวที่สะเปะสะปะ แต่ต้องไม่คอยพะวง ว่าลมปราณจะเคลื่อนในร่างกายอย่างไร จนละเลยในท่วงท่า มิฉะนั้นแล้วจะก่อให้เกิดการเบลอของจิต ส่งผลไม่เพียงแต่ ลมปราณจะเคลื่อนไม่คล่องแล้วยังส่งผลเสียให้ท่าร่างและลมปราณกระจายไม่รวมตัว ดังคำกล่าวว่า "อยู่ที่สติไม่ใช่อยู่ที่ลมปราณอยู่ที่ลมปราณย่อมฝืด" ในช่วงระดับฝีมือขั้น 1 และ ขั้น 2 ถึงแม้ว่าท่ามวยจะชำนาญแล้ว แต่ว่าภายนอกและภายใน ยังไม่รวมเป็นหนึ่งเดียว มีบางครั้งควรหายใจเข้า แต่เนื่องจากท่วงท่ายังแข็งกระด้างทำให้หายใจเข้าไม่เต็ม , ที่ควรหายใจออก เนื่องจากภายนอกและภายในไม่สัมพันธ์ ทำให้หายใจออกไม่หมด ดังนั้นยามฝึกมวยต้องหายใจ ให้เป็นธรรมชาติเมื่อเข้าสู่ ระดับฝีมือขึ้นที่ 3 ท่วงท่าค่อนข้างกลมกลืน ภายนอกและภายในโดยพื้นฐานสัมพันธ์กัน โดยทั่วไปลมหายใจ และท่วงท่าผสาน กันได้ดีและเป็นธรรมชาติแต่กับท่าร่างที่รวดเร็ว,ซับซ้อนและละเอียดยังต้องอาศัยการเอาใจใส่ลมหายใจมากขึ้นเพื่อให้ผสาน กับท่าร่าง เพื่อให้ก้าวขึ้นอีกระดับหนึ่งของการผสานลมหายใจกับท่าร่างให้เป็นหนึ่งเดียวจนบรรลุถึงความเป็นธรรมชาติ
ฝีมือขั้นที่ 3 นี้ สามารถควบคุมกฎเกณฑ์สำคัญของมวยไท่เก๊กได้ทั้งภายนอกและภายใน มีความสามารถในการแก้ไขจุดบกพร่อง ให้ดีขึ้นด้วยตนเอง ท่วงท่าเป็นไปแบบสบาย ๆ ลมปราณภายในอยู่ในเกณฑ์สมบูรณ์ มาถึงตอนนี้เพื่อก้าวหน้าต่อไป ต้องทำความเข้าใจความหมายในการต่อสู้ของท่ามวยและหลักการใช้, ต้องฝึกผลักมือให้มาก, ตรวจสอบท่ามวย, พลังภายในและ การออกพลัง , รวมทั้งประสิทธิภาพในการสลายพลัง ถ้าหากว่าท่ามวยสามารถรับแรงต้านในเวลาผลักมือได้ นั่นย่อมหมายถึง สามารถควบคุมหลักสำคัญของท่ามวยได้แล้ว ก้าวอีกขึ้นหนึ่งคือจะต้องเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองให้เต็มร้อย ตอนนี้ควรฝึกอย่างอื่นเสริมอีก เช่น ดาบ,กระบี่,ทวน,พลอง เป็นต้น รวมทั้งฝึกการออกพลังของท่าเดี่ยวใช้เวลาฝึกในลักษณะนี้ 2 ปี โดยทั่วไปก็จะเข้าสู่ระดับฝีมือในขั้นที่ 4 ถึงแม้ฝืมือในขึ้นที่ 3 ลมปราณจะโคจรปลอดโปร่ง ท่วงท่าค่อนข้างกลมกลืน ไม่รับแรงกระทำจากภายนอก ในสถานะที่ฝึกฝนตัวคนเดียวสามารถทำให้ภายนอกและภายในสัมพันธ์เป็นหนึ่งได้ แต่ว่าในด้านลมปราณยังคงอ่อนอยู่ การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในที่สัมพันธ์กันยังไม่ดีนัก ดังนั้นในการผลักมือและการใช้ต่อสู้ ถ้าพบกับคู่ต่อสู้ที่ช้ากว่าพลังน้อยกว่า บุกเข้ามาตนเองสามารถใช้หลักสละตนเอง เข้าร่วมกับผู้อื่นได้ , อาศัยจังหวะที่เหมาะสมมาเปลี่ยนแปลง , ใช้ท่วงท่าให้เป็นต่อ ,ใช้สี่ตำลึงปัดพันชั่งได้ , หลบจุดแข็งเข้า ทำจุดอ่อนได้แบบสบาย แต่พอพบคู่ต่อสู้ที่แกร่งกว่าจะพบว่าเผ่งแก่ (เผิงจิ้ง) ไม่สมบูรณ์ ถูกกดดันจากฝ่ายตรงข้าม ไม่สามารถ เคลื่อนไหวได้ดังใจนึก อีกทั้งยังไม่สามารถทำตามหลัก "ออกมือ(คู่ต่อสู้)ไม่เห็นมือ,(คู่ต่อสู้)เห็นมือ(ก็)ไม่สามารหลบได้แล้ว " การนำแรงและการทำให้คู่ต่อสู้ล้มหรือกระเด็นมักจะเกิดอาการกระด้างและฝืน ดังนั้นจึงเรียกขั้นนี้ว่า " 3 อิม 7 เอี๊ยง รู้สึกยังกระด้างอยู่"
ขั้นที่ 4
ฝีมือขั้นที่ 4 เป็นระดับที่พัฒนาจากวงกลางไปสู่วงเล็ก ฝีมือเข้าสู่ระดับสูงใกล้จะสำเร็จแล้ว ฝึกได้ครบทั้ง วิธีการฝึกฝนทั้งระบบ , จุดสำคัญของท่วงท่า , แนวทางการต่อสู้ , ลมปราณทีโคจร , สิ่งที่ต้องระมัดระวัง , ลมหายใจ กับท่าร่างผสานกัน เป็นต้น แต่การฝึกฝนยังต้องสนใจในเรื่องการร่ายรำต้องมีจิตในเรื่องของการต่อสู้ กล่าวคือ
ต้องสมมติว่า มีคู่ต่อสู้รายล้อมอยู่ กระบวนท่าต่อกระบวนท่าต่อเนื่องกันไป ทั้งรับทั้งบุกให้ลมปราณรั้งเข้าปล่อยออก ในยามฝึก "ไม่มีคนเหมือนมีคน " ดังหนึ่งพบคู่ต่อสู้จริง ,ยังต้องปลูกฝังถึงเรื่อง "ขวัญยิ่งกล้า ใจต้องยิ่งสุขุม" , และยังต้องฝึกถึง "มีคนเหมือนไม่มี" สาระทั่วไปในการฝึกยังคงเหมือนกับ ขั้นที่ 3 ขอเพียงไม่เกียจคร้านโดยปกติใช้เวลา
3 ปี ก็จะเข้าสู่ฝีมือขั้นที่ 5 ส่วนทางด้านการต่อสู้ ฝีมือในขั้น 4 แตกต่างกับ ฝีมือขั้นที่ 3 ห่างไกลกันมาก ฝีมือขั้นที่ 3 เป็นการสลายพลังและการบุกของคู่ต่อสู้ แก้ไขจุดขัดแย้งในตัวเอง ี่ 4 สามารถสลายพลัง และท่าร่างแล้วยังตีกลับคืนได้ เหตุผล คือ พลังภายในสมบูรณ์แล้ว จิตและพลังเปลี่ยนแปลงได้ว่องไว , ตลอดทั้งร่างสัมพันธ์กันเป็นระบบ
อยู่ในเกณฑ์ดี จึงเป็นการง่ายดาย ที่จะสลายพลังที่บุกมา ปรากฎให้เห็นถึงการคล้อยตามการเคลื่อนไหวของผู้อื่น แต่ยังมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางไม่ทิ้งห่างไม่ค้ำ ภายในสมบูรณ์ทุก ๆ การเคลื่อนไหวจิตควบคุมต่อสู้ การเคลื่อนไหวเล็ก การปล่อยพลังเข้มแข็งแม่นยำ จึงเรียกขั้นนี้ว่า " 4 อิม 6 เอี๊ยงมือดี "
ขั้นที่ 5
ฝีมือขั้นที่ 5 จากวงเล็กไปสู่ไม่มีวง , มีรูปลักษณ์คืนสู่ไร้ลักษณ์ ช่วงปลายขั้นที่ 5 ท่าทางลื่นไหลอย่างมาก พลังภายในเต็มร้อย แต่ยังต้องฝึกฝนให้ช่ำชองและเข้าถึงแก่นยิ่งขึ้น การเสียเวลาฝึกฝน 1 วัน ย่อมปรากฎผลสำเร็จของ 1 วัน ร่างการจะเบาว่อง การเปลี่ยนแปลงไม่มีที่สิ้นสุด ภายในร่างเต็มและว่างมีการเปลี่ยนไปมาตลอด มองจากภายนอกไม่เห็น นี่คือการฝีมือ ขั้นที่ 5 ในการใช้ต่อสู้บรรลุถึงอ่อนหยุ่นและแกร่งกร้าวเสมอกัน , มีสปริง , ตลอดทั้งร่างกายทุกส่วนคือไท่เก๊ก หนึ่งเคลื่อนหนึ่งสงบรวมอยู่ด้วยกัน ทุก ๆ ส่วนของร่างกาย มีสัมผัสที่ว่องไว ไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่ไม่เหมือนมือ (คู่ต่อสู้)แตะถูกส่วนไหนก็ใช้ส่วนนั้นตี การสะสมพลังและปล่อยพลังเปลี่ยนแปลงไปมา ค้ำยันแปดทิศ จึงกล่าวว่า
"หากมี 5 อิม เท่ากับ 5 เอี๊ยง อิมเอี๊ยงสมบูรณ์เรียกว่า มือวิเศษ มือวิเศษหนึ่งการเคลื่อนไหวคือ หนึ่งไท่เก๊ก
ใครอยากฝึกมวนไทเก็ก มาทางนี้ครับ
|
จอมยุทธ์มังกรน้อย |
#1 จอมยุทธ์มังกรน้อย [ 31-07-2007 - 14:46:53 ] |
|
มารน้อยคอยรัก |
#2 มารน้อยคอยรัก [ 02-08-2007 - 17:13:08 ] |
|
เจ๋ง |
ประจิมคลุ้มคลั่ง |
#5 ประจิมคลุ้มคลั่ง [ 05-08-2007 - 19:52:22 ] |
|
ดีมากเลยครับ คุณมังกรน้อย ผมหาฝึกอยู่เลย แต่หาไม่เจอ |
vมังกรหลับv |
#6 vมังกรหลับv [ 05-08-2007 - 20:01:20 ] |
|
ระวังธาตุไฟเข้าแทรก |
บุรุษนามผีเสื้อ | |
|
ไม่แตกหลอกชะงั้นวะ |
บุรุษนามผีเสื้อ | |
|
ไงมังกรหลับสบายดิ |
เทพกระบี่ | |
|
ข้าน้อยกำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่ จอมยุทธ์มังกรน้อย โปรดชี้เเนะ |
พิษประจิม | |
|
ใครฝึกถึงขั้นที่5แล้วโปรดมาชี้แนะด้วย ข้าน้อยพึ่งฝึกขั้นที่1เส็ดใช้เวลาไป10ปี |
vมังกรหลับv |
#11 vมังกรหลับv [ 06-08-2007 - 22:45:40 ] |
|
เว่อไปละ ฝึกขึ้นหนึ่งเสร็จใช้เวลา 10 ปี |
vมังกรหลับv |
#12 vมังกรหลับv [ 06-08-2007 - 22:46:06 ] |
|
มันฝึกยากขนาดนั้น คงไม่มีใครเขาเรียนละ |
พิษประจิม | |
|
เคล็ดวิชามันซับซ้อนข้าศึกษาอยู่นานเวลา10ปี |
พิษประจิม | |
|
ได้ครับข้าน้อยสำเร็จขั้นที่1ไปละใช้เวลา10ปี แต่ก็ทำให้หมาแถวบ้านไม่กล้ายุ่งเลย 555+ |
เทพกระบี่ | |
|
ท่านพิษประจิมนี่ช่างสุดยอดจิงๆ.... ข้าน้อยนับถือ |
จอมยุทธ์มังกรน้อย |
#18 จอมยุทธ์มังกรน้อย [ 08-08-2007 - 18:48:04 ] |
|
ข้าน้อยก็ยังไร้ความสามารถ ตอนนี้ฝึกได้อย่างมากก็ขั้นที่ สองเองอะครับ เพราะวิชาไทเก็กเป็นวิชาที่ต้องใช้สมาธิอย่างสูง ก็เหมือนคําหนึ่งในเคร็ดวิชา ไทเก็ก ก็คือ จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว ถ้าจิตไม่สงบนิ่งลึกพอก็ฝึกได้ไม่ถึงขั้นห้าหรอกครับ ให้ตัวผมมันก็ยังมีกิเสสอยู่เลยยังฝึกไม่ถึงขั้นสูงสุดไงครับ ดังนั้นผมจึงไม่กล้าไปชี้แนะใครหรอกครับ |
บุรุษนามผีเสื้อ | |
|
วันี้ข้าขอท้าประลองยุทธพิษประจิม มังกรน้อย |
|