เจงกิสข่านกับกุบไลข่านใครเก่งกว่ากัน
vมังกรหลับv |
#61 vมังกรหลับv [ 23-08-2007 - 16:44:03 ] |
|
ไทยยอมเจรจาส่งบรรณาการคับ และส่งคณะทูตไปยังมองโกลเพื่อเจรจาการเจรจาออกมาได้ผลดีคับ และอีกข้อหนึ่ง ทางตอนใต้ของจีนลงมาสมัยนั้น เป็นพวกที่ยังไม่ค่อยมีอารยธรรมเจริญรุ่งเรืองยังเป็นลักษณะคล้ายคนป่าอยู่เมืองก็เป็นแต่เมืองเล็กๆอีกทั้งมีป่าไม้รกมากมาย พวกมองโกลเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเอากำลังไปเสียคับ เพราะมองโกลรู้ตัวเองดีว่าไม่สามารถจะเข้าไปปกครองทุกๆส่วนของโลกใบนี้ได้ แค่ปกครองประเทศเดียวระบอบการปกครองก็วุ่นวายพออยู่แล้ว แล้วร้องคิดสิว่าถ้าปกครองทั้งโลกให้เป็นอาณาจักรเดียวกันจะเป็นยังไง สำหรับชาติที่ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองแค่ยอมส่งบรรณาการให้ก็พอแล้วคับ อย่างที่มองโกลไปตีเอาหลายๆประเทศในยุโรปแต่ไม่ยกไปตีอังกฤษทั้งๆที่ยกไปจะได้ดินแดนง่ายแสนง่ายก็เพราะสมัยนั้นพวกอังกฤษยังเป็นชนเผ่าป่าเถื่อน ขี่ม้าล่าสัตว์กันอยู่เลยไม่มีความจำเป็นจะต้องไปครอบครองคับ |
มือกระบี่ไร้นาม | |
![]() |
แม้ว่ากุบไลข่านจะยึดประเทศจีนได้ก็ตาม แต่หากไม่มีเจงกิสข่านฤาจะมีกุบไลข่านได้ ![]() |
vมังกรหลับv |
#63 vมังกรหลับv [ 24-08-2007 - 17:33:30 ] |
|
มันก็จริงคับ ถ้าไม่มีเจงกิสข่านก็ไม่อาจมีกุบไล แต่วัดกันที่ผลงานคับไม่ได้วัดถึงความสำคัญ |
ป.ปลา | |
![]() |
![]() |
vมังกรหลับv |
#65 vมังกรหลับv [ 29-08-2007 - 16:23:31 ] |
|
ผมไม่ทราบหรอกคับรู้แต่ว่าลูกของเจงกิสมี4คน คนแรกไม่ใช่ลูกแท้ๆคับเป็นลูกของหัวหน้าเผ่าศัตรูที่เคยชิงภรรนยาเจงกิสไป อีก 3 คนเป็นลูกแท้ๆ ถ้ากุบไลเป็นหลานของเจงกิส พ่อของกุบไลก็คงเป็น 1 ใน 4 คนนี้แหละคับ เอาไว้ผมไปค้นอีกทีเดียวมาตอบ |
จอมยุทธ์มังกรน้อย |
#66 จอมยุทธ์มังกรน้อย [ 29-08-2007 - 16:44:36 ] |
|
ถ้าในเรื่อง การรบ เจงกิสข่านเหนือกว่ามากครับ เพราะ สามารถยึดดินแดนได้เกือบทั้งโลก ถ้าเจงกสข่านไม่เสียชีวิตไปก่อน ก็คงสามารถยึคจีนได้ในไม่ช้า ส่วนกุบไล่ข่านถึงสามารถยึดจีนได้ทั้งประเทศแต่ก็ไม่สามารถขยายอาณาเขตได้เท่ากับเจงกิสข่าน ดงันั้นเรื่องการรบ เจงกิสข่านเก่งกว่าครับ ถ้าเรื่องปกครอง กุบไล่ข่านเก่งกว่าครับ เพราะ หลังจากที่ยึดจีนได้แล้ว ท่านก็ปกครองประเทศจีนได้อย่างดี พยายามจะพัฒนาประเทศตลอด จนสามารถเอาชนะใจคนจีนได้ทั้งประเทศ จนเป็นที่ยอมรับของคนจีน แต่พอหมดยุคของกุบไล่ข่านแล้ว ก็ไม่มีกษัตริย์คนไหนของต้าหยวนที่ปกครองได้ดีเท่ากับกุบไล่ข่าน จึงทําให้มีการก่อกบฏขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาถึงยุคของจูหยวนจางก็สามารถขับไล่ราชวงศ์หยวนออกไปได้ ดังนั้นเรื่องการปกครองประเทศ กุบไล่ข่านเก่งกว่าครับ ![]() |
soa | |
![]() |
เจงกิสข่านแน่นอนครับ ยุททะการสุดยอดชำนานการรบบนหลังม้าตีไปตั้งเกือบครึ่งโลกถือว่าเป็นนักรบที่เกรียงไกรและเปรียบมัจจุราชมารับวินยานเลยอ่ะครับ กุบไลข่าน ถ้าเจงไม่ปูทางให้ก็จะไม่ได้ถึงนี้หลอกครับ แต่ก็เกรียงไกรเหมือนกันครับ |
vมังกรหลับv |
#68 vมังกรหลับv [ 01-09-2007 - 10:56:39 ] |
|
ทายาทเจงกิสข่านคับ เจงกิสข่านมีลูกชายที่เกิดกับภรยาบูร์ไต 4 คน คือ โจชิ ซาเฮอไต โอโกไต และ เซลุย โจชิ - -- -- เป็นลูกของบูร์ไตกับหัวหน้าเผ่าเมอร์คิตที่เคยจับตัวบูร์ไตไปแต่เจงกิสข่านก็รักเหมือนลูกแท้ๆ ก่อนที่เจงกิสช่านจะเสียชีวิตเขาได้เลือกโอโกไตลูกคนที่ 3 ให้เป็นข่านสืบทอดตำแหน่งแต่อาณาจักรมองโกลกว้างใหญ่ไพศาลจนกล่าวกันว่าถ้าควบม้าจากชายแดนอาณาจักรด้านหนึ่งไปยังชายแดนอาณาจักรอีกด้านหนึ่งต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปี ดังนั้นโอโกไตจึงแบ่งดินแดนให้พี่น้องอีก3คนปกครองและขยายอาณาจักรมองโกลออกไปได้อีกมากมาย โจชิ ปกครองอาณาจักรที่เรียกว่า อาณาจีกรชินชาข่าน ปัจจุบันอยู่ในเขตเอเชียกลางเรื่อยไปจนถึงยุโรปตะวันออก เมื่อโจชิเสียชีวิตบุตรชายชื่อ ปาตู ได้ปกครองต่อมา และได้ยกทัพไปบุกยึดกรุงมอสโคว์ของรัสเซียรวมทั้งยึดยุโรปตะวันออกได้ทั้งหมด โดยทำสงครามกับกองทัพเยอร์มัน โปร์แลน และ ฝรั่งเศสจนฝ่ายศัตรูย่อยยับ พวกมองโกลตัดหูเชลยร้อยเป็นพวงสร้างความหวาดกลัวต่อชาวยุโรปอย่างยิ่ง ขณะที่กองทัพมองโกลตีเมืองเวนิชในอิตาลี โอโกไตเสียชีวิตกองทัพมองโกลจึงยกทัพกลับ ยุโรปตะวันตกจึงรอดพ้นจากกองทัพมองโกล ซาเฮอไต บุตรชายคนรองของเจงกิสข่านปกครองดินแดนตะวันตกของจีนคือซินเจียงอัฟกานิสถานและบางส่วนของรัสเซีย เรียกว่า อาณาจักรซาเฮอไตข่าน ลูกชายของซาเฮอไตชื่อ มู่ถูเกิน เป็นหลานชายที่เจงกิสข่านรักมากแต่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ศึกที่ ซามาร์คันทำให้เจงกิสสั่งฆ่าคนเมืองนี้ทั้งเมืองเมื่อรบชนะ โอโกไต ลูกชายคนที่สาม ได้เป็นข่านใหญ่สุดต่อจากเจงกิสข่าน ปกครองจีนตอนเหนือและบางส่วนของรัสเซียเรียกว่าอาณาจักร โอโกไต ข่าน เซลุย ลูกชายคนที่4เป็นลูกที่เจงกิสรักมากที่สุด และได้บัญชาการกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของเจงกิส เมื่อเจงกิสตายเซลุยได้รับเลือกให้เป็นข่านใหญ่ต่อจากเจงกิสผู้เป็นบิดา แต่เซลุยปฏิเสธตำแหน่งข่านยกตำแหน่งให้พี่ชายตามความปราถนาก่อนตายของเจงกิส ส่วนเซลุยปกครองดินแดนในมองโกลและเป็นผู้ที่โอโกไตไว้ใจมากที่สุด จนสั่งไว้ว่าเมื่อตายให้ยกตำแหน่งข่านใหญ่ให้ทายาทของเซลุย ซึ่งลูกชายคนโตของเซลุยชื่อหมิงเกอ ได้เป็นข่านใหญ่ในสมัยของหมิงเกอ ตีดินแดนเพิ่มได้อีกมากมาย ทั้ง ทิเบต เกาหลี ตะวันออกกลาง อิหร่าน อิรัก อินเดียตอนเหนือ ซึ่งคิดว่ากุบไลน่าจะเป็นลูกของเซลุย คับ |
vมังกรหลับv |
#69 vมังกรหลับv [ 01-09-2007 - 10:58:15 ] |
|
คำกล่าวอมตะอันกินใจนักรบบนหลังม้าอย่างเขาที่กล่าวกับกษัตริย์และเจ้าเมืองของข้า ศึกผู้ต่อต้านการบุกรุกของเขานั้น มีอยู่ว่า "คนแพ้ต้องตาย เพื่อที่คนชนะจะได้มีความสุข" หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า"ข้ามิได้ฆ่าเจ้าเพราะว่าข้าร้าย หากแต่ที่ข้าทำไปเพื่อที่จะทำให้ข้าได้มีความสุขต่างหาก" ในช่วงการทำลายล้างอย่างหนักของกองทัพมองโกลนั้น เจงกิสข่านได้ฟังคำแนะนำจากบรรดาขุนนางจีนว่าพระองค์ควรจะปกครองจักรวรรดิด้วยหลักธร รมการปกครองจากบรรดาปราชญ์และปัญญาชนหาใช่ด้วยคมดาบของกองทัพเพียงอย่างเดียวไม่ พระองค์จึงยอมรับในคำกราบทูลนั้นพร้อมกับส่งข่าวไปยังเมืองหลวงที่คาราโครัมเพื่อเชิ ญท่านปรมาจารย์ในตำนานที่มีนามกรว่า "ชิวชู่จี" และได้รับสมญานามว่า "ฉางชุน" หากแปลเป็นไทยก็จะได้ว่า "ฤดูใบไม้ผลินิรันดร์" ท่านฉางชุนผู้นี้ที่พำนักอยู่ในสำนักฉวนเจิน ( ชวนจินก่า ) ณ มณฑลซานตง ท่านนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังมากในเรื่องความเป็นอมตะและอัจฉริยภาพเป็นหนึ่งในแผ่นดิน จักรพรรดิราชวงศ์จินและจักรพรรดิราชวงศ์ซ่งต่างส่งทูตมาเชิญตัวท่านไปเป็นที่ปรึกษาป ระจำราชสำนัก แต่ท่านก็ปฏิเสธกลับไปทุกครั้ง แต่ด้วยความประสงค์ของท่านฉางชุนนั้นต้องการหยุดความโหดร้ายของกองทัพมองโกลและสร้าง สันติในดินแดนต่างๆ ท่านจึงได้ยินยอมออกเดินทางจากสำนักเดินทางไปพบเจงกิสข่านทันที อะแฮ่มๆ ใครที่เคยอ่านนวนิยายจีนจึงอาจคุ้นๆชื่อของท่านนักพรตผู้นี้ เช่นนั้นแล้วก็อย่าสงสัยเลยครับ เพราะท่านนักพรตชิวชู่จีนี้ก็คือนักพรตจอมยุทธ์ในเรื่อง "มังกรหยกภาคจอมยุทธล่าอินทรี (ปฐมบท)" ของกิมย้งนั่นแหละครับ |
vมังกรหลับv |
#70 vมังกรหลับv [ 01-09-2007 - 10:59:31 ] |
|
หน่วยข่าวม้าเร็ว ชาวมองโกลเป็นพวกเร่ร่อนบนหลังม้ามาแต่กำเนิด ดังนั้นแล้วการส่งสารระหว่างเมืองหรือกองทัพจึงไม่พ้นระบบม้าเร็วเป็นสำคัญ และระบบม้าเร็วของมองโกลนั้นนับว่าเป็นหน่วยข่าวที่รวดเร็วและแม่นยำที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น นายม้าเร็วของมองโกลนั้นจะสวมชุดเครื่องแบบชนิดพิเศษคือเสื้อไหมติดตราอินทรีและมีกร ะดิ่งห้อยข้างเอวเพื่อเป็นการบอกเตือนผู้คนที่สัญจรไปมาและนายม้าเร็วนั้นยังจะได้รั บอภิสิทธิ์ดังนี้ ๑. นายม้าเร็วไม่ต้องเสียภาษีเพราะเขาทำงานรับใช้ราชสำนักโดยตรงเช่นเดียวกันกับขุนนางแ ละขุนศึกทั้งหลาย ๒. นายม้าเร็วสามารถสั่งให้ขบวนแม่ทัพหรือขุนนางระดับสูงหลีกให้หยุดหรือหลีกไปให้พ้นทางได้ ๓. หากม้าเร็วมีอาการบาดเจ็บหรือตายลงระหว่างทาง นายม้าเร็วสามารถยึดม้าจากใครก็ได้ทั้งสิ้น นอกจากอภิสิทธิ์ที่เหนือใครของม้าเร็วแล้ว ความสำเร็จของหน่วยม้าเร็วคือการวางจุดส่งข่าวตามเส้นทางต่างๆ โดยจะมีการตั้งกระโจมรับรองทุกๆ ๘๐ ไมล์ ในหนึ่งกระโจมรับรองจะมีเหล่านายม้าเร็วเตรียมพร้อมคอยท่าอยู่ พร้อมม้าเร็วสำรองอีกนับร้อยตัวประจำการอยู่ การส่งสารของนายม้าเร็วนั้นจะดำเนินไปตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ๒๔ ชั่วโมง (ยังกะเซเว่นอีเลฟเว่นเลยวุ้ย?) มีบันทึกว่าข่าวจากกรุงคาราโครัมสามารถแผ่กระจายไปทั่วจักรวรรดิภายในเวลาไม่กี่ เดือน ( ยังกะ Fad Ex เลยเนอะ) การเดินทางจากนครซานตงจนถึงเทือกเขาฮินดูกูชในเอเชียกลางช่างลำบากแสนเข็ญกอปรกับ ต้องใช้เวลากว่าปี แต่ระบบม้าเร็วกับความมานะของท่านฉางชุนนั้นทำให้ท่านมาเข้าเฝ้าเจงกิสข่านได้ภายใน เวลาเพียง ๒ เดือนเท่านั้นเอง เมื่อท่านฉางชุนเดินทางมาถึงก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจงกิสข่านและบรรดาขุน ศึกมองโกลที่เชื่อว่าท่านนั้นบรรลุชั้นเซียนเข้าไปแล้ว เจงกิสข่านเชื่อว่าท่านนั้นเป็นอมตะและต้องการเป็นเช่นนั้นบ้าง แต่ทว่าท่านฉางชุนกลับบอกเจงกิสข่านไปว่าท่านหา ได้มีอายุยืนยาวนับร้อยปีไม่ ท่านมีอายุ ๘๐ ปีเท่านั้นเอง กอปรกับใช้หลักธรรมดำเนินชีวิตเช่นนี้แล้วจึงทำ ให้ท่านมีสุขภาพที่ยังคงสมบูรณ์และแข ็งแรงนั่นเอง เมื่อจอมข่านได้ยินเช่นนี้จึงยิ่งเลื่อมใสในตัวท่านเป็นยิ่งนัก ฉะนั้น เจงกิสข่านจึงได้เอ่ยถามถึงหลักการปกครองที่จะ สามารถปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่ที่พร ะองค์พิชิตมาได้ ท่านฉางชุนจึงได้ทูลตอบไปว่า "การจะสยบสรรพสิ่งในใต้หล้าหาใช่การเข่นฆ่าสรรพชีวิตไม่ จงปกครองแผ่นดินโดยการเคารพวิถีแห่งสวรรค์ แลมีความรักต่อปวงประชาเป็นที่ตั้ง" เจงกิสข่านได้สดับดังนั้นแล้วจึงตรัสถามไปว่าควรทำอย่างไรถึงจะเป็นอมตะได้ ท่างฉางชุนจึงทูลว่า "การมีชีวิตอมตะ จำต้องตัดความทะเยอทะยานและชำระใจให้บริสุทธิ์" คำสอนของท่างฉางชุนได้ขัดกับนโยบายอันโหดอำมหิตของมองโกลอย่างสิ้นเชิง แต่ทว่าด้วยคำสอนเหล่านี้ทำให้จอมข่าน ผู้พิชิตพระองค์นี้ยอมสยบต่อท่านฉางชุนโดยดุษฎ ี ท่านฉางชุนจึงได้ตำแหน่งราชครูแห่งราชสำนักมองโกล ท่านฉางชุนได้ชี้แนะหลักการปกครองและหลักธรรมต่างๆแก่เจงกิสข่าน จึงทำให้มีการปรับแก ้กฎหมายต่างๆที่โหดร้ายออกไปเพื่อให้แผ่นดินที่พิชิตมานั้นจะได้สงบสุขดังคำชี้แนะขอ งท่านฉางชุนผู้นี้นั่นเอง ท่านฉางชุนยังได้พำนักร่วมกับกองทัพมองโกลในเอเชียกลางร่วมปีและยังได้รับความเคารพน ับถือจากบรรดาขุนศึกมองโกลโดยถ้วนหน้า แต่ทว่าท่านกลับตัดสินใจที่จะกลับไปยังสำนักของท่าน เจงกิสข่านพยายามรั้งท่านไว้ทุกวิถีทางแต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจท่าได้เลย ดังนั้นในปี ค.ศ. ๑๒๒๓ ท่านจึงเดินทางกลับในที่สุด เราจะเห็นได้ว่าท่านฉางชุนหาได้มอบยาขนานใดแก่เจงกิสข่านแม้แต่ชนิดเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านได้มอบให้เจงกิสข่านและมัน ได้กลายมาเป็นนโยบายพื้นฐานของจอมข่าน มองโกลองค์ต่อๆมาคือ "ความเมตตา" นั่นเอง |
vมังกรหลับv |
#71 vมังกรหลับv [ 01-09-2007 - 11:02:45 ] |
|
เจงกิสข่าน ตำนานกล่าวว่าต้นตระกูลของเผ่ามองโกลนั้นเป็นพี่น้องสองคน คนพี่มีสามตาจึงมองได้ไกลกว่าคนทั่วไป วันหนึ่งพี่น้องคู่นี้ออกล่าสัตว์ พี่ชายมองเห็นรถม้าคันหนึ่งที่อยู่ไกลลิบและมีหญิงงามมาด้วย พี่จึงบอกน้องชายว่าจะชิงมาให้เป็นภรรยาของน้อง นั่นเป็นที่มาของการกำเนิดลูกชายทั้งหมดห้าคน พี่น้องทั้งห้าคนนี้ได้สืบเชื้อสายวงค์ตระกูลต่อไปอีกมากมายจนไปเป็นชาวมองโกลกลุ่ม ต่างๆ น้องชายคนสุดท้องคือต้นตระกูลสายตรงของเจงกิสข่าน ทางด้านเหนือของประเทศจีนมีชนเผ่าเร่ร่อนมากมายที่อาศัยอยู่ในทุ่งราบอันกว้างใหญ่ ในหน้าหนาวอากาศหนาวจัดจนต้องพาฝูงสัตว์มาหาอาหารตามบริเวณทางใต้ ในหน้าร้อนทุ่งราบทางใต้ส่วนใหญ่แห้งแล้งและ ทุรกันดารจึงต้องพาฝูงสัตว์ไปอาหารตามทางเหนือ ชาวมองโกลเป็นชนเผ่าหนึ่งที่เร่ร่อนบนหลังม้าไม่มีบ้านอยู่กันตามกระโจม บริเวณที่มีหญ้ามีน้ำ เสื้อผ้าทำจากหนังสัตว์ ไม่รู้จักปีฤดูการถือว่าหญ้าเขียวเป็นหนึ่งปี จนเมื่อเวลาล่วงไปธรรมชาติได้คัดสรรชีวิตที่เข็มแข็งเท่านั้นให้อยู่รอด ชนเผ่านี้กลายเป็นชนเผ่าที่ ทนหนาวทนร้อนทนหิว ชำนาญการใช้ชีวิตบนหลังม้า เชี่ยวชาญการใช้เกาทัณฑ์ เตมูจิน เกิดปี ค.ศ.1162 บิดาเป็นหัวหน้าเผ่าคิยาด ทางตอนกลางของมองโกเลีย ริมแม่น้ำรูเลน ประเพณีมองโกลถือว่าเมื่อจับแม่ทัพหัวหน้าข้าศึกได้จะต้องนำชื่อของเชลยมาตั้งเป็นชื่อของบุตรชาย เพื่อให้ความกล้าหาญแข็งแรงของศัตรูที่ตนจะฆ่าได้ถ่ายทอดสู่บุตรของตน เจงกิสข่านในวัยเด็กจึงมีชื่อว่า เตมูจิน จากชื่อแม่ทัพเผ่าทาทาร์ นอกจากนี้ในตำนานยังบอกด้วยว่าทารกเตมูจินที่เกิดมามีปานแดงที่ฝ่ามือ มีผู้ทำนายว่าจะได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต พออายุได้ 9 ขวบ บิดาเตมูจินถูกลอบปลงพระชนม์ ทำให้ชนเผ่าถูกตีแตก ครอบครัวและเตมูจินต้องลี้ภัยไปที่อื่น มีแม่เลี้ยงดูแลเพียงลำพัง ต้องเร่ร่อนดำเนินชีวิตด้วยการล่าสัตว์และต้อนฝูงสัตว์ในดินแดนที่เป็นสาธารณรัฐมองโกเลียในปัจจุบัน เตมูจินมีคุณสมบัติของความเป็นผู้นำ คือเฉลียวฉลาด กล้าหาญ มีแววนักสู้ การที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนตั้งแต่เด็กทำให้เตมูจินกลายเป็นนักรบที่ดุดันตั้งแต่อายุ เพียงแค่สิบกว่าขวบ ช่วงวัยรุ่นยังไม่ถึง 20 ปีเริ่มสานสัมพันธไมตรีกับเผ่าต่างๆ ของมองโกลด้วยวิธีทางการทูต ในปี 1189 พระองค์สถาปนาและเป็นผู้นำชนเผ่าคิยาด ซึ่งเป็นชนเผ่าดั้งเดิมอีกครั้ง เริ่มดำเนินการฝึกปรือพลกำลังจัดตั้งเป็นกองทัพทหารอย่างยิ่งใหญ่บนที่ราบกว้าง จนมีแสนยานุภาพเกรียงไกร ประกอบด้วยทหารม้าเป็นส่วนใหญ่ ทรงคัดเลือกผู้บัญชาการทัพด้วยพระองค์เอง กำหนดให้ชายฉกรรจ์ทุกคนต้องเป็นทหาร เพราะปกติวิถีชีวิตของชาวมองโกลนั้นเร่ร่อน ดังนั้นจึงสามารถระดมทัพจากประชากรได้ง่าย ในปี ค.ศ.1206 เตมูจินนำชาวมองโกลเป็นสหพันธ์เดียว และได้รับการขนานนามว่า "เจงกิสข่าน" หรือ "จักรพรรดิผู้เกรียงไกร" หลังจากนั้นเส้นทางการยึดครองก็เริ่มต้นขึ้น ปี ค.ศ.1209 ชาวมองโกลเริ่มปฏิบัติการทางทหารต่อมณฑลซีเซี่ย ซึ่งประกอบด้วยดินแดนส่วนใหญ่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน และบางส่วนของทิเบต การต่อสู้ดำเนินไปจนถึง ค.ศ.1210 ผู้ครองมณฑลซีเซี่ยยอมศิโรราบ ด้วยการรบอย่างเป็นระบบกองทัพของเจงกิสข่านก็พิชิตจีนทั้งหมด รวมทั้งแหลม ซึ่งปัจจุบันคือประเทศเกาหลี และบางส่วนขอธิเบต การต่อสู้ดำเนินไปจนถึง ค.ศ.1210 ผู้ครองมณฑลชีเชียก็ยอมสิโรราบ ด้วยการรบอย่างเป็นระบบกองทัพของเจงกิสข่านก็พิชิตจีนทั้งหมด รวมทั้งแหลมซึ่งปัจจุบันคือประเทศเกาหลี ก่อนจะหันไปทางตะวันตกเพื่อรบกับชาวเติร์กเมื่อราชทูตจำนวนหนึ่งถูกสังหาร ไม่นานก็สามารถยึดภูมิภาคซึ่งปัจจุบันประกอบด้วยอิรัก อิหร่าน และภาคตะวันตกของเตอร์กิสถาน ต่อด้วยภาคเหนือของอินเดียและปากีสถาน ก่อนจะมาถึงรัสเซียและยึดครองดินแดนตั้งแต่อ่าวเปอร์เซียไปจนถึงหมาสมุทรอาร์คติก ยุคสมัยของเจงกิสข่านจบลงระหว่างการปราบกบฏในมณฑลชีเชียช่วง ค.ศ.1226 หลังพระองค์ตกจากหลังม้าจนได้รับความบอบช้ำภายในอย่างหนัก แต่กองทัพของพระองค์ก็สามารถเดินหน้ายึดครองเมืองหลวงของชีเชียได้เป็นผลสำเร็จ แม้จักรวรรดิของเจงกิสข่านจะยิ่งใหญ่กินพื้นที่ 2 ทวีป แต่ก็ยังไม่เท่ากับอาณาเขตที่ “กุบไลข่าน” หลานชายที่สืบทอดมรดกต่อมาจากปู่ หลังจากปกครองแคว้นและเมืองต่าง ๆ มาได้ระยะหนึ่ง พุบไลข่านก็คิดการใหญ่ตัดสินใจที่จะพิชิตญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศเดียวที่ยังไม่ยอมก้มหัวให้ กุบไลข่านระดมกองเรือ 4,400 ลำ บรรทุกคน 140,000 คนมุ่งหน้าสู่เกาะญี่ปุ่น แต่แล้วจู่ ๆ เพียงคืนเดียวในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1281 กองเรือดังกล่าวและ ลูกเรือทั้งหมดกลับอันตรธานหายไป นับเป็นการสูญเสียชีวิตผู้คนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทางทะเล และเป็นจุดเปลี่ยนที่พลิกผันชะตาโลกที่สำคัญ กว่า 700 ปีที่กองเรือที่ว่าหายสาบสูญ เบื้องหลังจุดจบต่างถูกคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ จนกระทั่งชาวประมงญี่ปุ่นคนหนึ่งได้พบวัตถุหนัก ๆ ซึ่งทำจากทองแดง และมีรอยจารึกแบบมองโกล ด้วยความร่วมมือของเรือหาปลาลำนั้น ทีมงานนักโบราณคดีใต้น้ำนำโดย เคนโซ ฮายาชิดะ ผู้เชี่ยวชาญการดำน้ำแห่งสมาคมคิวชู โอกินาว่าเพื่อโบราณคดีใต้น้ำ พร้อมด้วยเจมส์ เดลกาโด้ แห่งพิพธภัณฑ์ชายฝั่งแวนคูเวอร์ เดินทางสู่อ่าวอิมาริห่างจากชายฝั่งญี่ปุ่นเพียง 3.2 กิโลเมตร ที่นั่นพวกเขาได้ค้นพบซากอับปางของเรือมองโกลขนาดมหึมา ดาบเหล็กและหมวกเหล็กซึ่งมีการประดับประดา ซากศพมนุษย์ ลูกระเบิดดินเหนียวที่ยังไม่ระเบิด และสมอขนาดมหึมาสิบอันที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง ซึ่งกลายมาเป็นสิ่งยืนยันข้อสันนิษฐานของฮายาชิดะที่ว่า เรือเหล่านี้มาจากจีนช่วงศตวรรษที่ 13 เนื่องจากในสมัยนั้นจีนเป็นศูนย์กลางการต่อเรือของจักรวรรดิมองโกล แต่ที่น่าพิศวงมากกว่านั้นก็คือ ตำแหน่งของสมอที่บ่งบอกว่าเรือเหล่านี้จมลงอย่างรุนแรงมาก ตำนานของญี่ปุ่นที่บอกว่า “กามิกาเซ่” หรือ “พลังของเทวดา” กวาดล้างการบุกจู่โจมของเรือลำนี้ แต่ผลการศึกษาของจูเลี่ยม เฮ็มมิ่ง ผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของโลกเรื่องพายุใต้ฝุ่นกลับพบว่า กองเรือนี้อาจตกเป็นเหยื่อของพายุใต้ฝุ่นที่รุนแรงกว่าปกติ หรือซุปเปอร์ใต้ฝุ่น แต่ใต้ฝุ่นก็อาจไม่ใช่ปัจจัยเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมนี้ขึ้น เพราะเครื่องใช้โบราณหน้าตาประหลาดบางอย่าง อาจบ่งชี้ถึงความผิดพลาดของมนุษย์หรือการทรยศหักหลัง แม้รัชสมัยของกุบไลข่านจะจบลงอย่างน่าตื่นตะลึง แต่มรดกที่ทิ้งไว้อย่างการประดิษฐ์เงินกระดาษจนใช้แพร่หลายอยู่ทุกวันนี้ หรือการสร้างเมืองใหม่สองเมืองอย่างเมืองทาทูหรือนครปักกิ่ง และเมืองชางทู เมืองหลวงแห่งใหม่ที่มีอีกชื่อว่าชานาตู และการนำกระแสศิลปะใหม่ ๆ มาสู่ประชาชนทำให้มองโกลยืนอยู่ในแถวหน้าของวัฒนธรรมโลก ส่วนอันนี้สรุปด้านต่างๆของยอดมหาราชันผู้นี่ครับ ด้านรัฐศาสตร์ เจงกิสข่านสามารถรวมเผ่ามองโกล ที่มีอยู่ มากมายหลายเผ่าเข้าเป็นสมาพันธ์ชาวเผ่า ได้ตั้งแต่มีวัยเพิ่ง แตกพาน นับเป็นสมาพันธ์แห่งแรกของโลกก็ว่าได้ และต่อมามีการรวมตัวสมาพันธ์ดังกล่าว เข้าเป็นอาณาจักร เดียวกัน โดยมีเจงกิสข่านเป็นกษัตริย์องค์แรก มีการขยายอาณาจักรออกไปเรื่อยๆ จนอาณาเขตด้านตะวันออก จดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มองโกเลียกลาย เป็นมหาจักรวรรดิขึ้นในเวลาต่อมา นอกจากการขยายอาณาจักรออกไปได้กว้างไกลแล้ว ยังรวบรวมช่างฝีมือ และผู้มีศิลปวิทยาการด้านต่างๆ ส่งกลับมายังมองโกเลียด้วย นอกเหนือจากทรัพย์สินเงินทองที่ยึดมาได้จากการบุกโจมตีอาณาจักรต่างๆ ด้านการศาสนา โดยปรกติชาวมองโกเลีย นับถือศาสนาพุทธ และลัทธิ "เต็งกรี" หรือ ลัทธิบูชาเทพ ชาวมองโกเลียนับถือเจงกิสข่าน เป็นเทพองค์หนึ่ง เป็นเทพชั้นราชาแห่งสวรรค์ แต่พระองค์ก็ไม่ขัดขวาง หรือกดขี่ศาสนาอื่น ดังนั้น ในมองโกเลียจึงมีทุกศาสนา ไม่ว่าพุทธ อิสลาม คริสต์ หรือลัทธิเต็งกรี แม้แต่ในพระบรมราชวงศ์ ของเจงกิสข่านยังมีผู้นับถือศาสนา กันเกือบทุกศาสนา ด้านการทหาร ในยุคของเจงกิสข่าน ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า โลกได้รับความยับเยิน จากภัยสงครามมากกว่ายุคใดในสมัยโบราณ ไม่ว่าสงครามครูเสด สงครามรวมอาณาจักรจีน สงครามในเอเชียกลางไม่มีครั้งไหน ที่บ้านเมืองจะถูกทำลายยับเยิน และผู้คนจะเสียชีวิตมากมายเท่าครั้งนี้ การรบของเจงกิสข่านไม่เหมือน จักรพรรดิองค์ใดในโลก ตามปรกติหากยอมอ่อนน้อมโดยดีก็จะมีการกำหนด ให้ส่งราชบรรณาการทุกปี แต่สำหรับเจงกิสข่านนั้น นอกจากเครื่องราชบรรณาการแล้ว ยังมีการเกณฑ์ไพร่พล เข้าร่วมในกองทัพด้วย จะเห็นได้ว่าในการเข้าตีกรุงแบกแดดเมื่อปี ค.ศ.1208 กองทัพเจงกิสข่าน ประกอบด้วยทหารจากจอร์เจีย อาร์เมเนีย และเปอร์เซียรวมอยู่ด้วย และหากบ้านเมืองใดต่อสู้ขัดขืน ก็จะตะลุยตีจนยึดเมืองได้ จากนั้นก็จะมีการสำรวจ ดูว่าชาวเมืองคนใด เป็นช่างฝีมือ และมีความรู้ความสามารถ ทางวิทยาการต่างๆ จะถูกส่งกลับไปมองโกเลีย ที่เหลือจะ ถูกสังหารหมด ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ สตรีหรือคนชรา แม้ว่าเจงกิสข่านจะนับถือศาสนาทุกศาสนา แต่ก็ไม่ละเว้นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาใด หากปรากฏว่ามีศัตรูเข้า ไปซ่อนตัวอยู่จะสั่งเผาทันที มีการบันทึกไว้ว่า เมื่อบุกตะลุยเข้าไปใน ดินแดนรัสเซีย เจ้าผู้ครองนครชาวรัสเซียหนีเข้าไปซ่อนตัวในโบสถ์ ด้วยคิดว่าเจงกิสข่านจะไม่ทำอันตราย แต่เจงกิสข่านก็สั่งให้เผาโบสถ์ให้ไฟคลอกจนสิ้น พระชนม์ทั้งเป็นทั้งหมด เจงกิสข่านบอกว่า ที่เผาโบสถ์ไม่ใช่เพราะลบหลู่พระเจ้า แต่เพราะคนเลวไปทำให้โบสถ์มัวหมองจึงต้องทำลายทิ้ง วีรกรรมยิ่งใหญ่ หากพิจารณาตามพื้นเพเดิมแล้ว เจงกิสข่านเป็นเพียงหัวหน้าเ ผ่ามองโกลเร่ร่อนเผ่าเล็กๆ เท่านั้น อาศัยอยู่ในเต็นท์ ไม่มีบ้านเมืองของตนเอง แต่สามารถปราบปรามจักรวรรดิต่างๆได้ราบคาบอย่างง่ายดาย ถือเป็นวีรกรรมที่ควรจะยกย่อง วีรกรรมที่จัดว่ายิ่งใหญ่นั้นได้แก่ การบุกตะลุยเข้าตีเมืองซามาร์คาน จนแตกกระเจิงโดยใช้เวลาไม่มากนัก ซามาร์คาน เป็นนครหลวงระดับ มหานครของจักรพรรดิ ชาห์ มูฮัมหมัด แห่งมหาจักรวรรดิ "ควาริตซึ่ม" ซามาร์คานต้องเรียกว่ามหานคร เพราะมีพลเมืองถึง 200,000 คน ภายในกำแพงเมือง จักรวรรดิ "ควาริตซึ่ม" ต้องเรียกมหาจักรวรรดิ เพราะครอบคลุมประเทศใหญ่ๆ ในปัจจุบันไว้ร่วมสิบประเทศ รวมทั้งอัฟกานิสถานและ อิหร่าน พรมแดนด้านตะวันตก จดทะเลสาบแคสเปียน ด้านใต้จดมหาสมุทรอินเดียภายในมหานครซามาร์คาน มีทหารประจำการพร้อมรบอยู่ถึง 110,000 คน เจงกิสข่านเคลื่อนพล 8 หมื่น ส่วนมากเป็น กองม้าบุกเข้าตีจนแตกพ่าย เมื่อยึดซามาร์คาน ได้ก็มีการสั่งเผาเมืองทั้งเมือง และไล่ฆ่าผู้คนตายนับแสน เหลือไว้เฉพาะช่างฝีมือ และผู้มีความรู้เพียง 30,000 คน และส่งคนเหล่านี้ไปมองโกเลีย เพื่อเป็นทรัพยากรบุคคลของชาติต่อไป เจงกิสข่านเกือบครองโลก นักประวัติศาสตร์ให้ความเห็นตรงกันว่า หากรุกไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อไหร่ เจงกิสข่าน จะได้ ชื่อว่าเป็น มหาจักรพรรดิองค์แรก และองค์เดียวที่ครองโลกได้ โลกในยุคนั้นมีแค่จากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก แถวเมืองจีนไล่ไปถึงฝั่ง มหาสมุทรแอตแลนติก เท่านั้น เพราะเป็นเขตที่มีการตั้งอาณาจักร มีวัฒนธรรมกัน กองทัพเจงกิสข่านตะลุยยึดได้รัสเซียกว่าค่อนประเทศ บุกถึงยุโรปกลางและเยอรมันเตรียมบุกยึดเกาะอังกฤษอยู่แล้ว แต่เปลี่ยนใจเดินทางกลับบ้านเมืองเสียก่อน นักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า หากเดินทัพต่อไปจริงๆ ก็คงยึดได้ไม่ยาก กองทัพประหลาด และกลยุทธ์ผ่าเหล่า เจงกิสข่านจัดรูปแบบ กระบวนทัพแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เดินทัพไปเลี้ยงสัตว์พวกวัวควาย และแพะ ตลอดจน ม้าศึกไปด้วย เมื่อสั่งบุกโจมตี ก็สามารถรวมพลได้เร็วและสามารถเข้าตีได้อย่างสายฟ้าแลบ กำลังหลักของเจงกิสข่านจะมีประมาณ 100,000 คน แบ่งออกเป็นสิบ "ทูเมน" หรือกองพลมีกําลังรบ 10,000 นาย แต่ละกองพลจะมีผู้ติดตามทหารอีก นายละ 4 คน โดยเฉลี่ย ดังนั้น ในแต่ละกองพล จะมีผู้คนติดตาม ขบวนทหารอีกประมาณ 4 หมื่นคน เมื่อเข้าตี ขบวนครอบครัวผู้ติดตามทหารมา จะต้องถอยห่างออกไปทางด้านหลังแนวรบ หน่วยรบจะได้รับการฝึกปรือเพลงอาวุธ ทุกประเภทอย่างเจนจบ ศึกษายุทธศาสตร์ต่างๆจากหลายชาติ เช่น เปอร์เซีย อาหรับ และจีน ในการเดินทัพ "ทูเมน" หรือกองพลต่างๆ จะจัดกระบวนทัพ เป็นแนวหน้ากระดานกว้าง 50 ไมล์ โดยมีทัพหลวงอยู่ตรงกลาง เจงกิสข่านพร้อมกับพระมเหสีและพระสนมจะประทับอยู่ในเต็นท์เดียวกัน เป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ ติดล้อเพื่อให้เคลื่อนที่ได้ ในตอนกลางวันเต็นท์หลวง จะทําหน้าที่เป็นที่ออกขุนนาง และรับราชทูต ส่วนกลางคืนใช้เป็นที่ประทับ ซึ่งประทับในเต็นท์เดียวกันหมด ทั้งพระมเหสี พระสนม พระโอรสและธิดา เต็นท์ถัดไปข้างหลัง จะเป็นของพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งจะเคลื่อนไปข้างหน้า ตามลําดับความสําคัญ ของฐานานุรูป โดยใช้วัวนับสิบตัวลาก ในขบวนทัพจะมีม้าสํารอง ไว้คอยเปลี่ยนเป็นจํานวนมาก นอกจากนั้นยังมีฝูงแกะแพะติดตาม ไปด้วยทุกกองพล เพื่อใช้เป็นแหล่งเสบียง เนื่องจากชาวมองโกลนิยม ดื่มนมสัตว์เป็นอาหารหลัก และยังได้เนื้อเป็นอาหารอีกด้วย การเคลื่อนทัพไปในยามปรกต ิใช้ความเร็วตํ่ามากเพียง 5 ไมล์ต่อวันเท่านั้น และจะมีการหยุดพักการเดินทาง วันละ 4 ครั้ง เพื่อรีดนมสัตว์เป็นอาหาร เมื่อจะเข้าทําการโจมตี กองพลทั้งสิบจะเข้ารวมตัว กับทัพหลวงอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งไปข้างหน้าราวสายฟ้าแลบ จะเห็นได้ว่า เจงกิสข่าน ตะลุยไปแล้วทั่วโลก บุกเกาหลี ข้ามทะเลไปตีถึงญี่ปุ่น ลุยมาถึงฮานอย ในอดีต และเหยียบไปถึงเมืองพุกามในพม่า นอกจากมีความสามารถ ในการรบอย่างสุดยอดแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม เนื่องจากให้เสรีใน การนับถือแก่ ทุกศาสนาในโลก โดยไม่กดขี่หรือกีดกัน เจงกิสข่านพิสูจน์ตัวเองแล้วว่า ไม่ใช่คนเถื่อน เพราะยังมีใจรักอารยธรรมและวัฒนธรรม แม้จะนิยมการเผาบ้านเมือง และถาวรวัตถุของศัตรู แต่ก็เป็นไปด้วยเหตุผล ทางยุทธศาสตร์ประการเดียว และยังมีการไว้ชีวิต ช่างฝีมือ และผู้มีความรู้ด้านศิลปวิทยาการต่างๆ และส่งกลับมองโกเลีย ด้วยหวังว่าจะได้สอน ชาวมองโกเลียให้มีความก้าวหน้า ในศิลปวิทยาการต่างๆ บ้าง แต่เหนือสิ่งอื่นใด การที่เจงกิสข่านสามารถ ตะลุยปราบหัวเมืองต่างๆ ไปได้เกือบทั่วโลกโดยไม่มีใครต้าน พลานุภาพได้ และไม่มีใครทําได้สําเร็จเช่นนี้ ตลอดช่วงสหัสวรรษเดียวกันนี้ ก็พอเพียงที่จะได้รับการยกย่อง แล้วว่า เป็นมหาบุรุษได้อย่างไม่มีข้อกังขา. |
โอ๋ |
#72 โอ๋ [ 01-09-2007 - 11:04:48 ] |
|
กุบไลข่าน เป็นลูกของเซลุย ฟังธง! ![]() ลูกคนโตของเจงกิสข่านที่ชื่อ โจจิ จริงๆไม่ใช่ลูกในไส้ เป็นลูกที่เกิดจากเมียเจงกิสข่านกับใครก็ไม่รู้ ตอนนั้นเมียเจงกิสข่านถูกพาไปโทรม ![]() ![]() |
vมังกรหลับv |
#73 vมังกรหลับv [ 01-09-2007 - 11:37:21 ] |
|
โจจิ เป็นลูก ของบูร์ไต กับ หัวหน้าเผ่าเมอร์คิต อะ |
มังกรบูรพา | |
![]() |
เจงกิสข่านครับเพราะเป็นคนปูทางไว้ให้ ![]() |
tum | |
![]() |
เขาเคยโหวตบุคคลในรอบ รอบ1000ปี เจงกิสข่านเป็นบุคคลแห่งสหัสวรรษ อเลคซานเดอร์ได้ที่2 อันนี้ก็อปเขามาทั้งดุน ทำไม? โลกจึงยกย่อง เจงกิสข่านเป็นบุคคลแห่งสหัสวรรษ สหัสวรรษที่แล้วผ่านไป พร้อมกับการสิ้นสุด ของศตวรรษ มีการคัดเลือกบุคคลดีเด่น แห่งศตวรรษ และสหัสวรรษ คือรอบร้อยปี และพันปีไปเรียบร้อยแล้ว ตำแหน่งบุคคลแห่งศตวรรษได้แก่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ส่วนบุคคลแห่งสหัสวรรษนั้น คิดกัน... เถียงกัน และทะเลาะกันอยู่นานกว่าจะลงมติกันได้ว่า ตำแหน่งบุรุษแห่ง สหัสวรรษนั้นสมควรมอบให้แก่ เจงกิสข่าน มหาจักรพรรดิของโลกชาวมองโกเลีย เหตุผลในการยกย่อง ให้เจงกิสข่านเป็นบุคคลโดดเด่น ในรอบพันปีนั้นมีมากมาย ซึ่ง ไทยรัฐ ซันเดย์ สเปเชียล โดยทีมงาน ต่วย"ตูน จะได้ ประมวลมานำเสนอคุณผู้อ่านให้ได้ทราบชัดๆ เป็นหัวข้อว่า ทำไมจึงมีการมอบตำแหน่งเกียรติยศ ในรอบสหัสวรรษ ให้แก่บุคคลผู้นี้ดังนี้ ด้านรัฐศาสตร์ เจงกิสข่านสามารถรวมเผ่ามองโกล ที่มีอยู่ มากมายหลายเผ่าเข้าเป็นสมาพันธ์ ชาวเผ่าได้ตั้งแต่มีวัยเพิ่ง แตกพาน นับเป็นสมาพันธ์แห่งแรกของโลกก็ว่าได้ และต่อมามีการรวมตัวสมาพันธ์ดังกล่าว เข้าเป็นอาณาจักร เดียวกัน โดยมีเจงกิสข่านเป็นกษัตริย์องค์แรก มีการขยายอาณาจักรออกไปเรื่อยๆ จนอาณาเขตด้านตะวันออก จดชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ด้านตะวันตกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มองโกเลียกลาย เป็นมหาจักรวรรดิขึ้นในเวลาต่อมา นอกจากการขยายอาณาจักรออกไปได้กว้างไกลแล้ว ยังรวบรวมช่างฝีมือ และผู้มีศิลปวิทยาการด้านต่างๆ ส่งกลับมายังมองโกเลียด้วย นอกเหนือจากทรัพย์สินเงินทอง ที่ยึดมาได้จากการบุกโจมตีอาณาจักรต่างๆ ด้านการศาสนา โดยปรกติชาวมองโกเลีย นับถือศาสนาพุทธ และลัทธิ "เต็งกรี" หรือ ลัทธิบูชาเทพ ชาวมองโกเลีย นับถือเจงกิสข่าน เป็นเทพองค์หนึ่ง เป็นเทพชั้นราชาแห่งสวรรค์ แต่พระองค์ก็ไม่ขัดขวาง หรือกดขี่ศาสนาอื่น ดังนั้น ในมองโกเลียจึงมีทุกศาสนา ไม่ว่าพุทธ อิสลาม คริสต์ หรือลัทธิเต็งกรี แม้แต่ในพระบรมราชวงศ์ ของเจงกิสข่านยังมีผู้นับถือศาสนา กันเกือบทุกศาสนา ด้านการทหาร ในยุคของเจงกิสข่าน ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า โลกได้รับความยับเยิน จากภัยสงครามมากกว่า ยุคใดในสมัยโบราณ ไม่ว่าสงครามครูเสด สงครามรวมอาณาจักรจีน สงครามในเอเชียกลาง ไม่มีครั้งไหน ที่บ้านเมืองจะถูกทำลายยับเยิน และผู้คนจะเสียชีวิตมากมายเท่าครั้งนี้ การรบของเจงกิสข่านไม่เหมือน จักรพรรดิองค์ใดในโลก ตามปรกติหากยอมอ่อนน้อมโดยดี ก็จะมีการกำหนด ให้ส่งราชบรรณาการทุกปี แต่สำหรับเจงกิสข่านนั้น นอกจากเครื่องราชบรรณาการแล้ว ยังมีการเกณฑ์ไพร่พล เข้าร่วมในกองทัพด้วย จะเห็นได้ว่าในการเข้าตีกรุงแบกแดดเมื่อปี ค.ศ.1258 กองทัพเจงกิสข่าน ประกอบด้วยทหารจากจอร์เจีย อาร์เมเนีย และเปอร์เซียรวมอยู่ด้วย และหากบ้านเมืองใดต่อสู้ขัดขืน ก็จะตะลุยตีจนยึดเมืองได้ จากนั้นก็จะมีการสำรวจ ดูว่าชาวเมืองคนใด เป็นช่างฝีมือ และมีความรู้ความสามารถ ทางวิทยาการต่างๆ จะถูกส่งกลับไปมองโกเลีย ที่เหลือจะ ถูกสังหารหมด ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ สตรีหรือคนชรา แม้ว่าเจงกิสข่านจะนับถือศาสนาทุกศาสนา แต่ก็ไม่ละเว้นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาใด หากปรากฏว่ามีศัตรูเข้า ไปซ่อนตัวอยู่จะสั่งเผาทันที มีการบันทึกไว้ว่า เมื่อบุกตะลุยเข้าไปใน ดินแดนรัสเซีย เจ้าผู้ครองนครชาวรัสเซียหนีเข้า ไปซ่อนตัวในโบสถ์ ด้วยคิดว่าเจงกิสข่านจะไม่ทำอันตราย แต่เจงกิสข่านก็สั่งให้เผาโบสถ์ให้ไฟคลอกจนสิ้น พระชนม์ทั้งเป็นทั้งหมด เจงกิสข่านบอกว่า ที่เผาโบสถ์ไม่ใช่เพราะลบหลู่พระเจ้า แต่เพราะคนเลวไปทำให้โบสถ์มัวหมอง จึงต้องทำลายทิ้ง วีรกรรมยิ่งใหญ่ หากพิจารณาตามพื้นเพเดิมแล้ว เจงกิสข่านเป็นเพียงหัวหน้าเ ผ่ามองโกลเร่ร่อนเผ่าเล็กๆ เท่านั้น อาศัยอยู่ในเต็นท์ ไม่มีบ้านเมืองของตนเอง แต่สามารถปราบปรามจักรวรรดิต่างๆ ได้ราบคาบอย่างง่ายดาย ถือเป็นวีรกรรมที่ควรจะยกย่อง วีรกรรมที่จัดว่ายิ่งใหญ่นั้นได้แก่ การบุกตะลุยเข้าตีเมืองซามาร์คาน จนแตกกระเจิงโดยใช้เวลาไม่มากนัก ซามาร์คาน เป็นนครหลวงระดับ มหานครของจักรพรรดิ ชาห์ มูฮัมหมัด แห่งมหาจักรวรรดิ "ควาริตซึ่ม" ซามาร์คานต้องเรียกว่ามหานคร เพราะมีพลเมืองถึง 200,000 คน ภายในกำแพงเมือง จักรวรรดิ "ควาริตซึ่ม" ต้องเรียกมหาจักรวรรดิ เพราะครอบคลุมประเทศใหญ่ๆ ในปัจจุบันไว้ร่วม สิบประเทศ รวมทั้งอัฟกานิสถานและอิหร่าน พรมแดนด้านตะวันตก จดทะเลสาบแคสเปียน ด้านใต้จดมหาสมุทรอินเดีย ภายในมหานครซามาร์คาน มีทหารประจำการพร้อมรบอยู่ถึง 110,000 คน เจงกิสข่านเคลื่อนพล 8 หมื่น ส่วนมากเป็น กองม้าบุกเข้าตีจนแตกพ่าย เมื่อยึดซามาร์คาน ได้ก็มีการสั่งเผาเมืองทั้งเมือง และไล่ฆ่าผู้คนตายนับแสน เหลือไว้เฉพาะช่างฝีมือ และผู้มีความรู้เพียง 30,000 คน และส่งคนเหล่านี้ไปมองโกเลีย เพื่อเป็นทรัพยากรบุคคลของชาติต่อไป เจงกิสข่านเกือบครองโลก นักประวัติศาสตร์ให้ความเห็นตรงกันว่า หากรุกไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกได้เมื่อไหร่ เจงกิสข่านจะได้ ชื่อว่าเป็น มหาจักรพรรดิองค์แรก และองค์เดียวที่ครองโลกได้ คุณผู้อ่านต้องเข้าใจนะครับว่า โลกในยุคนั้นมีแค่จากฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก แถวเมืองจีนไล่ไปถึงฝั่ง มหาสมุทรแอตแลนติก เท่านั้น เพราะเป็นเขตที่มีการตั้งอาณาจักร มีวัฒนธรรมกัน กองทัพเจงกิสข่านตะลุยยึดได้รัสเซียกว่าค่อนประเทศ บุกถึงยุโรปกลางและเยอรมัน เตรียมบุกยึดเกาะอังกฤษอยู่แล้ว แต่เปลี่ยนใจเดินทางกลับบ้านเมืองเสียก่อน นักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า หากเดินทัพต่อไปจริงๆ ก็คงยึดได้ไม่ยาก กองทัพประหลาด และกลยุทธ์ผ่าเหล่า เจงกิสข่านจัดรูปแบบ กระบวนทัพแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เดินทัพไปเลี้ยงสัตว์พวกวัวควาย และแพะ ตลอดจน ม้าศึกไปด้วย เมื่อสั่งบุกโจมตี ก็สามารถรวมพลได้เร็ว และสามารถเข้าตีได้อย่างสายฟ้าแลบ กำลังหลักของเจงกิสข่านจะมีประมาณ 100,000 คน แบ่งออกเป็นสิบ "ทูเมน" หรือกองพลมีกําลังรบ 10,000 นาย แต่ละกองพลจะมีผู้ติดตามทหารอีก นายละ 4 คน โดยเฉลี่ย ดังนั้น ในแต่ละกองพล จะมีผู้คนติดตาม ขบวนทหารอีกประมาณ 4 หมื่นคน เมื่อเข้าตี ขบวนครอบครัวผู้ติดตามทหารมา จะต้องถอยห่างออกไปทางด้านหลังแนวรบ หน่วยรบจะได้รับการฝึกปรือเพลงอาวุธ ทุกประเภทอย่างเจนจบ ศึกษายุทธศาสตร์ต่างๆ จากหลายชาติ เช่น เปอร์เซีย อาหรับ และจีน ในการเดินทัพ "ทูเมน" หรือกองพลต่างๆ จะจัดกระบวนทัพ เป็นแนวหน้ากระดานกว้าง 50 ไมล์ โดยมีทัพหลวงอยู่ตรงกลาง เจงกิสข่านพร้อมกับพระมเหสีและพระสนมจะประทับอยู่ในเต็นท์เดียวกัน เป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ ติดล้อเพื่อให้เคลื่อนที่ได้ ในตอนกลางวันเต็นท์หลวง จะทําหน้าที่เป็นที่ออกขุนนาง และรับราชทูต ส่วนกลางคืนใช้เป็นที่ประทับ ซึ่งประทับในเต็นท์เดียวกันหมด ทั้งพระมเหสี พระสนม พระโอรสและธิดา เต็นท์ถัดไปข้างหลัง จะเป็นของพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งจะเคลื่อนไปข้างหน้า ตามลําดับความสําคัญ ของฐานานุรูป โดยใช้วัวนับสิบตัวลาก ในขบวนทัพจะมีม้าสํารอง ไว้คอยเปลี่ยนเป็นจํานวนมาก นอกจากนั้นยังมีฝูงแกะแพะติดตาม ไปด้วยทุกกองพล เพื่อใช้เป็นแหล่งเสบียง เนื่องจากชาวมองโกลนิยม ดื่มนมสัตว์เป็นอาหารหลัก และยังได้เนื้อเป็นอาหารอีกด้วย การเคลื่อนทัพไปในยามปรกต ิใช้ความเร็วตํ่ามากเพียง 5 ไมล์ต่อวันเท่านั้น และจะมีการหยุดพักการเดินทาง วันละ 4 ครั้ง เพื่อรีดนมสัตว์เป็นอาหาร เมื่อจะเข้าทําการโจมตี กองพลทั้งสิบจะเข้ารวมตัว กับทัพหลวงอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งไปข้างหน้าราวสายฟ้าแลบ จะเห็นได้ว่าเจงกิสข่านยิ่งใหญ่จริงๆ ตะลุยไปแล้วทั่วโลก บุกเกาหลี ข้ามทะเลไปตีถึงญี่ปุ่น ลุยมาถึงฮานอย ในอดีต และเหยียบไปถึงเมืองพุกามในพม่า นอกจากมีความสามารถ ในการรบอย่างสุดยอดแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม เนื่องจากให้เสรีใน การนับถือแก่ ทุกศาสนาในโลก โดยไม่กดขี่หรือกีดกัน เจงกิสข่านพิสูจน์ตัวเองแล้วว่า ไม่ใช่คนเถื่อน เพราะยังมีใจรักอารยธรรมและวัฒนธรรม แม้จะนิยม การเผาบ้านเมือง และถาวรวัตถุของศัตรู แต่ก็เป็นไปด้วยเหตุผล ทางยุทธศาสตร์ประการเดียว และยังมีการไว้ชีวิต ช่างฝีมือ และผู้มีความรู้ด้านศิลปวิทยาการต่างๆ และส่งกลับมองโกเลีย ด้วยหวังว่าจะได้สอน ชาวมองโกเลียให้มีความก้าวหน้า ในศิลปวิทยาการต่างๆ บ้าง แต่เหนือสิ่งอื่นใด การที่เจงกิสข่านสามารถ ตะลุยปราบหัวเมืองต่างๆ ไปได้เกือบทั่วโลก โดยไม่มีใครต้าน พลานุภาพได้ และไม่มีใครทําได้สําเร็จเช่นนี้ ตลอดช่วงสหัสวรรษเดียวกันนี้ ก็พอเพียงที่จะได้รับการยกย่อง แล้วว่า เป็นมหาบุรุษได้อย่างไม่มีข้อกังขา. http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=8113 |
...แค่ผ่านมา | |
![]() |
เจสขีสข่านชั่วร์ ![]() |
vมังกรหลับv |
#77 vมังกรหลับv [ 13-01-2008 - 10:36:40 ] |
|
เจงกิสข่านเหนือกว่ากุบไลเยอะคับ |
จอมยุทธ์มังกรน้อย |
#78 จอมยุทธ์มังกรน้อย [ 13-01-2008 - 12:19:13 ] |
|
เอางงี้ เจงกิสข่านพิชิตเกือบทั้งโลก ส่วนกุบไล่ข่านพิชิตแค่เอเชีย ใครเก่งกว่าละ ![]() |
แฟนหยางมี่ |
#79 แฟนหยางมี่ [ 15-01-2008 - 21:38:19 ] |
|
แล้วถ้าอเล็กซานเดอร์สู้กับเจงกิสข่านล่ะครับ ![]() ใครจะชนะ ![]() |
vมังกรหลับv |
#80 vมังกรหลับv [ 15-01-2008 - 21:50:30 ] |
|
ไม่ต้องคิดเลย ถ้าอเล็กซานเดอร์ สู้กับเจงกิส เจงกิสก็ชนะอยู่แล้วละฮะ อาณาจักรของเจงกิสใหญ่กว่าอเล็ก 4 เท่า |