เข้าระบบอัตโนมัติ

[color=blue]ใครมีเกร็ดความรู้ช่วยกันโพสด้วสขอรับ[/color]


vมังกรหลับv
#61   vมังกรหลับv    [ 13-12-2007 - 20:09:39 ]

คห.49 ท่านมหาราช มุกรึปะเนี่ย ใครเอาธนูไปปักไว้ แหม่



vมังกรหลับv
#62   vมังกรหลับv    [ 13-12-2007 - 20:11:09 ]

รูป48 เป็นนาฬิกาแดดหนะ คล้ายๆในแต่ละฤดูจะใช้ไม่เหมือนกัน ก็คงสัมพันธ์กับแดนนี่แหละคับ



หวินตงเปียน
#63   หวินตงเปียน    [ 13-12-2007 - 20:11:20 ]

ใช่ครับ ดูจากเทศกาลกินเจได้ ไม่มีร้านใคหรอกครับ ที่เขามีไข่ ถ้ามีก็ผิดเจแล้วละ โรงเจยิ่งไม่มีเลยละครับ



หวินตงเปียน
#64   หวินตงเปียน    [ 13-12-2007 - 20:13:06 ]

ผมจะเอาเรื่องสุขภาพ มาให้ชาวยุทธ์ทุกท่านได้อ่านและนำไปปฎิบัตินะครับ



หวินตงเปียน
#65   หวินตงเปียน    [ 13-12-2007 - 20:18:06 ]

กินใบกระเพามากดีนะครับ สำหรับผู้ที่ปวดท้องบ่อยๆ หากจอมยุทธ์ท่านใดไม่ยากเป็นมะเร็ง ควรจะงดกินของทอดบ่อยๆนะ แล้วควรจะรับประทานฟักทองไป



vมังกรหลับv
#66   vมังกรหลับv    [ 13-12-2007 - 20:19:22 ]

ที่ท่าน มือกระบี่ไร้นามพูดมาก็ตรงกับที่ผมคิดนั้นแหละ แต่ว่าผมก็ไม่ได้มั่นใจมากหรอกนะว่าผมถูก ถ้าท่าน ฤทธานุภาพ มีแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้มายืนยัน ผมก็เชื่อคับ



vมังกรหลับv
#67   vมังกรหลับv    [ 13-12-2007 - 20:19:44 ]

ซึงบางทีผมก็อาจจะไม่รู้จริงๆ



หวินตงเปียน
#68   หวินตงเปียน    [ 13-12-2007 - 20:20:57 ]

ผู้ที่กินเนื้อสัตว์ แบบพวกเลือด ไม่ดีนะครับ เพราะสัตว์ที่จะถูนำไปโรงเชือด ก่อนที่มันจะตาย มันจะเครียด แล้วหลั่งสารหนึ่งออกมา กินเข้าไปแล้วไม่ดีแน่ กินเนื้อสัตว์ ใช้เวลาย่อยนานนะครับ อาจใช้เวลาถึง7วันเลยทีเดียว แต่ข้อมูลผมหากผิดพลาด แนะนำด้วยครับ



สยบทั่วเเผ่นดิน
#69   สยบทั่วเเผ่นดิน    [ 13-12-2007 - 20:39:15 ]

อืม....ใช่ขอรับ สารที่หลั่งจากการเกิดความกลัวสุดขีด .....อะดีนารีน น่ะขอรับ

ถึงแม้สัตว์ตัวนั้นจะถูกฆ่าไปแล้ว แต่สารที่ว่าก็ยังคงมีอยู่ใน เนื้อ..........



สยบทั่วเเผ่นดิน
#70   สยบทั่วเเผ่นดิน    [ 13-12-2007 - 20:57:35 ]

การกินเจสามารถกินหอยนางรมได้ซึ่งทั้งที่เป็นสัตว์ก็เพราะว่า...

ตามตำนานความเชื่อว่า ตอนที่พระถังซัมจั๋งออกธุดงค์เพื่อไปเผยแพร่ศาสนา แล้วไปเกิดหิวขึ้นมาอดอยากไม่มีอะไรกิน

ก็เลยอธิษฐานต่อเจ้าแม่กวนอิมว่าไปว่า ถ้าท่านต้องการให้ข้าน้อย เพื่อสามารถไปอัญเชิญพระไตรปิฏ ก็ขอให้ท่านส่งอาหารมาให้ด้วยเถิด .................


หลังจากนั้นมาเค้าก็ถือกันว่า หอยนางรมเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่สามารถรับประทานได้ในเทศการ ขอรับ....


แต่ที่ข้าน้อยได้ยินท่านแม่เล่ามา รู้สึกจะเป็นเพราะเจ้าแม่กวนอิม ตอนบำเพ็ญเพียรอยู่แล้วอดอยาก

จึงอะฐานไปว่า หากสัตว์ตัวไดถึงคาดแล้ว ก็โปรดมาเป็นอาหารของเราด้วย........

เเล้วหอยนางรมก็มาปรากฏตัว ยอมเป็นอาหารของเจ้าแม่..............

ข้าน้อย ไม่ค่อยแน่ใจน่ะขอรับ ผิดพลาดอย่างไรก็ขออภัยด้วย ขอรับ






ฤทธานุภาพ©
#71   ฤทธานุภาพ©    [ 13-12-2007 - 22:15:43 ]

กินเจผมกลับคิดว่าสนองความเชื่อมากกว่ามุ่งหวังผลเหมือนมังสวิรัตินะครับ ตัวแปรไม่ได้ขึ้นกับพืชหรือสัตว์แต่ขึ้นกับความบริสุทธิ์และความเหมาะสมตามตำนานของสิ่งๆนั้น มิเช่นนั้นหอยนางรมคงไม่ยกเว้นหรอก เพราะหอยนางรมก็เป็นสัตว์



จอมยุทธ์มังกรน้อย
#72   จอมยุทธ์มังกรน้อย    [ 14-12-2007 - 13:53:01 ]

ก้เหมือนกับดูนาฬกาอะครับ ให้สังเหตดูตรงเงาของแท่งแหลมที่โผล่ออกมาสิ คนจีนคงมีวิธีดูว่า ถ้าเงาอยู่ตรงไหนจะเป็นเวลาใดอะครับ



ยาจกอุดร
#73   ยาจกอุดร    [ 14-12-2007 - 13:53:57 ]




จอมยุทธ์มังกรน้อย
#74   จอมยุทธ์มังกรน้อย    [ 14-12-2007 - 13:59:00 ]

เรื่องของ เมืองซีอาน เมืองที่มีเรื่องราวประวัติศาตร์สําคัญของจีน

ซีอาน เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน เป็นเมืองหลวงของมณฑล ส่านซี
ซีอาน เป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของโลกเมืองหนึ่ง ก่อนราชวงศ์ โจวตะวันตก ภูมิอากาศของภูมิภาคนี้อบอุ่น มีฝนตกมาก มีปริมาณฝนเทียบได้ใกล้เคียงกับภูมิภาคด้านใต้ของประเทศจีนในปัจจุบัน ดังนั้น ประชากรที่นี่จึงค่อนข้างมาก ทางตะวันออกของ ซีอาน ห่างไปประมาณ 6 กิโลเมตร มีหมู่บ้านชื่อ ปั้น-ภอ-ฌุน ได้มีการค้นพบหมู่บ้านที่มีอายุกว่า 6 พันปี ซึ่งมีประชากรประมาณ 500 คน ฮ่องเต้ของราชวงศ์ โจวตะวันตก ได้เคยสร้างเมืองหลวง 2 เมือง ทางตะวันตกของ ซีอาน


ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ ฉิน ( ฉิน ษื่อ หวง ตี้ = จิ๋น ซี ฮ่อง เต้ ) เมื่อรวมประเทศจีนเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ได้สถาปนาเมืองหลวงของประเทศขึ้น คือ เมือง เษียนหยาง ตั้งอยู่ทางเหนือของ ซีอาน ของปัจจุบัน จัดเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น มีประชากรประมาณ 5 ถึง 6 แสนคน เกือบเท่ากับ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ แต่จอมจักรพรรดิทรงเห็นว่า เมืองหลวง เษียนหยาง ยังมีขนาดใหญ่ไม่เพียงพอ จึงทรงโปรดให้สร้างเมือง เออฝาง ขึ้นทางใต้ของเมือง เษียนหยาง กล่าวกันว่า หลังจากราชวงศ์ฉินถูกชาวนาโค่นบัลลังก์แล้วบรรดาพระราชวัง และ ตำหนักในเมืองทั้งสองถูกเผาทำลายสิ้น โดยใช้เวลาเผานานถึง 3 เดือน
สมัย ราชวงศ์ฮั่น มีเมืองหลวงใหม่ชื่อ ฉางอาน ถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ระหว่างที่ตั้งเมืองหลวงเก่าทั้งสอง ปัจจุบันยังสามารถมองเห็นที่ตั้งเมืองฉางอานได้ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง ซีอาน เมือง ฉางอาน ของราชวงศ์ฮั่น นี้มีอาณาเขตโดยรอบ 25,000 เมตร พื้นที่ 35 ตารางกิโลเมตร ตำหนักภายในเมืองมีจำนวนมากและมีขนาดใหญ่ เล่ากันว่า หลังจากสร้างตำหนักเสร็จแล้ว องค์จักรพรรดิฮั่น ตรัสว่า
"ช่างใหญ่อะไรปานนี้"


800 ปีหลังจากนั้น จักรพรรดิ ราชวงศ์สุย ได้สร้างเมืองหลวงอีกเมืองหนึ่งขึ้นทางใต้ของ ฉางอาน ของราชวงศ์ฮั่น ชื่อ ต้าษิ้ง และเปลี่ยน ฉางอาน เป็นสวนดอกไม้ส่วนพระองค์ และเนื่องจากจักรพรรดิราชวงศ์สุย มาจากตระกูล หยาง ผู้คนจึงเรียกเมืองนี้ว่า เมืองตระกูลหยาง

ถึงราชวงศ์ถัง องค์จักรพรรดิได้เปลี่ยนชื่อเมือง ต้าษิ้ง เป็น ฉางอาน ขณะเดียวกันก็ดำรงการก่องสร้างเมืองอย่างต่อเนื่อง จนเมือง ฉางอาน มีอาณาเขตโดยรอบถึง 36,700 เมตร พื้นที่ 84 ตารางกิโลเมตร เมือง ฉางอาน ของราชวงศ์ถัง เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนพื้นโลกในขณะนั้น มีความสัมพันธ์ด้านการค้ากับประเทศต่าง ๆ มากกว่า 300 ประเทศ ชาวต่างประเทศจำนวนไม่น้อยมีถิ่นพำนักในเมืองนี้ จำนวนหนึ่งทำงาน อีกจำนวนหนึ่งเรียนหนังสือ อาจจะพูดได้ว่า ฉางอาน เป็นเมือง นานาชาติ เมืองหนึ่ง แต่ที่น่าเสียดายคือ ปลายราชวงศ์ถัง มีสงครามไม่หยุดหย่อน สิ่งก่อสร้าง 300 ปี ของ ฉางอาน ถูกทำลายหมดสิ้น เหลือเพียง สถูปห่านป่าใหญ่ กับ สถูปห่านป่าเล็ก เท่านั้น

หลังจาก ราชวงศ์ถัง มา 2 - 3 ราชวงศ์ แม้ว่าที่ ฉางอาน จะมีการก่อสร้างอีกจำนวนหนึ่ง แต่ตัวเมืองดั้งเดิมกลับเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดเจน จนถึงปีแรกของ ราชวงศ์ หมิง เมือง ฉางอาน ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ซีอาน เป็นชื่อที่ใช้ตราบถึงปัจจุบัน เมือง ซีอาน ที่ปรากฏในปัจจุบัน เป็นเมืองที่ถูกสร้างมา 600 ปีก่อนราชวงศ์ หมิง

300 ปีก่อนหน้านี้ เมือง ซีอาน มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตัวเมืองในปัจจุบันมีพื้นที่มากถึง 129 ตารางกิโลเมตร เปรียบกับ ฉางอาน ในสมัยราชวงศ์ ถัง แล้ว มีพื้นที่ใหญ่กว่าร้อยละ 50 มีจำนวนประชากรมากถึง 1 ล้าน 5 แสนคนโดยประมาณ ภายในเมือง นอกจากจะสร้างอาคารบ้านเรือนสมัยใหม่จำนวนมากแล้ว ยังบูรณะสวนสาธารณะ กับ โบราณสถานที่มีชื่อเสียง จำนวนหนึ่งด้วย
หอนาฬิกากลางเมือง ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ หมิง บรรดาเมืองหลวงในประวัติศาสตร์หลาย ๆ แห่งต่างมี หอนาฬิกา แต่ไม่มีที่ไหนจะมีชื่อเสียงอย่างของ ซีอาน สิ่งก่อสร้างสำคัญอีกแห่งหนึ่งทางด้านใต้ของหอนาฬิกาที่ถนนชื่อ ซานเซวี๋ย เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ของมณฑล ส่านซี ภายในมีแท่ง ศิลาจารึก ที่มีชื่อเสียง ซึ่งถูกทำขึ้นในสมัย ราชวงศ์ ซ่ง ( ซ้อง ) จำนวนมากกว่า 1 พัน แท่ง ด้านใต้ของ ซีอาน ยังมี สถูป ห่านป่าใหญ่ กับ สถูป ห่านป่าเล็ก เป็นสิ่งก่อสร้างในสมัยราชวงศ์ ถัง
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้ปรากฏ สิ่งมหัศจรรย์ ที่ตะลึงคนทั่วโลกเกิดขึ้น คือการค้นพบ กองทัพ หุ่น ทหาร และ ม้า ประจำสุสานของ จอมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ ฉิน ( จิ๋น ซี ฮ่อง เต้ ) เป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งของโลก เช่นเดียวกับ กำแพงเมืองจีน สุสานของจอมจักรพรรดิ ตั้งอยู่ที่อำเภอ หลินถง ทางตะวันออกของ ซีอาน กล่าวกันว่า เมื่อ จอมจักรพรรดิ ขึ้นครองราชย์ ก็ได้เริ่มสร้างสุสานทันที มีประชาชนร่วมก่อสร้างมากกว่า 7 แสน คน
ปี ค.ศ. 1974 เป็นปีที่พบสุสานของ องค์ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ ฉิน เมื่อพบหลุมหุ่นทหาร และ ม้า ภายหลังได้พบหลุมหุ่นอย่างเดียวกันนี้อีก 2 แห่ง ภายในหลุม เป็นหุ่นทหาร และ ม้า ที่มีขนาดเท่า คน และ ม้า จริง ๆ รวม 3 หลุมที่ค้นพบ ประมาณว่า มี หุ่น ทหาร และ ม้า มากกว่า 1 หมื่นหุ่น
ในปี ค.ศ. 1980 ได้มีการค้นพบหลุมอีก 1 แห่งทางตะวันตกของสุสานจอมจักรพรรดิ มี หุ่นทหาร และ ม้า ที่ทำด้วยทองแดง สามารถพูดได้ว่า เทคนิคการหล่อโลหะในยุคนั้น เป็นเทคนิคระดับสูงทีเดียว ปัจจุบัน สถานที่นี้ได้ถูกพัฒนาเป็น พิพิธภัณฑ์ หุ่น ทหาร และ ม้า เรียบร้อยแล้ว ทุก ๆ วัน มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีน และ ชาวต่างชาติ ไปเยี่ยมชมจำนวนมาก

โบราณสถานที่มีชื่อเสียงในปริมณฑลของ ซีอาน มีมากมาย โดยเฉพาะ สุสาน ใหญ่ - เล็ก ของ จักรพรรดิ หลาย ๆ พระองค์ มีมากจริง ๆ แต่ละแห่ง เป็นคลังสมบัติ ทั้งสิ้น อาจจะทำให้พูดได้ว่า บริเวณเมืองซีอาน คือพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่มาก แห่งหนึ่งของโลก







มือกระบี่ไร้นาม
#75   มือกระบี่ไร้นาม    [ 14-12-2007 - 17:40:58 ]

เอาความรู้มาฝากครับ

เอาเรื่องกินเจนี่ละครับ นำมาฝาก

คำว่า "เจ" ในภาษาจีนมีความหมายทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า "อุโบสถ" คำว่า "กินเจ" ตามความหมายที่แท้จริงคือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน ดังเช่นที่ชาวพุทธในประเทศไทยถือ "อุโบสถศีล" หรือ "รักษาศีล 8" จะไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีล ของชาวพุทธฝ่ายมหายานไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมเรียก "การไม่กินเนื้อสัตว์" ไปรวมกันคำว่า "กินเจ" ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วย ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ฉะนั้นความหมายก็คือ "คนกินเจ" มิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คนที่กินเจ ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาด งดงามทั้งกาย วาจา ใจ เป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกัน เช่นนี้แล้วจึงจะเรียกว่า "กินเจที่แท้จริง" ดังนั้น คำคล้องจองที่เราได้ยินอยู่เสมอ คือ "ถือศีลกินเจ" จึงนับว่ามีความหมายสมบูรณ์ครบถ้วนอยู่ในตัวเองแล้ว
ตามร้านขาย "อาหารเจ" เราจะพบเห็นตัวอักษร คำนี้อ่าน "ไจ" (เจ) แปลว่า "ไม่มีของคาว" เขียนด้วยสีแดงบนพื้นสีเหลืองเสมอ ในช่วงเทศกาลกินเจเดือน 9 จะเห็นตัวอักษรนี้เขียนบนธงสีเหลือง ปักอยู่ตามแผงขายอาหารเจมองเห็นเป็นที่สะดุดตาแก่คนทั่วไป ชาวจีนถือว่าสีแดงเป็นสีแห่งสิริมงคลแก่ชีวิต สีเหลืองเป็นสีของผู้ทรงศีล ดังนั้นผู้ตั้งใจถือศีลบำเพ็ญตนให้บริสุทธิ์ ตัวอักษรนี้ย่อมเป็นเครื่องหมายเตือนสติให้ระลึกไว้เสอมว่า "การกินเจงดเว้นเนื้อสัตว์ของคาวคือ การปฏิบัติธรรม รักษาศีลของความเป็นมนุษย์ เป็นการเจริญมหาเมตตากรุณาธรรมโดยแท้ อันจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และก่อให้เกิดสันติสุขแก่ทุกชีวิตบนโลก"

จากเวปไวต์
http://www.banfun.com/culture/je01.html



มือกระบี่ไร้นาม
#76   มือกระบี่ไร้นาม    [ 14-12-2007 - 17:44:35 ]

อีกเว็บ
อาหารเจ เป็นอาหารที่ปรุงโดยปราศจากเนื้อสัตว์รวมทั้งไม่มีส่วนประกอบอื่นใดที่นำมาจากเนื้อสัตว์ทุกประเภท ที่สำคัญอาหารเจงดเว้นการปรุงการเสพผักฉุน 5 ประเภทอันได้แก่

กระเทียม (หมายรวมไปถึงหัวกระเทียมต้นกระเทียม)

หัวหอม (หมายรวมไปถึงต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่)

หลักเกียว (คือกระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียมในประเทศไทยไม่พบว่าปลูกแพร่หลาย)

กุ้ยฉ่าย (ใบคล้ายใบหอม แต่แบนและเล็กกว่า)

ใบยาสูบ (บุหรี่ ยาเส้น ของเสพติดมึนเมา)

ผักดังกล่าวนี้ เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีพิษคอยทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย เป็นมูลเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ

อ้างอิงจากเว็บไซต์

http://www.geocities.com/NapaValley/Vineyard/3577/






ดรรชนีสวรรค์
#77   ดรรชนีสวรรค์    [ 14-12-2007 - 20:09:52 ]

จอมยุทธ์ทุกท่านรู้ไหมว่า
บริเวณเส้นศูนย์สูตรแทบจะไม่เห็นเงาของคนหรือสิ่งใดๆเลย
เนื่องจากดวงอาทิตย์ ตรงเส้นศูนย์สูตร
จะทำมุม 90 องศา อยู่ตลอดเวลา ขอรับ





มือกระบี่ไร้นาม
#78   มือกระบี่ไร้นาม    [ 14-12-2007 - 20:13:37 ]

ท่านฤทธานุภาพ เก่งมากและรอบรู้ด้วย ถ้าไม่รังเกียจ ข้าพเจ้าขอเรียกท่านว่าพี่นะครับ



pumkin
#79   pumkin    [ 14-12-2007 - 21:34:14 ]

จากความเหนที่25ขอรับผมขอแย้งว่าทำไมเวลาเจ็บป่วยถึงห้ามกินไข่แล้วไมคนยี่ปุ่นเวลาเปนไข้(สูงมากๆ)หรือเปนหวัดจะเอาเหล้ามาต้มกับไข่หรือที่เรียกว่าเอ๊กน๊อกนั่นเองคับ



ดรรชนีสวรรค์
#80   ดรรชนีสวรรค์    [ 14-12-2007 - 21:53:55 ]

ข้าน้อยมิได้กล่าวห้ามว่ากินไม่ได้ขอรับ
เพียงอ่านดูให้ดีนิดนึง ข้าน้อยกล่าวว่าไม่ควรกินไข่ที่ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงแสลง
และพวกไข่เค็มซึ่งเป็นของหมักดอง
กินไข่ได้แน่นอนขอรับแต่ควรปรุงให้สุกก่อนจึงจะถูกหลักอนามัยขอรับ



หมายเหตุ เครื่องปรุงรสที่แสลง และอาจทำปฏิกิริยากับบาดแผลได้ เช่น
น้ำส้มสายชู ซอสหมัก กระเทียมดอง และเครื่องปรุงรสที่เป็นของหมัก ฯลฯ
และที่ข้าน้อยตอบคือประเด็นในเรื่องของบาดแผล ขอรับ



ตอบกระทู้
ชื่อ
รหัส กรอกตัวอักษร ตามภาพ
ข้อความ


emo-smile emo-happy emo-lol emo-enjoy emo-kiku emo-cool emo-hoho emo-drool emo-hungry emo-kiss emo-sorry emo-sad emo-cry emo-tear emo-question emo-doubt emo-shock emo-redface emo-plz emo-peevish emo-angry emo-moody emo-sneer emo-makefaces emo-good emo-touched emo-love emo-bore emo-tired emo-vomit
bold italic underline img link superscript subscript size color space justifyleft justifycenter justifyright quote box youtube