เข้าระบบอัตโนมัติ

ชายเหนือชาย จากสามก๊กฉบับคนกันเอง มติชนสุดสัปดาห์


  • 1
sss
#1   sss    [ 10-07-2007 - 13:22:34 ]    IP: 125.24.192.181

ชายเหนือชาย

ปลายยุคฮั่นตะวันออก เมืองเองฉวนเกิดภัยพิบัติจากโรคระบาด ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ที่เหลือต่างก็ต้องแก่งแย่งเอาชีวิตรอด

ชายฉกรรจ์ส่วนใหญ่หนีความยากแค้นด้วยการสมัครเป็นทหาร แต่เด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ เตียวเหยียง มีร่างกายผ่ายผอมไม่แข็งแรง เขาจึงคิดจะกระโดดแม่น้ำตาย แต่แล้วขณะที่มองเห็นเงาของตัวเองกระเพื่อมไหวไปมาอยู่ในสายน้ำไหล คล้ายกำลังหัวเราะ เขาก็เกิดความอาลัยในชีวิต

แล้วเขาก็ตัดสินใจเดินทางมุ่งหน้าสู่นครหลวงลกเอี๋ยง เพื่อแจ้งความจำนงสมัครเป็นขันที

เตียวเหยียงกับชายหนุ่มที่มีความจำนงเดียวกันต้องถูกกักตัวไว้ 3 วัน ให้งดอาหาร และดื่มได้แต่น้ำเปล่า ระหว่างนั้นหลายคนเปลี่ยนใจหนีไป แต่เตียวเหยียงยังคงยืนยัน จนเช้าวันที่ 4 เขาจึงถูกนำตัวไปยังห้องทำการ ขึ้นไปนอนบนเตียง มือเท้าทั้ง 4 ล็อคแน่นด้วยห่วงเหล็ก ก่อนจะยัดไข่ต้มเข้าปาก เจ้าพนักงานจะถามอีกครั้งว่าแน่ใจไหม เตียวเหยียงไม่เปลี่ยนใจ มีดคมคล้ายเคียวจึงตวัดฉับเดียวอย่างไม่ลังเล

ขันทีคือเจ้าพนักงานในพระราชวังจีนโบราณ ซึ่งเข้าออกได้ทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน ดังนั้น จึงต้องมีธรรมเนียมตัดเครื่องเพศเสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้มีสัมพันธ์กับนางใน

เนื่องจากขันทีรับใช้ใกล้ชิดเจ้านายชั้นสูง ดังนั้น จึงเป็นกลุ่มคนที่มีโอกาสอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางของอำนาจมากที่สุดด้วย

ขันทีบางคนมีความสามารถ ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ แต่ขันทีส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากความด้อยโอกาสในการพัฒนาตนเอง และขาดความรู้ บางคนจึงใช้โอกาสนี้แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ โดยเฉพาะในยุคสมัยที่ฮ่องเต้อ่อนแอ มักจะมีขันทีฉวยโอกาสครอบงำอำนาจในราชสำนัก และแทรกแซงระบบการปกครอง จนเป็นต้นเหตุแห่งการล่มสลายของหลายราชวงศ์ในประวัติศาสตร์

เฉกเช่นเตียวเหยียง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น 1 ในกลุ่ม 10 ขันที อันประกอบด้วย เทาเจียด เตียวต๋ง ฮองสี ต๋วนกุย เหาลำ เกียนสิด เห้หุย ก๊กเสง และ เซียกง คนเหล่านี้ร่วมมือกันกินสินบน อันเป็นเสมือนการกัดกินความมั่นคงของราชสำนักฮั่นทีละคำ ทีละคำ จากเปลือกนอกถึงแก่นแกน จนกลไกบริหารราชการเป็นอัมพาต และเสื่อมทรุดพังทลายลงในที่สุด

10 ขันทีฮึกเหิมกระทั่งสังหารโฮจิ๋น-แม่ทัพใหญ่ กลุ่มนายทหารจึงพากันบุกเข้าไปล้างผลาญอิทธิพลของเหล่าขันที จนเลือดแดงฉานไปทั่วท้องพระโรง

เตียวเหยียงพาฮ่องเต้น้อย 2 พระองค์ เป็นตัวประกันหนีออกจากพระราชวัง ไปจนมุมอยู่ริมแม่น้ำสายหนึ่ง เตียวเหยียงมองเงาของตัวเองกระเพื่อมไหวอยู่ในสายน้ำ เห็นเป็นความผกผันของชีวิต แล้วกล่าวว่า อยู่มาจนถึงป่านนี้นับเป็นกำไรนักแล้วมิใช่หรือ และเลือกที่จะจบชีวิตลง ด้วยการกระโดดลงไปในแม่น้ำ

ตามตำนานเล่ากันว่า ชาวบ้านละแวกนั้นไม่ยอมแตะต้องน้ำในแม่น้ำสายนั้นอยู่นานนับปี



กิมย้งแต่งเรื่อง "กระบี่เย้ยยุทธจักร" ขึ้นมาโดยไม่ระบุชัดว่าฉากหลังเป็นยุคสมัยใด ด้วยต้องการเสนอธรรมชาติของมนุษย์อันมีลักษณะเป็นสากล โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า "นับแต่โบราณกาลมา ไม่ทราบมีวีรบุรุษผู้กล้ามากน้อยเท่าใดยากผ่านด่านอำนาจได้ อย่าว่าแต่เป็นฮ่องเต้ ในยุทธจักรที่เกิดการแก่งแย่งชิงดี ปั่นป่วนด้วยมรสุม ล้วนสืบเนื่องจากคำ "อำนาจ" ทั้งสิ้น"

แม้วิทยายุทธ์ในนิยายกำลังภายในของกิมย้งจะเป็นเพียงจินตนาการ แต่มักจะแฝงไว้ซึ่งหลักคิดอันคมคาย อย่างในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร วิชาที่ชาวยุทธ์ร่ำลือกันว่าเป็นยอดเหนือวิทยายุทธ์อื่นใด และต่างแย่งชิงกันครอบครองเพื่อความเป็นใหญ่ คือ "คัมภีร์ทานตะวัน"

300 ปีก่อนเหตุการณ์ในเรื่อง ขันทีในราชสำนักคนหนึ่งคิดค้นคัมภีร์ทานตะวันขึ้น

100 ปีต่อมา คัมภีร์นี้เก็บรักษาไว้ที่วัดเส้าหลิน แต่ไม่เคยมีผู้ใดฝึกสำเร็จ

กระทั่งศิษย์สำนักหัวซาน 2 คน ลอบมาศึกษา และแบ่งกันท่องจำคนละท่อน ครั้นกลับถึงสำนักจึงบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ต่างคนต่างตีความไม่กระจ่าง

วัดเส้าหลินรู้ข่าวจึงส่งพระลูกวัดมาเกลี้ยกล่อมไม่ให้คนทั้งสองฝึกวิชาในคัมภีร์

แต่นักบวชรูปนี้เกิดกิเลส อ้างว่าจะอรรถาธิบายคัมภีร์ให้สองคนเข้าใจ แล้วลอบบันทึกเนื้อความเอาไว้ในจีวรของตัวเอง

แล้วหลวงจีนผู้นั้นก็ไม่ได้กลับวัดอีกเลย แต่สึกสู่เพศฆราวาสนามหลินหยวนถู เขาตีความคัมภีร์นั้นเป็น "คัมภีร์เพลงกระบี่พิชิตมาร" และเมื่อฝึกสำเร็จแล้ว เขาได้ก่อตั้งสำนักคุ้มภัย และมีชื่อเสียงเลื่องลือ

ส่วนศิษย์สำนักหัวซาน 2 คน ต่างแตกแยกกันเองตามการตีความคัมภีร์ จนสำนักหัวซานแบ่งออกเป็น 2 สาย คือสายลมปราณ กับสายกระบี่ และต่อสู้ประหัตประหารกัน ผลปรากฏว่าสายกระบี่เป็นฝ่ายปราชัย

ภายหลัง คนของพรรคมารรุกรานสำนักหัวซาน และช่วงชิงเอาคัมภีร์ทานตะวันไปได้

และผู้ที่ฝึกคัมภีร์นี้จนสำเร็จก็คือ ตงฟางปุ๊ป้าย

กิจการสำนักคุ้มภัยบ้านสกุลหลินมีชื่อเสียงเลื่องลือด้วยเพลงกระบี่อันร้ายกาจของหลินหยวนถู หากบุตรหลานในรุ่นต่อมากลับมีวิชาฝีมืออ่อนด้อย จนเหลือเพียงทายาทคนสุดท้ายคือ หลินผิงจือ

ก่อนที่พ่อแม่ของหลินผิงจือจะโดนบีบบังคับจนตาย พวกเขาบอกความลับฝากมากับเล่งฮู้ชง เพื่อบอกต่อแก่หลินผิงจือ ด้วยนิสัยของเล่งฮู้ชง แม้มีโอกาสครอบครองคัมภีร์ล้ำค่า เขาไม่ยอมช่วงชิงของผู้อื่นเด็ดขาด

ต่างจากอาจารย์ของเขา คือ งักปุ๊กคุ้ง-เจ้าสำนักหัวซาน ซึ่งได้รับฉายา "กระบี่ผู้ดี" จึงไม่มีใครสงสัยในท่าทีว่าเขาคิดครอบครองคัมภีร์เพลงกระบี่พิชิตมารของบ้านสกุลหลินอยู่เหมือนกัน แต่ในที่สุดยอดแห่งวิทยายุทธ์ที่ทุกคนล้วนแย่งชิงก็มาตกอยู่กับคนผู้นี้

เมื่องักปุ๊กคุ้งคลี่ผ้าย้อมฝาดผืนนั้นออกมาศึกษา เขาก็ต้องผงะหงาย

เพราะเคล็ดลับสำคัญของการฝึกวิทยายุทธ์อันสุดยอดนี้ระบุว่า "คิดหวังเป็นใหญ่เหนือผู้คน สะบัดกระบี่ตอนตัวเอง"



นับว่ากิมย้งเสียดเย้ยความหลงผิดในอำนาจด้วยภาพพจน์อันรุนแรงยิ่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าความหลงผิดพาให้คนกลายสภาพไปเป็นอีกคนที่ไม่ใช่ตัวเอง

คัมภีร์ทานตะวันสำคัญที่การใช้พลังอำนาจอย่างไม่มีขีดจำกัด อันเนื่องมาจากกำลังภายในที่ไร้ขอบเขต ด้วยปราศจากแก่นแกนเป็นเครื่องเหนี่ยวยึด

หลินหยวนถู เคยเป็นพระผู้ละกิเลส เห็นพลังอำนาจของคัมภีร์แล้วเกิดความลุ่มหลงจนสุดระงับใจ แต่ด้วยเคยขัดเกลาตนในวิถีแห่งธรรมมาก่อน แม้ฝึกคัมภีร์เพลงกระบี่พิชิตมารสำเร็จแล้วเขายังเกิดสำนึก ก่อตั้งสำนักคุ้มภัย ตกแต่งภรรยา รับบุตรบุญธรรม ปิดบังความผิดปกติด้วยการประพฤติตนให้เป็นที่ยอมรับของชาวยุทธ์ และกำชับคนรุ่นต่อมาว่า ห้ามศึกษาคัมภีร์นี้เด็ดขาด

ตงฟางปุ๊ป้ายเคยยืนอยู่ในฐานะประมุขพรรคสุริยันจันทรา หลังจากฝึกคัมภีร์ทานตะวันสำเร็จแล้ว เขากลับกลายเป็นคนซ่อนตน อยู่แต่ในห้องหอบนผาไม้ดำ ปล่อยให้พ่อบ้านหยางเหลียนถิงเป็นผู้ดูแลกิจการภายนอกทั้งหมด ส่วนตนเองเฝ้าเย็บปักถักร้อย และรอคอยหยางเหลียนถิงกลับจากทำงาน เพื่อจะได้ปรนนิบัติเขา

งักปุ๊กคุ้งฝึกคัมภีร์เพลงกระบี่พิชิตมารสำเร็จแล้ว ต้องปิดบังคนอื่นเช่นกัน ด้วยการดัดเสียงห้าว และติดหนวดปลอม แต่คนใกล้ชิด เช่น ภรรยา ย่อมเห็นผิดสังเกต จึงขอร้องให้เขาเลิกฝึก และทำลายคัมภีร์เสีย

งักปุ๊กคุ้งแกล้งโยนคัมภีร์ทิ้งลงเขา เพราะเขาไม่ต้องการมันแล้ว แต่คัมภีร์ไปตกอยู่กับหลินผิงจือ ซึ่งไม่ลังเลเลยที่จะศึกษา และเกิดความลุ่มหลง จนลืมตัว ทั้งที่ต้องแต่งงานกับ งักเล้งซัง

หลินผิงจือเคยเป็นสุภาพบุรุษ และอ่อนโยน แม้ฝีมืออ่อนด้อยยังเข้าช่วยเหลืองักเล้งซังที่ปลอมตัวเป็นหญิงอัปลักษณ์และถูกลวนลามในโรงเตี๊ยม แต่หลังจากฝึกคัมภีร์เพลงกระบี่พิชิตมารสำเร็จแล้ว เขากลับเป็นคนโหด...ม ไร้เมตตา ทำร้ายงักเล้งซังถึงแก่ความตาย ด้วยอาการเย็นชายิ่ง

ภายหลัง เมื่อเล่งฮู้ชงได้เห็นชีวิตที่ผิดเพี้ยนจากการสูญเสียจิตวิญญาณให้แก่เดรัจฉานวิชา ทั้งจอมมารตงฟางปุ๊ป้าย อาจารย์งักปุ๊กคุ้ง และศิษย์น้องหลินผิงจือ เขาจึงรู้ถึงที่มาของคัมภีร์ทานตะวันและคัมภีร์เพลงกระบี่พิชิตมาร ว่ามีต้นกำเนิดอย่างเดียวกัน

เล่งฮู้ชงฝึกเพลงกระบี่สำนักหัวซานสายลมปราณกับงักปุ๊กคุ้งมาอย่างเข้มงวดเป็นเวลาสิบกว่าปี เน้นกระบวนท่าใช้กำลังภายในควบคุมกระบี่ นึกไม่ถึงว่าอาจารย์ปู่ฟงชิงหยางจะแนะนำให้เขาปล่อยใจละกระบวนท่าเสีย

เขาได้รับการถ่ายทอดวิชา "เก้ากระบี่เดียวดาย" ของ ต๊กโกวฉิวป้าย-มารกระบี่เดียวดายแสวงพ่าย จากอาจารย์ปู่ฟงชิงหยาง ซึ่งเป็นวิชาที่ไม่อาจบันทึกเป็นคัมภีร์ แต่ต้องถ่ายทอดจากใจถึงใจ เมื่อเข้าใจแก่นแกนแล้วก็จะพลิกแพลงได้ไม่รู้จบ เป็นเพลงกระบี่ที่ออกใช้ด้วยปัญญาอันปราดเปรียว เป็นอิสระจากการใช้กำลัง ทั้งกำลังภายใน และช่วยรักษาจิตเดิมแท้ตามธรรมชาติของตนเองด้วย

หากก๊วยเจ๋งเป็นภาพพจน์ของความเข้มงวดในการขัดเกลาตนเองแบบ "ขงจื๊อ" เอี้ยก้วยเป็นภาพพจน์ของการดำเนินตามวิถีธรรมชาติแบบ "เต๋า" และเตียบ่อกี้เป็นภาพพจน์ของเมตตาธรรมแบบ "พุทธ" ซึ่งเกิดจากจิตเดิมแท้ที่มองเห็นโลกเป็นองค์รวมและไม่แบ่งแยก

ถ้าเปรียบเช่นนั้นเล่งฮู้ชงคงเป็นภาพพจน์ของ "เซน"



เซน-บูรณาการแบบแผนการควบคุมตนอย่างขงจื๊อ การวางตนให้สอดคล้องตามกฎธรรมชาติอย่างเต๋า และการมุ่งตรงสู่ธรรมชาติแห่งโพธิอย่างพุทธเข้าด้วยกัน ไม่เน้นคัมภีร์ แต่เน้นปฏิบัติธรรมด้วยการกำหนดพิจารณาจิต กระทั่งสัจธรรมเผยออกมาจากภายในตนเอง

พุทธศาสนานิกายเซนพัฒนารูปแบบและเนื้อหาโดยสมบูรณ์ในประเทศจีน แต่อุบัติขึ้นตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว

เมื่อครั้งที่พระพรหมถวายดอกบัวแก่พระพุทธเจ้า และอาราธนาให้ทรงแสดงธรรม พระพุทธเจ้าทรงหยิบดอกบัวชูขึ้นแล้ววางลง เหล่าพระสาวก ณ ที่นั้นต่างติดข้องไม่เข้าใจ

มีเพียงพระมหากัสสปะที่บรรลุแจ้งโดยฉับพลัน และแสดงออกด้วยอาการยิ้ม



  • 1
ตอบกระทู้
ชื่อ
รหัส กรอกตัวอักษร ตามภาพ
ข้อความ


emo-smile emo-happy emo-lol emo-enjoy emo-kiku emo-cool emo-hoho emo-drool emo-hungry emo-kiss emo-sorry emo-sad emo-cry emo-tear emo-question emo-doubt emo-shock emo-redface emo-plz emo-peevish emo-angry emo-moody emo-sneer emo-makefaces emo-good emo-touched emo-love emo-bore emo-tired emo-vomit
bold italic underline img link superscript subscript size color space justifyleft justifycenter justifyright quote box youtube