เข้าระบบอัตโนมัติ

ยิ้มเย้ยยุทธจักร จากสามก๊กฉบับคนกันเอง มติชนสุดสัปดาห์


  • 1
sss
#1   sss    [ 10-07-2007 - 13:25:59 ]    IP: 125.24.192.181

ยิ้มเย้ยยุทธจักร

หากจะนึกถึงใครสักคนในเรื่องสามก๊กที่สมควรเรียกว่าเป็นผู้เย้ยยุทธจักร เขาคนนี้ลอยเด่นขึ้นมาทันที "ร้อยเหยี่ยว พันเหยี่ยว หรือจะเทียบเท่าอินทรี คนอย่างยีเอ๋งนี้ยากจะมี" ตามสำนวนของยาขอบ

ยีเอ๋งเป็นบัณฑิตดาวรุ่ง ด้วยวัยเพียง 24 ปี ขงหยงถึงกับเขียนสาส์นถวายพระเจ้า...นเต้ว่า ยีเอ๋งฉลาดกว่าตัวเขาถึง 10 เท่า สมควรจะให้เป็นทูตไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวแห่งเกงจิ๋ว เพราะเล่าเปียวนิยมบัณฑิต

ปรากฏว่า โจโฉไม่ชอบยีเอ๋ง นับแต่เผชิญหน้ากันครั้งแรก เมื่อยีเอ๋งคำนับ โจโฉทำเป็นเฉย

เห็นดังนั้น ยีเอ๋งจึงพูดขึ้นว่า "แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล จะหาคนรู้แจ้งช่างจนใจนัก"

โจโฉว่า "รอบกายข้าฯ ล้วนมีแต่ผู้รู้แจ้งในศาสตร์ต่างๆ ทั้งบุ๋นและบู๊"

ยีเอ๋งแย้ง "แต่ในสายตาของข้าฯ คนเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ผู้รู้" แล้วเย้ยไยไพไปเรื่อยอย่างไม่เกรงใจใคร

"มีความรู้ แต่ทำงานไม่ถนัด เอาแต่นบนอบป้อยอนาย จะต่างอะไรจากไม้แขวนเสื้อ ซุนฮกนั้นหรือ เอาไว้คอยเยี่ยมไข้เถอะ ซุนฮิวก็เหมาะจะเอาไว้เฝ้าสุสาน เทียหยกเอาไว้เปิดประตูหน้าต่าง ส่วนกุยแกก็เอาไว้สวดโอ้เอ้วิหารราย ข้างฝ่ายบู๊นั้นเล่า แฮหัวตุ้นทำการประมาท โจจิ๋นเอาแต่ดีดลูกคิด เตียวเลี้ยวเหมาะสำหรับตีฆ้องร้องป่าว เคาทูควรไปเลี้ยงม้า ส่วนอิกิ๋มให้ไปแบกอิฐ สร้างกำแพง นอกนั้นที่เหลือก็ไม่เห็นใคร"

โจโฉโมโหมาก "อย่างกับว่าตัวเองเก่งกว่าเขา แล้วเจ้ารู้อะไรบ้างล่ะ"

ยีเอ๋งยิ่งเย้ยใหญ่ "แค่รู้แจ้งถึงฟ้าเบื้องบน จรดดินเบื้องล่าง มีคุณธรรมประหนึ่งขงจื๊อ"

เหล่าขุนนาง-นายทหาร ณ ที่นั้น ต่างหน้าแดงด้วยความโกรธ บางคนถึงกับกุมกระบี่

โจโฉรั้งไว้ ตั้งมั่นอยู่ในอาการสำรวม บอกยีเอ๋งว่า "ท่าทางเก่งกาจสามารถนัก พอดีวงมโหรีมีตำแหน่งคนตีกลองว่างอยู่ ขอเชิญให้ท่านไปทำ"

แล้วยีเอ๋งก็ได้สำแดงเดชเย้ยยุทธจักรด้วยการยียวน ในงานเลี้ยงที่เขาจะต้องตีกลองนั่นเอง

ขณะที่เหล่าขุนนาง-นายทหารพากันเพลิดเพลินอยู่ในบรรยากาศสังสรรค์ ยีเอ๋งแกล้งตีกลองให้จังหวะขัดข้อง เมื่อนายทหารคนหนึ่งหันไปเห็น จึงร้องโวยวายขึ้นว่า ทำไมคนตีกลองถึงได้แต่งกายสกปรกอย่างนั้น

โจโฉเห็น รีบสั่งให้ไปเปลี่ยนเป็นชุดสะอาด

ปรากฏว่า ยีเอ๋งถอดเสื้อผ้าออกโดยพลัน แล้วเปลือยกายตีกลองต่อไปอย่างทองไม่รู้ร้อน

โจโฉโกรธจนสุดระงับ "ช่างไม่เห็นแก่หน้าข้าฯ ทำไมถึงได้อุจาดอย่างนี้"

ยีเอ๋งตอบโต้ "พ่อแม่ให้ชุดนี้มาแต่เกิด สะอาดที่สุดแล้ว เป็นท่านต่างหากที่มีความคิดอุจาด"

โจโฉอ่อนใจกับยีเอ๋งนัก จึงว่า "ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงรับตำแหน่งทูตไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเถิด"

แต่ยีเอ๋งไม่ยอมไป ด้วยไม่อยากเสียเหงื่อแก่ความทรยศ โจโฉจึงให้ทหารควบคุมตัวไป

พอไปถึงเกงจิ๋ว ยีเอ๋งก็เย้ยโจโฉ ด้วยการพูดจายียวนกับเล่าเปียว

เล่าเปียวจึงส่งไปหาหองจอ ยีเอ๋งก็ยียวนกับหองจออีก

แล้วในที่สุดเขาก็ยียวนยุทธจักรได้สำเร็จ ด้วยคมดาบของหองจอนั่นเอง

ราชสีห์ย่อมไม่ยอมกินหญ้า ยีเอ๋งจึงไม่ยอมรับอำนาจของโจโฉ 60 ปีต่อมา จีคังไม่ยอมรับอำนาจของสุมาเจียวเช่นกัน จึงบรรเลงเพลง "กว่างหลิงซ่าน" เย้ยยุทธจักร ก่อนถูกประหาร

หยวนจี้-สหายรู้ใจของจีคัง ตรอมใจตายตาม ไปดื่มเหล้าเป็นเพื่อนกันในปรภพ

ความสัมพันธ์ของสหายรู้ใจ หลิวเจิ้งฟง กับชิหยาง ในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร เป็นการเย้ยไยไพต่ออำนาจในยุทธจักรเช่นกัน เพราะทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายมาร ล้วนเกิดการแก่งแย่งกันเอง

หลิวเจิ้งฟงเป็นฝ่ายธรรมะ ชิหยางเป็นฝ่ายมาร เพราะความรักในดนตรีอย่างลึกซึ้ง สองสหายจึงช่วยกันค้นหาบันทึกบทเพลง "กว่างหลิงซ่าน" ซึ่งสาบสูญไปพร้อมกับตำนานชีวิตของจีคัง

ต้องขุดหาถึง 29 สุสาน และเมื่อพบแล้ว สองสหายก็ช่วยกันตีความ และดัดแปลงเพลงกว่างหลิงซ่าน เป็นเพลง "ยิ้มเย้ยยุทธจักร"



การเย้ยยุทธจักรด้วยการ "ยิ้ม" แฝงอิสรภาพของผู้หลุดพ้น เป็นอิสระจากความรู้สึกที่ว่า ชีวิตไม่มีอะไรได้อย่างใจโดยง่าย แม้เป็นเจตนาดี เพราะฉะนั้น เมื่อทำดีที่สุดแล้ว อาจจะไม่มีอะไรดีขึ้นทันที หากเงื่อนไขที่เกี่ยวพันกันยังไม่เปลี่ยน ระหว่างนั้นเพียงรักษาตน และรักษามรรค เพราะสิ่งที่ไม่ถูกต้องย่อมนำความเสื่อมมาสู่ตัวเองเสมอ แล้วพึงปล่อยวาง ซาบซึ้งในสิ่งที่ควรซึ้ง

เหมือนสองสหายยอมรับว่า ยุทธจักรแล้งน้ำใจเพียงไร ทว่า ทั้งสองยังสามารถยิ้มได้อย่างปลอดโปร่ง ด้วยว่าชีวิตได้บรรลุแล้วถึงความปรารถนา รังสรรค์บทเพลงอันงดงาม ประสานพิณ ขลุ่ย ร่วมกัน

แรงบันดาลใจจาก 2 ผู้อาวุโส ส่งต่อไปยังเล่งฮู้ชง และเยิ่นอิ๋งอิ๋ง

เล่งฮู้ชงเป็นศิษย์เอกสำนักหัวซาน ออกท่องยุทธจักร และพบพานความขัดแย้งของชาวยุทธ์มากมาย

ครั้งหนึ่ง เล่งฮู้ชงเมาหยำเปอยู่ในเข่งให้ลาบรรทุกมา บังเอิญเห็นผู้อาวุโส นั่งดีดพิณ ดื่มเหล้า อยู่บนต้นไม้ มีคนกลุ่มหนึ่งซุ่มซ่อนจะทำร้าย

เล่งฮู้ชงยื่นหน้าเข้าช่วยเหลือ แสร้งทำทีเป็นเหลวไหล อยากดื่มสุรา

"เหล้าหอมจังเลย"

ผู้อาวุโสจึงถาม "รู้เรื่องสุราเรอะ"

เล่งฮู้ชงบอก "ไม่รู้หรอก แต่ชอบดื่ม"

ผู้อาวุโสหัวเราะ แล้วดีดพิณไปพลาง

เล่งฮู้ชงบอก "เสียงพิณไพเราะ จับใจยิ่งนัก"

ผู้อาวุโสถามอีก "รู้เรื่องพิณด้วยเรอะ"

เล่งฮู้ชงบอก "ไม่รู้อีกนั่นแหละ แต่ชอบฟัง"

ผู้อาวุโสสรุป "แหม คำตอบของเจ้า มีแต่คำว่าชอบ กับชอบ ท่าว่าจะเป็นคนมีอารมณ์สุนทรีย์เหมือนกัน เอ้า ข้าฯ ให้ดื่ม แล้วรีบไปซะ ที่นี่ไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้า"

แต่เล่งฮู้ชงไม่ยอมไป จะอยู่เป็นไม้กันหมาให้ผู้อาวุโส

ผู้อาวุโสจึงเฉลยว่า เขาคือชิหยาง-ผู้คุ้มกฎแห่งพรรคสุริยันจันทรา แล้วยื่นน้ำเต้าให้เล่งฮู้ชง

"ทีนี้จะกล้าดื่มเหล้าของข้าฯ อีกหรือเปล่า ถ้าดื่ม เจ้าก็คือคนที่ไม่รู้จักแยกแยะ ไม่รู้ดีชั่ว ไม่รู้ฐานะ"

เล่งฮู้ชงบอก "แค่เหล้าอึกเดียว จะเป็นอะไรกันนักหนาเชียว" แล้วรับมาดื่มจนหมด

จากนั้นชีวิตของเขาก็ไม่แยกแยะดีชั่วจริงๆ เขาคบหาสหายทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายมาร และทำทุกอย่างตามสามัญสำนึก มากกว่าทำตามกรอบเกณฑ์ของยุทธจักร

เพราะซาบซึ้งอย่างจริงใจ เล่งฮู้ชงจึงรับปากตามคำสั่งเสียของผู้อาวุโสทั้งสอง หาผู้สืบทอดบทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร

ส่วนเยิ่นอิ๋งอิ๋งเป็นบุตรสาวของเยิ่นหว่อสิง-อดีตประมุขพรรคสุริยันจันทรา นางเบื่อหน่ายกับความขัดแย้งในพรรคมาร จึงหลบลี้จากผาไม้ดำ มาใช้ชีวิตสันโดษอยู่ในป่าไผ่ทางด้านเหนือของเมืองลกเอี๋ยง (ลั่วหยาง) ในความดูแลของผู้เฒ่าไผ่เขียว ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญสุนทรียศาสตร์ของดนตรีพิสุทธิ์

ตอนนั้น เล่งฮู้ชงถูกเข้าใจผิดจากชาวยุทธ์ สภาพของเขายังใกล้ตาย ด้วยมีลมปราณนอกรีต 8 สาย โคจรพลุ่งพล่านอยู่ภายในร่าง ไม่สามารถใช้กำลังภายในได้

มีคนคิดว่า บันทึกบทเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักรที่เขาครอบครองอยู่ คือคัมภีร์เพลงกระบี่พิชิตมาร ต้องเดินทางมาให้ผู้เฒ่าไผ่เขียวพิสูจน์ เล่งฮู้ชงจึงได้พบกับเยิ่นอิ๋งอิ๋งที่หลบอยู่หลังม่านกำบัง เนื่องจากผู้เฒ่าไผ่เขียวเรียกนางเป็นอาหญิง เขาจึงเข้าใจว่านางเป็นท่านยาย

เยิ่นอิ๋งอิ๋งเรียนพิณกับชิหยางมาตั้งแต่เด็ก นางบรรเลงเพลง "ชำระใจใฝ่บริสุทธิ์" สามารถปรับลมปราณของเล่งฮู้ชงให้สงบลง เล่งฮู้ชงจึงเรียนพิณกับท่านยาย และยังเรียนรู้เรื่องสุราจากผู้เฒ่าไผ่เขียวด้วย

จากการสนทนากันถึงความวุ่นวายในยุทธจักร และความขุ่นข้องหม่นหมองของตน นิสัยใจคอของเล่งฮู้ชงเปิดเผยต่อท่านยายหลังม่านกำบัง ซึ่งที่แท้เป็นหญิงสาววัยสะพรั่ง แต่ต้องรับภาระสำคัญในพรรคมาร จึงมีความเป็นผู้ใหญ่ เข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง และเกิดเป็นความเห็นใจต่อเล่งฮู้ชง

กระท่อมน้อยกลางป่าไผ่ ความซาบซึ้งในดนตรี และมิตรภาพเหนือการเมือง กล่อมเกลาให้เรียนรู้สุนทรียภาพของชีวิต ภายหลังเมื่อเล่งฮู้ชงกับเยิ่นอิ๋งอิ๋งต้องเย้ยยุทธจักรร่วมกัน พวกเขาจึงมีความมุ่งมั่นว่า

สักวันจะต้องประสานพิณ-ขลุ่ย บรรเลงเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักรให้ได้อย่างผู้อาวุโสหลิวเจิ้งฟงกับชิหยาง



ชีวิตคนเราไม่มีอะไรได้อย่างใจโดยง่าย ฉันเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยย่านเยาวราช เพื่อค้นหาบทเพลง "กว่างหลิงซ่าน" จนถึงร้านหนึ่ง ลองเข้าไปด้อมๆ มองๆ

"หาอะไร" เสียงห้วนๆ ของชายวัยกลางคนดังขึ้น

พอสิ้นเสียงถามว่า มีเพลงบรรเลงกู่ฉิน "กว่างหลิงซ่าน" ไหม สีหน้าเขากระเตื้องจากความเคร่งขรึม ย้อนถามว่า รู้มาจาก เรืองรอง รุ่งรัศมี ใช่ไหม

ฉันพยักหน้า พี่เรืองรองเคยเขียนแนะนำไว้ในหนังสือ "ขลุ่ยผิวพิณพระจันทร์"

เขาหันไปครู่หนึ่ง แล้วกลับมาพร้อม CD เพลงที่ถามหา

นอกจากนี้ ยังได้หนังจีนชุด "เดชคัมภีร์เทวดา" (กระบี่เย้ยยุทธจักร) ฉบับปี 2001 หลี่หย่าเผิงแสดงเป็นเล่งฮู้ชง ติดมือกลับมาบ้านด้วย

รายละเอียดในการตีความของหนังจีนชุดที่สร้างแต่ละครั้งจะแตกต่างจากบทประพันธ์บ้าง อย่างฉบับนี้นับว่าประณีตมาก ตรงตามบุคลิกของตัวละคร และพื้นหลังของเรื่อง ยังเก็บความได้รวบรัด อย่างฉากเปิดตัวเล่งฮู้ชงที่เล่ามาข้างต้น

ส่วนพระเอกที่แท้จริงคือเพลงกว่างหลิงซ่านจากเสียงพิณกู่ฉินนั้น สร้างความรู้สึกได้ล้ำลึก จากแผ่วเบา จนหน่วงหนัก หะแรกฉันตั้งใจฟังมาก แต่ฟังไปฟังมา เสียงพิณกลับกลบความตั้งใจให้กลายเป็นความกลมกลืน เหมือนฟังอยู่ และมิได้ฟัง ได้ยินถ้อยคำแว่วมาโดยบังเอิญ

แค่อยู่ และไป ยามเคลื่อนมา เคลื่อนไป ขอเพียงผ่อนคลาย ปราศจากความยึดมั่น ไม่มีอะไรยากเย็น ไม่มีอะไรร้อนรน



  • 1
ตอบกระทู้
ชื่อ
รหัส กรอกตัวอักษร ตามภาพ
ข้อความ


emo-smile emo-happy emo-lol emo-enjoy emo-kiku emo-cool emo-hoho emo-drool emo-hungry emo-kiss emo-sorry emo-sad emo-cry emo-tear emo-question emo-doubt emo-shock emo-redface emo-plz emo-peevish emo-angry emo-moody emo-sneer emo-makefaces emo-good emo-touched emo-love emo-bore emo-tired emo-vomit
bold italic underline img link superscript subscript size color space justifyleft justifycenter justifyright quote box youtube