เข้าระบบอัตโนมัติ

เชิญถามปัญหาธรรมะ ปรัชญา ศาสนา ได้ที่นี่


ชงยี้
#61   ชงยี้    [ 27-07-2009 - 16:10:58 ]

ท่านนี่อารมดีจังเลยนะ ข้าถามจริงๆนะเนี่ย



ซือหม่าซันเหนียง
#62   ซือหม่าซันเหนียง    [ 27-07-2009 - 16:17:02 ]

รอท่านอัสนีบาต มาตอบนะ



ฝ่ามืออัสนีบาต
#63   ฝ่ามืออัสนีบาต    [ 27-07-2009 - 18:11:00 ]

ตอบจอมยุทธ์พันหน้านะครับ ธรรมะ มีความหมายหลายอย่าง หมายถึงความถูกต้องดีงาม ก็ได้ หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้ แต่ถ้าให้ความหมายที่คนทั่วไปน่าจะเข้าใจก็คือความเป็นเหตุผลของสิ่งทั้งปวงที่อิงอาศัยกันเกิดขึ้นตามหลักอิทัปปัจจยตาครับ



ซือหม่าซันเหนียง
#64   ซือหม่าซันเหนียง    [ 27-07-2009 - 18:12:46 ]

อยากถามว่า ภิกษุณี ต้องเป็นพระพุทธเจ้าบวช ให้ ปัจจุบัน ไม่มีแล้วใช่หรือไม่ค่ะ



ฝ่ามืออัสนีบาต
#65   ฝ่ามืออัสนีบาต    [ 27-07-2009 - 18:50:54 ]

ตอบท่านชงยี้นะครับ รักแท้ในความคิดข้าคือความกรุณาครับ คือรักที่มีแต่จะให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบนี้คงเคยได้ยินกันบ่อยแล้ว และตามที่ข้าศึกษามารักจะมีอยู่4ประเภทใหญ่ๆคือ
1.รักตัวกลัวตาย เป็นไปตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด
2.รักใคร่ปรารถนา ส่วนมากความรักที่พูดถึงกันก็คือรักประเภทนี้ ซึ่งเป็นความรักในวัยหนุ่ม-สาว ในเชิงชู้สาวที่อิงสัญชาตญาณการสืบพันธุ์
3.รักเมตตาอารี รักที่ปรารถนาจะให้คนอื่นพ้นไปจากความทุกข์ยากลำบาก หรือความสงสาร
4.รักมีแต่ให้ รักโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ไม่ว่าจะได้รับความรักตอบแทนหรือไม่ ซึ่งรักแท้ก็น่าจะเป็นข้อนี้

ที่รักแล้วเป็นทุกข์ก็มีหลายสาเหตุครับ แต่ถ้ามาสรุปเหตุจริงๆแล้วก็คือเราอยากครอบครองคนที่เรารัก และเมื่อคนรักจากเราไปหรือตายไป เราก็เป็นทุกข์เพราะเราคาดหวังว่าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ถ้าอยากรักโดยเป็นทุกข์น้อยๆก็ต้องเข้าใจสภาพความเป็นจริงของสรรพสิ่งคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ซึ่งถ้าเข้าใจความข้อนี้เราจะทุกข์น้อย เพราะรู้แล้วว่าสักวันหนึ่งก็ต้องพรากจากกันเป็นธรรมดา

ส่วนที่ว่ารักที่เป็นทุกข์ไม่ถือว่าเป็นรักแท้นั้น ข้าคิดว่าก็คงใช่ เพราะเป็นทุกข์ก็เพราะเรายังคาดหวังว่าคนที่เรารักจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ จะอยู่กับเราตลอดไปหรือไม่นั่นเป็นสิ่งที่เราคาดหวัง เราอาจจะรักเขาจริงๆอยุ่ แต่เราอยากครอบครองเค้า ซึ่งแน่นอนถ้าอยากครอบครองก็ทุกข์ เพราะทุกข์สิ่งที่เราครอบครองวันนึงก็ต้องจากเราไป

ข้าอยากตั้งข้อสังเกตว่า การที่ใครซักคนทุ่มเทให้ความรักแก่คนๆนึงจนหมดหัวใจ และคาดหวังว่าคนๆนั้นจะรักตอบ แต่เขาไม่รักตอบ เราก็เสียใจ ข้าจึงอยากถามว่าที่ทุ่มเทไปนั้นเพื่อคนที่รักหรือเพื่อตัวเองกันแน่ เพราะข้าคิดว่าการทำแบบนี้ก็คือการทำเพื่อตัวเอง ให้ตัวเองมีความสุข เพราะเราคาดหวังว่าถ้าเขารักตอบแล้วเราจะมีความสุข พอเขาไม่รักตอบเราก็ทุกข์ จริงแล้วทำเพื่อใครกันแน่

ความรักมีพลังทำให้โลกสงบสุขได้จริงไหม จริงแน่นอน เพราะถ้าคนเกลียดกันทั้งโลก ลองคิดดูว่าจะตายกันซักเท่าไร เพราะต่างคนก็ต่างมุ่งทำลายกัน โลกนี้ก็คงไม่พบกับคำว่าสันติแน่นอน โลกอยู่ได้เพราะความรักความมีน้ำใจจะช่วยพยุงโลกไว้ให้พ้นจากอำนาจมืดดำแห่งความชิงชังริษยา
หรือคิดง่ายๆเลยไม่ต้องเอาถึงโลกหรอก แค่ในครอบครัว ถ้าคนในครอบครัวรักกัน หวังดีต่อกัน ครอบครัวนั้นก็คงมีความสุขแน่นอน ในมุมกลับถ้าในครอบครัวเกลียดกัน ไม่มองหน้ากัน แล้วจะมีความสุขสงบได้ยังไง

การพบรักแท้จะพบได้มั้ย ซึ่งข้าเข้าใจว่าคงหมายถึงคู่แท้ การจะพบได้หรือไม่นั้นท่านต้องมอบความรักแท้แก่เขาก่อน โดยสร้างความรักแบบมีแต่ให้ขึ้นในตัวท่านก่อน แล้วท่านจะพบรักแท้ซึ่งมีภายในตน แต่ถ้าหมายถึงจะเจอคู่แท้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าสองคนจะมั่นคงในกันและกันมากแค่ไหน จะซื่อสัตย์ในความรักต่อกันและกันมากเพียงใด และนั่นอาจจะเปนคำตอบที่ท่านกำลังถามก็ได้

ทุกคำตอบที่ข้าตอบบางข้อก็เป็นความรู้ บางข้อก็เป็นความคิดเห็นซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เชิญท่านอื่นๆชี้แนะข้าด้วยนะครับ



ฝ่ามืออัสนีบาต
#66   ฝ่ามืออัสนีบาต    [ 27-07-2009 - 18:56:32 ]

ตอบท่านซือหม่าซันเหนียงนะครับ ภิกษุณีในปัจจุบันยังคงมีครับ เช่นภิกษุณีนิรามิสา ภิกษุณีธัมมนันทา ซึ่งการมีภิกษุณีนี้ ท่านนรินทร์ กลึง ภาษิต ปัญญาชนสมัยก่อนได้ต่อสู้เรียกร้องให้มีครับ ถึงขนาดว่าลูกสาวของท่านก็บวชเป็นภิกษุณี



ซือหม่าซันเหนียง
#67   ซือหม่าซันเหนียง    [ 27-07-2009 - 18:57:02 ]

ขอบคุณมาก



ฝ่ามืออัสนีบาต
#68   ฝ่ามืออัสนีบาต    [ 27-07-2009 - 18:59:03 ]

ส่วนมากในนิกายเถรวาท จะไม่ค่อยมีภิกษุณีครับ แต่ในนิกายเซน กับนิกายวัชรยานที่อยู่ทางธิเบต ภูฏาน มีมากครับ



ซือหม่าซันเหนียง
#69   ซือหม่าซันเหนียง    [ 27-07-2009 - 19:00:56 ]

อืม ท่องแท้



๐คุณชายไร้เงา๐
#70   ๐คุณชายไร้เงา๐    [ 27-07-2009 - 19:42:03 ]

แต่ตัวกระผมว่าบางทีเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ศาสนาก็ต้องตามให้ทันด้วย
มิเช่นนั้นศาสนาจะไม่สามารถยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนไว้ได้ เพราะในปัจจุบัน
ไม่เหมือนในสมัยพุทธกาล ผู้คนมีกิเลสมากขึ้นหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่จำเป็นกับ
สมัยก่อนกลับจำเป็นมากในสมัยนี้ เช่นปัจจัยที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับมนุษย์ การสื่อสารไงล่ะคับ

วิทยาการต่างเริ่มเปิดตาของมนุษย์ให้กว้างขึ้น แต่มิได้เปิดใจตามไปด้วย ทำให้มนุษย์รู้สึก
ลังเล สงสัย ไม่มั่นคงกับสิ่งที่ยึดถือแต่โบราณกาล เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าเมื่อโลกเปลี่ยนไป
ศาสนาก็ควรที่จะเข้มแข็งขึ้นพร้อมต่อสู้กับกระแสโลกาภิวัฒน์ด้วย...

ที่กล่าวมาเช่นนี้เพราะตัวผมเองก็เป็นหนึ่งคนที่เริ่มลังเล และไม่มั่นคงกับศาสนา
ทุกครั้งที่ดูข่าว ทุกครั้งที่เข้าวัด ทุกครั้งที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนา ก็มักจะเกิดคำถามขึ้นมาในหัวเรื่อยๆ
และในเมื่อตัวผมซึ่งเป็นคนธรรมดายังรู้สึกเช่นนี้ ผมจึงมั่นใจว่าต้องมีคนที่รู้สึกเหมือนกับ
ตัวผมด้วยเช่นกัน ....



ฝ่ามืออัสนีบาต
#71   ฝ่ามืออัสนีบาต    [ 27-07-2009 - 20:27:13 ]

ก็เพราะทุกวันนี้พระสงฆ์เราด้อยคุณภาพลงทุกทีครับ แต่ที่มีคุณภาพที่เป็นพระสุปฏิปันโน ก็มีครับแต่ส่วนน้อย อย่างเช่นพระที่ใบ้หวย ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง คนที่ศรัทธาด้วยปัญญาก็ไม่เป็นไร แต่ส่วนมากมักงมงาย แต่ที่ถูกที่สุด พระควรจะเป็นผู้นำทางปัญญาให้แก่ชาวบ้าน แต่กลับเป็นหัวหน้าในการพาชาวบ้านงมงาย ซึ่งพระบางรูปก็เป็นชาวบ้านที่งมงาย พอมาบวชก็เอาความงมงายมาแปดเปื้อนพระศาสนา แล้วก็อ้างว่านี่แหละคือพระ คือวัด แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ก็เป็นเพราะศาสนาพุทธของเราเป็นศาสนาพุทธแบบไทยๆ คือพุทธปนไสย ปนพราหมณ์ ก็เลยมีเทพเจ้าเยอะ พระก็ห่วงแต่สมณศักดิ์ เอาสมณศักดิ์มาเป็นตัววัดความเป็นพระ ซึ่งผิดอย่างยิ่ง ความเป็นพระต้องวัดกันที่ศีล สมาธิ ปัญญา

แล้วมีกรณีนึงนักวิชาการคนนึงทำวิจัยและสรุปผลการวิจัยว่า การที่มีเครื่องรางของขลังหรือพระมาปลุกเสกต่างๆ เป็นตัวดึงดูดให้คนเข้าวัดกัน แต่ข้าอยากตั้งข้อสังเกตว่าที่มานั้นมาเพราะใจที่เป็นกุศลหรือมาเพราะความโลภ ความงมงาย ซึ่งนี่เองที่คนรุ่นใหม่ ปัญญาชนทั้งหลายจึงไม่อยากเข้าวัด เพราะวัดและพระซึ่งควรจะเป็นที่พึ่งให้ได้ แต่กลับยิ่งทำตัวโสมมกับความงมงาย และลาภสักการะ

และนี่ก็เป็นทุกขสัจทางสังคมอย่างนึงที่เราควรจะต้องช่วยกันแก้ปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป



แม่เฒ่าเทียงซัว
#72   แม่เฒ่าเทียงซัว    [ 27-07-2009 - 20:30:06 ]

ฆ่าหลวงจีนชั่วบาปรึเปล่า ตอบข้าเดี๋ยวนี้เจ้าหัวเหม่ง



ซือหม่าซันเหนียง
#73   ซือหม่าซันเหนียง    [ 27-07-2009 - 20:32:42 ]

ฝ่ามืออัสนีบาด มีความรู้ดั่งปราชญ์



ฝ่ามืออัสนีบาต
#74   ฝ่ามืออัสนีบาต    [ 27-07-2009 - 20:40:31 ]

ตอบแม่เฒ่าเทียงซัวครับ ขึ้นชื่อว่าฆ่าบาปหมดครับ ฆ่าที่ไม่บาปก็คือฆ่ากิเลสครับ ดังเช่นกรณีสมัยนึงพระรุปนึงออกมาบอกว่าฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป ซึ่งก็เป็นข่าวฮือฮากันมาก แต่สรุปแล้วไม่ว่าจะคนดีคนชั่ว ถ้าฆ่าบาปทั้งนั้นครับ



ชงยี้
#75   ชงยี้    [ 28-07-2009 - 11:14:50 ]

ขอบคุณท่านฝ่ามืออัสนีบาตมากครับ ข้าก็คิดไว้เช่นเดียวกัน

ข้าจะตามหารักแท้ต่อไปและจำให้รักของข้านั้นมีแต่ให้

และหวังสิ่งตอบแทนให้น้อยที่สุด เพื่อให้สมกับเป็นรักแท้.......



เอี้ยวเหยาซือ
#76   เอี้ยวเหยาซือ    [ 28-07-2009 - 22:18:51 ]

กระทู้มีสาระ ข้าสนับสนุนเต็มที่



พลังธาตุบริสุทธิ์
#77   พลังธาตุบริสุทธิ์    [ 29-07-2009 - 10:36:48 ]

ท่าน nesta ท่านทำดีแล้ว เราจะตอบคำถามของคุณชายไร้เงาเอง

การที่พระพุทธศาสนาได้กล่าวอ้างเรื่องกฏแห่งกรรม และไปดูนรกหรือสวรรค์นั้น เป็นสัจธรรม สัพสัตวต์ใดทำกรรมใด ก็ย่อมได้รับผลกรรมนั้นๆ ซึ่งอาจจะเเป็นชาติภพอื่นหรือปัจจุบันกาลก็ได้ เสมือนหนึ่งผู้ใดหว่านพืชใด แล้วย่อมได้พืชนั้นเป็นผลแห่งกรรมฉันนั้น

การที่แต่ละคนเห็นนรกหรือสวรรค์ไม่เหมือนกันนั้น ขึ้นอยู่กับกำลังของจิตหรือสมาธิ หากบุคคลใดฝึกจิตจนเชี่ยวชาญและสว่างใสแล้ว ย่อมเห็นได้ชัดเจนกว่า ขอยกพระราชดำรัส ขององค์พ่อหลวงได้ตรัสไว้ว่า
" ความจริงจิตแท้ๆของแต่ละคนไม่ต่างกัน แต่ว่าที่ต่างกันก็เพราะว่ามีแนวความรู้จะเรียกว่าชีวิตหรือกรรมต่างกัน เมื่อต่างกันแล้วก็จะมองดูในแง่ต่างกัน และเมื่อดูในแง่ต่างกันก็ไม่มีทางหรือเป็นการยากที่จะบอกว่าผู้ใดถูกต้อง ถ้าจะเปรียบก็เหมือนคนเราเดินทางไปและเห็นภูมิประเทศ เห็นภูเขาลูกหนึ่ง บอกว่าภูเขานั้นแหลม อีกคนหนึ่งเดินทางมาอีกทางหนึ่งได้เห็นภูเขานั้นอีกทางหนึ่ง ก็บอกว่าภูเขานั้นกลมใครถูกใครผิด ทั้งสองคนถูกก็ได้ ทั้งสองคนผิดก็ได้ เพราะว่าผู้ที่เดินทางมาทางที่เห็นแง่ของภูเขาที่เห็นแหลม ส่วนอีกคนหนึ่งเดินทางมาทางที่เห็นภูเขามนๆ กลมๆ ก็เลยเถียงกันไม่มีสิ้นสุด อย่างนี้ก็ยังดีสองคนนั่นเดินทางมาก็แหงนดูภูเขาก็เห็นว่ารูปร่างเป็นอย่างนั้นๆ แต่มีอีกคนหนึ่งที่เดินทางมาแล้วก็ไม่ดู หรือไม่เดินทางมาแล้วก็บอกว่าภูเขานั้นมืด เพราะว่าผู้นั้นอยู่ในถ้ำไม่ได้เห็นภูเขาจริงก็บอกว่ามืด กำลังจิตก็เช่นเดียวกัน บางคนก็มีประสปการณ์ ถ้าพูดถึงศาสนาก็มีกรรมต่างกัน ไม่เหมือนกัน เพราะมีผลต่างกัน ไม่เหมือนกัน ฉะนั้น การที่จะอธิบายก็อาจจะอธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ว่าถ้านำประสปการณ์ของแต่ละบุคคลมาให้ผู้ที่สนใจได้ฟัง ได้อ่าน ก็อาจจะสามารถ ที่จะตีความได้สำหรับจิตของคน”

ด้วยเหตุนี้การเห็นสิ่งต่างๆด้วยญาณ อาจจะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับจิตของแต่ละคนครับ
เจริญในธรรม



พลังธาตุบริสุทธิ์
#78   พลังธาตุบริสุทธิ์    [ 29-07-2009 - 10:59:10 ]

ท่านฝ่ามืออัสสนีบาต และคุณชายไร้เงา เหตุแห่งความเสื่อมของพระศสานานั้นมีหลายอย่าง หากแต่ว่าพระพุทธองค์ทรงทำนายไว้แล้วว่า พระพุทธศาสนาจะยืนหยัดไปอีก จนครบ 5000 ปี ดังนั้นอย่างห่วงเรื่องนั้นเลย หากแต่เพียงตัวท่านทั้งสองหมั่นเพียรเจริญสติ สมาธิ ปัญญา กับครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติธรรม ท่านทั้งสองก็ได้ขึ้นชื่อว่าพุทธสานิกชนโดยแท้แ พระแล้ว

ธรรรมนั้นมิได้เปลั่ยนเลยแม้กาลเวลาจะล่วงเลยมากว่าสองพันห้าร้อยปี หากแต่เปลี่ยนก็ที่จิตใจคนเท่านั้นแล

เจริญในธรรมครับ



พลังธาตุบริสุทธิ์
#79   พลังธาตุบริสุทธิ์    [ 29-07-2009 - 11:05:48 ]

ครั้งนี้จะขอกล่าวถึงสังโยชน์สิบ ครับ
สังโยชน์ 10
สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดจิตใจให้ตกอยู่ในวัฎฎะ มี 10 อย่าง

สักกายทิฏฐิ เห็นว่า ร่า่งกายเป็นเรา เป็นของเรา (คำว่าร่างกายนี้หมายถึง ขันธ์ 5)
วิจิกิจฉา ความลังเลสังสัย ในคุณพระรัตนตรัย
สีลัพพตปรามาส รักษาศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่รักษาศีลอย่างจริงจัง
กามฉันทะ มีจิตมั่วสุมหมกมุ่น ใคร่อยู่ในกามารมณ์
พยาบาท มีอารมณ์ผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ
รูปราคะ ยึดมั่นถือมั่นในรูปฌาน
อรูปราคะ ยึดมั่นถือมั่นในอรูปฌาน คิดว่าเป็นคุณพิเศษที่ทำให้พ้นจากวัฎฎะ
มานะ มีอารมณ์ถือตัวถือตน ถือชั้นวรรณะเกินพอดี
อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ครุ่นคิดอยู่ในอกุศล
อวิชชา มีความคิดเห็นว่า โลกามิสเป็นสมบัติที่ทรงสภาพ
นักปฏิบัติที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอา สังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบจิตกับ สังโยชน์ ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติอารมณ์ที่ละนั้นเอง
สังโยชน์ทั้ง 10 ข้อนี้ ถ้าพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครอบ 10 อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่า ท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตผล

สักกายทิฏฐิ ท่านแปลว่า ให้รู้สึกในอารมณ์ของเราว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายนี้ไม่มีในเรา หรือตามศัพท์ที่เรียกว่า ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้มันไม่ใช่ของเรา เราไม่่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา อารมณ์ขั้นต้นของพระโสดาบัน กับสกิทาคามี ท่านมีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตาย เราต้องคิดว่า ร่างกายนี้ต้องตายแน่ ร่างกายนี้น่าเกลียดโสโครก ต้องเกลียดจริง ๆ เราไม่ต้องการทั้งร่างกายเรา และร่างกายของคนอื่น หรือวัตถุธาตุใด อย่างนี้เป็นกำลังใจของพระอนาคามี และถ้ามีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา อย่างนี้เป็นกำลังใจของพระอรหันต์

การจะดับสังโยชน์สิบได้นั้นต้อง ใช้ปัญญาและความเห็นจริงของจิตครับ การจะได้ปัญญาต้องมีสมาธิและสติ เมื่อเห็นแล้วพิจารณาตามไตรลักษณ์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ครับ



พลังธาตุบริสุทธิ์
#80   พลังธาตุบริสุทธิ์    [ 29-07-2009 - 11:19:52 ]

จากการกล่าวของท่าน ผู้เฒ่าฯ

ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นคนกำหนด ไม่เชื่อว่าพระพรมห์ลิขิต แต่ก็ไม่ได้มีการปฎิเสธการมีอยู่ของเทวดา พระองค์เองเป็นผู้มีอริยะเหนือบุคคลทั่วไป มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระองค์ท่านอยู่กับเหล่าสาวก ได้กล่าวว่า พวกท่านเห็นแสงเหล่านี้ไหม(เทวดาที่เป็นกายทิพย์ ) ท่านได้บอกว่า เราได้เห็นเทวดาเป็นอันมากนับเป็นพันๆ จะมองเห็นได้ด้วยมีทิพยจักษุอันบริสุทธิ์

ข้าผู้เฒ่าอึ้งคิดว่า พระเจ้า ทูตสวรรค์ที่เขาว่าอาจเป็น เทวดาสักองค์ก็ได้

สัตถาเทวมนุษย์สานัง พุทโธ ภะคะวาติ
พระพุทธเจ้าคือครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ครั้งหนึ่งพระองค์ยังเคยปราบพรหมเทพ ผู้มีนามว่า พะกา เลยครับ(บทสวดพาหุงฯ)

แม้แต่ผู้ปฏิบัติทางสายเทพ ยังต้องกราบนมัสการพระพุทธเจ้าก่อนนะครับเพราะผู้บำเพ็ญทางสายเทพนั้นทราบดี่พระพุทธองค์คือครูผู้สอนของเทวดา มนุษย์ และสัพสัตว์ทั้งหลและพระองคือ ผู้สิ้นแล้วซึ่งอวิชชา ครับ

เจริญในธรรมครับ



ตอบกระทู้
ชื่อ
รหัส กรอกตัวอักษร ตามภาพ
ข้อความ


emo-smile emo-happy emo-lol emo-enjoy emo-kiku emo-cool emo-hoho emo-drool emo-hungry emo-kiss emo-sorry emo-sad emo-cry emo-tear emo-question emo-doubt emo-shock emo-redface emo-plz emo-peevish emo-angry emo-moody emo-sneer emo-makefaces emo-good emo-touched emo-love emo-bore emo-tired emo-vomit
bold italic underline img link superscript subscript size color space justifyleft justifycenter justifyright quote box youtube