เข้าระบบอัตโนมัติ

ขอเนื้อเรื่องบูเช็คเทียแบบคร่าวๆหน่อยคับขอความกรุณา


  • 1
  • 2
เอี้ยจังเลย
#1   เอี้ยจังเลย    [ 19-05-2007 - 17:31:18 ]

ขอเนื้อเรื่องบูเช็คเทียแบบคร่าวๆหน่อยคับคือว่าอยากรู้ว่าเรื่องนี้สนุกหรือปะเห็นมันน่าสนใจดีสนุกจะได้ซื้อมาดูอิอิ



Akk
#2   Akk    [ 19-05-2007 - 18:25:49 ]    IP: 203.188.52.152

ผู้หญิงสามัญชนผู้หนึ่งที่ก้าวข้ามศพมากมาย ศพแล้วศพเล่าจนได้ครองบัลลังก์



ฤทธานุภาพ©
#3   ฤทธานุภาพ©    [ 19-05-2007 - 19:38:40 ]

เดิมทีก็เป็นเพียงหญิงสามัญชนที่มีความเด็ดเดี่ยวมากกว่าสตรีทั่วไป บังเอิญไปต้องตาทั้งถังไท่จง และถังเกาจง ในเวลาสั้นๆ แถมพัวพันเรื่องบรรลังค์ของคนสกุลหลี่มากมาย ท้ายสุดและสุดท้ายก็ได้ครองบรรลังค์ท่ามกลางสงคราม การแก่งแย่ง และคนสกุลหลี่ฆ่าฟันเอง สถาปนาราชวงศ์โจว

อู่เจ๋อเทียนหรือบูเช็คเทียน เป็นบุคคลที่นักประวัติศาสตร์ ชาวจีน รวมทั้งตัวเธอเองด้วยไม่รู้ว่าทำตัวถูกต้องเป็นวีรสตรี หรือทำตัวอำมหิตเป็นทรราชย์หญิง สังเกตจากป้ายสุสานราชวงศ์ที่ไม่สลักชื่อพระนาง เพื่อให้คนพิเคราะห์ว่าพระนางทำถูกหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่จริงแท้แน่นอนคือ พระนางสวยหมดจดใกล้เคียงกับ4ยอดหญิงงามของจีน ไม่เช่นนั้นไหนเลยฆ่าฟัน แก่งแย่งกัน



เอี้ยจังเลย
#4   เอี้ยจังเลย    [ 19-05-2007 - 20:24:04 ]

ขอขอบคุนเป็นอย่างมากเลยทั้ง2ท่าน



~มังกรหลับ~
#5   ~มังกรหลับ~    [ 19-05-2007 - 22:52:35 ]    IP: 203.113.45.69

พระนางเจ้า อู่เจ๋อเทียน (บู่เซ็กเทียง) ฮ่องเต้ สตรี

องค์แรก, องค์เดียว ใน ปวศ. จีน


ประวัติราชวงศ์ ถัน (ทั้ง) พ.ศ. 1161 - พ.ศ. 1650

ภายหลังพระเจ้า สุยหยานตี้ (ซุยเอี่ยงตี่) พ.ศ. 1147 - พ.ศ. 1160 ภายในพระราชสำนักเกิดความวุ่นวาย แต่ภายนอกประเทศยังเกิดกรณีย์พิพาทกันคนต่างชาติ สร้างความลำบากยุ่งยาก ยากจนสิ้นเนื้อประดาตัวแก่บรรดาเหล่าราษฎร ด้วยการรีดนาทาเร้นภาษีอากรของรัฐบาล ในขณะเดียวกัน ก็เกิดเภทภัยธรรมชาติ อุทกภัยและความแห้งแล้งไปทั่วทุกหัวระแหง การดำรงชีพความเป็นอยู่ของเหล่าประชาชนสุดแค้นแสนลำบาก จึ่งเกิดบรรดาเหล่าผู้กล้าของแต่ละท้องที่ พากันลุกฮือขึ้นมา ขณะนั้น เจ้าเมือง ไท่หยวน (ไท้ง้วง) หลี่ย่าน (หลี่เอี่ยง) ก็เป็นหนึ่งในผู้กล้าเหล่านั้น พ.ศ. 1160 เขาได้เริ่มก่อการขึ้นที่เมือง จิ้นหยาน (จิ่งเอี้ยง) ปัจจุบันคือเมือง ไท่หยวน ในมณฑล ซานซี ยกทัพข้ามแม่น้ำเหลืองมาโจมตี นคร ฉานอาน (เชี่ยงอัง) หรือเมือง ต้าซิ่น (ไต่เฮง..ชื่อในสมัยนั้น) ปีต่อมา ข่าวการเสด็จสวรรคตของพระเจ้า สุยหยานตี้ ได้แพร่กระจาย หลี่ย่าน จึ่งได้ทรงตั้งตนเป็น ฮ่องเต้ สถาปนาราชวงศ์ ถัน ซึ่งก็คือพระเจ้า ถันเกาจู่ (ทั้งเกาโจ้ว) พ.ศ. 1161 - พ.ศ. 1169

ราชวงศ์ ถัน พ.ศ. 1161 - พ.ศ. 1450 ดำรงราชวงศ์มาได้ 289 ปี มีฮ่องเต้ ครองราชย์ 20 องค์ คือ

1 . พระเจ้า ถันเกาจู่ (ทั่งเกาโจ้ว) หลี่ย่าน (หลี่เอี่ยง) ครองราชย์ พ.ศ. 1161 - พ.ศ. 1169 อยู่ในพระราชสมบัติ 8 ปี

2 . พระเจ้า ถันไท่จง (ทั่งไท้จง) หลี่ซื่อหมิน (หลี่ซี้มิ้ง) ครองราชย์ พ.ศ. 1169 - พ.ศ. 1192 อยู่ในพระราชสมบัติ 23 ปี

3 . พระเจ้า ถันเกาจง (ทั่งเกาจง) หลี่ชิ่ (หลี่ตี่) ครองราชย์ พ.ศ. 1192 - พ.ศ. 1226 อยู่ในพระราชสมบัติ 34 ปี

4 ( 1 ) . พระเจ้า ถันจงจง (ทั่งตงจง) หลี่เซี่ยน (หลี่เ...่ยง) ครองราขย์ พ.ศ. 1226 - พ.ศ. 1227 อยู่ในพระราชสมบัติ 1 ปี

5 ( 1 ) . พระเจ้า ถันยวิ่ (ทั่งหยวย) หลี่ตั้น (หลี่ตั่ง) ครองราชย์ พ.ศ. 1227 - พ.ศ. 1233 อยู่ในพระราชสมบัติ 6 ปี

4 ( 2 ) . พระเจ้า ถันจงจง หลี่เซี่ยน ครองราชย์ พ.ศ. 1248 - พ.ศ. 1253 อยู่ในพระราชสมบัติ 5 ปี

5 ( 2 ) . พระเจ้า ถันยวิ่ หลี่ตั้น ครองราชย์ พ.ศ. 1253 - พ.ศ. 1255 อยู่ในพระราชสมบัติ 2 ปี

6 . พระเจ้า ถันเสี้ยนจง (ทั่งเ...่ยงจง) หลี่หลงจี (หลี่ล่งกี) ครองราชย์ พ.ศ. 1255 - พ.ศ. 1299 อยู่ในพระราชสมบัติ 44 ปี

7 . พระเจ้า ถันซู่จง (ทั่งซกจง) หลี่เฮง (หลี่เฮง) ครองราชย์ พ.ศ. 1299 - พ.ศ. 1305 อยู่ในพระราชสมบัติ 6 ปี

8 . พระเจ้า ถันไต้จง (ทั่งต่อจง) หลี่ยู่ (หลี่อื๋อ) ครองราชย์ พ.ศ. 1305 - พ.ศ. 1322 อยู่ในพระราชสมบัติ 17 ปี

9 . พระเจ้า ถันเต๋อจง (ทั่งเต็กจง) หลี่ซี่ (หลี่เส็ก) ครองราชย์ พ.ศ. 1322 - พ.ศ. 1348 อยู่ในพระราชสมบัติ 26 ปี

10 . พระเจ้า ถันซุ่นจง (ทั่งสุ่งจง) หลี่ซ่ง (หลี่สง) ครองราชย์ พ.ศ. 1348 อยู่ในพระราชสมบัติไม่กี่เดือน

11 . พระเจ้า ถันเสียนจง (ทั่งเอี่ยงจง) หลี่ซุ่น (หลี่สุง) ครองราชย์ พ.ศ. 1348 - พ.ศ. 1363 อยู่ในพระราชสมบัติ 15 ปี

12 . พระเจ้า ถันมู่จง (ทั่งมกจง (หลี่เฮง หลี่เฮง) ครองราชย์ พ.ศ. 1363 - พ.ศ. 1367 อยู่ในพระราชสมบัติ 4 ปี

13 . พระเจ้า ถันจิ่นจง (ทั่งเก่งจง) หลี่ทาน (หลี่ตำ) ครองราชย์ พ.ศ. 1637 - พ.ศ. 1369 อยู่ในพระราชสมบัติ 2 ปี

14 . พระเจ้า ถันเหวินจง (ทั่งบุงจง) หลี่อาน (หลี่อั่ง) ครองราชย์ พ.ศ. 1369 - พ.ศ. 1383 อยู่ในพระราชสมบัติ 14 ปี

15 . พระเจ้า ถันอู่จง (ทั่งบู่จง) หลี่ย่าน (หลี่เอี๋ยม) ครองราชย์ พ.ศ. 1383 - พ.ศ. 1389 อยู่ในพระราชสมบัติ 6 ปี

16 . พระเจ้า ถันซวนจง (ทั่งซวงจง) หลี่ซิ่น (หลี่ซิ่ม) ครองราชย์ พ.ศ. 1389 - พ.ศ. 1402 อยู่ในพระราชสมบัติ 13 ปี

17 . พระเจ้า ถันยิจง (ทั่งอี่จง) หลี่ซุย (หลี่สุย) ครองราชย์ พ.ศ. 1402 - พ.ศ. 1416 อยู่ในพระราชสมบัติ 14 ปี

18 . พระเจ้า ถันซีจง (ทั่งฮีจง) หลี่ฮวาน (หลี่ฮ้วง) ครองราชย์ พ.ศ. 1416 - พ.ศ. 1431 อยู่ในพระราชสมบัติ 15 ปี

19 . พระเจ้า ถันเจ้าจง (ทั่งเจียวจง) หลี่หัว (หลี่ฮั้ว) ครองราชย์ พ.ศ. 1431 - พ.ศ. 1447 อยู่ในพระราชสมบัติ 16 ปี

20 . พระเจ้า ถันไอตี้ (ทั่งไอตี่) หลี่จู๋ (หลี่จก) ครองราชย์ พ.ศ. 1447 - พ.ศ. 1450 อยู่ในพระราชสมบัติ 3 ปี

ยามเมื่อ หลี่ย่าน บุกยึดนคร ฉานอาน นั้น ทรงแก้ไขกฎหมายกดขี่ของราชวงศ์ สุย เช่น ทุกคน แม้กระทั่งสามีภรรยา ต้องจ่ายค่าเช่านาให้แก่รัฐบาลเป็นข้าวเปลือกคนละ 3 สือ (เจี๊ยะ) แก้ให้เป็นเสียคนละ 2 สือ สามีภรรยามิต้องเสีย ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎร ขณะเดียวกันก็แก้ไขบทลงโทษทางอาญาต่อแผ่นดิน 12 ข้อ ยกเว้นการฆ่าคน, ปล้นสะดม, หนีทหาร, เป็นกบฏ, ต้องโทษประหาร เป็นการซื้อใจประชาชนยังประโยชน์แก่สังคม ขณะเดียวกัน เหล่าผู้กล้าที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านราชวงศ์ สุย พร้อมกับเขา มีอีกจำนวนมิน้อย แต่ทว่า ดินแดนที่ หลี่ย่าน ยึดครอบครองได้นั้นส่วนใหญ่อยู่ทาง กวนจง (กวงตง) เป็นพื้นที่ที่มิสำคัญแก่ทางการเมือง มิเหมาะแก่การส้องสุมกำลังทหาร อีกทั้งเป็นทำเลมิเหมาะแก่การบุกหรือเฝ้ารักษา อีกทั้งโอรสองค์รองของ หลี่ย่าน เจ้าชาย หลี่ซื่อหมิน เป็นนักรบระดับกุนซือหัวสมอง ทรงช่วยพระองค์ก่อการสำเร็จอย่างใหญ่หลวง พวกเขาได้วางแผนบุกยึดดินแดนแม่น้ำเหลือง และบุกตะลุยยึดถึงลุ่มใต้แม่น้ำ ฉานเจียน (เชี่ยงกัง) จนถึงปี พ.ศ. 1167 แต่ละพื้นที่ที่ถูกเก่งแย่งยึดอำนาจ ก็ถูกปราบปรามรวบรวมไว้ในพระราชอำนาจ เป็นการริเริ่มการรวบรวมประเทศจีนได้อีกครั้งหนึ่ง

พ.ศ. 1169 เมื่อผ่านกรณีย์ เสียนอู่เหมิน (เ...่ยงบู่มึ้ง) คือภายหลังการครองราชย์ ของพระเจ้า ถันเกาจู่ ทรงแต่งตั้งโอรสองค์โตเจ้าชาย หลี่เจี้ยนเฉิน (หลี่เกี่ยงเซ้ง) เป็นองค์รัชทายาท โอรสองค์รองเจ้าชาย หลี่ซื่อหมิน เป็นเจ้า ฉินหวาง (ชิ่งอ๊วง) โอรสพี่น้องทั้งสองมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง

ฉะนั้น เมื่อเดือนที่ 6 เจ้า หลี่ซื่อหมิน ทรงซุ่มวางกองกำลัง ณ ประตูวัง เสียนอู่เหมิน ทรงยิงเกาทัณฑ์ปลงพระชนม์องค์รัชทายาท สิ้นพระชนม์ พระเจ้า ถันเกาจู่ ทรงยกพระราชบัลลังก์แก่โอรสองค์รองเจ้าชาย หลี่ซื่อหมิน เมื่อเดือนที่ 8 ทรงเปลี่ยนชื่อปีเป็นศักราช เจินกวน (เจ็งกวง) นั่นก็คือพระเจ้า ถันไท่จง อันมีชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์จีน ภายใต้การนำการปกครองของพระองค์ ใต้หล้าสุขสงบร่มเย็น ประชาราษฎร์มั่งมีมั่งคั่ง การศึกษาและการทหารเจริญรุ่งเรือง นักประวัติศาสตร์ขนานนามประวัติศาสตร์ช่วงนี้ว่า “ระบบการปกครอง เจินกวน” เป็นยุคเริ่มสู่ความเจริญของราชวงศ์ ถัน เหตุเพราะว่า พระเจ้า ถันไท่จง ทรงมีพระสติปัญญาเฉลียวฉลาดทันคน และรอบรู้ และเพราะว่าพระองค์ทรงตั้งพระทัยเป็น ฮ่องเต้ นักปกครอง พระเจ้า ถันไท่จง ทรงตรัสถามขุนนางของพระองค์ว่า

“การตั้งตนเป็นเจ้า กับการรักษาความเป็นเจ้า อย่างไหนลำบากยิ่งกว่า”

ขุนนาง ฝานเสี้ยนหลิน (ปั่งเ...่ยงเล้ง) ทูลตอบ

“รากหญ้าเพิ่งแตกราก พระองค์ทรงเก่งแย่งกับเหล่าผู้กล้า ภายหลังพระองค์ทรงร่วมแรงร่วมใจกับเหล่าขุนนาง การตั้งตนเป็นเจ้าลำบากยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

ขุนนาง เว่ยเจิ้น (งุ่ยเจ็ง) กราบทูลว่า

“แต่สมัยโบราณมา เจ้าทั้งหลายตั้งตัวเองลำบาก แต่หากปราศจากความร่มเย็นเป็นสุข การรักษาความเป็นเจ้ายิ่งลำบากกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ถันไท่จง ทรงตรัสว่า

“เสี้ยนหลิน ร่วมกับข้าปราบปรามใต้หล้า ออกรบร้อยตาย กลับมาหนึ่งเป็น จึ่งรู้ว่าการตั้งตนเป็นเจ้าแสนลำบาก เจิ้น ร่วมมือกับข้าปกครองใต้หล้าสุขสงบ หวังความสุขร่ำรวยนั้นอยู่ยั้งมั่นคง แต่ยังคงเกรงว่าอุบัติเพสภัยจักเกิดกะทันหันเมื่อหนึ่งเมื่อใด จึ่งรู้ว่าการรักษาความเป็นเจ้าลำบากยากยิ่ง ในทางกลับกัน การตั้งตนเป็นเจ้านั้นลำบาก แต่การรักษาความเป็นเจ้ายิ่งลำบาก ดั่งนั้น จึ่งต้องขอความร่วมมือร่วมใจของเหล่าท่านทั้งหลายแล้ว”

จักเห็นได้ว่า สติปัญญาการชิงไหวชิงพริบ พระเจ้า ถันไท่จง ย่อมเหนือกว่าบุคคลธรรมดา

ในปลายยุคสมัยราชวงศ์ สุย การปกครองล้มเหลว ประชาชนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านกันทั่วประเทศ เป็นบทเรียนที่มิทรงลืมเลือนแก่พระเจ้า ถันไท่จง พระองค์ทรงตรัสว่า

“น้ำสามารถพยุงเรือลอย ทำนองเดียวกันก็สามารถทำให้เรือจม เหล่าประชาชนจึ่งเปรียบเสมือนน้ำ ชนชั้นปกครองเปรียบเสมือนลำเรือ ดั่งนั้น การปกครองจึ่งต้องอาศัยความเป็นธรรม รักความยุติธรรมสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยให้แก่ประชาชน เกิดความสุขสงบในสังคม”

พระองค์ทรงเลือกแฟ้นเหล่าขุนนางเป็นข้าหลวงปกครองท้องถิ่นด้วยทรงระมัดระวัง ทรงให้บันทึกชื่อขุนนางที่มีความดีความชอบ หรือมีโทษเป็นที่เสื่อมศรัทธา พระองค์จักทรงพิจารณาด้วยพระองค์เอง เป็นระบบการปกครองที่โปร่งใส สร้างความสุขสงบอันร่มเย็นแก่เหล่าประชาราษฎร์

พระเจ้า ถันไท่จง นอกจากทรงมีพระสติปัญญาเหนือผู้คนแล้ว พระองค์ยังทรงเป็นนักดูคน ทรงรู้จักการใช้ผู้คนอันชาญฉลาด นับว่าเป็น ฮ่องเต้ นักปกครองที่หาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์ การคัดเลือกขุนนางไปเป็นข้าหลวงปกครองท้องถิ่นนั้น พระองค์ทรงพิถีพิถันทรงใช้เวลาไตร่ตรองด้วยความรอบคอบ นับเป็นความสำเร็จของพระองค์ในการบริหารประเทศ ต่อเมื่อพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงมิโปรดวงศ์ษาคณาญาติของพระองค์ผู้ใดเป็นใหญ่โดยส่วนพระองค์ พระองค์ทรงใช้แต่ผู้ที่พระองค์ทรงเห็นว่ามีสติปัญญาความสามารถ ดั่งเช่น ฝานเสี้ยนหลิน, ตู้หรูฮุ่ย (โต่วยู่ห่วย), และ เว่ยเจิ้น ฯ ล ฯ

เมื่อยุคสมัย เจินกวน มีขุนนางผู้กล้ามีสติปัญญาจำนวนมาก มีเพียง ฉานซุนอู๋จี้ (เชี่ยงซุงบ่อกี๋) เท่านั้นที่เป็นพระประยูรญาติ ฝานเสี้ยนหลิน, และ ตู้หรูฮุ่ย เป็นขุนนางส่วนพระองค์เมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่งเป็นเจ้า ฉินหวาง ส่วนคนอื่นดั่งเช่น เว่ยเจิน, เดิมเป็นบริวารขององค์รัชทายาท หลี่เจี้ยนเฉิน เว่ยฉีจิ่นเต๋อ (วุยชี่เก่งเต็ก), หลี่จิ้น (หลี่เจ๋ง), เป็นขุนนางที่เข้ามาสวามิภัคดิ์ ขุนนางเหล่านี้ ต่างให้ความคิดเห็นตรงไปตรงมา บางครั้งก็สร้างความขุ่นเคืองให้กับพระองค์ นั่นก็คือขุนนาง เว่ยเจิน ได้ให้คำแนะนำที่ขัดแย้งเป็นที่พิโรธแก่พระองค์

มีคนแอบทูลกระซิบพระองค์ว่า ขุนนาง เว่ยเจิน ช่างหลงใหลตนเอง กราบทูลพระองค์ก็เพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตัว พระเจ้า ไท่จง ทรงใช้ขุนนาง อุนยานฟู่ (อุงง่างพัก) ไปสอบถามขุนนาง เว่ยเจิน มิกี่วันต่อมา เว่ยเจิน เข้าเฝ้ากราบทูลว่า

“ข้าพระองค์ขอกราบทูลว่า ความซื่อสัตย์ของข้าพระองค์ ก็ดั่งขุนนางทั่ว ๆ ไป หากทั่ว ๆ ไปมิเชื่อใจข้า ก็ดั่งขุนนางทั่ว ๆ ไป ซึ่งข้าพระองค์มิอาจกราบบังคมทูลพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่จง จึ่งทรงเข้าพระทัย ทรงตรัสว่า

“ข้ารู้แล้วละ”

เจิน กราบทูลอีกว่า

“ข้าพระองค์ยินดียิ่งที่รับใช้ฝ่าบาท ข้าพระองค์รับใช้ฝ่าบาทด้วยใจ หาใช่ความสัตย์ไม่”

พระเจ้า ถันไท่จง ทรงตรัส

“ขุนนางประเสริฐ และขุนนางซื่อสัตย์ มิใช่เช่นเดียวกันหรอกหรือ”

เว่ยเจิน ทูลตอบ
“ที่ทาง, โฉนด, เนินน้ำ, อยู่ในควบคุมของขุนนางประเสริฐ หลงฟง (เล่งฮง), ปีกาน (ปี่กัง) สละชีพเพื่อชาติ เป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์พ่ะย่ะค่ะ”

นี่คือความสามารถของผู้ที่โดดเด่นในประวัติศาสตร์ เขาเหล่านั้น ได้ร่วมเชิดชูราชวงศ์ด้วยความตั้งใจและสมัครใจ เป็นการใช้คนของพระเจ้า ถันไท่จง อย่างมีประสิทธิภาพ

พระเจ้า ถันไท่จง ทรงเห็นการตรวจสอบของขุนนางราชวงศ์ สุย อย่างมิมีประสิทธิภาพ เป็นเหตุให้ราชวงศ์ สุย ล่มจมอย่างรวดเร็ว พระองค์จึ่งทรงตรวจสอบขุนนางอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเริ่มแรก พระองค์ทรงพิโรธคำกราบทูลของขุนนาง เว่ยเจิน ทรงดำริคิดประหาร แต่ด้วยคำทูลอันหนักแน่นของขุนนาง เว่ยเจิน พระองค์ทรงจดจำเป็นบทเรียน ต่อเมืองขุนนาง เว่ยเจิน เจ็บป่วยถึงแก่อาสัญกรรม พระองค์ทรงจัดงานศพด้วยน้ำพระเนตรร่วง ทรงตรัสว่า

“กระจกทองเหลือง เปรียบเสมือนหมวกเสื้อผ้าของคน กระจกโบราณ เปรียบเสมือนรู้แจ้งความดีชั่ว กระจกของผู้คน สามารถสอดส่องอุปนิสัยของคน ข้าสูญเสีย เว่ยเจิน เปรียบเสมือนกระจกของข้าสูญสิ้น”

การตรวจสอบขุนนางนั้นแม้นเป็นเรื่องยาก แต่การตรวจสอบอุปนิสัยของขุนนางนั้นยิ่งยากกว่า พระเจ้า ถันไท่จง ทรงนับได้ว่าเป็นผู้นำที่สามารถตรวจสอบจิตใจของขุนนางในประวัติศาสตร์

พระเจ้า ถันไท่จง ทรงสนับสนุนการศึกษาวิยาการ เมื่อพระองค์ยังทรงเป็นเจ้า ฉินหวาง พระองค์ทรงตั้งสถานบันการศึกษา ทรงรวบรวมเหล่าบัณฑิตมาเผยแพร่

ความรู้ เมื่อพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ขุนนางบัณฑิต หงเหวินเตี้ยน (ฮ่งบุงเต่ย) ได้รวบรวมหนังสือวิชาการถึง 20 หมื่นบท
การรับบัณฑิตผู้มีความรู้มารับราชการ จำต้องเปิดโรงเรียนเผยแพร่ความรู้ จากจำนวนคนเป็นหมื่น คัดเลือกคนมารับราชการมิกี่คน ด้วยพระราชดำริของพระเจ้า ถันไท่จง นี้ จึ่งมีเหล่าบัณฑิตเข้าเมืองหลวงมาศึกษาทุกทิศทาง มีเหล่าบัณฑิตจากประเทศ เกาหลี, ไป่จี้ (เปะจี่), ซินลอ (ซิงล้อ..เกาหลี), ถู่ฟาน (โถ่วฮวง..ธิเบต) มาร่วมชุมนุม ดังนั้น การศึกษาของยุคนี้ นับว่าเจริญยิ่ง



~มังกรหลับ~
#6   ~มังกรหลับ~    [ 19-05-2007 - 22:53:14 ]    IP: 203.113.45.69

ตระกูล อู่ กุมอำนาจ

พะเจ้า ถันไท่จง ครองราชย์ได้ 23 ปีก็เสด็จสวรรคต องค์รัชทายาทสืบพระราชสมบัติต่อมาเป็นพระเจ้า ถันเกาจง เปลี่ยนชื่อปีศักราชเป็น หย่งเจิน (ย่งเจ็ง) เมื่อแรกเริ่มรัชสมัยของพระเจ้า ถันเกาจง พระองค์ทรงใช้ขุนนางเก่าของพระราชบิดาช่วยกันบริหารประเทศ ทรงปฏิบัติตามกฎระเบียบแบบแผนของพระเจ้า ถันไท่จง แต่ละวันพระองค์ทรงตรวจสอบขุนนางข้าหลวงของพระองค์ 10 คน ทรงตรวจสอบสืบถามความทุกข์ยากของราษฎร ระบบปกครองยังโปร่งใส การยุทธการทหารก็เจริญรุ่งเรือง แต่ในกลางรัชสมัย พระองค์ทรงแต่งตั้ง อู่เจ้า (บู่เจี่ย..บูเซ็กเทียน) เป็น ฮองเฮา คำว่า เจ้า คือตัวอักษร ยึ (ยิก) เย่ว์ (ง๊วย) เสริมอยู่บนตัวอักษร คง (คง..ว่างเปล่า) แปลว่าทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์ ขึ้นอยู่บนนภาอันเวิ้งว้าง พระราชอำนาจทั้งปวงเริ่มตกอยู่ในพระหัตถ์ของพระนาง อู่ฮองเฮา

ภายหลัง พระเจ้า ถันเกาจง ทรงเสด็จสวรรคต พระโอรสทรงสืบพระราชสมบัติเป็นพระเจ้า ถันจงจง แต่อำนาจการบริหารยังทรงอยู่ในพระหัตถ์ของพระนาง อู่ฮองเฮา ทรงเป็น ฮ่องเต้ แทนพระโอรส จนกระทั่ง พ.ศ. 1233 พระนางทรงปลดพระเจ้า ถันจงจง และพระเจ้า ถันยี่จง ทรงสำเร็จราชการเป็น ฮ่องเต้ หนึ่งเดียวของประเทศจีน เมื่อภายหลังพระนาง อู่เจ๋อเทียน สถาปนาตนเป็น ฮ่องเต้ พระนางทรงมีมือไม้เหล่าขุนนางร่วมมือกันสนับสนุนพระนาง เหล่าผู้กล้าและบัณฑิตมีสติปัญญาล้วนเป็นเครื่องมือของพระนางในการบริหารประเทศ สร้างความสุขสงบร่มเย็นความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศ พระนางทรงมีพระราชอำนาจแก้ไขระเบียบประเพณีต่าง ๆ และทรงสามารถถอดถอนขุนนางเก่าครึหัวโบราณดั่งเช่น ตี้เหรินเจี๋ย (เต๊กยิ่งเกี๊ยก), เหยาจง (เอี่ยวจง), ฯ ล ฯ และเพื่อเป็นการเพิ่มพูนอำนาจของพระนางให้เข็งแกร่งมั่นคงยิ่งขึ้น พระนางทรงแต่งตั้งขุนนางที่พระนางทรงไว้วางพระทัยไปเป็นข้าหลวงตามตำแหน่งต่าง ๆ และทรงกำจัดขุนนางที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระนาง นับว่าทรงเป็นจุดด้อยของพระนาง

พ.ศ. 1248 พระนาง อู่เจ๋อเทียน ทรงมีพระชนมายุได้ 83 พรรษา อำนาจเผด็จการยังคงตกอยู่ในกำมือของสตรี ต่อเมื่อภายหลัง พระเจ้า ถันจงจง ทรงเสด็จกลับมาขึ้นครองราชย์ ฮองเฮา ของพระองค์ พระนาง เว่ยฮองเฮา (อุ่ยอ่วงโหว) จักทรงเอาแบบอย่างของพระนางเจ้า อู่เจ๋อเทียน บ้าง แต่ทรงใช้พระราชอำนาจในทางที่ผิด ทรงมีแต่ความชั่วร้าย พระนางทรงวางยาพิษพระเจ้า ถันจงจง เสด็จสวรรคต แย่งชิงอำนาจในพระราชสำนัก ผลที่สุด โอรสของพระเจ้า ถันยี่จง เจ้าชาย หลี่หลงจี (หลี่ล่งกี) ทรงยกทัพบุกเข้าพระราชวัง ฆ่าพระนาง เว่ยฮองเฮา และพรรคพวกของพระนางตายหมดสิ้น และทรงยกตำแหน่ง ฮ่องเต้ ให้แก่พระบิดา ต่อมาอีก 2 ปี พระเจ้า ถันยี่จง ทรงยกตำแหน่ง ฮ่องเต้ ให้แก่พระโอรส หลงจี นั่นก็คือพระเจ้า ถันเสี้ยนจง หรือพระเจ้า ถันหมินหวาง (ทั่งเม่งอ๊วง) ในกาลต่อมา



~มังกรหลับ~
#7   ~มังกรหลับ~    [ 19-05-2007 - 22:54:37 ]    IP: 203.113.45.69

พระราชประวัติของพระนางเจ้า บูเซ็กเทียน ความนัยโดยละเอียด

ฮ่องเต้ สตรี หนึ่งเดียวมิมีสอง


พระนาง หวางสื่อ (เฮ่งสี), พระนาง อู่เจ๋อเทียน (บู่เซ็กเทียง)

ฮองเฮา ในพระเจ้า ถันเกาจง หลี่จิ้

สตรีที่มีความสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์จีน เห็นจะมิพ้น อู่เจ๋อเทียน พระนางทรงเป็นสตรีเพียงนางเดียวที่ทรงมีอำนาจเหนือบุรุษเพศ พระนางทรงมีความสามารถปกครองบุรุษเพศภายใต้หล้านานหลายสิบปี

ด้วยสตรีสามัญชนชาวบ้านคนหนึ่ง พระนางทรงไต่เต้าเหยียบย่ำขึ้นมามีอำนาจจากพระราชบัลลังก์ของราชวงศ์ ถัน พระนาง อู่เจ๋อเทียน ทรงมีพระบารมีเฉลียวฉลาด มีบุรุษเพศมาให้รับใช้มากมาย พระนางทรงยอมเสี่ยงชีวิตและพระชะตาของพระนางเองโดยไม่สนพระทัยความเป็นอยู่หรือความต
าย มิว่าสถานภาพความเป็นอยู่สิ่งแวดล้อมจักเป็นอย่างไรก็ตาม พระนางทรงก้าวย่างอย่างมั่นคง สู่ความเป็นชัยชนะ

หลายปีที่ผ่านมา พระนางทรงเป็นตัวอย่างสตรีจีนที่ทรงความสามารถเป็นที่วิจารณ์กันในประวัติศาสตร์ แม้นว่าพระนางจักทรงโหด...มอำมหิต สามารถฆ่าคนอย่างเลือดเย็น ปล่อยไฟเผาผลาญ ต่อศัตรูของพระนาง เพียงเพื่อจุดหมายปลายทางสู่ความสำเร็จของพระนาง อย่างไรก็ตาม พระนางทรงมีความสามารถเป็นนักปกครองที่ดียิ่ง ทรงสามารถสร้างกฎระเบียนแก่สังคมตามความต้องการของพระนาง ในขณะเดียวกัน พระนางทรงสามารถเลือกใช้ผู้คน หรือกำจัดผู้คนที่ขัดขืนความต้องการของพระนาง พระนางทรงสามารถกำจัดขุนนางที่ข่มแหงราษฎร์ และทรงส่งเสริมขุนนางที่เอาใจราษฎร์เพื่อสถาปนาฐานอำนาจของพระนาง เพื่อทรงสามารถสถิตมั่นคงในพระราชสำนักเป็นเวลาหลายสิบปี

ด้วยระบบการปกครองแบบศักดินาของประเทศจีน พระนางทรงสามารถเป็น ฮ่องเต้ สตรีหนึ่งเดียวของจีน ซึ่งในสังคมจีนส่วนใหญ่ มีประเพณีการมิยอมรับสตรีเป็นผู้นำในสังคม แต่พระนางก็ทรงแสดงความองอาจความสามารถของสตรีให้สังคมยอมรับ กับพระราชสามีของพระนางพระเจ้า ถันเกาจง พระนางทรงแสดงความสามารถความอ่อนโยนและความเข้มเข็ง พระนางจึ่งทรงเป็น ฮ่องเต้ สตรีองค์แรกที่ถูกยอมรับในสังคมจีน


ความฝันที่อ่อนละมุน

ศักราช เจินกวน ปีที่ 23 ในรัชสมัยของพระเจ้า ถันไท่จง พ.ศ. 1192 ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ เกิดเหตุอาเพศ ณ ภูเขา หลี่ซาน (ลี่ซัว) พระเจ้า ถันไท่จง ทรงประทับในพระราชวังปกติสุข แต่อากาศแปรปรวนอย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้พระเจ้า ถันไท่จง ทรงล้มเจ็บป่วยกระทันหัน พระโรคอันร้ายแรงในครั้งนี้ เป็นเหตุให้พระวรกายอันงามสง่าของโอรสสวรรค์เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ด้วยพระชนม์เพียง 50 กว่าพรรษา ทรงแลดูเหมือนชายชราอายุกว่า 70 พรรษา ต่อมาถึงเดือนที่ 5 พระเจ้า ถันไท่จง ทรงเข้าสู่อันตราย แต่พระสติสัมปชัญญะของพระองค์ทรงสมบูรณ์ พระองค์ทรงรู้ดีว่าจักทรงมิรอด ทรงตรัสกับองค์รัชทายาท หลี่จิ้ ข้างพระวรกายว่า

“ข้าตั้งแต่ชั้นผู้น้อยทรงพระมงกุฎ ฮ่องเต้ มา ได้ผ่านสมรภูมิมาหลายร้อยครั้ง จึ่งสามารถตั้งตัวได้ถึงปัจจุบัน หากภายใต้เหล้าทุกวันนี้ แผ่นดินสงบสุข ประชาราษฎร์มั่งมี เป็นที่พอใจสำหรับข้าแล้วในชั่วชีวิตนี้ แม้นข้านอนตายก็จักตายตาหลับ แต่ที่ข้ายังห่วงใยก็คือเจ้า ขอให้เจ้าจงจำคำข้าให้ดี การตั้งตนนั้นแสนยากลำบาก แต่การรักษาตนนั้นยิ่งลำบาก”

องค์รัชทายาท หลี่จิ้ ที่ทรงเฝ้าไข้ทุกวันคืน ทรงเห็นพระวรกายอันผอมโซของพระบิดา พระเกศานั้นหงอกขาวเต็มพระเศียร พระองค์พร้อมด้วย 2 พระเชษฐา หลี่เฉินเฉียน (หลี่เซ่งเคี้ยง), หลี่ไท่ (หลี่ไถ่) ทรงมีพระอุปนิสัยและคุณธรรมที่ผิดกัน จึ่งสร้างความเป็นห่วงแก่พระเจ้า ถันไท่จง มิอาจทรงวางพระทัย พระเจ้า หลี่ซื่อหมิน ชั่วชีวิตของพระองค์ ทรงบุกมิเคยประสบความพ่ายแพ้ แต่การสืบทอดพระราชภาระให้แก่องค์รัชทายาทในครั้งนี้ เป็นที่ลำบากพระทัยแก่พระองค์ ทรงปล่อยมิวาง

พระเจ้า หลี่ซื่อหมิน เมื่อครั้งแรกเริ่มครองราชย์ ทรงแต่งตั้งเจ้าชาย หลี่เฉินเฉียน โอรสองค์โตในพระนาง ฉานซุนฮองเฮา (เชี่ยงซุงอ่วงโหว) แต่พระวัยเพียงน้อย มองพระอุปนิสัยมิออก แต่เมื่อพระองค์ทรงเจริญพระวัย ทรงมักมากในกามชอบเที่ยวเสเพ มิใฝ่พระทัยทรงศึกษาเล่าเรียน บรรดาเหล่าราชครูแม้นตั้งอกตั้งใจสอนให้ความรู้อย่างไร ก็มิอาจเปลี่ยนพระทัยองค์รัชทายาท พระเจ้า ถันไท่จง ทรงดำริเปลี่ยนรัชทายาท ทรงมองดูเจ้า เว่ยหวาง (งุ่ยอ๊วง) เจ้าชาย หลี่ไท่ (หลี่ไท่) โอรสองค์รองของพระนาง ฉานซุนฮองเฮา เจ้าชาย หลี่ไท่ ทรงพระสติปัญญาสามารถ ทรงคบบัณฑิต ค้นคว้าใฝ่หาวิชา ทรงเชี่ยวชาญทางธรณีวิทยา ทรงแต่งหนังสือ “กวอตี้หลี่ กวกตี่ลี่..ควบคุมทำเล)” ถวายแก่พระเจ้า ถันไท่จง อีกด้านหนึ่งทรงถกวิชาธรณีวิทยากับพระบิดาเสมอ ๆ สร้างความพึงพอพระทัยแก่พระเจ้า ถันไท่จง เจ้า เว่ยหวาง ทรงเชี่ยวชาญวิชาดูทำเล อีกทั้งการเมือง การทหาร พระองค์ทรงสามารถถกถึงวิชาการเหล่านี้ พระเจ้า ถันไท่ทรง ทรงมีพระดำริอันแรงกล้า แต่งตั้งเจ้าชาย หลี่ไท่ เป็นองค์รัชทายาท เป็นผู้นำประเทศในอนาคต

องค์รัชทายาท ทรงมองออกถึงพระดำริของพระบิดา นับวันทรงแค้นเคืองเจ้าชายพระอนุชา พระองค์ทรงส้องสุมเหล่ามือสังหารเพื่อทรงกำจัดเจ้าชายพระอนุชา หลี่ไท่ แต่ความลับรั่วไหล พระองค์ยอมสละตนเองออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท พระเจ้า ถันไท่จง ทรงทั้งพิโรธและหวาดหวั่นพระทัย พระองค์ทรงปรึกษาการถอดถอนองค์รัชทายาทกับเหล่าขุนนาง มิมีผู้ใดกล้าโต้แย้ง จึ่งมีขุนนางกรมอาลักษณ์ ทูลปลอบพระองค์ว่า

“องค์รัชทายาทขาดการอบรมสั่งสอนจากพระบิดา เช่นเดียวกับฝ่าบาทเมื่อครั้งอดีต เป็นดั่งฟ้าลิขิตธรณีกำหนด ขอฝ่าบาทโปรดทรงให้อภัยพ่ะย่ะค่ะ”

พระเจ้า ถันไท่จง ทรงพยักพระพักตร์ เมื่อมินานมานี้ พระองค์ทรงยกทัพกำจัดเจ้าชายองค์ที่ 7 เจ้า เจ้หวาง (เจ่อ๊วง) เจ้าชาย หลี่อิ้ว (หลี่อิ๋ว) ก่อการเป็นกบฏ ทรงสั่งประหารเจ้าชายโอรสในไส้ ความบาดหมางบิดากับบุตร เปรียบดั่งฟ้าลิขิต ดั่งเช่นการตัดสินความกับพระโอรสองค์โตในพระนาง ฉานซุนฮองเฮา พระองค์ทรงปลดเจ้าชาย หลี่เฉินเฉียน ออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทเป็นบุคคลสามัญชน ทรงสั่งจำขังเจ้าชาย ณ คุกในค่ายทหาร

ภายหลังการกำจัดองค์รัชทายาท เจ้า เว่ยหวาง ยิ่งทรงแสดงความกตัญญูต่อพระบิดา เข้าเฝ้าทุกคืนวันมิขาด สร้างความประทับใจและทรงยินดียิ่งต่อพระเจ้า ถันไท่จง ทรงเอ่ยพระโอษฐ์รับสั่งแต่งตั้งเจ้าชาย หลี่ไท่ เป็นองค์รัชทายาท แต่กลับทรงคาดมิถึง บุคคลที่คัดค้านพระราชดำริของพระองค์มิใช่ใครอื่น คือเจ้า เจ้ากว๋อกง (เตียวก๊กกง) เจ้า ฉานซุนอู๋จี้ (เชี่ยงซุงบ่อกี๋) พี่ชายพระมเหสีของพระองค์นั่นเอง

ฉานซุนอู๋จี้ มีความเห็นว่า โอรสทั้งสองของพระมเหสีเอก เจ้า จิ้นหวาง หลี่จิ้ มีคุณสมบัติเป็นองค์รัชทายาทยิ่งกว่าเจ้า เว่ยหวาง หลี่ไท่ ด้วยเหตุผลที่ว่า เจ้า เว่ยหวาง ทรงมีความทะเยอทะยาน ปราศจากคุณธรรม ส่วนเจ้า จิ้นหวาง ทรงคุณธรรม พระอุปนิสัยอ่อนโย น้ำพระทัยกว้างขวาง สมควรเป็นเจ้าผู้นำเพื่อรักษาตำแหน่ง ฮ่องเต้ ฉานซุนอู๋จี้ รักใคร่พึงใจในเจ้า จิ้นหวาง ด้วยว่าพระขนิษฐา พระนาง ฉานซุนฮองเฮา ก็ทรงโปรดเจ้าชาย หลี่จิ้ ยามเมื่อพระนาง ฉานซุนฮองเฮา ทรงพระประชวรเป็นปี เจ้าชาย หลี่จิ้ มีพระชนม์เพียง 9 พรรษา แต่ทรงเป็นห่วงในพระอาการของพระมารดายิ่งกว่าโอรสองค์ใด เป็นที่รู้เห็นและชมเชยของเหล่าขุนนางในพระราชสำนัก

แต่พระเจ้า ถันไท่จง ทรงเข้าพระทัยว่า เจ้าชาย หลี่จิ้ ทรงอ่อนแอ พระอุปนิสัยละมุนละม่อนเกินไป หามิมีความเข้มเข็งจักเป็น ฮ่องเต้ ซึ่งต้องมีความเด็ดขาด เมื่อ ฉานซุนอู๋จี้ ถอยจากการเข้าเฝ้า พระเจ้า ถันไท่จง ทรงตรัสแก่เหล่าขุนนางว่า เมื่อวาน ชินเชี่ย (แชเฉียก..พระนามเรียกเล่นของเจ้าชาย หลี่ไท่) ได้ทรงกราบทูลพระองค์ขณะทรงอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์ว่า

“ลูกน้อยวันนี้ ได้รับความอบอุ่นในอ้อมพระกอดของพระราชบิดา ลูกน้อยรู้ซึ้งถึงความรักใคร่ของพระราชบิดา แม้นลูกน้อยมีโอรสองค์หนึ่ง แต่ยามเมื่อลูกน้อยจักถึงแก่กรรม ลูกน้อยจักประหารโอรสของลูกน้อยเอง เพื่อยกพระราชสมบัติให้แก่อนุชาเจ้า จิ้นหวาง พ่ะย่ะค่ะ ด้วยคำกราบทูลของ ชินเชี่ย นี้ เป็นที่ซาบซึ่งกินใจแก่ข้ายิ่งนัก ดั่งนั้น ข้าจึ่งมิตั้งใจตั้งบุตรคนอื่นเป็นองค์รัชทายาท”

เมื่อทรงตรัสจบ เหล่าขุนนางที่ปรึกษาเฝ้าใกล้ชิด ต่างพากันกราบทูลว่า

“ฝ่าบาททรงตรัสด้วยพระเมตตาสงสาร แต่ข้าพระองค์ทั้งหลายถือความซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง พระองค์ทรงใคร่ครวญให้ละเอียดก่อน เมื่อภายหลังพระองค์ทรงผ่านพระหมื่นปีไปแล้ว เจ้า เว่ยหวาง ทรงเป็น ฮ่องเต้ แทนพระองค์ จักทรงสามารถสังหารพระโอรสในไส้ เพื่อยกพระราชสมบัติให้แก่เจ้า จิ้นหวาง เชียวหรือพ่ะย่ะค่ะ”
พระเจ้า ถันไท่จง ทรงฟังแล้วทรงสะเทือนพระทัย พระองค์ทรงตรัสด้วยน้ำพระเนตรนองพระพักตร์ว่า

“ข้าก็มิอาจทำใจสังหาร จี้นู่ (ตี่โน้ว..พระนามเล่นของเจ้าชาย หลี่จิ้)”

ตรัสจบก็ทรงถอยราชการไป

มีเหล่าขุนนางพรรคพวกของเจ้า เว่ยหวาง ซึ่งทรงใช้ให้เข้าเฝ้าฟังความต่อหน้าพระพักตร์ ต่างพากันนำพระดำรัสนี้ไปทูลเจ้า เว่ยหวาง เจ้า เว่ยหวาง ทรงรู้ความว่าความใฝ่ฝันของพระองค์จักเป็นฝันสลาย จึ่งทรงคิดวางแผน พระองค์ทรงไป ณ วังของเจ้า จิ้นหวาง ด้วย พระองค์เอง ทรงกระซิบตรัสข้างพระกรรณของเจ้า จิ้นหวาง ว่า

“น้องเจ้า เมื่อก่อนนั้น เจ้ามีความสนิทสนมกับเจ้า ฮั่นหวาง (ฮั้งอ๊วง) หยวนชาน (ง่วงเชียง) แต่เจ้า หยวนชาน ต้องโทษกบฏถูกประหาร เจ้ามิเกรงพลอยต้องพระอาญาด้วยหรือ”

เจ้าชาย หลี่จิ้ ทรงฟังความเช่นนี้ด้วยความตกพระทัย พระพักตร์ขาวซีด พระทัยมิทรงอยู่กับเนื้อกับตัว เจ้า เว่ยหวาง ทรงเสยะยิ้ม มองสีพระพักของเจ้า จิ้นหวาง ทรงมิตรัสต่อ ทรงกลับวังของพระองค์
วันต่อมา พระเจ้า ถันไท่จง ทรงเห็นสีหน้าของเจ้า จิ้นหวาง มิทรงสบายพระทัย หนังพระเนตรตก พระอาการมิอยู่กับร่อยรอย ทรงตรัสถามว่า

“เจ้าเหม่อลอยเช่นนี้ มิสบายหรอกหรือ”

เจ้า จิ้นหวาง ทรงสั่นพระเศียร น้ำพระเนตรนองหน้า พระเจ้า ถันไท่จง ทรงพระสงสัย ทรงตรัสถามแล้วตรัสถามอีก เจ้า จิ้นหวาง จึ่งทรงตรัสสารภาพออกมาคำคำบอกกล่าวของเจ้า เว่ยหวาง พระเจ้า ถันไท่จง ทรงมีพระสติปัญญามองออกถึงจิตใจของผู้คน พระองค์ทรงคาดการณ์ออก และทรงซาบซึ้งในจิตใจของผู้คน วันรุ่งขึ้น พระองค์ทรงออกท้องพระโรง ทรงมีรับสั่งให้เหล่าขุนนาง ฉานซุนอู๋จี้, ฝานเสี้ยนหลิน, หลี่จิ้น, เข้าเฝ้า ทรงตรัสปรึกษาความในพระทัยของเจ้า จิ้นหวาง ซึ่งทรงสารภาพออกมาตามคำทูลของเจ้า เว่ยหวาง พระเจ้า ถันไท่จง ทรงตรัสด้วยความโศกเศร้าเสียพระทัย และทรงแค้นเคืองว่า

“ข้ามีบุตรอยู่ 3 คน มีอนุชาอีกคน (ทรงหมายถึงเจ้า ฮั่นหวาง หยวนชาน) พวกเจ้าต่างก็รู้ดีแก่ใจว่า พวกเขาปฏิบัติต่อข้าอย่างไร ที่ข้ายังมีชีวิตทุกวันนี้ มีความหมายอย่างไร”

ตรัสจบ พระองค์ทรงชักพระแสงกระบี่ที่พระเอวออกมาจักทรงเชือดพระศอ ทำความตกใจแก่ กงซุนอู๋จี้ และเหล่าขุนนางทั้งปวง พากันเข้าแย่งพระแสงกระบี่ ให้เจ้า จิ้นหวาง ทรงเก็บ ต่อเมื่อพระเจ้า ถันไท่จง ทรงค่อยคลายพระทัย ฉานซุนอู๋จี้ กราบทูลว่า

“ฝ่าบาททรงดำริตั้งผู้ใดเป็นองค์รัชทายาท ทรงเป็นสิทธิอันเด็ดขาดของฝ่าบาท ไฉนต้องทาทรงรำลึกถึงเรื่องส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจักแต่งตั้งเจ้า จิ้นหวาง เป็นองค์รัชทายาท”

พระเจ้า ถันไท่จง ทรงตรัสด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง สร้างความหวังปลื้มปิติเจ้า จิ้นหวาง จากที่ทรงเสียพระทัย ทรงเจ็บปวดพระทัย ด้วยทรงเกรงพระราชอาญา กลายเป็นเหตุการณ์ที่แปรผัน นี่คือพระประกาสิทธิ์ของพระเจ้า ถันไท่จง
ฉานซุนอู๋จี้ รีบคุกเข่าโน้มรับพระราชโองการ

“ข้าน้อยขอโน้มรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”

แต่ใจยังคงเกรงพระเจ้า ถันไท่จง ทรงเปลี่ยนพระทัย
พระเจ้า ถันไท่จง ทรงตรัสกับเจ้า จิ้นหวาง ว่า

“เจ้าน้าของเจ้ายินยอมรับเจ้าเป็นองค์รัชทายาทแห่งพระตำหนักตะวันออก จงรีบคุกเข่าขอบพระทัยเขาซิ”

ครั้นแล้ว พระเจ้า ถันไท่จง ก็ทรงปรึกษารายละเอียดการแต่งตั้งองค์รัชทายาทกับขุนนางสนิททั้งสี่

“เจ้าทั้งสี่ กับข้ามีความคิดเห็นต้องกัน มิทราบว่าเหล่าขุนนางภายนอกมีความคิดเห็นอย่างไร”

ฝานเสี้ยนหลิน นำกล่าวกราบทูลว่า

“เจ้า จิ้นหวาง นั้นทรงพระกตัญญู ใต้หล้าต้องตามครรนองครองธรรม ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงพระกังวล”

พระเจ้า ไท่จง ตรัส

”ลูกข้าทั้งสาม เฉินเฉียน (เซ่งเคี้ยง) และ ลิไท่ (ลิบไถ่) ยังมิมีคุณสมบัติเป็นรัชทายาท แต่การแต่งตั้ง จิ้ อาจเป็นที่ปองดองกันของ เฉินเฉียน และ ไท่ ขอให้พวกเจ้าจงดูแลให้ดี”

วันรุ่งขึ้น พระเจ้า ถันไท่จง ทรงเสด็จขึ้นหอ ไท่จี๋กง (ไท้เก๊กเก็ง) ทรงเสด็จขึ้นทางประตูหน้าขึ้นประตูสวรรค์ ทรงมีพระราชโอการต่อสรวงสวรรค์การแต่งตั้งเจ้าชาย หลี่จิ้ เป็นองค์รัชทายาท ทรงโปรดให้มีการพระราชอภัยโทษทั่วหล้า และทรงโปรดให้มีงานเลี้ยงฉลององค์รัชทายาท 3 วัน 3 คืน ปีเดียวกันนั้น คือปีศักราช เจินกวน (เจ็งกวง) ปีที่ 17 พ.ศ. 1186 เจ้าชาย หลี่จิ้ ทรงมีพระวัย 16 พรรษา เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ถันไท่จง พระองค์ทรงหวังว่าเจ้าชายทรงเจริญพระวัย ความอ่อนแอคงลดลง สามารถมีความเป็นผู้นำของประเทศเพิ่มขึ้น

แต่ทว่า ตามอุปนิสัยที่แท้จริงของแต่ละคนย่อมยากที่จักเปลี่ยนแปลง เจ้าชาย หลี่จิ้ นอกจากมิทรงเปลี่ยนอุปนิสัยที่ทรงอ่อนแอของพระองค์ พระองค์ทรงมิทรงโปรดความเข้มเข็งเด็ดขาดการบัญชาผู้คน บางครั้งทรงช่วยราชการพระเจ้า ไท่จง การออกขุนนางบริหารประเทศ หากเป็นเวลาเนิ่นนานเกินไป พระองค์ก็จักทรงแสดงพระอาการที่น่าเบื่อหน่าย พระเจ้า ไท่จง ก็ทรงเกรงว่าเจ้าชายมีพระวรกายที่อ่อนแอ แต่ก็มิทรงกล้าแสดงออกว่าองค์รัชทายาทของพระองค์ทรงพระอ่อนแอ พระองค์ทรงสงสัยยิ่งว่า การแต่งตั้งองค์รัชทายาทเช่นนี้ เป็นความผิดของพระองค์หรือไม่

พระเจ้า ถันไท่จง ทรงเป็นนักดูคนอย่างแม่นย่ำ “รู้เขารู้เรา” แต่กับเจ้าชาย หลี่จิ้ ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งมากับพระหัตถ์ พระองค์ทรงรู้เต็มพระอกว่าองค์รัชทายาททรงพระอ่อนแอ และทรงมิโปรดการเมืองการปกครอง แต่พระองค์ทรงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เหล่าขุนนางผู้สามารถของพระองค์จักได้ช่วย ๆ กันอบรมสั่งสอน พระองค์ทรงโปรดการอ่านหนังสือแต่งโคลงกลอนและการดนตรี แต่กับความสัมพันธ์กับสตรีเพศตรงข้ามยังอ่านมิออก ดั่งความมือทึบของหมึกสีดำ ขณะนั้น องค์รัชทายาท หลี่จิ้ ทรงมีพระชายารัชทายาทพระนาง หวางสี และพระสนมอีกมากมาย ความมีเมตตาและความงามมีสง่าราศีของพระชายารัชทายาทนั้น หาหญิงใดเทียบเสมอได้ แต่ก็มองมิออกถึงความเข้มข้นแห่งความรักภายในจิตใจของทั้งสองพระองค์ ความเป็นนักบัณฑิตหนุ่มดั่งเช่นพระองค์ ทรงมุ่งมั่นรักซึ้งต่อความรักเป็นเช่นใดยังมองมิออก แต่ทว่า มองจากจิตใจของพระชายารัชทายาทนั้นดูมีความมั่นคงยิ่งกว่าองค์รัชทายาท

พระชายารัชทายาท พระนาง หวางสื่อ (เฮ่งสี) เป็นพระสุณิสาซึ่งพระเจ้า ไท่จง ทรงเลือกด้วยพระองค์เอง และพระนางทรงเป็นพระนัดดาของพระขนิษฐาของพระเจ้า ถังเกาจู่ หลี่ย่าน เจ้าหญิง ถงอานฉานกงจู่ (ถ่งอังเชี้ยงกงจู้) พระบิดา หวางเหรินอิ้ว (เฮ่งยิ่งอิ๋ว) เป็นเจ้าเมือง สุยโจว (สุ่ยจิว) พระนัดดาของเจ้าหญิง ถงอานฉาน ทรงมีความงามพร้อมด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ พระนางทรงกล่าวกับพระนัดดา ถันไท่จง พระเจ้า ถันไท่จง ทรงเห็นว่าครอบครัวตระกูล แซ่หวาง นั้น มีความอบอุ่นและมีระเบียบแบบแผน จึ่งทรงสู่ขอพระนางมาเป็นพระสุณิสาเป็นพระชายาของเจ้า จิ้นหวาง หวังว่าภายหลังทั้งสองจักปรองดองรักใคร่กันดี แต่เจ้า จิ้นหวาง กลับมิทรงชมชอบอุปนิสัยของพระนาง หญิงที่พระองค์ทรงชมชอบกลับเป็นหญิงที่มีอุปนิสัยลักษณะเข็งแกร่ง ใจกล้า มีความกระฉับกระแฉง เมื่อภายหลังเจ้า จิ้นหวาง ทรงได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาท พระองค์ทรงชมชอบนางกำนัลคนหนึ่งชื่อ ซูเหลียนอี้ (เซียวเลี่ยงอี้) แต่ด้วยยังทรงเกรงพระทัยพระชายารัชทายาท จึ่งมิได้รับการยกย่องออกหน้าออกตา กล่าวอีกที พระชายาองรัชทายาท ก็ทรงมิมีความผิดใดเป็นที่ประจักษ์ เจ้าชาย หลี่จิ้ กับ

พระชายาล้วนประคับประคองกันด้วยประเพณีอันดีงาม มองจากภายนอกแล้ว เป็นคู่สามีภรรยาที่ประเสริฐสมบูรณ์แบบ
ยามพระเจ้า ถันไท่จง ทรงป่วยหนัก พระองค์ทรงกังวลในองค์รัชทายาททรงปล่อยมิวาง พระองค์มักทรงสั่งกำชับ ฉานซุนอู๋จี้ และเหล่าขุนนางที่พระองค์ทรงไว้วางพระทัย ให้ช่วยกันดูแลสั่งสอนองค์ชายและพระชายาคู่นี้ พยายามเคี่ยวเข็ญให้องค์ชายมีลักษณะเป็นโอรสสวรรค์ ฉานฉุนอู๋จี้ ก็มิกล้ารับปากกับพระองค์อย่างหนักแน่น พระเจ้า ไท่จง ทรงได้แต่ทรงลูบคลำและสีหน้าของ ฉานชุนอู๋จี้ เป็นเวลานานครึ่งวันต่างก็มิพูดจากัน ฉานชุนอูจี้ ได้ร้องไห้โดยมิกล้าออกเสียง ต่อเมื่อขุนนางต่าง ๆ พากันมาเข้าเฝ้า พระเจ้า ถันไท่จง ทรงตัดพระทัยทรงตรัสว่า

“ข้ามี 2 สิ่ง ที่ขอฝากต่อท่านทั้งหลาย คือความกตัญญูทรงทศพิศราชธรรมขององค์รัชทายาท และความปรองดองสามัคคีกันของเหล่าท่านทั้งหลาย ขอให้ทั้งสองฝ่ายต่างมีความร่วมสมานะฉัน ช่วยกันบริหารประเทศให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปกาลนาน ขอให้ท่านทั้งหลายจงจดจำคำพูดของข้าให้ดี”

แล้วพระองค์ก็ทรงมีรับสั่งให้องค์รัชทายาทมาสั่งเสียต่อหน้าเหล่าขุนนางทั้งปวง

“อู๋จี้ และสุ่ยเหลียน สองขุนนางผู้ใหญ่ พร้อมด้วยเหล่าขุนนางที่ซื่อสัตย์ทั้งหลาย จักช่วยเจ้าบริหารราชการแผ่นดิน หากเจ้ามีปัญหาใด จงปรึกษาถามขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน จักช่วยเหลือเจ้าได้”

เมื่อทรงตรัสจบ พระเจ้า ถันไท่จง ทรงทอดถอนพระทัยเฮือกใหญ่ ทรงพยายามหลับพระเนตรทั้งสองลงอย่างยากเข็ญลำบาก ทรงบรรทมด้วยความเหนื่อยอ่อน
ต่อเมื่อพระองค์ทรงตื่นจากบรรทม องค์รัชทายาทและพระชายารัชทายาท ต่างทรงคุกเข่าอยู่ข้างพระวรกายของพระองค์ทั้งคู่ พระองค์ทรงมีรับสั่งให้มหาอำมาตย์ จูสุ่ยเหลียน เขียนพระราชโองการผู้สืบทอดบัลลังก์ พระองค์ทรงใช้พระหัตถ์หยาบแห้งดั่งไม้ตายซากของพระองค์ ทรงจับพระหัตถ์ขององค์รัชทายาทบีบแน่น และทรงชี้พระดรรชนีอีกข้างไป ณ พระชายารัชทายาท ทรงตรัสกับมหาอำมาตย์ จูสุ่ยเหลียน ว่า

“ข้าขอมอบลูกรักของข้าคู่นี้ให้แก่เจ้าดูแล”

ตรัสจบ พระองค์ทรงมองสบพระเนตรกับองค์รัชทายาท คลับคล้ายว่าจักทรงมีพระดำรัสทรงตรัสอีก แต่แล้วพระเนตรของพระองค์ก็ทรงปิดลง ทรงเสด็จสวรรคต เมื่อพระชนมายุได้ 53 พรรษา



~มังกรหลับ~
#8   ~มังกรหลับ~    [ 19-05-2007 - 22:55:47 ]    IP: 203.113.45.69

ประวัติ จางเหลียน กับอาจรย์ หวงสือกง อยู่

แต่ยังไม่มีเวลาแปลครับ


.
แอบสยุมพรนอกสมรส

เมื่อพระเจ้า ถันเกาจง หลี่จิ้ ทรงเสด็จเถลิงพระราชสมบัติเป็น ฮ่องเต้ ฉานชุนอู่จี้ ก็ได้ช่วยบริหารราชการแผ่นดินด้วยความร่มเย็นสงบสุขมาช้านาน แต่ทว่าในพระราชวังหลวงของพระองค์กลับมิสงบสุขนัก พระชายาราชทายาท หวางสื่อ บัดนี้ทรงรับตำแหน่ง ฮองเฮา แต่พระนางกลับทรงมิมีรัชทายาท พระราชวังหลังแม้มีพระโอรส หลี่จง (ลี่ตง) ทรงประสูติพระสนม หลิวสื่อ, และพระโอรส หลี่ซู่จั๋ว (ลี่ซู้จัก) ทรงประสูติจากพระสนม ซูซู่เฟย (ซูซกฮุย), แต่ทว่ามิใช่พระโอรสที่ทรงกำเนิดจากพระมเหสี จึ่งมิสามารถทรงดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาท พระเจ้า ถันเกาจง ทรงเริ่มปริวิตก

พระนาง หวาง ฮองเฮา ทรงเกรงว่าพระโอรสของพระสนม ซูซู่เฟย เจ้าชาย หลี่ซู่จั๋ว จักทรงโปรดได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาท ซึ่งจักสั่นสะเทือนถึงตำแหน่ง ฮองเฮา ของพระนาง จึ่งทรงโปรดให้พระราชชนนีของพระนาง เว่ยกว๋อฟูเหริน (งุ่ยกกฮูยิ้ง) ไปกล่าวแก่พระเจ้าน้าของพระนาง ร่วมกับขุนนางตำแหน่งอาลักษณ์ จงซูเหมิน (ตงจูมึ้ง) ขั้นที่ 3 มีตำแหน่งรองจากอุปราช หลิวซ่าน (ลิ่วซ่วง) ไปปรึกษากับ ฉานชุนอูจี้ และพรรคพวก ให้แต่งตั้งพระโอรสองค์โตของพระเจ้า ถันเกาจง เจ้าชาย หลี่จง เป็นองค์รัชทายาท เนื่องจากว่าพระชนนีของเจ้าชาย หลี่จง ทรงมีพื้นแพต้อยต่ำ และมิได้รับการโปรดปราน และเมื่อเจ้าชาย หลี่จง ทรงดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาท ก็ทรงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากพระนาง ฮองเฮา ความรักใคร่ของ ฮองเฮา และองค์รัชทายาทดำเนินไปด้วยดี ฉะนั้นตำแหน่ง ฮองเฮา ของพระนางย่อมมิสั่นสะเทือน และด้วยการช่วยเหลือของ ฉานชุนอู๋จี้ องค์รัชทายาท หลี่จง ทรงได้รับการแต่งตั้งหลังจากพระเจ้า ถันเกาจง ทรงเป็น ฮ่องเต้ ได้ 3 ปี แต่พระสนม ซูเฟย ก็ทรงใคร่จักได้ตำแหน่ง ฮองเฮา ทรงอิจฉาริษยา วางแผนช่วงชิงตำแหน่ง ฮองเฮา พระนางทั้งสองเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า ถันเกาจง ต่างทรงพยายามกระแซะตีสนิทกับพระเจ้า ถันเกาจง ทั้งซ้ายขวา ซึ่งสร้างความเบื่อหน่ายแก่พระเจ้า ถันเกาจง ยิ่ง เป็นเหตุให้พระองค์ทรงยิ่งคิดถึงนางในถ่านไฟเก่า

เดือนที่ 5 ของปีเดียวกันนี้ เป็นวันครอบรอบการเสด็จสวรรคตของพระเจ้า ถันไท่จง ปีที่ 3 พระเจ้า ถันเกาจง ทรงไว้ทุกครบถ้วนตามประเพณี พระองค์ทรงเสด็จไปไหว้พระ ณ วัด กั่นเย่ว์ซื่อ (ก่ำเงียบยี่) ทรงบำเพ็ญกุกลให้แก่บิดาของพระองค์ แต่ความในพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงมีจุดมุ่งหมายมิอาจเอ่ยพระโอษฐ์ พระองค์ทรงคิดหาวิธีไปเยี่ยมเยียนคนรักเก่าซึ่งทรงจากกันนาน 3 ปี นาง อู่เหมยเหนียน (บู่ไบ่เนี้ย) และจักทรงปฏิบัติกับนางตามที่เคยทรงรับปากไว้
เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจการกุศล พระเจ้า ถันเกาจง ทรงเสด็จไป ณ อุทยานหลังวัด ทรงเสด็จมาถึงกุฏิเล็กหลังหนึ่ง พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นนางชีองค์หนึ่ง แม้นางชีจักโกนผมทั้งศีรษะโล้นเลี่ยน แต่พระองค์ยังทรงจดจำเค้าหน้าอันงดงามของนางได้ แม้นว่านางจักสวมใส่ชุดนางชีอันรุ่มร่ามก็ตาม แต่ก็เผยรูปทรงอันสะโอดสะองของนาง มิได้พบเห็นกันนาน 3 ปี บัดนี้ นางชี อู่เหมยเหนียน รูปทรงอวบอัดมองดูเป็นสาวเต็มตัว เมื่อสบพระเนตรของ ฮ่องเต้ นางมิเอ่ยปากสักคำ แต่เบ้าตาทั้งสองข้างของนางมีน้ำตาร่วงไหล พระเจ้า เกาจง ทรงพระสงสารเอ็นดูและยิ่งทรงรักใคร่ ทรงพลั้งพระโอษฐ์ตรัสว่า

“เจ้ายังอยู่ ณ ที่นี้..”

อู่เหมยเหนียน แลเห็น ฮ่องเต้ ยังมิทรงลืมความหลังระหว่างพระองค์และของนาง นางมองพระองค์ด้วยใจเต้นระทึก ดวงตาหงษ์ของนางซึ่งเต็มไปด้วยน้ำตา มองดูคล้ายกำลังตัดพ้อสักสามส่วน และมีแววแห่งความรักใคร่ประมาณ 7 ส่วน นางค่อย ๆ เอ่ยปากงามกระจับ
“เจ้าเหนือหัวยังมิลืมข้าพระองค์…….”

แต่เมื่อเอ่ยเอื้อนวาจามิทันจบสิ้น น้ำตาต่างหลั่งไหลร่วงลงมาดั่งห่าฝน พระเจ้า ถันเกาจง ซึ่งปรกติทรงมีพระทัยอ่อนโยนอ่อนไหวได้โดยง่าย ยามนี้ด้วยความสะเทือนใจ พระองค์ก็ทรงหลั่งน้ำพระเนตรด้วย ความรักไร้พรมแดนมิมีขอบเขต พระองค์ทรงใช้พระหัตถ์เช็ดถูน้ำตาให้กับแม่นางชีเต็มทั้งใบหน้า พระองค์ทรงลูบไล้ร่างกายอันอ่อนนุ่มของนางชี อู่เหมยเหนียน ทรงไต่ถามความทุกข์สุขสองนางในชั่วระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ร่างกายจิตใจสุขสบายดีหรอกหรือ อู่เหมยเนียน ยังมิทูลตอบ กลับยิ่งสะอึกสะอื้น ใช้มือปัดน้ำตา ความรักของทั้งสองฝ่ายต่างยิ่งเกาะกันลึกซึ้งแน่นเฟ้น ยิ่งกว่าเมื่อครั้งความหลัง ต่อเมื่อฟ้าใกล้จักมืด พระเจ้า ถังเกาจง ทรงลาจากไปด้วยความแสนเสียดายพระทัย ทรงตรัสกับนางชีว่า จักให้คนมารับเข้าวังโดยเร็วทีสุด

จักกล่าวถึงประวัติความสัมพันธ์ของนาง อู่เหมยเหนียน กับพระเจ้า ถันเกาจง ต้องโยงใยอดีตถึงศักราช เจินกวน ปีแรก ๆ

ประมาณการว่าเมื่อศักราช เจินกวน ปีที่ 4 ณ ดินแดน เสฉวน มีหมอดูแม่นยำคนหนึ่งชื่อว่า หยวนเทียนกัน (ง่วงเทียงกัง) เขาเป็นหมอดูที่มีชื่อเสียงที่สุดในท้องถิ่น วันหนึ่ง เขาได้เดินทางมาถึง ลี่โจว (หลี่จิว..ชื่อเมือง กุน) ปัจจุบันคือเมือง ก่วนหยวน (ก่วงง้วง) ในมณฑล เสฉวน ในจวนของท่านเจ้าเมือง ท่านเจ้าเมือง อู่สือเย่ว์ (บู่สืออวก) เป็นชาวเมือง ปิ้นโจวเหวินสุ่ย (เป่งจิวบุ่งจุ้ย) ปัจจุบันอยู่ทางตอนเหนือของเมือง เหวินสุ่ย ในมณฑล ซานซี เป็นคนสนิทกับ หลี่ย่าน (หลี่เอี่ยง) เมื่อครั้งรัชสมัยของพระเจ้า ถันเกาจู่ เป็นหนึ่งในผู้ก่อการของพระเจ้า เกาจู่ ที่เริ่มก่อการ ณ เมือง พูหยาน (โผ่วเอี้ยง) เมื่อ หลี่ย่าน ตั้งตนเป็น ฮ่องเต้ เขามีความดีความชอบได้รับตำแหน่ง เซี่ยนซู (เซี่ยจู) และมียศเป็น อิ้นกว๋อกง (เอ่งกกกง) ศักราช เจินกวน ปีที่ 1 อู่สือเย่ว์ ได้มากินตำแหน่งเป็นเจ้าเมือง หลี่โจว เขาได้ตกแต่งภรรยาคนแรกนาง หูลี่สื่อ (โอ่วหลี่สี) มีบุตรชาย 2 คนคือ อู่หยวนซิ่น (บู่ง่วงเข่ง), และ อู่หยวนซ่าน (บู่ง่วงซ่วง), และแต่งนาง หยานสื่อ (เอี่ยสี) เป็นภรรยารอง มีบุตรี 3 คน วันนั้น หมอดู หยวนเทียนกัน ได้ดูลักษณะโหวงเฮ้งให้แก่ ฮูหยิน รองนาง หยานสื่อ เขากล่าวว่า

“ดูจากกระดูกเชิงกรานของท่าน ฮูหยิน ประเสริฐยิ่ง จักมีอภิชาตบุตร..”

และเมื่อดูดวงชะตาให้แก่ อู่หยวนซิ่น และ อู่หยวนซ่าน แล้ว ได้กล่าวว่า
"ตามลักษณะบุตรทั้งสองนี้ สามารถรับช่วงรักษามรดก ยศขุนนางมิเกินขั้นที่ 3”

แล้วดูลักษณะบุตรีคนโตของ อู่สือเย่ว์ กล่าวว่า

“เด็กหญิงนี้ วาสนาสูงส่ง แต่มิเหมาะแก่สามี”

และเมื่อแม่นมอุ้มบุตรีคนที่ 2 ออกมาให้ท่านหมอดูดู หมอดู หยวนเทียนกัน แพ่งหรี่สายตามอง ดูด้วยความตระหนกตกใจ กล่าว่า

“เด็กน้อยคนนี้ เจ้าคนนายคน ดวงตาพระยามังกร หน้าผากพระยาหงษ์ วันข้างหน้าวาสนาสูงสุด..”

เขายังให้หันด้านหลังของ อู่เหมยเหนียน เปิดดู ยิ่งตระหนกตกใจกลัว

“แม้ว่าจักเป็นเพียงเพศหญิง วาสนาสูงส่งภายใต้หล้ามิมีใครเทียบ วันข้างหน้าดูซิ ยิ่งกว่าเจ้าคนนายคน..”

อูสื่อเย่ว์ ไต่ถามด้วยความสงสัย

“ยิ่งกว่าเจ้าคนนายคน เพศหญิงสูงสุดนั้นเพียง ฮองเฮา..”

“ยิ่งกว่า ฮองเฮา ฐานะเทียบเท่าโอรสสวรรค์ โอวว.. ชะตาฟ้าลิขิต”

อู่สือเย่ว์ ฟังจบ ทั้งตื่นตระหนก และทั้งดีใจ ตั้งแต่นั้นมา เขาก็ให้การเลี้ยงดูบุตรีคนที่สองเป็นพิเศษ อู่เหมยเหนียน ก็เป็นความหวังอันสูงสุดของเขา และมิใช่การเลี้ยงดูแบบบุตรีชาวบ้านทั่ว ๆ ไป สั่งสอนให้เรียนรู้เฉพาะเรื่อการเรือน อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน อันเป็นขนมธรรมเนียมอันยิ่งใหญ่ของคนจีน เขาได้จ้างเหล่าบัณฑิตผู้มีวิชามาสอนสั่ง อู่เหมยเหนียน ถ่ายทอดความรู้เป็นพิเศษ เสียดายแต่ว่า อู่สือเย่ว์ วาสนาบารมีมีมิถึง เมื่อ อู่เหมยเหนียน เจริญวัยมีอายุได้ 8 ขวบ อู่สือเย่ว์ ก็ได้เจ็บป่วยถึงแก่กรรม ตอนก่อนที่เขาจักสิ้นใจ ได้ให้พี่เลี้ยงนำเด็กหญิง อู่เหมยเหนียน เข้ามาสั่งความ เขาได้เล่าถึงคำพูดของหมอดู หยวนเทียนกัน เมื่อตอนนางเพิ่งเกิดนั้นให้ฟัง นางจึ่งรู้ถึงชะตากรรมของนางเองว่า มิใช่ธรรมดา และยังสั่งเสียให้นางเก็บเป็นความลับ อย่าเปิดเผยความลับของฟ้าสวรรค์ลิขิต จักเป็นอันตรายต่อนางเอง

ศักราช เจินกวน ปีที่ 15 พ.ศ. 1184 นาง อู่เหมยเหนียน มีอายุได้ 14 ปี นางนอกจากมีความสวยงามผิวพรรณผุดผ่อง สติปัญญาหลักแหลมฉลาดกว่าเด็กสาวทั่ว ๆ ไป มีปฏิพานว่องไว ฉลาดเฉลียวกว่าคนทั่ว ๆ ไป ความสวยงาม ความรู้ความฉลาดของนาง มินานก็มีชื่อเสียงถูกลือกระฉ่อน และเนื่องจากบิดาของนางเคยเป็นขุนนางที่มีความดีความชอบในรัชกาลที่แล้ว ข่าวคราวของนางก็ถูกระบือไปถึง ณ นคร ฉานอาน พระเจ้า ถันไท่จง ทรงมีพระราชโองการโปรดให้นาง อู่เหมยเหนียน เข้าวังถวายตัว นาง หยานสื่อ มารดาของนางรับพระราชโองการแล้วมีความลำบากใจยิ่ง นางรู้ดีว่า เหล่านางกำนัลในพระราชวังนั้นมีสถานภาพดั่งตกนรกทั้งเป็น หากบุตรตรีของนางเข้าวัง เมื่อไหร่จักมีโอกาสได้ผุดได้เกิด ในวังยังมีเหล่าสนมนมในอีก 3,000 นางที่ยังอ้างว้าง รอคอยเมื่อไหร่จักมีโอกาสพบพระพักตร์ของโอรสสวรรค์ มีหลายนางรอถึงศีรษะขาวโพลน ทำไมจึ่งนำความสาวชีวิตวัยสดชื่นไปสังเวยในพระราชวังตลอดชั่วชีวิต

นาง หยานซื่อ เป็นธิดาของเจ้าในพระราชสำนัก สุย ที่ล่มไปแล้ว เมื่อสามี อู่สือเย่ว์ ถึงแก่กรรม นางก็ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของสามีเลี้ยงดูบุตรีทั้งสามของนางเองอย่าทะนุถนอม พร้อมด้วยบุตรอีก 2 คนของภรรยาหลวงของสามี มีความสุขสงบมาตลอดอย่างราบรื่น แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นวันนี้ ทำให้นางวิตกเป็นห่วง
แต่ทว่านาง อู่เหมยเหนียน กลับมีสติอันมั่นคงยิ่ง นางยอมรับสภาพตามพระราชโองการอย่างกล้าหาญ และกลับปลอบโยนมารดาว่า

“ลูกมีโอกาสได้เข้าวังรับใช้ ฮ่องเต้ นับว่าชะตาฟ้าลิขิตได้ให้โอกาสแก่ลูกแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง เหตุไฉนมารดาจึ่งต้องเสียใจร้องไห้เสียน้ำตาเล่า”

นางคงคิดถึงคำพูดของบิดากล่าวเมื่อก่อนสิ้นชีพ นางมีความมั่นใจว่า นางมีความพร้อมด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ อีกทั้งความเฉลียวฉลาดของนางเป็นอาวุธ ถ้าหากอยากได้ลูกพยัคฆ์ ก็จักต้องเข้าถ้ำพยัคฆ์จับลูกพยัคฆ์ นางตั้งใจอย่างแน่วแน่ในความมั่นคงของก้าวแรกของชีวิต

หากเป็นเด็กสาวธรรมดาในวัย 14 ปี ยังมิประสีประสาความเป็นไปของโลก แต่นางดั่งหญิงผู้เจนจัด คิดถึงวัยอนาคตข้างหน้าอันสดใสในนคร ฉานอาน นางก้าวเท้าขึ้นสู่ราชรถเข้าสู่นคร ฉานอาน ด้วยความมั่นใจ

วันแรกที่เข้าวัง เป็นความโชคดีของนางยิ่ง ที่สามารถยลพระพักตร์ของ ฮ่องเต้ เมื่อปีนั้น พระเจ้า ถันไท่จง ทรงมีพระชนม์ได้ 44 พรรษา ทรงเริ่มเข้าสู่พระวัยหนุ่มกลางคน แต่ยังทรงไฟแรง พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มสดใสสะอาดที่ทรงแรกประสบโดยยังมิทราบ
ชื่อเสียงเรียงนาม ในคืนวันนั้น พระองค์ก็ทรงเสพสังวาสกับเด็กสาว ณ พระตำหนัก กันลู่เตี้ยน (กำโล่วเต่ย) วันรุ่งขึ้น พระองค์ทรงพระราชทานตำแหน่งนางสนมแก่เด็กสาวเป็น ไฉเหยิน (ไช่ยิ้ง..ตำแหน่งนางสนมขั้นต่ำขั้นที่ 5) เมื่อเปรียบเทียบกับเหล่านางกำนัลที่เข้าวังมาจนศีรษะหงอกขาว นับว่าเป็นบุญบารมียิ่ง

ฤดูร้อนของปีศักราช เจินกวน ปีที่ 22 ลมฟ้าอากาศวิปริต พระเจ้า ถันไท่จง ทรงเกรงกลัวอย่างยิ่ง ทรงให้โหรหลวง หลี่ตุนฟง (ลี่ตุงฮวง) ทำพิธีเสี่ยงทาย ผลของการเสี่ยงทายมีความหมายว่า “สตรีครองอำนาจ” ซึ่งตรงตามกับคำร่ำลือของประชาชน อีกทั้งในพระราชสำนักก็มี “จดหมายเหตุลับ” เขียนว่า

“ถัน ชั่วคนที่ 3 นางพระยา อู่สื่อ ครองอำนาจใต้หล้า”

พระเจ้า ถันไท่จง ทรงตรัสถามโหรหลวง หลี่ตุนฟง ว่า

“หนังสือบันทึกจดหมายเหตุลับมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน”

โหรหลวง หลี่ตุนฟง กล่าวอย่างมิค่อยแน่ใจว่า

“ตามที่กระหม่อมได้ศึกษาจากดวงดาวประกอบกับดินฟ้าอากาศนั้น เป็นที่แน่นอนว่าสตรีจังไรนี้กำลังอยู่ในพระราชวังของพระองค์แล้ว นับแต่วันนี้ไปมิเกิน 30 ปี เหล่าบุตรหลานของพระองค์จักมีภัยจากสตรีผู้นี้พ่ะย่ะค่ะ..”

พระเจ้า ถันไท่จง ทรงตรัสด้วยความหวั่นวิตก

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ข้าจักให้มีการสอบสวนของสตรีผู้นี้ในพระราชวังหลวง หากเป็นใครจักใช่หรือมิใช่ก็แล้วแต่ ข้าจักฆ่าทิ้ง.. ดีไหม..”

โหรหลวง หลี่ตุนฟง กราบทูล

“ฟ้าสวรรค์ลิขิตนั้นย่อมแน่นอน คนเรามิอาจฝ่าฝืน ฝ่าบาทมีอำนานสูงสุดใต้หล้าก็จริง แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า”

พระเจ้า ไท่จง ทรงได้แต่ทอดถอนพระทัย แล้วก็แล้วไป

แต่ทว่า คนอย่างมีทิถิมานะดั่งพระเจ้า ถันไท่จง ไฉนเลยจักทรงปล่อยวาง พระองค์ทรงโปรดให้มีงานเลี้ยงในพระราชวัง ทรงโปรดให้เหล่าแม่ทัพนายกองของพระองค์เข้าร่วมงานเลี้ยง เสพสุราจนเมามาย และให้แต่ละคนกล่าวออกมาซึ่งความในใจ ในงานเลี้ยงนั้น แม่ทัพฝ่ายซ้าย เว่ยเจียนจวิน (งุ่ยเจียงกุง) หลี่จวินเสี้ยน (ลี่กุงเอี่ยง) กราบทูว่า

“ลั่วโจว (ลกจิว) มีคนชาวเมือง อู่อาน (บู่อัง) เป็นบุตรลำดับที่ 5 ชื่อรองว่า อู่เหนียน (โง่วเนี้ย) มีความชอบปราบ เหลิวอู่โจว (เล่าบู่จิว) สำเร็จ จึ่งได้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพซ้าย ฉู่อู่เว่ยเจียนจวิน (ฉ่อบุ่งงุ่ยเจียงกุง) ได้รับยศ อู่เหลียนเสี้ยนกง (โง่วเลี้ยงกุ่ยกง) เฝ้ารักษาประตูเมือง เสี้ยนอู่เหมิน (เ...่ยงบู่มึ้ง)”
ด้วยสำเนียงคำพูด มีคำว่า อู่ 7 - 8 คำ พระเจ้า ถันไท่จง ทรงฟังแล้วทรงตื่นตระหนก ทรงรำพึงว่า ในจดหมายเหตุลับ คำว่า อู่ น่าจักเป็นคนคนนี้เอง ดั่งนั้นพะองค์จึ่งทรงโยกย้ายแม่ทัพฝ่ายซ้าย หลี่จวินเสี้ยน ไปเป็นเจ้าเมือง หัวโจว ฮั่วจิว) ปัจจุบันคือเมือง หัวเสี้ยน ในมณฑล ซ่านซี และยังทรงส่งคนไปตรวจสอบหลายครั้ง และทรงมีคำสั่งให้ประหาร

เมื่อภายหลังการตายของ หลี่จวินเสี้ยน พระเจ้า ถันไท่จง ยังทรงมิไว้วางพระทัย พระองค์ทรงเพ่งเล็งเหล่านางกำนัลที่น่าสงสัยในพระราชวัง และแล้วก็ตกมาถึงนางสนม อู่ไฉเหริน แต่ด้วยทรงประทับพระทัยเริงรสในโลกีย์ของพระองค์ พระองค์ทรงเสียดายความสดสวยงดงาม ความเฉลียวฉลาด การเอาใจปรนนิบัติของนางสนม อู่ นางงามพร้อมสรรพมิมีที่ติ พระองค์ทรงรำลึกถึงเหตุการณ์ ทีได้บังเกิดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

พระองค์ทรงสามารถพิชิตใต้หล้าได้ก็ด้วยความอานุภาพของ อาชา ดั่งนั้นพระองค์ทรงรักและเชี่ยวชาญการดูลักษณะของอาชายิ่ง เวลานั้น มีราชทูตจากทางตะวันตกได้ถวาย อาชา แก่พระองค์หลายเชือก มีอาชาหนึ่งพยศเป็นอย่างยิ่ง มิมีผู้ใดกล้าขึ้นขับขี่ เหล่าขุนนางชั้นผู้น้อยที่มีหน้าที่เลี้ยงอาชา ต่างถูกอาชานี้แตะถีบบาดเจ็บไปหลายคน

“ดูท่าทางมิมีผู้ใดมีความสามารถปราบพยศมันได้ละหรือ ผู้ใดสามารถปราบมันได้ ข้าจักให้รางวัล..”

แต่ทว่ามิมีผู้ใดกล้าเดินหน้ามาอาสาสมัครปราบอาชา ขุนนาง นางกำนัล เหล่ามหาดเล็กทั้งหลายรวมกันหลายร้อยคน ต่างนิ่งอึ้ง มองหน้ามองตากันเองกลับกลอกไปมา แต่มีนางสนมน้อยผู้หนึ่ง กล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบว่า

“ข้าสนมผู้น้อยขอรับอาสาทดลองดูพ่ะย่ะค่ะ แต่ข้าน้อยขอทรงพระกรุณาจากฝ่าบาททรงประทานเงื่อนไขแก่ข้าน้อย 3 ข้อ พ่ะย่ะค่ะ..”

พระเจ้า ไท่จง ทรงทอดพระเนตร ที่แท้นั้นคือสนมน้อย อู่ไฉเหริน ผู้สดสวยทรงเสน่ห์ อู่เหมยเหนียน กราบทูลต่อไปว่า

“ขอฝ่าบาททรงประทานสิ่งของ 3 อย่างแก่กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ คือ 1 . โซ่เหล็ก, 2 . ลูกตุ้มเหล็ก, 3 . กฤช พ่ะย่ะค่ะ..”

พระเจ้า ถันไท่จง ทรงทอดพระเนตร และทรงตรัสถามด้วยความสงสัยว่า

“เจ้าจักเอาอาวุธ 3 อย่างไปปราบอาชาอย่างไรหรือ”

นาง อู่เหมยเหนียน กราบทูลว่า

“เริ่มแรก กระหม่อมจักนำโซ่เหล็กไปล่ามมัน ถ้ามันยังมิเชื่อง กระหม่อมก็จักนำลูกตุ้มเหล็กฟาดหัวมัน และถ้ามันยังมิเชื่อฟังอีก กระหม่อมก็จักนำกฤชแทงคอหอยของมันพ่ะย่ะค่ะ..”

“กล้าหาญมาก”
พระเจ้า ถันไท่จง ทรงตรัสชมเชย

“เจ้าถ้าจักเป็นบุตรีของผู้กล้า วีระสตรีถือกำเนิดแล้ว”

วันนั้น พระเจ้า ถันไท่จง ทรงพระราชทานรางวัลแก่นางสนม อู่เหมยเหนียน มากมายตอบแทนความกล้าหาญของนาง แต่เมื่อภายหลัง พระองค์ทรงรำพึงอย่างเงียบ ๆ ว่า

“นางมิใช่หญิงธรรมดาเสียแล้ว..”



~มังกรหลับ~
#9   ~มังกรหลับ~    [ 19-05-2007 - 22:56:53 ]    IP: 203.113.45.69

ท่าน เดวิส เหลียง

"ถันเป็นสำเนียง ปักกิ่ง หรือ ผู่ทงฮว่า

ครับ

..


ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระเจ้า ถันไท่จง ทรงให้ความสนพระทัยต่อนาง และทรงมีความรระมรัดระวังเป็นพิเศษ

ดั่งนั้น ความงดงามของอิสตรีเป็นที่ชักจูงให้พระองค์ทรงหลงใหล พระเจ้า ไท่จง ทรงใกล้ชิดสนิทกับนาง อู่เหมยเหนียน มิห่างพระกาย ส่วนนาง อู่เหม่ยเหนียน ก็เห็นเป็นโอกาสยึดแน่นในพระเจ้า ถันไท่จง ตลอดจนถึงปีศักราช เจินกวน ปีที่ 23 นางจึ่งมิได้รับโทษทัณฑ์ใด ๆ หรือถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ยังคงอยู่ข้างกายของพระเจ้า ถันไท่จง แต่ภายใน 8 ปีต่อมา นางกลับมิได้รับการเลื่อนตำแหน่ง คงดำรรงตำแหน่งพระสนม ไฉเหยิน (ไช่ยิ้ง) ขั้นที่ 5 เท่านั้น

แต่ทว่า แผนการปราบม้าพยศของพระนาง เป็นเหตุให้เปลี่ยนดวงชะตาของพระนางอย่างใหญ่หลวง ด้วยในวันนั้น องค์รัชทายาท หลี่จิ้ ก็ทรงได้กิติศัพท์การกราบทูลอย่างฉาดฉานและกล้าหาญของพระสนม อู่ไฉเหยิน อันเป็นความตรงกันข้ามกับลักษณะความงามของกุลสตรี อันเป็นคุณสมบัติเด่นในตัวพระนาง ดั่งนั้น พระองค์จึ่งอดหลงใหลและจดจำพระนางมิรู้เลือน นี่คงเป็นฟ้ากำหนดชะตาลิขิต ครั้งหนึ่ง พระเจ้า ถันไท่จง ทรงพระปะชวรเล็กน้อย องค์รัชทายาททรงเข้าเฝ้าดูพระอาการอย่างใกล้ชิด พระนาง อู่เหมยเหนียน ก็ทรงปรนนิบัติอยู่ข้างพระกาย องค์รัชรทายาททรงทอดพระเนตรเห็นพระพักตร์ของพระนางหมองคล้ำ พระเนตรคลอด้วยน้ำตา พระกายนั้นดูอ้อนแอ้นและนุ่มนวล มีเสน่ห์เป็นที่ต้องพระทัยยิ่ง ในพระตำหนัก จงกง (ตังเก็ง..พระราชวังขององค์รัชทายาท) มิมีนางใด้เสมอเหมือนเทียบเท่า องค์รัชทายาททรงว้าวุ่น ทรงถือโอกาสนี้ แสร้งเลียบเคียงสอบถามพระนาง

“เจ้างดงามยิ่ง มีนามว่ากระใด”

องค์รัชทายาททรงตรัสถาม

“กระหม่อม อู่เจ้า (บู่เจียว) นามรองว่า เหมยเหนียน พ่ะย่ะค่ะ”

พระนางรู้สึกว่า องค์รัชทายาทกำลังปันพระทัยให้พระนาง พระนางทรงตรัสด้วยความนอบน้อนหวานละมุนละไม ขณะนั้น ความคิดหวังของพระนางพลันแล่นคิด ตามสายตาของพระนาง ฮ่องเต้ ทรงพระชรายิ่ง คงมิใช่ความหวังของพระนางมากมาย ดั่งนั้น ความหวังของพระนางก็หันแหไปสู่องค์รัชทายาท ซึ่งกำลังจักเป็น ฮ่องเต้ ในอนาคต จักเป็นเหตุให้อนาคตของพระนางรุ่งเรืองยิ่งขึ้นตามคำหมอดูทำนาย

“เจ้าองอาจยิ่ง เมื่อปีนั้น ฮ่องเต้ พระบิดา ทรงโปรดให้เจ้าปราบม้าพยศ แม้นแต่ชายอกสามศอกยังสู้ความกล้าหาญของเจ้ามิได้”

การสนทนาของทั้งสอง สร้างความสนิทชิดเชื้อแก่คนทั้งสองยิ่งขึ้น องค์รัชทายาทเห็นว่าภายในห้องมิมีผู้อื่นใด พระเจ้า ถันไท่จง ก็ทรงบรรทมหลับอยู่บนพระแท่น จึ่งทรงถือโอกาสลูบคลำจับพระหัตถ์ของพระนาง

พระนางทรงนิ่งเงียบ แต่กลับทรงใช้พระหัตถ์อีกข้างลูบกุมพระหัตถ์ขององค์รัชทายาท ทรงใช้สายพระเนตรแสดงแทนการพูดคุยพูดเชื้อเชิญ คลับค้ายกับว่าพระนางทรงมิมีความคลางแคลงในตัวองค์รัชทายาท พระนางทรงมั่นพระทัยว่า การซื้อใจจับบุรุษผู้นี้ ช่างเป็นที่ง่ายดายอย่างยิ่ง

ดั่งนั้น จึ่งเปรียบเสมือนมีกระแสไฟฟ้าดึงดูดองค์รัชทายาทอย่างแรง พระองค์ทรงรู้สึกว่าพระโลหิดฉีดแรงร้อนแรงไปทั่วพระวรกาย พระองค์ทรงตรัสอะไรมิออก ทรงรีบโอบพระนางเข้ามากอดในโอ้มพระอุระ ทรงใช้พระหัตถ์ลูบไล้พระเกศาของพระนางอย่างถนุถนอม

“ฝ่าบาททรงรีบเสด็จกลับวังเถอะ หาก ฮ่องเต้ พระบิดาตื่นขึ้นจักบังเกิดความสงสัย”

องค์รัชทายาททรงเปลี่ยนพระอริยาบทอย่างว่านอนสอนง่าย ทั้งคู่ต่างสนิทสนมกันเข้าใกล้พระแท่นบรรทมของ ฮ่องเต้ พระบิดา เดชะบุญ ฮ่องแต้มิมีความสงสัยประการใด
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา องค์รัชทายาททรงว้าวุ่นดั่งผีเข้า ยามกลางวันแสก ๆ ทรงฝันเห็นแต่พระพักตร์และรูปทรงอรชรของพระนาง อู่เหมยเหนียน ทรงใฝ่ฝันยลพระพักตร์ของพระนางอีกครั้งก็ยังดี อู่เหมยเหนียน ยิ่งสร้างความประทับใจให้แก่องค์รัชทายาท พระเนตรของพระนางทรงบอกกล่าวถึงความรักอย่างมิรู้เลือน

องค์รัชทายาทเสด็จไป ณ ที่ใด มักทรงกระวนกระวาย ยามราตรี องค์รัชทายาททรงหลับพระเนตรมิลง เมื่อยามหลับ พระองค์ทรงพระสุบินว่าได้อยู่ได้ชิดกับนางที่ตนรัก ความจริงนั้น องค์รัชทายในพระวัย 20 เศษ ๆ ภายในพระราชวังของพระองค์ มีทั้งพระชายาและพระสนมนมในต่าง ๆ จำนวนมาก ต่างล้วนเต็มใจให้พระองค์ชื่นชม แต่พระองค์กลับมิทรงโปรดนางใด นับได้ว่าพระองค์ทรงตกอยู่ในห้วงรักของพระนาง อู่เหมยเหนียน อย่างหลงใหล

เดือนที่ 5 ศักราช เจินกวน ปีที่ 23 พระเจ้า ถันไถ่จง ทรงพระประชวรหนัก พระนาง อู่เหมยเหนียน ทรงปรนนิบัติในห้องพระบรรรทม องค์รัชทายาก็ทรงเข้าเฝ้าใกล้ชิด ทั้งสองได้อยู่ร่วมกันอีก องค์รัชทายยาททรงคิดใคร่ทำชู้กับพระนาง อู่เหมยเหนียน แต่ทรงเกรงพระทัยพระเจ้า ถันไท่จง ด้วยความกระตัญญู ทรงมิบังอาจทำชู้กับพระสนมของพระบิดา จึ่งทรงอดรอให้พระบิดาทรงเสด็จสวรรคตเสียก่อน

วันหนึ่ง พระเจ้า ถันไท่จง ทรงตื่นลืมพระเนตรด้วยความสะลืมสะลือ ทรงทอดพระเนตรเห็นพระนาง อู่เหมยเหนียน ทรงยืนอยู่ข้างพระกาย ทรงตรัสว่า
“การเจ็บป่วยของข้านี้ นับวันมิมีวันหาย คงจักยิ่งหนักลงทุกวัน ข้าคงจักถึงวาระสุดท้ายแล้วในเวลาอีกมินาน หากข้าสิ้นชีพไป เจ้าจักดำรงชีพอย่างไร..”
อู่เหมยเหนียน ทรงรีบคุกเข่าถวายบังคม ทรงตรัสทูลว่า

“ข้าน้อยได้รับพระเดชพระคุณจากฝ่าบาทอย่างใหญ่หลวง กระหม่อมสมควรติดตามฝ่าบาทไปอย่างยิ่ง แต่เมื่อฝ่าบาทจากไปแล้ว กระหม่อมขอยินดีปลงผมบวชชีเพื่อทดแทนบุญคุณของฝ่าบาท จักไหว้พระสวดมนต์ทุก ๆ วันเพื่อเป็นกุศลส่งผลบุญไปถึงฝ่าบาทในสัมปรายภพพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่จง ทรงตรัสด้วยความพอพระทัย

“ประเสริฐ เจ้ากระทำเช่นนี้ เป็นจิตกุศลคงส่งผลบุญถึงเจ้าด้วย”

เมื่อพระเจ้า ถันไท่จง ทรงเสด็จสวรรคต เหล่าขุนนางผู้เข้าเฝ้าใกล้ชิดทั้งหลาย ต่างทำตามคำมั่นอุปสงค์ของพระนาง อู่เหมยเหนียน ส่งพระนางไปบวชชี ณ พระอาราม เหล่าพระสนมนมนางทั้งหลายต่างร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร มีเพียงพระนาง อู่เหมยเหนียน มิทรงกรรแสงเสียน้ำพระเนตรสักหยด เพราะพระนางทรงตั้งพระทัยเด็ดเดี่ยว มุ่งสู่ความสำเร็จในอนาคตข้างหน้าของพระนางเอง ก่อนที่พระนางจักเสด็จออกจากพระราชรวังไป ณ พระอาราม องค์รัชทายาททรงเสด็จไปพบพระนางถึงห้องบรรทม ทรงตรัสเพ้อต่อพระนางว่า

“เจ้าตั้งใจจะจากข้าไปจริง ๆ หรือ..”

อู่เหมยเหนียน ทรงคุกเข่าถวายบังคม ทรงเงยพระเศียรขึ้นมององค์รัชทายาท ทรงสังเกตุว่าองค์รัชทายาทมิกี่วันมานี้ทรงซูบผอมไปยิ่ง พระเศียรนั้นมีพระเกศาหงอกเงยขึ้นประปราย ทรงสลดกลั้นพระทัยมิอยู่ น้ำพระเนตรหลั่งไหลออกมามิขาดสาย ทรงกราบทูลว่า

“พระราชโองการทรงขัดมิได้ ข้าพระองค์จำใจต้องจากไปแล้ว”

องค์รัชชทายาททรงจูงพระหัตถ์ของพระนางขึ้นมา

“แล้วเมื่อไหร่เราจักได้พบกันอีก”

ทรงตรัสแล้วก็พลอยหลั่งน้ำพระเนตรออกมาด้วยความตรอมพระทัย

“คงมินานแล้ว พระองค์ทรงรับตำแหน่ง ฮ่องเต้ ณ นคร ฉานอาน ในพระตำหนักมีพระสนมนางในมากมายยิ่ง กระหม่อมมิกล้าเทียบเคียงเป็นพระสนมของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ....”

เมื่อทรงตรัสเช่นนี้ พระนางทรงกรรแสงปล่อยเสีย โฮ ออกมา

“จักทำเช่นใดเล่า เป็นตายอย่างไรข้าก็จักมิลืมเจ้า”

องค์รัชทายา ทรงจับพระหัตถ์อันอันงดงามขาวดั่งหยกขาวของพระนางมาซุกไซ้กับพระพักตร์ของพระองค์เอง


”หากกระหม่อมบวชเป็นนางชีในพระอาราม ฝ่าบาทก็ทรงไปเยี่ยมเยียนกระหม่อมได้พ่ะค๊ะ”

พระนาง อู่เหมยเหนียน ทรงตรัสอย่ามิไว้วางพระทัยในองค์รัชทายาท

“แน่นอน หากเจ้ามิเชื่อใจข้า ข้าจักขอสาบานต่อฟ้าดิน ของให้เจ้าจงอดใจรอข้า ขอให้ข้าจัดการธุระของข้าเสร็จเรียบร้อย ข้าจักรีบไปรับเจ้ากลับมาเข้าวัง..”
“ถ้าเช่นนั้นคงเป็นฟ้าลิขิตบันดาลให้เป็นไป..”

อู่เหมยเหนียน ทรงค่อยวางพระทัยในองค์รัชชทายาท แต่ทว่า พระนางยังคงวางแผนขขั้นต่อไป
“ฝ่าบาททรงรักกรระหม่อมลึกซึ้งยิ่ง ทรงยอมรับกระหม่อมเป็นพระสนมน้อย แต่ยังปราศจากหลักฐานอันใดยืนยัน กระหม่อมของทรงพระราชทานสิ่งของจากพระองค์ เป็นของที่ระลึกหมั้นไหมได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”

องค์รัชทายาททรงรรีบล้วงลงไปที่พระเอว ทรงนำหยกเก้ามังกรขึ้นมาประทานแก่พระนาง พระนางทรงอดปลื้มปิติมิได้ จากนั้นก็ถึงเวลาจากกันของทั้งสองพระองค์
การแย่งชิงตำแหน่งอันยิ่งใหญ

เมื่อพระเจ้า ถันเกาจง ทรงเล่าเรื่องราวระหว่างพระองค์กับพระนาง อู่เหมยเหนียน ให้พระนาง หวางฮองเฮา ของพระองค์ฟัง พระนาง ฮองเฮา ทรงหวั่นไหวว้าวุ่นพระทัย ทรงรับพระสนม ซูซู่เฟย (เซียวซกฮุย) ยังมินานเท่าไหร่ จักมีมาซึ่งพระสนมอีกนางหนึ่ง อู่ไฉเหยิน ดูตามลักษณะแล้ว ฮ่องแต้ ดูทรงฝังจิตฝังใจต่อพระนาง อู่ไฉเหยิน ยิ่งกว่าพระสนม ซูซู่เฟย พระนางทรงตรัสประชดว่า

“พอแล้วละ ทรงเป็นพระราชอำนาจของ ฮ่องเต้ พระองค์ทรงรับพระสนม อู่ไฉเหยิน เข้าวังมาอีกคน อีกทั้งพระสนม ซูซู่เฟย คงทรงรับภาระกิจของพระองค์ได้พ่ะค๊ะ พระสนม อู่ไฉเหยิน ทรงมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดปราพระสนม อู่ไฉเหยิน เป็นพิเศษพ่ะย่ะค่ะ”

ถันเกาจง ทรงฟังคำ ฮองเฮา ของพระรองค์ด้วยความยินดียิ่ง ทรงมีพระราชโองการให้มหาดเล็กคนสนิท รีบไปรับพระสนม อู่เหมยเหนียน เข้าวังมา ณ วัด กั่นเยว์ซื่อ (ก่ำเงียบยี่) ในวันนั้น และยังทรงโปรดให้นางกำนัลของพระองค์ตามไปรับใช้พระนาง อู่เหมยเหนียน ในหลายเดือนมานี้ พระนาง อู่เหมยเหนียน ทรงใช้แพรไหมสีเขียวคลุมศีรษะของพระนางชีอันโล้นเลียนของพระนาง พระนางยังทรงใช้ผมปลอมปกปิดศีรษะของพระนาง ดั่งหญิงที่ยังมิได้ออกบวช และแต่งองค์ด้วยลีลานิยมในสมัยนั้น พระเจ้า ถันเกาจง เมื่อทรงรับพระนางเสด็จเข้าวัง พระองค์ทรงรีบนำพระนางไปพบกับ ฮองเฮา ของพระองค์ อู่เหมยเหนียน ทรงคุกเข่าถวายบังคม ทรงกราบของพระคุณพระนาง ฮองเฮา ที่ทรงให้โอกาสแก่พระนางเข้าวัง พระนาง ฮองเฮา ก็ทรงรีบตอบรับตามมารยาท ทรงโปรดให้พระสนม อู่เหมยเหนียน ทรงประทับ ณ พระตำหนักทางด้านตะวันตก พระราชวัง จิ่นฟู่กง (เก่งฮกเก็ง)

ในตอนเย็นค่ำวันนั้น พระนาง ฮองเฮา ทรงโปรดให้จัดงานเลี้ยง ณ พระราชวัง จิ่นฟู่กง ทรงแสดงความปิติยินดีกับพระเจ้า ถันเกาจง เมื่องานเลี้ยงเลิกรา พระนาง ฮองเฮา ทรงเสด็จกลับพระตำหนัก เกาจง ทรงพระดำกฤษณา พระองค์ทรงรีบจูงพระหัตถ์ของหญิงงามคู่รักเก่าเสด็จเข้าเรือนหอ พระองค์ทรงรู้สึกว่า เหมยเหนียน ทรงงดงามยิ่งกว่าเดิม ดั่งพระนางทรงเปลี่ยนร่างแปลงโฉมใหม่ แต่ทรงอวบอัดขึ้นกว่าเก่า ยิ่งพิเศษกว่านั้นคือผิวพรรณของพระนางยิ่งขาวสะอาดดั่งหิมะ ผิวเนียนราบลื่น และด้วยดวงพระเนตรของพระนางทรงสดสวยดั่งตาของนกหงส์หยก มีเสน่ห์เป็นที่ต้องตาแก่เพศตรงข้ามยิ่ง พระอุระนั้นทรงใหญ่ยิ่งกว่าเก่าเต็มไม้เต็มมือ มีความอบอุ่นนิ่มนวลละมุนละไม ทรงร่ำรวยมหาเสน่ห์อย่างยิ่ง......คือนั้น... ทรงเก็บความอัดอันมานาน ทรงละทิ้งมารยาทพฤติกรรมทำชู้กับพระนางเมื่อสมัยพระบิดายังทรงพระชนม์ไปหมดสิ้น ทรงเสพเสวยสุขด้วยความประทับใจ ทรงกระชับพระมังสาเนื้อแนบเนื้อด้วยความสุขสันต์

ผ่านไปอีหลายวัน พระเจ้า ถันเกาจง คงยุ่งกับกามธุระกิจของพระองค์ ณ พระราชวัง จิ่นฟู่กง จึ่งเป็นเหตุให้พระสนม ซูซู่เฟย ทรงแปลกประหลาดพระทัย เมื่อทรงสืบเสาะเรื่อราว จึ่งทรงรู้ว่า เกาจง ทรงมีพระสนมใหม่ พระนางถูกทรงโปรดตั้งแต่ เกาจง ยังทรงดำรงค์ตำแหน่งองค์รัชทายาท จึ่งสร้างความเดือดดาลแก่พระนางยิ่ง พระนางทรงรอพระเจ้า เกาจง ณ พระตำหนังนานหลายวัน เกาจง ยังมิทรงมาประทับ พระนางทรงตรัสเพ้อต่อว่า เกาจง ว่า

“ฝ่าบาททรงโปรดพระสนมใหม่ โดยลืมกระหม่อมแล้วกระนั้นหรือพะค๊ะ”

พระเจ้า ถันเกาจง ทรงรู้ตัวว่าหลายวันมานี้ทรงห่างเหินทอดทิ้งพระสนม ซูซู่เฟย ไป จึ่งทรงตรัสแก้ตัวปลอบพระสนมว่า

“หลายวันมานี้ ภาระกิจของข้ายุ่งเหยิงยิ่ง ข้าจักลืมเจ้าได้อย่างไร”

พระสนม ซูซู่เฟย ซึ่งทรงรู้เรื่องราวดี จึ่งทรงทูลถามด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาว่า

“ได้ฟังมาว่า ฝ่าบาททรงรับนางชีคนหนึ่งเข้าวังเป็นพระสนม ฝ่าบาททรงฝักใฝ่กับนางชียิ่งกว่ากระหม่อมหรือพะค๊ะ....”

คำว่านางชี สองคำก็นางชี พระเจ้า ถันเกาจง ทรงฟังแล้วมิทรงพอพระทัย ทรงถลึงพระเนตรตรัสว่า

“คำพูดของเจ้าเช่นนี้ ซู่เฟย เจ้ามิมีมารยาทอย่างยิ่ง”

“มิมีมารยาท พระองค์ทรงรับพระสนมของอดีต ฮ่องเต้ มาเป็นพระสนมของพระองค์ นับว่ามีมารยาทถูกกฎมณเฑียรบาล กระนั้นหรือพะค๊ะ”

“หยุดปาก..”

พระเจ้า ถันเกาจง ทรงตรัสด้วยพระอารมณ์พลุกพล่าน ความรักดั้งเดิมของพระองค์สะกิจดวงหทัยของพระองค์ดั่งทรงเจ็บปวดรวดร้าว ในวันนั้น ดวงหทัยของพระองค์ทรงถูกพระสนม ซูซู่เฟย ทรงสะกิดขึ้นมา แต่ด้วยต่อหน้าของเหล่าชาววังพระสนมนมในทั้งหลายในพระราชวัง พระองค์ทรงเก็บความแค้นเคืองไว้ในพระราชหทัย พระองค์ทรงพระพิโรธดวงพระพักตร์แดงก่ำ ทรงเสด็จออกจากพระตำหนักอย่างมิแยแส

ทรงเสด็จมาถึงพระราชวัง จิ่นฟู่กง พระสนม อู่เหมยเหนียน ทรงสังเกตุซึ่งอารมโกรธบนสีพระพักตร์ของพระองค์ จึ่งทรงใช้คำพูดอันอ่อนหวานทูลถามพระองค์ ว่าทรงเกิดเรื่องผิดปกติอันใด อารมณ์พระโกรธของพระองค์ยังมิมีที่ระบาย พระองค์จึ่งทรงระบายความมีปากเสียงกับพระสนม ซูซู่เฟย หมดสิ้น ภายในพระทัยของพระสนม อู่เหมยเหนียน ทรงเจ็บแค้นอย่างยิ่ง แต่พระนางมิแสดงออก แต่ทรงใช้คำพูดอันหยดย้อยหวานฉ่ำตรัสปลอบโยนพระองค์ ทรงแสดงพระอารมณ์ดั่งเช่นเคยปฏิบัติ คนหนึ่งเข็งยิ่งกว่าเหล็ก ทำให้พระองค์ทรงผูกแค้น อีกตนหนึ่งนั้นอ่อนหวานละมุนละไม ดั่งสายน้ำราดบนกองเพลิงอารมณ์โกรธของพระองค์ พระองค์ทรงประทับร่มเสพสุขสังวาสกับพระสนมองค์ใหม่โดยทรงลืมพระสนมองค์เก่า

พระสนม อู่เหมยเหนียน ก็ทรงใช้มารยาของอิสตรีทั้งปวง ผูกพันธ์ดวงหทัยของ ฮ่องเต้ ทรงอยู่ในกำมืองของพระนาง ด้านหนึ่งนั้น พระนางคงให้ความเคารพยำเกรงต่อพระนาง ฮองเฮา อีกด้านหนึ่งทรงเติมเชื้อเพลิงต่อความมิมีมารยาทของพระสนม ซูซู่เฟย ดั่งนั้น พระนาง ฮองเฮา ก็ทรงกลายเป็นพรรคพวกของพระนาง ทรงเสด็จประทับเข้าข้างฝ่ายพระนาง ทรงกล่าวชมเชยความมีมารยาทอันดียิ่งของพระสนมองค์ใหม่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้า ถันเกาจง เสมอ ๆ เกาจง ทรงพระโกรธด้วยคำว่านางชีของพระสนม ซูซู่เฟย อยู่แล้ว จึ่งทรงห่างเหินพระตำหนักของพระสนมเก่า จึ่งยิ่งทรงสร้างความโกรธแค้นแก่พระสนม ซูซู่เฟย และพระสนม ซูซู่เฟย ก็ทรงมิมีที่ระบายอารมณ์ทางเพศ ทรงกระวนกระวาย ได้แต่ทรงกรรมแสงร้องห่มร้องไห้ ทรงตะโกนร้องด่า ฮ่องเต้ ว่าทรงทรยศต่อความรักของพระนาง

ปีที่ 2 พระสนม อู่เหมยเหนียน ทรงให้กำเนิดพระโอรสองค์หนึ่ง พระเจ้า กงจง ทรงดีพระทัยล้นเหลือ ทรงประทานพระนามพระโอรสว่า หลี่หง (ลี่ฮ้ง) ทรงพระราชทานรางวัลให้แก่พระสนมสองแม่ลูกมากมายยิ่ง อีกทั้งทรงเลื่อนตำแหน่งพระสนมแก่ เหม่ยเหนียน จาก ไฉเหยิน เป็นพระสนม เจ้าอี้ (เจียวหงี) ทรงพระราชทานยศเจ้าแก่เจ้าชาย หลี่หง ทรงเป็นเจ้า ไต้หวาง (ต่ออ๊วง) แต่ทว่า พระนาง อู่สื่อ ก็ยังทรงมิพอพระทัย จุดมุ่งหมายอันแท้จริงของพระนางก็คือ ตำแหน่ง ฮองเฮา ขณะนั้น พระสนม ซูซู่เฟย ทรงถูกพระนางปราบสิ้นซากไปแล้ว จึ่งยังคงมีหนามยอกอกของพระนางอีกฝ่ายเดียวคือพระนาง หวางฮองเฮา แต่ด้วยความสัมพันธ์ของพระนางกับ ฮองเฮา นั้น ทรงแนบแน่นสนิทสนม พระนาง ฮองเฮา นั้นทรงปฏิบัติต่อพระนางด้วยความเมตตาและอ่อนโยน แม้นว่าพระนาง ฮองเฮา จักมิทรงพระโปรดเท่าพระนาง แต่พระนาง ฮองเฮา กลับทรงปฏิบัติต่อพระนางอย่างเสมอต้นเสมอปลาย และด้วยพระราชโองการของอดีต ฮ่องเต้ พระนางทรงยากที่จักทูลขอตำแหน่ง ฮองเฮา ต่อ ฮ่องเต้ องค์ใหม่ด้วยความยากยิ่ง นี่เป็นเรื่องที่คิดหนักของพระสนม อู่เจ้าอี้ จักใช้แผนอันใดขึ้นสู่ตำแหน่ง ฮองเฮา ได้



~มังกรหลับ~
#10   ~มังกรหลับ~    [ 19-05-2007 - 22:57:38 ]    IP: 203.113.45.69

และเหล่าขุนนางทั้งหลายนั้น ก็ยังจงรักภักค์ดีต่อราชวงศ์ ถัน อย่างเข็งขัน จักใช้เงินซื้อใจเหล่าขุนนางยิ่งยากลำบาก พระนางทรงเพียงแค่ใช้เหล่าสนมนมในและขันทีชั้นผู้น้อยติดตามสืบเสาะพฤติกรรมของพระนา
งให้พระนางทรงรับทราบเท่านั้น พระนาง ฮองเฮา ก็ทรงรักใคร่สนิสนมกับพระนาง จึ่งทรงมิค่อยระมัดระวังความร้ายกาจของพระนาง ฉะนั้นช่องว่างการใส่ร้ายใส่ความต่อพระนาง ฮองเฮา จึ่งมิมี พระนาง ฮองเฮา ก็มิเคยใส่ร้ายใส่ความต่อพระสนม อู่เจ้าอี้ ต่อหน้าพระพักตร์ของ ฮ่องเต้ แม้สักคำ แอ....จักใช้แผนเช่นใดดีหนอ

เวลาผ่านไปอีก 1 ปี นั่นก็คือศักราช หย่งฮุ่ย (ย่งฮุย) ปีที่ 5 พ.ศ. 1197 พระสนม อู่เจ้าอี้ ก็ทรงให้กำเนิดแก่พระธิดาอีกองค์หนึ่ง ทรงมีผิวพรรณขาวดั่งหยวกและมีความงามมิแพ้พระนาง ยิ่งสร้างความปิติยินดีแก่เหล่าขุนนางและชาววังในพระราชสำนัก รวมทั้ง ฮ่องเต้ และ ฮองเฮา ทั้นสองพระองค์ต่างผลัดเปลี่ยนกันมาเยี่เยียนพระนางและพระธิดาเสมอ ๆ พระเจ้า ถันเกาจง ทรงโปรดปรานพระธิดาองค์นี้ยิ่ง ทรงอุ้มอย่างถนุถนอมและรักใคร่

วันหนึ่ง พระสนม อู่เจ้าอี้ ทรงประทับอยู่ในพระตำหนัก ทันใดพระนาง ฮองเฮา ก็ทรงเสด็จมาเยี่ยม พระนางทรงรีบเรียกเหล่านางกำนัลของพระนางคอยดูและการเคลื่อนไหวและพฤติกรรมของพระนาง
ฮองเฮา ส่วนพระนางเองกลับหลบออกไปนอกพระตำหนัก พระนาง ฮองเฮา ทรงแลเห็นพระนาง อู่เจ้าอี้ มิอยู่ในพระตำหนัก ทรงทอดพระเนตรเห็นพระธิดาน้อยนอนอยู่ในพระแท่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้แก่พระนาง ทรงนางทรงเป็นสตรีที่ยังมิมีบุตรหรือธิดา จึ่งทรงเอ็นดูเด็กทารกอย่างยิ่ง ทรงอุ้มทารกองค์น้อยไว้ในพระกอดโอ้มอุระ แล้วทรงปล่อยเด็กทารกลงบนพระแท่น ทรงเสด็จกลับไปจากพระตำหนัก
พระเจ้า ถันเกาจง ทรงเสด็จกลับจากการออกขุนนาง พระองค์ทรงเสด็จตรงสู่พระตำหนักของพระสนม อู่เจ้าอี้ พระสนมทรงแสร้งทำทีเสด็จกลับมา ณ พระตำหนัก ทรงทำทีกระวีกระวาดต้อนรับ เกาจง เมื่อทรงประทับนั่งแล้ว ทรงตรัสถามว่า

“เออเจ้าหญิงน้อยดูท่าทางนอนหลับสบาย”

อู่เจ้าอี้ ทรงทูลตอบ

“หลับไปตั้งนานแล้วพะค๊ะ เกรงว่าจักได้เวลาตื่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จึ่งทรงสั่งนางกำนัลไปอุ้มเด็กทารกมา นางกำนัลเลิกผ้าห่มของเด็กน้อย ตกตะลึงจนพูดจามิออก อู่เจ้าอี้ ทรงแสร้งตกพระทัยเสด็จไป ณ แท่นบรรทมของเด็กทารก ทรงลูบพระหัตถ์ไปยังเด็กทารก แล้วทรงกรรณแสงร้องไห้ออกมาโฮใหญ่ เกาจง ทรงทอดพระเนตรเช่นนั้น จึ่งรีบเสด็จไป ณ แท่นบรรทม ทรงทอดพระเนตรเห็นพระธิดาพระพัตร์เขียวคล้ำ พระวรกายขาวซีดเย็นชืด คงสิ้นชีพแล้วหลายชั่วยาม ทรงเศร้าโศกเสียพระทัยเอิ้อมพระหัตถ์ไปลูบคลำซากศพเด็กน้อย แล้วทรงพระกรรณแสงตาม ทรงกรรณแสงชั่วครู แล้วจึ่งถลึงพระเนตร ทรงตรัสถามนางกำนัลว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้น นางกำนัลตกใจคุกเข่ากราบทูลด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า

“พวกกระหม่อมกำลังเฝ้าองค์หญิงน้อย พอดีพระนาง ฮองเฮา ทรงเสด็จมาโอบอุ้มองค์หญิงพะย่ะค่ะ”

อู่เจ้าอี้ ทรงร่วมตรัสเสริมเหล่านางกำนัลว่า พระนาง ฮองเฮา ทรงจัดการกับเด็กทารกเช่นใด จึ่งบังเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เมื่อแรกพระเจ้า ถันเกาจง ยังมิทรงเชื่อสนิท เนื่องด้วย ฮองเฮานั้นทรงพระคุณธรรม ไฉนจักทรงลงพระหัตถ์ด้วยความอำมหิตเช่นนี้ แต่ทรงฟังพระสนมเติมฟืนใส่ถ่านต่อพระนาง ฮองเฮา ด้วยความเศร้าโศกเสียพระทัย พระองค์ทรงเชื่อสนิท

“นางมารร้ายผู้นี้ ทำผิดต่อฟ้าดิน ข้าต้องไปจัดการ ปลดนางออกจาก ฮองเฮา”

แต่ทว่า การถอดถอนพระนาง ฮองเฮา มิใช่เป็นสิ่งที่ง่ายดาย จำต้องผ่านการเห็นชอบของขุนนางทั้งหลายตามขนบธรรมเนียมพระราชประเพณี ภายในพระราชสำนัก อำนาจอันยิ่งใหญ่มิพ้นจากขุนนางผู้ใหญ่ มหาอุปราช ฉานชุนอู๋จี้ วันรุ่งขึ้น พระเจ้า เกาจง ทรงเสด็จพร้อมด้วยพระสนม อู่เจ้าอี้ ทำทีไปเยี่ยมเยียน ณ จวนของมหาอุปราช ฉานชุนอู๋จี้ ในท่ามกลางงานเลี้ยง พระสนม อู่เจ้าอี้ ทรงสะกิดเตือนพระเจ้า ถันเกาจง ทรงประทานเลื่อนยศขุนนางแก่ บุตรของ ฉานชุนอู๋จี้ หลายคน ต่อมา พระเจ้า ถันเกาจง ทรงปรึกษากับ ฉานชุนอู๋จี้ ถึงกรณีย์พระนาง ฮองเฮา ทรงมิมีทายาทสืบสกุลให้พระองค์ เป็นการผิดกฏระเบียบกฏมณเฑียรบาลหลายประการ ทรงโน้วน้าวให้ ฉานชุนอู๋จี้ เห็นด้วยกับพระองค์การถอดถอนพระนาง หวางฮองเฮา

ฉานชุนอู๋จี้ หวาดหวั่นเกรงพระทัยยิ่ง แต่กลับนิ่งเงียบมิยอมปริปากออกความเห็นใด ๆ หรือแสดงอาการปติกิริยาใด ๆ ออกมา พระเจ้า เกาจง และพระสนม เจ้าอี้ จึ่งทรงจนพระทัย ทรงเสด็จกลับ ณ พระราชวัง วันต่อมา ในพระราชวัง ก็มีขันทีผู้หนึ่ง นำสิ่งของรัตนมณีอันล้ำค่ำ มา ณ จวนมหาอุปราช ฉานชุนอู๋จี้ จำใจรับโบราณวัตถุมิกี่ชิ้นด้วยความเกรงพระทัย นอกนั้นได้ให้ขันทีนำกลับไปถวายคืน

มิกี่วันต่อมา ในที่ออกขุนนาง พระเจ้า ถันเกาจง ทรงเปิดเผยพระราชดำริการถอดถอนพระนาง ฮองเฮา แก่เหล่าขุนนางทั้งปวง แต่ทรงได้รับการคัดค้านจากขุนนางผู้ใหญ่ ฉานชุนอู๋จี้ ขุนนาง ไท่จง (ไท้ตง) หานยวน (ฮั่งเอี้ยง), ขุนนาง จงซูหลิน (ตงจูเหล็ง) ไหลจี้ (ไหล่จี่), และเหล่าขุนนางทั้งปวง ดั่งนั้น จึ่งสร้างความยุ่งยากลำบากพระทัยแก่พระเจ้า ถันเกาจง ยิ่ง

มีอีกหนึ่งขุนนางในตำแหน่ง จงซูหลิน นาม หลี่อี้ฟู่ (หลี่งี่ฮู่) เนื่องจากว่าได้ผิดพ้องหมางใจกับ ฉานชุนอู๋จี้ ถูกปลดออกจากยศขุนนาง เขาได้รู้เรื่องความผิดหวังพระทัยและทรงหมองพระทัยของพระเจ้า ถันเกาจง จึ่งได้คิดหาวิธีการ ได้ถวายฎีกาต่อพระเจ้า ถันเกาจง สนับสนุนให้พระองค์ทรงถอดถอนพระนาง หวางฮองเฮา และทรงแต่งตั้งพระสนม อู่เจ้าอี้ เป็น ฮองเฮา เกาจง ทรงทอดพระเนตรเห็นฏีกานี้ด้วยทรงพระยินดี ทรงรีบโปรดให้ หลี่อี้ฟู่ กลับไปรับตำแหน่งขุนนาง ณ นคร ฉานอาน พร้อมทั้งทรงประทานของรางวัลให้มากมาย มินาน ก็ทรงเลื่อนตำแหน่งให้ หลี่อี้ฟู่ ดำรงตำแหน่งยศขุนนาง จงซูไท่หลาน (ตงจูไท้นึ้ง) พระนาง อู่ซื่อ ก็ทรงสลันสนุนเขาลับ ๆ ทางเบื้องหลัง เรื่องเช่นนี้ มีขุนนางหลายคนที่โลภในความมั่งมีและยศลาภ ต่างเห็นกันตำตา ต่างพากันกล่าวสนุบสนุความดีความชอบของพระสนม อู่เจ้าอี้ ต่อมาก็รวบรวมกลายเป็นพรรคพวกเป็นอำนาจของพระสนม อู่เจ้าอี้ ไปโดยปริยาย กลายเป็นพรรคฝ่ายค้านของขุนนางผู้ซื่อสัตย์อันเก่าแก่ของมหาอุปราช ฉานชุนอู๋จี้

อู่เจ้าอี้ ทรงกล่าวความใส่ร้ายต่อพระนาง หวางฮองเฮา ต่าง ๆ นา ๆ พระมารดาของพระนาง พระนาง หลิวสื่อ (ลิ่วสี) ก็มิทรงถูกละเว้น ถูกใส่ความว่า ทรงใช้เวทย์มนต์ของพ่อมดหมอผี ท่องคาถาสาบแช่งพระนางและพระเจ้า ถันเกาจง พระนาง อู่สื่อ ทรงวางแผนแล้วแผนเล่า ทรงใช้คนสนิทแกะรูปตุ๊กตาไม้ เขียนพระนามวันเดือนปีเกิดของพระเจ้า ถันเกาจง และใช้เข็มหมุดปักรอบตัวตุ๊กตาไม้นั้น และทรงฝังไว้ใต้พระแท่นบรรทมของพระเจ้า ถันเกาจง พระนางทรงบอกกล่าวกระซิบความแก่พระเจ้า เกาจง พระเจ้า ถันเกาจง ทรงเสด็จถึงพระราชตำหนักชั้นใน ทรงให้เหล่าขันทีมหาดเล็กขุดค้นใต้พระแท่นบรรทมของพระองค์ ก็ทรงพบหลักฐานเป็นตุก๊กตาไม้แกะสลัก ทรงพระพิโรธยิ่ง ทรงรีบเสด็จไป หาพระนาง หวางฮองเฮา ทรงตวาดด่าว่าว่า

“ข้าทำอะไรให้เจ้าขุ่นแค้นหมองใจหรือ จึ่งต้องกระทำพิธีมนต์ดำมาทำร้ายข้า”

พระนาง ฮองเฮา ทรงหวาดหวั่นจนตั่วสั่นงันงก ทรงกราบทูลว่า

“กระหม่อมผู้น้อยมิรู้ความเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ขอให้ฝ่าบาททรงตรวจสอบให้กระจ่างพ่ะย่ะค่ะ”

พระเจ้า เกาจง ทรงตรัสว่า
“หลักฐานชัด ๆ เช่นนี้ปรากฏอยู่ในห้องนอนของเจ้า เจ้ายังบอกว่ามิรู้เรื่องอีกหรือ..”

พระนาง ฮองเฮา ทรงกรรณแสงพลางทรงกราบทูลพลางว่า

“กระหม่อมได้อยู่กินกับฝ่าบาทมานาน พระองค์ทรงเมตตากระหม่อมยิ่ง มิทรงมีความแค้นใด ๆ ต่อกระหม่อม มิมีเหตุปัจจัยใด ๆ ที่กระหม่อมจักคิดร้ายต่อพระองค์พ่ะย่ะค่ะ..”

เกาจง ไฉนเลยจักทรงรับฟังคำพระนาง ฮองเฮา ของพระองค์ ทรงครุ่นคิดถอดถอนพระนาง หวางฮองเฮา
วันต่อมา เกาจง ทรงสั่งออกขุนนางในท้องพระโรง ทรงกล่าวปรึกษาการให้เร้ายของ ฮองเฮา ต่อพระองคฺและพระธิดาของพระองค์ ทรงดำริปลอดพระนาง ฮองเฮา ออกจากตำแหน่ง

เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างกราบถวายบังคมทูล

“พระนาง ฮองเฮา นั้นทรงประสูติในสกุลผู้ดีมีตระกูล พระอุปสิสัยของพระนางทรงเมตตาอ่อนโยน ประกอบด้วยคุณธรรม ไฉนจักทรงก่อเหตุการณ์ร้ายเหตุเช่นนี้ได้ ขอฝ่าบาททรงโปรดทรงพิจารณาใคร่ครวญดูก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

เกาจง ทรงตรัสตอบ

“เอาละ นับว่าคดีดังกล่าวยังมิมีมูล แต่ ฮองเฮา มิมีบุตรทายาทสืบตระกูลของข้า ซึ่งผิดขนบธรรมเนียมประเพณี มิเหมือนสนม เจ้าอี้ มีสติปัญญาความสามารถ อีกทั้งมีทายาท ข้าจึ่งใคร่ให้นางเป็น ฮองเฮา แทน”

เหล่าขุนนางต่างกราบทูลพร้อมเพียงกัน

“แต่ฝ่าบาททรงอย่าลืมพระราชโองการอันเป็นพระพินัยกรรมของ ฮ่องเต้ พระองค์ก่อน ก่อนทรงเสด็จสวรรคตว่า ลูกข้าและลูกสะใภ้อันประเสริฐของข้า ต้องพึ่งพาการดูแลของเจ้าทั้งหลายแล้ว พระราชดำรัสของอดีต ฮ่องเต้ ล้วนอยู่ในหูของข้าพระองค์ทั้งหลายสิ้น เหตุไฉนจักลืมได้ พระนาง ฮองเฮา ทรงอยู่ในเหตุผลตามพระราชดำรัสนี้ เหตุไฉนจักทรงถอดถอนพระนาง ฮองเฮา..”

ขุนนางใหญ่ ฉานชุนอู๋จี้ ก็พลอยกราบทูลสนับสนุน

“เหล่าขุนนางกราบทูลล้วนเป็นเหตุผลฟังขึ้น ขอฝ่าบาททรงพิจารณาใหร้รอบครอบพ่ะย่ะค่ะ”

ดั่งนั้น การออกขุนนางประชุมขอมติถอดถอนทรงเปลี่ยน ฮองเฮา ก็เป็นอันว่ายังมิมีข้อยุติ
ในค่ำคืนวันนั้น ทรงโปรดให้ขุนนางมหาดเล็กคนสนิท หลี่จี้ (หลี่แจะ) เข้าเฝ้า ขุนนาง หลี่จี้ ทราบว่าพระองค์ทรงโปรดพระนาง อู่สื่อ นับวันยิ่งทรงหลงไหล พระเจ้า เกาจง ทรงดำริปลดพระนาง ฮองเฮา ให้พระนางเป็น ฮองเฮา แทน รู้ดีว่าพระสนม อู่เจ้าอี้ ทรงดำรงตำแหน่ง ฮองเฮา จักมีความมั่นคงยิ่งในวันข้างหน้า เขาจึ่งกราบทูลพระเจ้า ถันเกาจง ว่า

“การตกแต่งพระสนม หรือ ถอดถอน ฮองเฮา ล้วนเป็นเรื่อภายในส่วนพระองค์ของครอบครัวของฝ่าบาท เหตุไฉนจึ่งต้องผ่านการให้ความยินยอมจากขุนนางทั้งหลายพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนเกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้ พระสนม อู่เจ้าอี้ ทรงปรึกษากับขุนนางคู่พระทัยของพระนาง เจ้ากรมพระราชพิธี สื่อจิ้นจง (โข่วเก่งจง) ได้ทูลคำแนะนำแก่พระนางว่า

“ชายชาตรี นึกเปลี่ยภรรยา ยอมเสียซึ่งข้าวสาลีมิกี่ เต้า บัดนี้ ฮ่องเต้ ซึ่งทรงเป็นโอรสสวรรค์เหนือผู้อื่นใดในใต้หล้า เหตุไฉนจักต้องทรงเกรงใจเหล่าขุนนางของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
พระนาง อู่เจ้าอี้ ทรงกราบทูลตามเหตุผลของขุนนางเจ้ากรมพระราชพิธี แก่พระเจ้า ถันเกาจง



~มังกรหลับ~
#11   ~มังกรหลับ~    [ 19-05-2007 - 22:58:30 ]    IP: 203.113.45.69

1 . ตี้เหนรินเจี้ย ยังหารายละเอียดไม่เจอครับ....

2 . ฮ่องเต้สตรี บูเซกเทียน ตามปฏิบัติคงคองราชย์ต่อจาก ฮ่องเต้ ถันองค์ที่ 2 ส่วน ฮ่องเต้ องค์ที่ 3, 4, เป็นเจว็ด ฮ่องเต้ โอรสของพระนาง โดยพระนางทรงสิทธิขาดอยู่เบื้องหลัง และถูกปลดออกในที่สุด ต่อเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ โอรสทั้งสองของพระนางจึ่งกลับมาครองราชย์ใหม่เป็นครั้งที่ 2 ครับ....

..


วันรุ่งขึ้น เป็นเวลาพระโอรสสวรรค์ทรงเสด็จออกขุนนาง พระองค์ทรงนำพระดำริการถอดถอนพระนาง ฮองเฮา ทรงปรึกษากับเหล่าขุนนางอีก คราวนี้ เหล่าขุนนาง ต่างมีความคิดเห็นแตกแยก แก่งแย่งกันกราบทูล พระเจ้า ถันเกาจง ทรงโปรดให้ยุติการประชุม มีขุนนางคนหนึ่งกล่าวคัดค้านเสียงเข็งว่า

“มีนัยยะสำคัญประเด็นหนึ่ง ซึ่งมิอาจกราบทูลเป็นความเห็นมิได้พ่ะย่ะค่ะ พระสนม อู่เจ้าอี้ ทรงได้รับพระราชทานเป็นพระสนมของ ฮ่องเต้ พระองค์ก่อน หากทรงแต่งตั้งพระนางเป็น ฮองเฮา จักเป็นที่หัวร่อกันทั้งประเทศพ่ะย่ะค่ะ..”

กราบทูลเสร็จ ก็ทิ้งไม้เข้าเฝ้าตามยศของขุนนางทิ้งลงพื้น พลางคุกเข่าถวายบังคม ถอดหมวกยศขุนนางถวายคืน กราบทูลว่า

“ข้าขุนนางผู้น้อย กราบทูลเป็นที่ขุ่นเคืองพระทัย กระหม่อมขออำลากลับไปใช้ชีวิตบั้นปลาย ณ บ้านเกิดของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ..”

พระเจ้า เกาจง ทรงฟังด้วยความขายพระพักตร์และทรงพระกริ้ว ทรงใคร่ให้ขับไล่ขุนนางผู้นั้นออกจากท้องพระโรง แต่ก็ทรงได้ยินเสียงของสตรีตะโกนจากหลังม่านว่าราชการว่า

“เหตุไฉนพระองค์ มิทรงประหารขุนนางปากร้ายผู้นั้น..”

ประจวบกับ ฉานชุนอู๋จี้ รีบออกหน้าเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์

“ขุนนางทั้งหลาย ณ ที่นี้ ล้วนเป็นข้าเก่าแก่ต่างทำตามรับสั่งของ ฮ่องเต้ พระองค์ก่อน หากมีพระอาญาเป็นที่ขัดเคืองแก่พระองค์ พระองค์มิสมควรลงพระอาญาหนักถึงประหารพ่ะย่ะค่ะ”

พระเจ้า เกาจง จึ่งทรงรีบระงับพระโทษะ ทรงงดโทษประหารไป

ผ่านไปอีกมิกี่วัน ทรงมีพระราชโองการโปรดกล้าให้ขุนนาง จูสุ่ยเหลียน (จูซุ่ยเลี้ยง) ไปเป็นเจ้าเมือง ณ เมือง ถานโจว (ท่ำจิว) ทรงโปรดให้ขุนนางอาลักษณ์ หลิวซ่าน (ลิ่วซ่วง) ไปเป็นเจ้าเมือง หย่งโจว (เอว่งจิว) ครั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงโปรดกล้าให้ถอดถอนพระนาง หวางสื่อ ทรงโปรดให้ดำรงตำแหน่งพระสนม ซู่เฟย (ซกฮุย) ทรงถอดถอนพระสนม ซูสื่อ (โซวสี) เป็นบุคคลสามัญชนเนรโทษครอบครัวของพระนางไป ณ ดินแดน หลิ่นหนาน (เนี่ยน้ำ) ทรงโปรดเกล้าให้พระสนม อู่เจ้าอี้ ทรงดำรงตำแหน่งพระนาง ฮองเฮา ทรงโปรดให้มีการเฉลิมฉลองตำแหน่ง ฮองเฮา พระองค์ใหม่ ทรงจัดงานเลี้ยงทั้งนอกและในพระราชวังเป็นเวลา 3 วัน

พระนาง หวางฮองเฮา และพระสนม ซูสื่อ ทรงถูกถอดถอนแล้ว ก็ยังทรงถูกกักขังภายในห้องหับของพระตำหนัก มีกำแพงก่อล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน มีเพียงรูเจาะเล็ก ๆ อยู่บนบานประตู เพื่อสำหรับส่งข้าวยาพระกระยาหาร พระนาง อู่ฮองเฮา ทรงสั่งให้ผู้คนเฝ้ายามทั้งกลางวันและกลางคืน พระนางอดีต ฮองเฮา และอดีตพระสนมทั้งสองพระนาง ทรงถูกขังคุกมืดมิทรงเห็นแสงเดือนแสงตะวัน แต่ละวันทรงใช้น้ำพระเนตรล้างพระพักตร์ต่างน้ำ เมื่อพะนาง อู่สื่อ ทรงรับตำแหน่ง ฮองเฮา พระนางทรงจัดระเบียบราชการในพระราชวังใหม่ ด้านหนึ่งนั้นพระนางทรงปฏิบัติด้วยความอ่อนละมุนอ่อนแอ ดั่งพระนางทรงเจ็บป่วย ยามเมื่อออกคำสั่งใด ๆ พระนางทรงอ้างพระราชโองการของพระเจ้า เกาจง นานวันเข้า พระเจ้า ถันเกาจง ทรงรู้พระองค์ว่า พระนาง อู่ฮองเฮา กลับทรงเข็งเกร่ง ทรงหักหน้าหักเหลี่ยมกับพระองค์ พระองค์ทรงวิตกกลับพระทัย ทรงคิดถึงความดีความชอบของพระนาง หวางฮองเฮา และพระสนม ซูซู่เฟย

วันหนึ่งพระองค์ทรงประทับ ณ พระราชวัง ทรงใคร่ดูสถานภาพของพระนาง หวางฮองเฮา และพระสนม ซูซู่เฟย เมื่อมหาดเล็กขันทีนำเสด็จพระองค์มาถึง ณ คุกที่คุมขัง พระองค์ทรงสังเวชสลดพระทัยยิ่ง ทรงสลดพระพักตร์น้ำพระเนตรคลอเบ้า ทรงทอดพระเนตรตรงช่องประตูตรัสร้องเรียก

“ฮองเฮา, ซู่เฟย, เจ้าทั้งสองอยู่ ณ ที่ใด ข้ามาเยี่ยมเจ้าแล้ว..”

พระนาง หวางฮองเฮา ทรงเสด็จทอดพระเนตร ณ ช่องบานประตู เห็นเป็น ฮ่องเต้ ทรงเสด็จ ทรงกลั้นน้ำพระเนตรมิอยู่ ทรงกรรณแสงปล่อยโฮใหญ่ออกมา

“..ฝ่าบาท กระหม่อมทั้งสองเป็นคนโทษ ไฉนจึ่งเรียกข้าพระองค์เช่นนี้..”

พระนางทรงขอร้องอย่าน่าเวทนาว่า

“หากฝ่าบาททรงเห็นแก่ความเป็นสามีภรรยาเมื่ออดีต ของพระองค์ทรงปล่อยกระหม่อมทั้งสองออกมาเห็นแสงเดือนแสงตะวัน ดั่งพระองค์ทรงปลดปล่อยหม่อมฉันออกจากห้องขังหัวใจ ณ ห้องนี้ จักขอขอบพระคุณฝ่าบาทมิรู้เลือนพ่ะย่ะค่ะ”

ทรงตรัสแล้วก็ทรงปล่อยพระกรรณแสงออกมาอย่างแรง พระเจ้า ถันเกาจง ทรงตรัสตอบว่า

“ข้ากำลังหาวิธีการอยู่ ของให้เจ้าจงอดใจรอ..”

แต่พระองค์ทรงนึกมิถึงว่า เมื่อพระองค์เสด็จกลับพระราชวัง พระนาง อู่ฮองเฮา ทรงกำลังกล่าวโทษพระองค์กับเหล่าขุนนางคนสนิท ทรงตรัสเพ้อด่าว่าพระองค์ต่าง ๆ นา ๆ พระนางทรงมีรับสั่งให้ผู้คุมคุกจับ 2 พระนางเขี้ยนโบยคนละ 100 ทีเกือบเป็นเกือบตาย และทรงสั่งให้ตัดมือตัดไม้และพระบาททั้งสองข้างของพระนางทั้งสองอย่างทารุณโหดร้าย และทอดทิ้งพระนางทั้งสองไว้ในห้องเก็บสุรา ทรงตรัสด้วยความอำมหิตว่า

”ดูซิว่าเจ้าทั้งสองจักมีอุบายวิธีต่อ ฮ่องเต้ ต่อไปอย่างไร ข้าจักบดกระดูกของเจ้าทั้งสองเป็นผุยผง..”

พระนางที่น่าสงสารทั้งสอง ทรงมิสามารถทนต่อโทษทัณฑ์อันทารุณโหดร้ายเช่นนี้ได้ อีกมิกี่วันต่อมา พระนางทั้งสองทรงสิ้นพระชนม์ด้วยความน่าสมเพช พระสนม ซูซู่เฟย ก่อนทรงสิ้นพระชนม์ ทรงตรัสตะโกนร้องด่าพระนาง อู่ฮองเฮา ว่า

“เจ้านาง อู่ (ทรงมิยอมรับพระนางเป็น ฮองเฮา) ข้าตายไปแล้วจักเกิดเป็นแมว มาจับหนูดั่งเจ้ากลืนกินทั้งเป็น..”

พระนาง อู่ฮองเฮา ทรงทราบดั่งนั้น จึ่งทรงหวั่นพระทัย ทรงขังพระศพของพระนาง ฮองเฮา และพระสนม ไว้ในพระราชวัง ชำแระเนื้อเป็นอาหารให้แมว พระนางทรงพระสุบินร้ายทุกคืนว่าพระนาง ฮองเฮา และพระสนม ทั้งสองมาทวงเอาหนี้ชีวิตของพระนางทุกราตรี พระนางจึ่งทรงย้ายที่ประทับไป ณ นคร ลั่วหยาน มิกล้ากลับคืนมาสู่นคร ฉานอาน



~มังกรหลับ~
#12   ~มังกรหลับ~    [ 19-05-2007 - 23:00:54 ]    IP: 203.113.45.69

ฮ่องเต้ สตรี จงเจริญ


เดือนที่ 11 ศักราช หลินเต๋อ (หลิ่งเต็ก) ปีที่ 1 พ.ศ. 1207 พระเจ้า ถันเกาจง ทรงอำพรางพระนาง อู่ฮองเฮา ทรงมีรับสั่งให้ขุนนาง ซ่านกวนอี้ (เจี่ยกวงหงี) เข้าเฝ้าในพระราชวัง ทรงโปรดให้เขียนหนังสือด่าตำหนิพระนาง อู่ฮองเฮา ซ่านกวนอี้ เป็นขุนนางเก่าแก่เป็นพรรคฝ่ายเก่า มองเห็นพระนาง อู่ฮอาเฮา ปฏิบัติการอัน...มโหด มิพอใจอยู่ในใจแต่มิกล้าแสดงออก บัดนี้ ฮ่องเต้ ก็ทรงเริ่มเปลี่ยนพระทัย จึ่งทั้งดีใจและหวั่นแกรง

ความจริงนั้น นับตั้งแต่ศักราช หย่งฮุย (ย่งฮุย) ปีที่ 6 พ.ศ. 1198 พระนาง อู่สื่อ ทรงรับตำแหน่ง ฮองเฮา แล้ว พระนางทรงวางตัวปฏิบัติการเถลิงอำนาจจนกระทั่งพระเจ้า เกาจง ทรงอดกลั้นทนมิได้ พระเจ้า เกาจง มักมีโรคประชวรคือปวดพระเศียรเป็นประจำ บางครั้งพระนาง อู่ฮองเฮา ทรงทอดพระเนตรฏีกาต่าง ๆ โดยพระนางเอง เป็นเหตุให้พระนางทรงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการบริหารราชการ ทำให้พระราชอำนาจของพระนางนับวันยิ่งเข้มเข็งขึ้น

พระนางทรงสนิทสนบกับ หลี่อี้ฟู่ (หลี่หงีฮู่), สวี่จิ่นจง (โค่ยวเก่งจง), ทรงร่วมคบคิดกันร่วมปกครองพระเจ้า ถันเกาจง และร่วมกันคบคิดประหัตประหารเจ้าต่าง ๆ และเหล่าขุนนางเก่าแก่ ทรงปลดองค์รัชทางยาท หลี่จง (หลี่ตง) และทรงแต่งตั้งพระโอรสของพระนางเองเจ้าชาย หลี่หง (หลี่ฮ้ง) ดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาท ทรงประหารพระเจ้าน้าของพระนางอดีต หวางฮองเฮา หลิวซ่าน (ลิ่วซ่วง)

ครั้งหลังสุด มหาหาอุปราช ฉานชุนอู้จี้ ได้ร่วมคบคิดกับองค์อดีตรัชทางยาทก่อการมิสำเร็จ พระนาง ทรงให้พระเจ้า เกาจง ประหาร อู๋จี้ แต่พระเจ้า ถันเกาจงมิทรงปฏิบัติ แต่ด้วยกรบะรบเร้าแกมบีบบังคับของพระนาง อู่ฮองเฮา พร ฉานชุนอู๋จี้ ออกจากตำแหน่ง โยกย้ายไปเป็นเจ้าเมือง หยานโจว (เอี่ยงจิว) และครั้งล่าสุดถูกโยกย้ายไกลออกไปอีกถึงเมือง หลินโจว (เล่งจิว) พระนาง อู่ฮองเฮา ยังทรงมิหายแค้น ทรงตามล้างตามล่าส่งคนโดยอ้างพระราชโองการของพระเจ้า ถันเกาจงไป ณ เมือง หลินโจว บีบบังค้บให้ ฉานชุนอู๋จี้ ฆ่าตัวตาย ขุนนางผู้ซื่อสัตย์เช่นนี้ พระเจ้า ถันไท่จง ทรงอุตส่าห์ฝากฝังราชการแผ่นดินให้ ฉายชุนอู๋จี้ ช่วยดูแล แต่กลับถูกแก่งแย่งอำนาจไปโดยผู้อื่น ส่วนขุนนางผู้ซื่อสัตย์คนอื่น ดั่งเช่น หานเยี่ยน (หั่งเอี่ยง), อูจี้หนิ (อูจี่เล้ง), บุตรของ เกาสือเนี่ยน (กอสือเนี้ยม) เกาเหยียนหาน (กอเงี่ยมฮั้ง), ขุนนางเก่าแก่มิถูกฆ่าตายก็ถูกเนรเทศไปที่อื่น

มีเหลือเพียงขุนนางเก่าแก่ที่ซื่อสัตย์เพียง 1 – 2 คนเท่านั้นเอง

เหล่าขุนนางฝ่ายบู๊ต่าง ๆ ภายในพระราชสำนัก ต่างก็ยำเกรงมิกล้าเข็งข้อกับพระนาง มีขุนนางอีกจำพวกหนึ่ง ต่างประจบประแจงพระนาง อู่ฮองเฮา เพื่อแก่งแย่งยศตำแหน่งอันสูงส่ง ซึ่งพระเจ้า ถันเกาจง ทรงทอดพระเนตรอยู่ในสายพระเนตร พระนาง อู่ฮองเฮา ยังทรงมัวเมาในอำนาจมนต์ดำของเหล่าพ่อมดหมอผีทั้งหลาย ทรงเกรงว่าดวงวิญญาณของพระนาง หวางฮองเฮา และพระสนม ซู่เฟย จักกลับมาแก้แค้นพระนางอีก พระนางทรงโปรดให้เหล่า เต้าสือ เข้าวังมาทำพิธีขับไล่กำจัดรังควาน มิให้ดวงวิญาณของ อดีต ฮองเฮา และพระสนมทั้งสองเข้าวัง พระเจ้า ถันเกาจง ได้แต่ทอดทอดพระเนตรด้วยดวงตาปริบ ๆ



~มังกรหลับ~
#13   ~มังกรหลับ~    [ 19-05-2007 - 23:01:56 ]    IP: 203.113.45.69

เมื่อเวลาออกขุนนางนั้น พระนางทรงนั่งอยู่หลังม่านพระราชบัลลังค์ มีเรื่องคอขาดบาดตายอย่างไร พระนางทรงรับรู้ทุกสิ่ง จนกระทั่งพระเจ้า ถันเกาจง ทรงรู้สึกพระองค์ว่า ภายในพระราชสำนักบัดนี้มี 2 เจ้า ขุนนางผู้ใดขัดขืนมิตามพระราชโองการของพระนางมักถูกกำจัดทิ้ง แม่แต่พระโอรสบังเกิดเกล้าของพระองค์เอง ก็ทรงมิถูกยกเว้น

ะนาง อู่ ทรงให้การประสูติประโอรสรวดเดียว 4 พระองค์ และพระธิดาอีก 1 พระองค์ พระนางทรงรักใคร่ในพระธิดาเจ้าหญิง ไท่ผินกงจื่อ (ไท้เพ้งกงจู้) ยิ่ง เจ้าหญิงองค์นี้ทรงมีพระสิริโฉมเยี่ยงเดียวกับพระนาง อีกทั้งพระอุปนิสัยก็ทรงคล้ายกัน ทรงถือพระยศอย่างวางตัว อีกทั้งทรงโปรดการคุมอำนาจ มีเรื่องราวสำคัญอย่างไร พระนางทรงถือพระราชโองการให้พระเจ้า ถันเกาจง ลงพระนาม พระเจ้า ถันเกาจง ก็ทรงโปรดลงพระนามไปตามนั้นโดยมิใส่พระทัยต่อความในพระราชโองการ

พระนางทรงโปรดให้สมัครพรรคพวกเข้ารับตำแหน่งขุนนางที่ใหญ่โตสำคัญ ๆ ดั่งนั้นเหล่าขุนนางทั่ว ๆ ไป จึ่งมิกล้าบังอาจกล่าวโทษพระนาง ผิดกับพระโอรสของพระนางอีกหลายพระองค์ เจ้าชาย หลี่หง (ลี่ฮ้ง) แม้ว่าทรงมีพระวรกายมิเข็งแรง แต่ทรงเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม พระเจ้า เกาจง ทรงพระประชวรหลายครั้ง ทรงมีพระราชโองการให้เจ้าชายเข้าดูแลเสมอ ๆ เจ้าชายทรงเข้าพระทัยในแบบแผนกฎมณเทียรบาลของพระราชสำนัก ทรงมีพระทัยใจดี ทรงความยุติธรรม เป็นที่รักใคร่ของเหล่าปวงประชาราษฎร์ พระองค์ทรงว่ากล่าวตักเตือนพระมารดาเกี่ยวกับเรื่องราวที่มิมีความเป็นธรรมเสมอ ๆ และเมื่อนานวันเข้า พระนาง ฮู่ฮองเฮา ก็มิทรงพอพระทัยต่อพระโอรสองค์นี้

ครั้งหนึ่ง เจ้าชายทรงสืบรู้ว่าภายในพระราชสำนัก ได้กักขังหญิงงามไว้ 2 นาง อายุกว่า 30 ปีแล้วยังมิให้หญิงงามทั้งสองนางนั้นมีฝั่งมีฝา พระองค์ทรงตรัสถามคนในวัง จึ่งทรงรู้ว่า หญิงงามทั้งสองนั้นความจริงเป็นพระธิดาที่ทรงประสูติจากพระสนม ซูซู่เฟย (เซียวซกฮุย) พระองค์จึ่งทรงกราบทูลเรื่องนี้ต่อพระเจ้า ถันเกาจง ทรงขอร้องให้นำหญิงงามผู้พี่ตกแต่งมีครัวเรือนก่อน

พระเจ้า ถันเกาจง ทรงรับปาก แต่ครั้นเรื่องราวเช่นนี้ไปถึงพระกรรณของพระนาง อู่ฮองเฮา พระนางทรงขัดเคืองพระทัยยิ่ง ทรงมีโองการให้ตกแต่งหญิงงามทั้งสองให้แก่องค์รักษ์ที่ต่ำต้อยด้อยวาสนา เมื่อเสร็จเรื่อง พระนางทรงให้คนสอดแนมดูในเจ้าชายองค์รัชทายาท แต่เจ้าชายองค์รัชทายาทยังทรงปักพระทัยมิวาง ทรงเกรงว่าเมื่อพระเจ้า ถันเกาจง ทรงเสด็จสวรรคต เจ้าชายองค์รัชทายาทก็ทรงขึ้นครองราชย์

พระนางทรงเกรงว่าพระราชอำนาจของพระนางจักกระทบกระเทือน ดั่งนั้น ศักราช ซ่านหยวน (เจี่ยง้วง) ปีที่ 2 พ.ศ. 1218 พระนาง อู่ฮองเฮา ทรงลงพระหัตถ์ด้วยความโหด...มอีกครั้ง พระนางทรงจัดงานเลี้ยงให้แก่เจ้าชายรัชทายาท ทรงวางยาพิษประหารเจ้าชาย อนิจจา เจ้าชายรัชทายยาทในพระวัย 24 พรรษา พระโอรสแท้ ๆ ของพระนางเอง ช่างน่าสงสารแท้ ๆ

พระเจ้า เกาจง ทรงโปรดพระโอรสองค์โตยิ่ง เมื่อได้ทรงรับทราบข่าวอันน่าเศร้าเช่นนี้ ทรงเจ็บปวดยิ่งกว่าเชือดเฉือนเลือดเนื้ของพระองค์เอง ทรงกรรณแสงทุกวันทุกคืน ในการจัดงาศพขององค์ชายรัชทายาท พระองค์ทรงโปรดให้จัดงานศพเยี่ยงกษัตริย์ ทรงให้พระยศแก่องค์ชายว่า "เสี้ยวจิ่นหวางตี้ (เฮ้าเก่งอ่วงตี่..ฮ่องเต้ ผู้กตัญญู)"

พระโอรสองค์รองซึ่งทรงประสูติแต่พระนาง อู่ฮองเฮา คือจ้า หย่งหวาง (ยุ่ยอ๊วง) หลี่เสียน (หลี่...ง) ทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์ชายรัชทายาท ภายหลังองค์รัชทายาท หลี่เสียน ก็ทรงเป็นที่ขัดเคืองพระทัยต่อพระนาง อู่ฮองเฮา พระนางทรงมีโองการบีบบังคับความตายสู่องค์รัชทายาท แต่พระเจ้า ถันเกาจง ทรงขอร้องไว้ องค์รัชทายาทจึ่งทรงถูกปลดไปเป็นชาวบ้านธรรมดา และทรงเนรเทศไป ณ ดินแดน ปาโจว (ปาจิว) ปัจจุบันคือนคร จงซิ่น ในมณฑล เสฉวน

พระโอรสองค์ที่ 3 เจ้า อินหวาง (เอ็งอ๊วง) หลี่เจ๋อ (หลี่เตี๊ยก) จึ่งทรงรับตำแหน่งเป็นองค์รัชยาทแทน

แม้ว่าพระนาง อู่ฮองเฮา จักมีความโหด...มอำหิตฆ่าฟันผู้คนที่มาแย่งชิงริดรอนอำนาจของพระนาง แต่สำหรับการปกครองจัดแจงบ้านเมืองพระนางทรงมีความปรีชาสามารถอย่างยิ่ง พระนางนางสามารถเลือกดูผู้คน ทรงเห็นความสามารถที่แตกต่างกันของผู้คน พระนางทรงมีอำนาจและทรงกล้าใช้ผู้คน พระนางทรงเสนอกฎหมาย 12 ประการถวายพระเจ้า เกาจง ทรงร่วมปกครองประเทศ ทรงจัดการระบบการเพาะปลูกทำไร่ทำนา ทรงใช้มาตรการการเก็บภาษีที่นา การใช้กำลังทหาร ควบคุมการปกครองของเหล่าเจ้าเมืองขึ้น จัดสร้างหนทางสะดวกแก่การไปมา เหล่าขุนนางเก่าแก่ต้องแสดงพิศูจย์ผลงานที่ได้ทำมา หากขี้เกียจสันหลังยาวล้วนถูกกำจัดทิ้ง เมื่อกฎหมายทั้ง 12 ข้อถูกเสนอในแง่เชิงปฎิบัติ เป็นผลดีแก่ภายนอกและภายในทั้งประเทศ ประชาชนต่างอยู่ดีมีสุข ต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญในความมีพระสติปัญญาของพระนาง อู่เจ๋อเทียน นี่เป็นเรื่องจริงที่ได้รับการยอมรับในประวัติศาสตร์

ศักราช หงเต้า (ฮ่งเต๋า) ปีที่ 1 พ.ศ. 1225 พระเจ้า ถันเกาจง ทรงประชวรปวดพระเศียรเป็นอันตรายยิ่ง พระเนตรฝ้าฟางมองมิเห็น หมอหลวงได้ถวายการรักษาด้วยการฝังเข็ม พระโรคนั้นจึ่งเริ่มทุเลา แต่พระนาง อู่ฮองเฮา ทรงคัดค้านด้วยเหตุผลว่า พระวรกายมังกรมิสมควรใช้ของแหลมทิ่มแทง หมอหลวงจึ่งมิกล้ารักษาด้วยวิธีการฝังเข็ม พระอาการประชวรของพระเจ้า ถันเกาจง นับวันจึ่งเริ่มทรุดลงเรื่อย ๆ ทรงทนทุกข์ทรมานได้มินาน พระองค์ก็ทรงเสด็จสวรรคต ด้วยพระชนม์ 56 พรรษา

พระองค์ทรงเป็นเจว็ด ฮ่องเต้ ได้นาน 20 ปี พระนาง อู่ฮองเฮา เนื่องจากทรงเห็นว่าพระวรการของพระเจ้า เกาจง นั้นอ่อนแอดั่งชราภาพ แต่พระวรกายของพระนางกลับทรงเข็งแรง ทั้ง ๆ ที่พระวัยของพระนางทรงใกล้เคียงกับพระเจ้า ถันเกาจง แต่พระเจ้า ถันเกาจง ทรงมิอาจประทานความสุขบนเตียงแก่พระนางได้ พระนางทรงร่วมเสพสุขกับหมอหลวง จึ่งเป็นเหตุให้พระเจ้า ถันเกาจง ทรงด่วนสิ้นพระชนม์ชีพ

เมื่อพระเจ้า ถันเกาจง ทรงเสด็จสวรรคต องรัค์ทายาทเจ้าชาย หลี่เจ๋อ (หลี่เตี๊ยก) ทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้า ถันจงจง (ทั่งตงจง) ทรงยกย่องพระนาง อู่ฮองเฮา เป็นพระนาง ฮองไทเฮา แต่ระบบอำนาจการปกครองล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระนาง อู่ฮองไทเฮา ขณะนั้น นาง อู่เหมยเหนียน ทรงประสบความสำเร็จในชีวิตอันสูงสุดแล้ว พระนางยังคงจำคำพูดของพระบิดาก่อนสิ้นชีพสนทนากับหมอดู หยวนเทียนกัน (ง่วงเทียงกัง) ว่า

"หากเป็นดวงชะตาหญิงแล้ว ลาภยศสรรเสริญล้วนยากที่จักคาดเดา แต่ตำแหน่งสูงสุดจักยิ่งใหญ่กว่าคนในใต้หล้า"

อาจจะใช่ว่าดวงชะตาของนางจักเป็นถึง ฮ่องเต้ สตรี แต่คนที่มีความเด็ดเดี่ยวอย่างเช่นพระนาง เมื่อพระนางทรงคิดการณ์ใด ก็มักปฏิบัติการณ์นั้น ๆ เสมอ ๆ หากพระนางทรงประสงค์ถอดถอนพระเจ้า ถันจงจง ออกจากตำแหน่ง ฮ่องเต้ ก็ง่ายยิ่งกว่าการพลิกฝ่าพระหัตถ์ แต่พระนางทรงค้นคว้าศึกษามามาก มิปรากฏว่ามี ฮ่องเต้ สตรี องค์ใด ๆ ในประวัติศาสตร์ แต่ทว่าผู้อื่นทำมิได้ เหตุไฉนคนอย่างพระนางจักทำมิได้ พระนางทรงครุ่นคิดถึงการเป็น ฮ่องเต้ สตรี ถ้าหากเป็นไปได้ ก็จักดำเนินการให้สตรีมีสิทธิเสมอภาคกับบุรุษ พระนางทรงครุ่นคิดถึงสถานะภาพการเป็น ฮ่องเต้ สตรี นับว่าในชาตินี้คงมีวาสนามิเบา

ดั่งนั้น พระนางทรงใช้ขุนนางคนสนิท กราบทูลให้พระเจ้า ถันจงจง ทรงถอนตัวออกจากตำแหน่ง ฮ่องเต้ สถาปนาพระองค์ทรงเป็นเจ้า ลู่หลินหวาง (โล่วเล่งอ๊วง) ทรงเสด็จไปกินเมือง ฝานโจว (ปั่งจิว) ปัจจุบันคือเมือง ฝานเสี้ยน ในมณฑล หูเป่ย

ทรงแต่งตั้งพระโอรสองค์ที่ 4 เจ้า เซี่ยนหวาง (เซี่ยงอ๊วง) หลี่ตัน (หลี่ตั่ง) เป็น ฮ่องเต้ นักประวัติศาสตร์จีนต่างถวายพระนามว่าพระเจ้า ถันรุ่ยจง (ทั่งหยวยจง) และทรงสถาปนาเหล่าพระญาติตระกูล แซ่อู่ (แซ่บู๊) รับตำแหน่งใหญ่โตในพระราชสำนัก พระนัดดา อู่เฉิน (บู่เซ้ง) มีตำแหนงสูงส่งถึง จงซูหลิน (ตงจือเหล็ง) กุมอำนาจภายในพระราชสำนัก พระนัดดาอีกองค์ อู่ซานซือ (บู่ซำซือ) มีตำแหน่งถึงแม่ทัพฝ่ายขวา ลูกหลานตระกูล อู่ ล้วนแต่รับตำแหน่งสำคัญ ๆ ต่าง ๆ

แต่พระโอรสองค์รอง หลี่เสียน (หลี่...ง) ซึ่งทรงถูกปลดเป็นชาวบ้านธรรมดา ทรงทำไร่ปลูกแตงอยู่ ณ เมือง ปาโจว (ปาจิว) ทรงปลูกแตงค่นข้างได้รับผลผลิต มีคนกราบทูลพระนางทราบ พระนางทรงเกรงว่าพระโอรสจักร่วมมือกับคนท้องถิ่นก่อการเป็นกบฏ จึ่งทรงโปรดให้คนสนิทไป ณ เมือง ปาโจว บีบบังคับพระโอรสทรงปลิดชีพพระองค์เอง



~มังกรหลับ~
#14   ~มังกรหลับ~    [ 19-05-2007 - 23:03:07 ]    IP: 203.113.45.69

พระนาง อู่เจ๋อเทียน ทรงผงกพระพักตร์ และในค่ำคืนวันนั้นเอง พระนางทรงพระสุบิน ทรงสุบินเห็นนกแก้วตัวหนึ่ง บินเข้ามาหาพระนาง ปีกของนกแก้งทั้งสองข้างหักสะบั้น พระนางทรงตื่นจากบรรทมทรงรู้สึกแปลก ๆ รุ่งขึ้นวันต่อมา พระนางทรงเล่าเรื่องในพระสุบินให้แก่ ตี้เหรินจี้ ฟัง ตี้เหรินจี้ กราบทูลว่า

"ฝ่าบาททรง แซ่อู่ อันนกแก้วนั้นมีสำเนียงว่า อินอู่ (เอ็งบู้) ซึ่งพ้องกับสำเนียงแซ่ของฝ่าบาท ปีกทั้งสองข้างก็คือพระโอรสทั้งสองของฝ่าบาท ฝ่าบาทจึ่งทรงสมควรปกป้องรักษาพระโอรสทั้งสองของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"

พระนาง อู่เจ๋อเทียน ทรงพระสลวญพยักพระพักตร์ ต่อมามีคนไปบอกกล่าวแก่สองพี่น้อง จางอี้ ว่า เขาทั้งสองกำลังเป็นที่โปรดปราน ให้รีบเร่งกระทำความดีความชอบ วาสนาของท่านทั้งสองจักได้อยู่ยั้งยืนยง บัดนี้พระนาง ฮองเฮา กำลังทรงดำริแต่งตั้งเจ้า ลู่หลินหวาง เป็นองค์รัชทายาทแทนพี่น้องตระกูล แซ่อู่ หากท่านจะสามารถพูดจากราบทูลฝ่าบาททรงสนับสนุนเจ้า ลู่หลินหวาง เป็นองค์รัชทายาทได้สำเร็จ บุญคุณทั้งนี้ก็จักตกอยู่กับท่านทั้งสอง และในภายหน้าเมื่อเจ้า ลู่หลินหวาง ทรงเป็นโอรสสวรรค์ ขุนนางตำแหน่งสูงก็จักมิพ้นจากมือของท่านทั้งสอง ลาภยศวาสนาของท่านก็จักมั่นคงยิ่ง

สองพี่น้อง แซ่จาง ฟังแล้วสมเหตุสมผล จึ่งพากันทูลสรรเสริญความดีความชอบของเจ้า ลู่หลินหวาง ต่อพระพักตร์ เป็นเหตุให้พระนาง อู่เจ๋อเทียน ทรงรีบมีพระราชโองการโปรดให้พระโอรสเจ้า ลู่หลินหวาง หลี่เจ๋อ รีบเดินทางกลับสู่นคร ลั่วหยาน เมื่อสองแม่ลูกต่างพบเห็นหน้าพร้อมกัน ต่างมีความดีใจมีความรู้สึกถึงความสัมพันธ์การเป็นแม่ลูก เจ้าชาย หลี่ตัน ก็ทรงออกความเห็นสนับสนุนให้พระเชษฐา หลี่เจ๋อ เป็นองค์รัชทายาท พระนาง อู่เจ๋เทียน ก็ทรงโปรดให้เป็นไปตามนั้น

เดือนที่ 1 ศักราช เสินหลง (สิ่งเล้ง) ปีที่ 1 พ.ศ. 1248 พระนาง อู่เจ๋อเทียน ทรงพระประชวรนอนบนพระแท่นเป็นเวลาหลายวัน อุปราช จางเจี้ยนจือ (เตียงกั่งจือ) และ เค่อเสี้ยนหาน (คักเ...่ยงฮั้ง) รับช่วงบริหารประเทศ

ในปีนั้น พระนาง อู่ซื่อ ทรงมีพระชนม์ได้ 78 พรรษา พระนางทรงเสวยโอสถบำรุงร่างกายเสมอเป็นประจำ แต่ยามเมื่อถึงอายุขัย พระนางทรงมิอาจฝืนสังขารของพระนางเอง เมื่อใกล้วาระสุดท้ายของพระนาง มีสองพี่น้อง จางอี้จือ และ จางชานจง เฝ้าปรนนิบัติพระนางอย่างใกล้ชิด จึ่งเป็นเหตุให้อุปราช จางเจี้ยนจือ และ เค่อเสี้ยนหาน เป็นห่วงอย่างยิ่งว่าพระนางจักทรงเปลี่ยนพระทัย ยกตำแหน่ง ฮ่องเต้ ให้แก่สองพี่น้อง แซ่จาง การที่พระนางทรงหลงไหลในเสน่ห์ของชายหนุ่ม เป็นที่ไม่พอใจของอุปราชและเหล่าขุนนางอย่างยิ่ง

ดั่งนั้นเหล่าขุนนางทั้งหลายจึ่งได้ถวายฎีกาแล้วถวายอีก ขอให้พระนางทรงปลดหนุ่มสุดที่รักที่ไม่มีคุณแก่ประเทศชาติจับขังคุกประหาร แต่ฎีกาของเหล่าขุนนาง ก็เปรียบเสมือนโยนก้อนหินลงทะเล มีมีสิ่งใดเกิดขึ้น ด้วยความเป็นห่วงว่าสองพี่น้องจักแย่งชิงบัลลังก์มังกร เหล่าขุนนางทั้งหลายจึ่งพากันเข้าเฝ้ากราบทูลให้พระนางทรงสละตำแหน่ง และแต่งตั้งองค์รัชทายาท หลี่เจ๋อ ซึ่งบัดนี้ทรงเปลี่ยนพระนามใหม่ว่า หลี่เสี้ยน (หลี่เ...่ยง) ขึ้นดำรงตำแหน่ง ฮ่องเต้ เพื่อทรงฟื้นฟูราชวงศ์ ถัน ทำความเจริญให้แก่ประเทศดั่งเช่นบรรพบุรุษ ในผู้นำของบรรดาเหล่าขุนนางนี้ ก็คืออุปราช จางเจี้ยนจือ และ เค่อเสี้ยนหาน

จางเจี้ยนจือ เคยเป็บัณฑิตของสำนัก หยู เขามีความคิดเห็นว่าพระราชสำนัก ถัน แต่อดีตมิควรอยู่ในอำนาจของสตรี ดั่งนั้นเขาจึ่งได้ปลุกระรมให้มีการฟื้นฟูราชวงศ์ ถัน ขึ้นมาใหม่ เขาได้ฉวยวิกฤตเป็นโอกาส ว่าถึงเวลาแล้วที่จักได้ฟื้นฟูราชวงศ์ ถัน จึ่งได้ใช้อำนาจและหน้าที่ตำแหน่งขุนนางของเขาเร่งปลุกระดมความเร้าใจของเหล่าขุนนาง
ทั้งปวง เขารู้ว่าแม้นอำนาจของเขาจักยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าปราศจากอำนางทางกองกำลังทหาร ทำการใหญ่ก็จักมิมีความหมาย ดั่งนั้นเขาจึ่งได้รีบเข้าหาแม่ทัพ อิ้วสือหลินเว่ยต้าเจียนจวิน (อิ๋วสิกลิ้มเอว่ยไต่เจียงกุง) หลี่ตวอจั๋ว (หลี่ตอจัก) เข้าร่วมเป็นพรรคพวก แม่ทัพ หลี่ตวอจั๋ว นั้นมีความกล้าหาญและรักความเป็นธรรม และยังจงรักภัคดีต่อพระเจ้า ถันเกาจง เขาได้ควบคุมกองทหารองค์รักทางเหนือเป็นเวลานานหลายปี อุปราช จางเจี้ยนจือ จึ่งได้ระบายความในใจต่อเขาถึงการฟื้นฟูราชวงศ์ ถัน เพื่อตอบแทนพระคุณต่อพระเจ้า ถันเกาจง จึ่งได้ลงแรกเชิดชูหนุนองค์รัชทายาท หลี่เสี้ยน ขึ้นเป็น ฮ่องเต้ แม่ทัพ หลี่ตวอจั๋ว จึ่งตกลงรับปากอย่างมั่นคงเข็งแรง ดั่งนั้น จางเจี้ยนจือ จึ่งได้ไปเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท หลี่เสี้ยน ปรึกษากราบทูลเรื่องราว

การดำเนินนโยาบายและการวางแผนนั้นเป็นไปด้วยความลับอย่างยิ่ง เหล่าบรรดาผู้ร่วมก่อการล้วนร่วมสาบานกันว่าจักปฏิบัติการเป็นความลับที่สุด แม้กระทั่งบิดามารดาและลูกเมียก็มิมีผู้ใดล่วงรู้ เมื่อแผนการณ์ดำเนนการไปได้ 22 วัน จางเจี้ยนจือ และ เค่อเสี้ยนหาน พร้อมดวนขุนนางเจเกรมราชทัณฑ์ ฮวานเหลียวหมาน (ฮ่วงเลี่ยวมั้ง) แม่ทัพฝ่ายซ้าย ฉู่เว่ยเว่ย (ฉ่อเอว่ยเอว่ย) เสี่ยซือหาน (ซิซือฮั้ง) ต่างนำกองทัพมหาดเล็กจำนวน 500 กว่านาย บุกเข้ามาทางประตูกำแพงเมืองทิศเหนือ เสี้ยนอู่เหมิน (เ...่ยงบู่มึ้ง) เขาทั้งหลายได้ให้อุปราช จางเจี้ยนจือ เข้าไปทางประตูกำแพงเมืองทิศเหนือ ใกล้กับพระราชวัง จงจิน (ตังเก็ง) เพื่อรับเสด็จองค์รัชทายาท แต่เมื่อเรื่องราวเป็นถึงเช่นนี้ องค์รัชทายาทกลับทรงเกรงกลัวพระราชอาญา ทรงเdHบตัวมิกล้าออกหน้า มิทรงให้ความร่วมมือด้วย จึ่งกลับกลายเป็นว่าเหล่าขุนนางร่วมกันก่อการเป็นกบฏเสียเอง เหล่าบรรดาขุนนางทั้งปวงต่างกลุ้มใจอย่างยิ่ง แต่ดีที่ว่าพระราชบุตรเขยขององค์รัชทายาทเจ้า หวางถงเสี้ยว (เฮ่งถ่งเหา) ทรงกราบทูลว่า

"ฮ่องเต้ พระองค์ก่อนทรงตรัสแก่เหล่าขุนนางในท้องพระโรงว่า หากเหล่าข้าราชสำนักปกครองแผ่นดินมิเป็นธรรม เป็นที่เดือดร้อนแก่เหล่าประชาราษฎร์ แต่บัดนี้ผ่านกาลเวลามาถึง 22 ปีแล้ว พระราชโองการของ ฮ่องเต้ ยังคงอยู่ให้พวกเราร่วมใจกันปราบปรามเหล่า กันฉิน เพื่อฟื้นฟูราชอาณาจักของราชวงศ์ ถัน พวกเราจงรีบออกไปทางประตูเมือง เสี้ยนอู่เหมิน เพื่อจัดการระเบียบในพระราชสำนัก ตามความหวังของประชาราษฎร์พ่ะย่ะค่ะ"

แต่ทว่าเหล่าบัณฑิ หยู ขององค์รัชทายาท ต่างมิกล้ารับปาก แต่กลับเกี่ยงกันกราบทูลว่า

"ตามที่ 2 ขุนนางริเริ่มก่อการ แต่ฝ่าบาทยังทรงพระประชวร เกรงว่าจักทรงให้ฝ่าบาทหวาดหวั่นเกรงพระทัย ขอดำเนินการตามแผนอื่นเถิด"

แม่ทัพฝ่ายขวา อิ้วซ่านฉีไท่หลาน (อิวซั่วเขี่ยไท่นึ้ง) หลี่ชาน (หลี่คำ) ฟังแล้วรำคาญยิ่ง ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า

"หากเหล่าผู้กล้า มิยอมปกป้องอารักษ์ขาคนในครอบครัว กลับเกรงว่าการฟื้นฟูราชวงศ์ ถัน จักเป็นโทษมหันต์ เกรงว่าดาบและคมขวานจักมาทิ่มฟันตนเอง ขอเหล่าผู้กล้าออกไปจัดการตนเอง ณ นอกท้องพระโรงเถิด"



~มังกรหลับ~
#15   ~มังกรหลับ~    [ 19-05-2007 - 23:04:03 ]    IP: 203.113.45.69

องค์รัชทายาทจึ่งทรงยอมเชื่อฟัง ออกจากพระราชวังไปขึ้นทรงขี่หลังม้า พระราชบุตรเขย หวางถงเสี้ยว ทรงประคององค์รัชทายาทขึ้นสู่หลังม้าพระที่นั่ง เป็นการปลอบพระทัยองค์รัชทายาท มุ่งออกสู่ประตูกำแพงเมือง เสี้ยนอู่เหมิน (เ...่ยงบู่มึ้ง) เหล่าคนทั้งหลายเห็นองค์รัชทายาททรงนำเสด็จ ต่างพากันมีกำลังใจ ต่างตามเสด็จองค์รัชทายาทเข้าร่วมก่อการ ขณะนั้น หนุ่มสนมทรงโปรดปราน จางอี้จือ และ จางชานจง ได้ฟังกิตติศัพว่าเหล่าขุนนางต่างพากันไปต้อนรับกองทัพของผู้ก่อการ มิทันเฉลียวใจ เหล่ากองทัพของผู้ก่อการต่างบุกเข้ามาในพระราชวัง นำโดยอุปราช จางเจี้ยนจือ เหล่าขุนนางเมื่อมองเห็นสองหนุ่มโปรด แซ่จาง ต่างมีความเคียดแค้นว่าเป็นขุนนาง กังฉิน ที่ก่อกวนภายในพระราชสำนัก ต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ ตีรันฟันแทงสองหนุ่มร่ายกายแตกแยกเป็นชิ้น ๆ

ขณะเดียวกันนั้น พระนาง อู่เจ๋อเทียน ทรงตื่นบรรทมจากพระอาการทรงสลืมสะลือ ทรงเข็งพระทัยกำลังจักลุกขึ้นยืน ทันใดนั้น องค์รัชทายาทก็ทรงเสด็จนำเหล่าขุนนางเข้ามาใกล้เคียงพระนาง พระนางทรงหวาดหวั่น แต่ทรงเข็งพระทัยตรัสถามไปว่า

"ผู้ใดหรือที่ก่อการในครั้งนี้"

จางเจี้ยจือ และเหล่าขุนนางทั้งปวงกราบทูลพร้อมกันว่า

"จางอี้จือ กับ จางชานจง ร่วมคิดก่อการเป็นกบฏพ่ะย่ะค่ะ เหล่าข้าพระองค์จึ่งอาศัยพระราชโองการขององค์รัชทายาทมากำจัดขุนาง กังฉิน ทั้งสอง เนื่องจากเกรงว่าความลับจักรั่วไหล จึ่งมิกล้ากราบทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"

พระนาง อู่ซื่อ ทรงพระพิโรธองค์รัชทายาทยิ่ง ทรงตวาดด่าว่าว่า

"เจ้าเหตุไฉนกล้าทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ บัดนี้สองคนนั้นก็ถูกฆ่าทิ้งไปแล้ว เจ้าจงยกกองทัพกลับไปวังเถิด"

ขณะนั้นพระนาง อู่ซื่อ ทรงวิตกกังวล และมิทรงเชื่อมั่นในตัวพระนางเอง

องค์รัชทายาททรงลังเล คิดจักกล่าวคำขอโทษต่อพระนาง แต่ขุนนาง หวานเหลียวหมาน กลับแย่งชิงตัดหน้าคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์กราบทูลว่า

"องค์รัชทายาททรงมิกล้าบังอาจถึงเพียงนี้ แต่พระองค์ทรงดำเนินตามนโยบายของอดีต ฮ่องเต้ บัดนี้องค์รัชทายาททรงพระวัยพอรับผิดชอบการใด ๆ ในใต้หล้า อีกทั้งทรงรักประชาชน ทรงสามารถซื้อน้ำใจจากประชาชน ฝ่าบาทสมควรมอบตำแหน่ง ฮ่องเต้ ให้แก่พระองค์ จักได้มิเป็นการฝ่าฝืนฟ้าลิขิตพ่ะย่ะค่ะ"

พระนาง อู่เจ๋อเทียน ทรงมิรับปากโดยทันใด พระนางทรงมองจ้องหน้าเหล่าขุนนางทีละคน พระนางทรงทอดพระเนตรเห็นว่า มีขุนนางคนสนิทของพระนางหลายคนต่างร่วมอยู่ในขบวนการครั้งนี้ พระนางจึ่งทรงรู้ถึงสถานภาพของพระนางเอง พระนางจึ่งทรงตรัสออกมาสองคำว่า

"เอาเถิด....เอาเถิด.."

แล้วทรงล้มพระองค์ลงบรรทมบนพระแท่น

วันที่ 25 เดือนที่ 1 ศักราช เสินหรง ปีที่ 1 พระเจ้า จงจง (ตงจง) หลี่เสี้ย ทรงเสด็จขึ้นถวัลย์พระราชสมบัติ ประวัติ ฮ่องเต้ สตรีหนึ่งเดียวของประเทศจีนซึ่งทรงปกครองประเทศจีนนานถึงหลายสิบปีก็เป็นอันสิ้นสุด พระนางทรงตรมพระทัยในวัยชราภาพอีกทั้งพระโรครุมเร้านานถึง 10 เดือน พระนางจึ่งทรงจากโลกนี้ไป


แปลและเรียบเรียงโดย ไพรัช เฮงตระกูสิน (08 9459 4833)

สงวนลิขสิทธิ์ เว้นแต่ขออนุญาติเป็นวิทยาทาน



~มังกรหลับ~
#16   ~มังกรหลับ~    [ 19-05-2007 - 23:08:40 ]    IP: 203.113.45.69

อุส่าหามาให้จะมีใครทนอ่านจนจบไม๊เนี่ย
เกล็ดเล็กๆน้อยๆ

พระนามเดิม บูเหมยเหนียง
พระนาม บูเช็คเทียน ถูกขนานนามภายหลังโดยองศ์ฮ่องเต้ (ภาษาแต้จิ๋ว)
ภาษาจีนกลางออกเสียงว่า อู่เจ๋อเทียน เกิดในตระกูล อู่



เอี้ยจังเลย
#17   เอี้ยจังเลย    [ 20-05-2007 - 06:13:15 ]

โหละเอียดมากกว่าจะอ่านจบขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงขอบคุนมาก



ครับ
#18   ครับ    [ 20-05-2007 - 10:41:00 ]    IP: 222.123.125.128

คุณมังกรหลับ ใช่คุณอาไพรัช ไหมครับ นี้ครับผลงานการแปลของคุณ ไพรัช เฮงตระกูลสิน
http://www.sanguo-chronicle.com/forum/index.php?showforum=34
ลองไปดูนะครับ คุณอาไพรัช แปลเนื้อเรื่องต่างๆ ไว้มากมายเลย



~มังกรหลับ~
#19   ~มังกรหลับ~    [ 20-05-2007 - 13:54:06 ]    IP: 203.113.45.69

ใช่แล้วครับผม ก็อบ เขามาอีกที



vมังกรหลับv
#20   vมังกรหลับv    [ 18-07-2007 - 17:40:12 ]

มาดันกระทู้เก่าๆที่ผมเคยตอบไว้เล่นๆคับ



  • 1
  • 2
ตอบกระทู้
ชื่อ
รหัส กรอกตัวอักษร ตามภาพ
ข้อความ


emo-smile emo-happy emo-lol emo-enjoy emo-kiku emo-cool emo-hoho emo-drool emo-hungry emo-kiss emo-sorry emo-sad emo-cry emo-tear emo-question emo-doubt emo-shock emo-redface emo-plz emo-peevish emo-angry emo-moody emo-sneer emo-makefaces emo-good emo-touched emo-love emo-bore emo-tired emo-vomit
bold italic underline img link superscript subscript size color space justifyleft justifycenter justifyright quote box youtube