 
   
  | ซือหม่าซันเหนียง | #62   ซือหม่าซันเหนียง     [ 27-07-2009 - 16:17:02 ]  | 
|  | รอท่านอัสนีบาต มาตอบนะ    | 
| ฝ่ามืออัสนีบาต | #63   ฝ่ามืออัสนีบาต     [ 27-07-2009 - 18:11:00 ]  | 
|  | ตอบจอมยุทธ์พันหน้านะครับ ธรรมะ มีความหมายหลายอย่าง หมายถึงความถูกต้องดีงาม ก็ได้ หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้ แต่ถ้าให้ความหมายที่คนทั่วไปน่าจะเข้าใจก็คือความเป็นเหตุผลของสิ่งทั้งปวงที่อิงอาศัยกันเกิดขึ้นตามหลักอิทัปปัจจยตาครับ  | 
| ซือหม่าซันเหนียง | #64   ซือหม่าซันเหนียง     [ 27-07-2009 - 18:12:46 ]  | 
|  | อยากถามว่า ภิกษุณี ต้องเป็นพระพุทธเจ้าบวช ให้ ปัจจุบัน ไม่มีแล้วใช่หรือไม่ค่ะ   | 
| ฝ่ามืออัสนีบาต | #65   ฝ่ามืออัสนีบาต     [ 27-07-2009 - 18:50:54 ]  | 
|  | ตอบท่านชงยี้นะครับ รักแท้ในความคิดข้าคือความกรุณาครับ คือรักที่มีแต่จะให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบนี้คงเคยได้ยินกันบ่อยแล้ว  และตามที่ข้าศึกษามารักจะมีอยู่4ประเภทใหญ่ๆคือ 1.รักตัวกลัวตาย เป็นไปตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด 2.รักใคร่ปรารถนา ส่วนมากความรักที่พูดถึงกันก็คือรักประเภทนี้ ซึ่งเป็นความรักในวัยหนุ่ม-สาว ในเชิงชู้สาวที่อิงสัญชาตญาณการสืบพันธุ์ 3.รักเมตตาอารี รักที่ปรารถนาจะให้คนอื่นพ้นไปจากความทุกข์ยากลำบาก หรือความสงสาร 4.รักมีแต่ให้ รักโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ไม่ว่าจะได้รับความรักตอบแทนหรือไม่ ซึ่งรักแท้ก็น่าจะเป็นข้อนี้ ที่รักแล้วเป็นทุกข์ก็มีหลายสาเหตุครับ แต่ถ้ามาสรุปเหตุจริงๆแล้วก็คือเราอยากครอบครองคนที่เรารัก และเมื่อคนรักจากเราไปหรือตายไป เราก็เป็นทุกข์เพราะเราคาดหวังว่าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ถ้าอยากรักโดยเป็นทุกข์น้อยๆก็ต้องเข้าใจสภาพความเป็นจริงของสรรพสิ่งคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ซึ่งถ้าเข้าใจความข้อนี้เราจะทุกข์น้อย เพราะรู้แล้วว่าสักวันหนึ่งก็ต้องพรากจากกันเป็นธรรมดา ส่วนที่ว่ารักที่เป็นทุกข์ไม่ถือว่าเป็นรักแท้นั้น ข้าคิดว่าก็คงใช่ เพราะเป็นทุกข์ก็เพราะเรายังคาดหวังว่าคนที่เรารักจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ จะอยู่กับเราตลอดไปหรือไม่นั่นเป็นสิ่งที่เราคาดหวัง เราอาจจะรักเขาจริงๆอยุ่ แต่เราอยากครอบครองเค้า ซึ่งแน่นอนถ้าอยากครอบครองก็ทุกข์ เพราะทุกข์สิ่งที่เราครอบครองวันนึงก็ต้องจากเราไป ข้าอยากตั้งข้อสังเกตว่า การที่ใครซักคนทุ่มเทให้ความรักแก่คนๆนึงจนหมดหัวใจ และคาดหวังว่าคนๆนั้นจะรักตอบ แต่เขาไม่รักตอบ เราก็เสียใจ ข้าจึงอยากถามว่าที่ทุ่มเทไปนั้นเพื่อคนที่รักหรือเพื่อตัวเองกันแน่ เพราะข้าคิดว่าการทำแบบนี้ก็คือการทำเพื่อตัวเอง ให้ตัวเองมีความสุข เพราะเราคาดหวังว่าถ้าเขารักตอบแล้วเราจะมีความสุข พอเขาไม่รักตอบเราก็ทุกข์ จริงแล้วทำเพื่อใครกันแน่ ความรักมีพลังทำให้โลกสงบสุขได้จริงไหม จริงแน่นอน เพราะถ้าคนเกลียดกันทั้งโลก ลองคิดดูว่าจะตายกันซักเท่าไร เพราะต่างคนก็ต่างมุ่งทำลายกัน โลกนี้ก็คงไม่พบกับคำว่าสันติแน่นอน โลกอยู่ได้เพราะความรักความมีน้ำใจจะช่วยพยุงโลกไว้ให้พ้นจากอำนาจมืดดำแห่งความชิงชังริษยา หรือคิดง่ายๆเลยไม่ต้องเอาถึงโลกหรอก แค่ในครอบครัว ถ้าคนในครอบครัวรักกัน หวังดีต่อกัน ครอบครัวนั้นก็คงมีความสุขแน่นอน ในมุมกลับถ้าในครอบครัวเกลียดกัน ไม่มองหน้ากัน แล้วจะมีความสุขสงบได้ยังไง การพบรักแท้จะพบได้มั้ย ซึ่งข้าเข้าใจว่าคงหมายถึงคู่แท้ การจะพบได้หรือไม่นั้นท่านต้องมอบความรักแท้แก่เขาก่อน โดยสร้างความรักแบบมีแต่ให้ขึ้นในตัวท่านก่อน แล้วท่านจะพบรักแท้ซึ่งมีภายในตน แต่ถ้าหมายถึงจะเจอคู่แท้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าสองคนจะมั่นคงในกันและกันมากแค่ไหน จะซื่อสัตย์ในความรักต่อกันและกันมากเพียงใด และนั่นอาจจะเปนคำตอบที่ท่านกำลังถามก็ได้ ทุกคำตอบที่ข้าตอบบางข้อก็เป็นความรู้ บางข้อก็เป็นความคิดเห็นซึ่งอาจจะผิดก็ได้ เชิญท่านอื่นๆชี้แนะข้าด้วยนะครับ | 
| ฝ่ามืออัสนีบาต | #66   ฝ่ามืออัสนีบาต     [ 27-07-2009 - 18:56:32 ]  | 
|  | ตอบท่านซือหม่าซันเหนียงนะครับ  ภิกษุณีในปัจจุบันยังคงมีครับ เช่นภิกษุณีนิรามิสา ภิกษุณีธัมมนันทา  ซึ่งการมีภิกษุณีนี้ ท่านนรินทร์ กลึง ภาษิต ปัญญาชนสมัยก่อนได้ต่อสู้เรียกร้องให้มีครับ ถึงขนาดว่าลูกสาวของท่านก็บวชเป็นภิกษุณี  | 
| ซือหม่าซันเหนียง | #67   ซือหม่าซันเหนียง     [ 27-07-2009 - 18:57:02 ]  | 
|  | ขอบคุณมาก  | 
| ฝ่ามืออัสนีบาต | #68   ฝ่ามืออัสนีบาต     [ 27-07-2009 - 18:59:03 ]  | 
|  | ส่วนมากในนิกายเถรวาท จะไม่ค่อยมีภิกษุณีครับ แต่ในนิกายเซน  กับนิกายวัชรยานที่อยู่ทางธิเบต ภูฏาน มีมากครับ   | 
| ซือหม่าซันเหนียง | #69   ซือหม่าซันเหนียง     [ 27-07-2009 - 19:00:56 ]  | 
|  | อืม ท่องแท้     | 
| ๐คุณชายไร้เงา๐ | #70   ๐คุณชายไร้เงา๐     [ 27-07-2009 - 19:42:03 ]  | 
|  |           แต่ตัวกระผมว่าบางทีเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ศาสนาก็ต้องตามให้ทันด้วย มิเช่นนั้นศาสนาจะไม่สามารถยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนไว้ได้ เพราะในปัจจุบัน ไม่เหมือนในสมัยพุทธกาล ผู้คนมีกิเลสมากขึ้นหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่จำเป็นกับ สมัยก่อนกลับจำเป็นมากในสมัยนี้ เช่นปัจจัยที่เพิ่มขึ้นมาสำหรับมนุษย์ การสื่อสารไงล่ะคับ วิทยาการต่างเริ่มเปิดตาของมนุษย์ให้กว้างขึ้น แต่มิได้เปิดใจตามไปด้วย ทำให้มนุษย์รู้สึก ลังเล สงสัย ไม่มั่นคงกับสิ่งที่ยึดถือแต่โบราณกาล เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่าเมื่อโลกเปลี่ยนไป ศาสนาก็ควรที่จะเข้มแข็งขึ้นพร้อมต่อสู้กับกระแสโลกาภิวัฒน์ด้วย... ที่กล่าวมาเช่นนี้เพราะตัวผมเองก็เป็นหนึ่งคนที่เริ่มลังเล และไม่มั่นคงกับศาสนา ทุกครั้งที่ดูข่าว ทุกครั้งที่เข้าวัด ทุกครั้งที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนา ก็มักจะเกิดคำถามขึ้นมาในหัวเรื่อยๆ และในเมื่อตัวผมซึ่งเป็นคนธรรมดายังรู้สึกเช่นนี้ ผมจึงมั่นใจว่าต้องมีคนที่รู้สึกเหมือนกับ ตัวผมด้วยเช่นกัน .... | 
| ฝ่ามืออัสนีบาต | #71   ฝ่ามืออัสนีบาต     [ 27-07-2009 - 20:27:13 ]  | 
|  | ก็เพราะทุกวันนี้พระสงฆ์เราด้อยคุณภาพลงทุกทีครับ แต่ที่มีคุณภาพที่เป็นพระสุปฏิปันโน ก็มีครับแต่ส่วนน้อย  อย่างเช่นพระที่ใบ้หวย ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง คนที่ศรัทธาด้วยปัญญาก็ไม่เป็นไร แต่ส่วนมากมักงมงาย  แต่ที่ถูกที่สุด พระควรจะเป็นผู้นำทางปัญญาให้แก่ชาวบ้าน แต่กลับเป็นหัวหน้าในการพาชาวบ้านงมงาย ซึ่งพระบางรูปก็เป็นชาวบ้านที่งมงาย พอมาบวชก็เอาความงมงายมาแปดเปื้อนพระศาสนา  แล้วก็อ้างว่านี่แหละคือพระ คือวัด  แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ก็เป็นเพราะศาสนาพุทธของเราเป็นศาสนาพุทธแบบไทยๆ คือพุทธปนไสย ปนพราหมณ์ ก็เลยมีเทพเจ้าเยอะ  พระก็ห่วงแต่สมณศักดิ์ เอาสมณศักดิ์มาเป็นตัววัดความเป็นพระ  ซึ่งผิดอย่างยิ่ง ความเป็นพระต้องวัดกันที่ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วมีกรณีนึงนักวิชาการคนนึงทำวิจัยและสรุปผลการวิจัยว่า การที่มีเครื่องรางของขลังหรือพระมาปลุกเสกต่างๆ เป็นตัวดึงดูดให้คนเข้าวัดกัน แต่ข้าอยากตั้งข้อสังเกตว่าที่มานั้นมาเพราะใจที่เป็นกุศลหรือมาเพราะความโลภ ความงมงาย ซึ่งนี่เองที่คนรุ่นใหม่ ปัญญาชนทั้งหลายจึงไม่อยากเข้าวัด เพราะวัดและพระซึ่งควรจะเป็นที่พึ่งให้ได้ แต่กลับยิ่งทำตัวโสมมกับความงมงาย และลาภสักการะ และนี่ก็เป็นทุกขสัจทางสังคมอย่างนึงที่เราควรจะต้องช่วยกันแก้ปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป | 
| แม่เฒ่าเทียงซัว | #72   แม่เฒ่าเทียงซัว     [ 27-07-2009 - 20:30:06 ]  | 
|  | ฆ่าหลวงจีนชั่วบาปรึเปล่า ตอบข้าเดี๋ยวนี้เจ้าหัวเหม่ง  | 
| ซือหม่าซันเหนียง | #73   ซือหม่าซันเหนียง     [ 27-07-2009 - 20:32:42 ]  | 
|  | ฝ่ามืออัสนีบาด มีความรู้ดั่งปราชญ์  | 
| ฝ่ามืออัสนีบาต | #74   ฝ่ามืออัสนีบาต     [ 27-07-2009 - 20:40:31 ]  | 
|  | ตอบแม่เฒ่าเทียงซัวครับ  ขึ้นชื่อว่าฆ่าบาปหมดครับ ฆ่าที่ไม่บาปก็คือฆ่ากิเลสครับ  ดังเช่นกรณีสมัยนึงพระรุปนึงออกมาบอกว่าฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป ซึ่งก็เป็นข่าวฮือฮากันมาก แต่สรุปแล้วไม่ว่าจะคนดีคนชั่ว ถ้าฆ่าบาปทั้งนั้นครับ  | 
| ชงยี้ | #75   ชงยี้     [ 28-07-2009 - 11:14:50 ]  | 
|  | ขอบคุณท่านฝ่ามืออัสนีบาตมากครับ ข้าก็คิดไว้เช่นเดียวกัน ข้าจะตามหารักแท้ต่อไปและจำให้รักของข้านั้นมีแต่ให้ และหวังสิ่งตอบแทนให้น้อยที่สุด เพื่อให้สมกับเป็นรักแท้....... | 
| เอี้ยวเหยาซือ | #76   เอี้ยวเหยาซือ     [ 28-07-2009 - 22:18:51 ]  | 
|  |    กระทู้มีสาระ ข้าสนับสนุนเต็มที่  | 
| พลังธาตุบริสุทธิ์ | #77   พลังธาตุบริสุทธิ์     [ 29-07-2009 - 10:36:48 ]  | 
|  | ท่าน nesta ท่านทำดีแล้ว เราจะตอบคำถามของคุณชายไร้เงาเอง การที่พระพุทธศาสนาได้กล่าวอ้างเรื่องกฏแห่งกรรม และไปดูนรกหรือสวรรค์นั้น เป็นสัจธรรม สัพสัตวต์ใดทำกรรมใด ก็ย่อมได้รับผลกรรมนั้นๆ ซึ่งอาจจะเเป็นชาติภพอื่นหรือปัจจุบันกาลก็ได้ เสมือนหนึ่งผู้ใดหว่านพืชใด แล้วย่อมได้พืชนั้นเป็นผลแห่งกรรมฉันนั้น การที่แต่ละคนเห็นนรกหรือสวรรค์ไม่เหมือนกันนั้น ขึ้นอยู่กับกำลังของจิตหรือสมาธิ หากบุคคลใดฝึกจิตจนเชี่ยวชาญและสว่างใสแล้ว ย่อมเห็นได้ชัดเจนกว่า ขอยกพระราชดำรัส ขององค์พ่อหลวงได้ตรัสไว้ว่า " ความจริงจิตแท้ๆของแต่ละคนไม่ต่างกัน แต่ว่าที่ต่างกันก็เพราะว่ามีแนวความรู้จะเรียกว่าชีวิตหรือกรรมต่างกัน เมื่อต่างกันแล้วก็จะมองดูในแง่ต่างกัน และเมื่อดูในแง่ต่างกันก็ไม่มีทางหรือเป็นการยากที่จะบอกว่าผู้ใดถูกต้อง ถ้าจะเปรียบก็เหมือนคนเราเดินทางไปและเห็นภูมิประเทศ เห็นภูเขาลูกหนึ่ง บอกว่าภูเขานั้นแหลม อีกคนหนึ่งเดินทางมาอีกทางหนึ่งได้เห็นภูเขานั้นอีกทางหนึ่ง ก็บอกว่าภูเขานั้นกลมใครถูกใครผิด ทั้งสองคนถูกก็ได้ ทั้งสองคนผิดก็ได้ เพราะว่าผู้ที่เดินทางมาทางที่เห็นแง่ของภูเขาที่เห็นแหลม ส่วนอีกคนหนึ่งเดินทางมาทางที่เห็นภูเขามนๆ กลมๆ ก็เลยเถียงกันไม่มีสิ้นสุด อย่างนี้ก็ยังดีสองคนนั่นเดินทางมาก็แหงนดูภูเขาก็เห็นว่ารูปร่างเป็นอย่างนั้นๆ แต่มีอีกคนหนึ่งที่เดินทางมาแล้วก็ไม่ดู หรือไม่เดินทางมาแล้วก็บอกว่าภูเขานั้นมืด เพราะว่าผู้นั้นอยู่ในถ้ำไม่ได้เห็นภูเขาจริงก็บอกว่ามืด กำลังจิตก็เช่นเดียวกัน บางคนก็มีประสปการณ์ ถ้าพูดถึงศาสนาก็มีกรรมต่างกัน ไม่เหมือนกัน เพราะมีผลต่างกัน ไม่เหมือนกัน ฉะนั้น การที่จะอธิบายก็อาจจะอธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ว่าถ้านำประสปการณ์ของแต่ละบุคคลมาให้ผู้ที่สนใจได้ฟัง ได้อ่าน ก็อาจจะสามารถ ที่จะตีความได้สำหรับจิตของคน” ด้วยเหตุนี้การเห็นสิ่งต่างๆด้วยญาณ อาจจะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับจิตของแต่ละคนครับ เจริญในธรรม | 
| พลังธาตุบริสุทธิ์ | #78   พลังธาตุบริสุทธิ์     [ 29-07-2009 - 10:59:10 ]  | 
|  | ท่านฝ่ามืออัสสนีบาต และคุณชายไร้เงา เหตุแห่งความเสื่อมของพระศสานานั้นมีหลายอย่าง หากแต่ว่าพระพุทธองค์ทรงทำนายไว้แล้วว่า พระพุทธศาสนาจะยืนหยัดไปอีก จนครบ 5000 ปี ดังนั้นอย่างห่วงเรื่องนั้นเลย หากแต่เพียงตัวท่านทั้งสองหมั่นเพียรเจริญสติ สมาธิ ปัญญา กับครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติธรรม ท่านทั้งสองก็ได้ขึ้นชื่อว่าพุทธสานิกชนโดยแท้แ พระแล้ว ธรรรมนั้นมิได้เปลั่ยนเลยแม้กาลเวลาจะล่วงเลยมากว่าสองพันห้าร้อยปี หากแต่เปลี่ยนก็ที่จิตใจคนเท่านั้นแล เจริญในธรรมครับ | 
| พลังธาตุบริสุทธิ์ | #79   พลังธาตุบริสุทธิ์     [ 29-07-2009 - 11:05:48 ]  | 
|  | ครั้งนี้จะขอกล่าวถึงสังโยชน์สิบ ครับ สังโยชน์ 10 สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัดจิตใจให้ตกอยู่ในวัฎฎะ มี 10 อย่าง สักกายทิฏฐิ เห็นว่า ร่า่งกายเป็นเรา เป็นของเรา (คำว่าร่างกายนี้หมายถึง ขันธ์ 5) วิจิกิจฉา ความลังเลสังสัย ในคุณพระรัตนตรัย สีลัพพตปรามาส รักษาศีลแบบลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่รักษาศีลอย่างจริงจัง กามฉันทะ มีจิตมั่วสุมหมกมุ่น ใคร่อยู่ในกามารมณ์ พยาบาท มีอารมณ์ผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ รูปราคะ ยึดมั่นถือมั่นในรูปฌาน อรูปราคะ ยึดมั่นถือมั่นในอรูปฌาน คิดว่าเป็นคุณพิเศษที่ทำให้พ้นจากวัฎฎะ มานะ มีอารมณ์ถือตัวถือตน ถือชั้นวรรณะเกินพอดี อุทธัจจะ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ครุ่นคิดอยู่ในอกุศล อวิชชา มีความคิดเห็นว่า โลกามิสเป็นสมบัติที่ทรงสภาพ นักปฏิบัติที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอา สังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบจิตกับ สังโยชน์ ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติอารมณ์ที่ละนั้นเอง สังโยชน์ทั้ง 10 ข้อนี้ ถ้าพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครอบ 10 อย่าง โดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่า ท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตผล สักกายทิฏฐิ ท่านแปลว่า ให้รู้สึกในอารมณ์ของเราว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายนี้ไม่มีในเรา หรือตามศัพท์ที่เรียกว่า ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้มันไม่ใช่ของเรา เราไม่่มีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา อารมณ์ขั้นต้นของพระโสดาบัน กับสกิทาคามี ท่านมีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตาย เราต้องคิดว่า ร่างกายนี้ต้องตายแน่ ร่างกายนี้น่าเกลียดโสโครก ต้องเกลียดจริง ๆ เราไม่ต้องการทั้งร่างกายเรา และร่างกายของคนอื่น หรือวัตถุธาตุใด อย่างนี้เป็นกำลังใจของพระอนาคามี และถ้ามีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา อย่างนี้เป็นกำลังใจของพระอรหันต์ การจะดับสังโยชน์สิบได้นั้นต้อง ใช้ปัญญาและความเห็นจริงของจิตครับ การจะได้ปัญญาต้องมีสมาธิและสติ เมื่อเห็นแล้วพิจารณาตามไตรลักษณ์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ครับ | 
| พลังธาตุบริสุทธิ์ | #80   พลังธาตุบริสุทธิ์     [ 29-07-2009 - 11:19:52 ]  | 
|  | จากการกล่าวของท่าน ผู้เฒ่าฯ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นคนกำหนด ไม่เชื่อว่าพระพรมห์ลิขิต แต่ก็ไม่ได้มีการปฎิเสธการมีอยู่ของเทวดา พระองค์เองเป็นผู้มีอริยะเหนือบุคคลทั่วไป มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระองค์ท่านอยู่กับเหล่าสาวก ได้กล่าวว่า พวกท่านเห็นแสงเหล่านี้ไหม(เทวดาที่เป็นกายทิพย์ ) ท่านได้บอกว่า เราได้เห็นเทวดาเป็นอันมากนับเป็นพันๆ จะมองเห็นได้ด้วยมีทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ข้าผู้เฒ่าอึ้งคิดว่า พระเจ้า ทูตสวรรค์ที่เขาว่าอาจเป็น เทวดาสักองค์ก็ได้ สัตถาเทวมนุษย์สานัง พุทโธ ภะคะวาติ พระพุทธเจ้าคือครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ครั้งหนึ่งพระองค์ยังเคยปราบพรหมเทพ ผู้มีนามว่า พะกา เลยครับ(บทสวดพาหุงฯ) แม้แต่ผู้ปฏิบัติทางสายเทพ ยังต้องกราบนมัสการพระพุทธเจ้าก่อนนะครับเพราะผู้บำเพ็ญทางสายเทพนั้นทราบดี่พระพุทธองค์คือครูผู้สอนของเทวดา มนุษย์ และสัพสัตว์ทั้งหลและพระองคือ ผู้สิ้นแล้วซึ่งอวิชชา ครับ เจริญในธรรมครับ |