เข้าระบบอัตโนมัติ

ขอเชิญร่วมวงสนทนาเรื่อง ดาบมังกรหยก


ประมุขหอดารา
#1   ประมุขหอดารา    [ 06-11-2007 - 22:07:59 ]

ขอเชิญร่วมวงสนทนาเรื่อง ดาบมังกรหยก

ถ้าสงสัยอะไรเกี่ยวกับ นวนิยายเรื่องนี้ก็สามารถสอบถามได้ ไม่ได้รู้มากอะไรหรอกครับ แต่พอตอบคำถามคร่าวๆได้บ้าง

ในส่วนข้อมูลที่เป็นความเห็นส่วนตัวของกระผม กระผมจะระบุเอาไว้

ในส่วนข้อมูลที่เป็นข้อมูลจริงจากในนวนิยาย กระผมก็จะระบุเอาไว้เช่นกัน

โดยกระผมจะขออิงข้อมูลทั้งหมด จาก ดาบมังกรหยก แบบปรับปรุงล่าสุด แปลโดย ท่าน น.นพรัตน์ เพราะเป็นข้อมูลที่ได้รับการปรับปรุงที่คิดว่า อัพเดท ที่สุดแล้ว และได้รับการรับรองถูกต้องตามลิขสิทธิ์ของ ท่านกิมย้ง

ขอเชิญชาวยุทธผู้มีเกียรติทุกท่านร่วมวงสนทนาเรื่อง ดาบมังกรหยก

ณ บัดนี้





ยาจกอุดร
#2   ยาจกอุดร    [ 06-11-2007 - 22:10:55 ]

สวัดดีครับ ผมชอบ4คุมกด กับ2ทุตซ้าย ขวา ชอบค้างคาว ปีกเขียวครับ



ประมุขหอดารา
#3   ประมุขหอดารา    [ 06-11-2007 - 22:12:04 ]

โดย กระผมจะขอเริ่ม ที่ข้อมูล การฝึกวิชาสำเร็จ ทั้งเก้าเอี้ยง และ เคลื่อนย้ายจักรวาล ก่อนเป็นการประเดิมซึ่งบางท่านอาจจะเคยอ่านผ่านตามาบ้างแล้ว



ยาจกอุดร
#4   ยาจกอุดร    [ 06-11-2007 - 22:14:15 ]

เตียบ่กี้ฝึก เก้าเอี้ยง สำเร็จก่อน จะฝึก เคลื่อนย้ายจักรวาล ทำไห้เขาผึกได้เร็วกว่าประขุกคนก่อนๆ
ใช่มะครับ ท่าน ช้วยเสริมด้วย



สวย
#5   สวย    [ 06-11-2007 - 22:16:22 ]

อ๊าย อะไรค๊าเนี่ย ตกลงไม่มีไรเกิดขึ้นแร๊วหรอคะ งง



ยาจกอุดร
#6   ยาจกอุดร    [ 06-11-2007 - 22:18:06 ]

เกิดอะไรรึ ท่าน จอมยุท สาว



ประมุขหอดารา
#7   ประมุขหอดารา    [ 06-11-2007 - 22:21:43 ]

สายบังคับบัญชาของ พรรคเม้งก่า หรือพรรครุ่งเรือง นั้น จำได้คร่าวๆว่ามีดังต่อไปนี้

ประมุขพรรค เตียบ่กี้

ทูตซ้าย เอี้ยเซียว / ทูตขวา ห้วมเอี้ยว / โดยทั้งสองท่านนี้เคยได้รับฉายาว่า 2 เซียนสราญรมย์

4 ผู้พิทักษ์กฎประกอบด้วย
/พญามังกรเสื้อม่วง ไดอีซี่ /พญาเหยี่ยวคิ้วขาว ฮึงเที่ยนเจี่ย/
ราชสีห์ขนทอง เจี่ยซุ่น / ค้างคาวปีกเขียว อุ้ยเจ่กเชี่ย

5ผู้พเนจร
หลวงจีนแพ้ฮ่อเสียง/จิวเตียง/หลวงจีนถุงผ้าบอกไม่ได้ ซ่วยปุ่กติก/แนเคียม/ทิก่วงเต้าหยิน

ยังมีหัวหน้ากองธงทั้งห้าอีกนะซึ่งตรงนี้ ยังจำได้ไม่ละเอียดนัก ขอกับไปเปิดหนังสือดูอีกทีเพื่อความชัวส์




ประมุขหอดารา
#8   ประมุขหอดารา    [ 06-11-2007 - 22:23:07 ]

ตอน ได้ฝึกคัมภีร์เก้าเอี้ยงฉบับสมบูรณ์ จากอ้างอิงจากหน้า 297 -300

ตำราเล่มนี้เป็นคัมภีร์นวภพจริง ส่วนสาเหตุที่ซ่อนอยู่ในท้องของค่างขาว ตอนนั้นทั่วทั้งแผ่นดินไม่มีผู้ใดทราบได้ ที่แท้เมื่อเก้าสิบกว่าปีก่อน เซียวเซียงจื้อกับอีเคอซี ขโมยคัมภีร์เล่มนี้จากหอเก็บคัมภีร์วัดเสี้ยวลิ้มยี่ ถูกกักเอี้ยงไต้ซือติดตามถึงยอดเขาฮั้วซัว เห็นแน่ชัดว่าไม่สามารถหนีรอดได้ ประจวบกับที่ข้างกายมีค่างตัวหนึ่ง เซียวเซียงจื้อกับอีเคอซีนึกได้อุบายหนึ่ง ผ่าท้องของค่างซุกซ่อนคัมภีร์อยู่ภายใน ภายหลังกักเอี้ยงไต้ซือ เตียซำฮงซึ่งตอนนั้นยังเป็นบุรษหนุ่มนามเตียกุนป้อและจอมยุทธอินทรีเอี้ยก่วยค้นตัวเซียวเซียงจื้อกับอีเคอซี ไม่พบเห็นคัมภีร์จึงปล่อยให้ทั้งสองนำค่างลงจากเขา เกือบร้อยปีมานี้ ร่องรอยของคัมภีร์นวภพกลายเป็นปริศนาสำคัญของบู๊ลิ๊ม ภายหลังเซียวเซียงจื้อกับอีเคอซี นำค่างออกเดินทางไกลถึงแดนไซฮก ทั้งสองล้วนกริ่งเกรงอีกฝ่ายหนึ่งฝึกปรือวิชาฝีมือในคัมภีร์ ใช้ทำร้ายตัวเองจึงไม่ยอมนำคัมภีร์ออกจากท้องค่าง สุดท้ายมาถึงยอดเขาเกียซิ้งฮงภูเขาคุนลุ้น เซียวเซียงจื้อกับอีเคอซีลอบทำร้ายกันและกัน จนรับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ยอดคัมภีร์ที่ใช้ฝึกปรือวิชากำลังภายในขั้นสูงสุดจึงฝากอยู่ในท้องค่าง พลังฝีมือของเซียวเซียงจื้อ ความจริงเหนือล้ำกว่าอีเคอซีขั้นหนึ่ง แต่ตอนอยู่บนยอดเขาฮั้วซัวได้ต่อยใส่กักเอี้ยงไต้ซือหมัดหนึ่ง ถูกกระแทกสะท้อนกลับมา จนรับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นพอต่อสู้กับอีเคอซีกลับเสียชีวิตก่อน อีเคอซีก่อนตาย พบพานสามศักดิ์สิทธิ์คุนลุ้นฮ่อจกเต๋า บังเกิดความไม่สบายใจ ขอให้ฮ่อจกเต๋าเดินทางสู่เสี้ยวลิ้มยี่ แจ้งต่อกักเอี้ยงไต้ซือว่าคัมภีร์เล่มนั้นอยู่ในท้องของลิงค่าง แต่ตอนกล่าววาจาสติเลอะเลือน ส่งเสียงไม่ชัดเจนความจริงกล่าวคำ “ เก็งต่อเก้าตัง” (คัมภีร์อยู่ในวานร) ฮ่อจกเต๋ากลับฟังเป็นคำ “เก็งต่ออิ้วตัง”(คัมภีร์อยู่ในน้ำมัน) ฮ่อจกเต๋ารักษาคำมั่นสัญญา เดินทางไกลเข้าสู่แผ่นดินตงง้วนถ่ายทอดคำพูด “ คัมภีร์อยู่ในน้ำมัน” ต่อกักเอี้ยงไต้ซือ กักเอี้ยงไต้ซือไม่เข้าใจความหมายในวาจา มิหนำซ้ำยังก่อเกิดเป็นมรสุมอันปั่นป่วน เป็นเหตุให้ยุทธจักรเพิ่มสำนักบู๊ตึง ง้อไบ๊ขึ้น ส่วนค่างตัวนั้นกลับโชคดี ระหว่างที่อยู่ในภูเขาคุนลุ้น ปลิดผลท้อเซียนรับประทาน ได้รับพลังวิเศษจากฟ้าดิน มีอายุเก้าสิบกว่าปี ยังโลดแล่นดั่งเหินบินขนยาวดำมะเมื่อมเปลี่ยนเป็นสีขาว กลายเป็นค่างขาวตัวหนึ่ง เพียงแต่คัมภีร์นวภพซ่อนอยู่ในท้อง ขวางทางเดินของกระเพาะลำไส้เป็นเหตุให้ปวดท้อง ฝีที่ท้องก็บัดเดี๋ยวยุบบัดเดี๋ยวกลัดหนอง จวบจนถึงวันนี้เตียบ่กี้ค่อยผ่าท้องนำคัมภีร์ออกมา สำหรับกับค่างขาวถือเป็นการขจัดสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายออกไป เบื้องหลังอันสลับซับซ้อนนี้ ต่อให้เป็นคนฉลาดหลักแหลมกว่าเตียบ่กี้ร้อยเท่า ก็คาดเดาไม่ออก เตียบ่กี้ตะลึงลานชั่วขณะ ทราบดีว่ายากขบคิดคลี่คลาย ก็ไม่เปลืองสมองครุ่นคิดอีก เตียบ่กี้หยิบผลพ่วงท้อ ซึ่งค่างขาวมอบมาให้กัดกินคำหนึ่ง รู้สึกมีหยดน้ำอันหอมหวานไหลรินลงสู่ลำคอช้าๆ เปรียบกับผลไม้ป่าที่ไม่ทราบชื่อในหุบเขายังมีรสชาติเหนือกว่า เตียบ่กี้รับประทานจนหมดผล ค่อยครุ่นคิดขึ้น ไท้ซือแป๋ เคยบอกว่า หากเราฝึกปรือลมปราณนวภพของสำนักเสี้ยวลิ้มยี่ บู๊ตึง ง้อไบ๊ ทั้งสามสำนัก อาจสามารถขจัดพิษภายในกาย หากคัมภีร์เล่มนี้เป็นคัมภีร์นวภพจริง คัมภีร์นวภพเป็นต้นกำเนิดของลมปราณนวภพทั้งสามสำนัก อย่างนั้นการฝึกปรือตามคัมภีร์ ต่อให้เราคาดเดาผิดพลาด คัมภีร์เล่มนี้ไม่มีประโยชน์ ถึงกับฝึกปรือแล้วเป็นผลร้าย อย่างมากเพียงตกตายเท่านั้น ดังนั้นจัดวางคัมภีร์สามเล่มอยู่ในตำแหน่งที่แห้งสะอาด ปูหญ้าแห้งเอาไว้ค่อยทับหินใหญ่สามก้อน ป้องกันมิให้ลิงค่างหยิบฉวยไปฉีกทิ้งเสียหาย เพียงถือคัมภีร์ภาคแรกอยู่ในมือ อ่านทบทวนก่อนหลายเที่ยว จวบจนท่องจำแม่นยำจากนั้นศึกษาตีความ เริ่มฝึกปรือตั้งแต่ประโยคแรก เตียบ่กี้เห็นว่า ต่อให้ตนฝึกปรือลมปราณจากในคัมภีร์ ขจัดพิษเย็นภายในกายได้แต่เมื่อถูกกักอยู่ในหุบเขา ที่ปรากฏขุนเขารายล้อมรอบเช่นนี้ ก้ไม่สามารถออกไป วันเวลาในหุบเขายังยาวนาน วันนี้ฝึกปรือสำเร็จก็ตาม พรุ่งนี้ฝึกปรือสำเร็จก็ตาม หามีข้อแตกต่างไม่ มาตรว่าฝึกปรือไม่สำเร็จก็ถือว่าเป็นการฆ่าเวลา เตียบ่กี้เมื่อมีความคิดหากแม้นสำเร็จแม้ปลื้มปิติ มาตรว่าล้มเหลวก็ยินดีกลับมีความรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาสั้นๆสี่เดือน ก็ตีความเคล็ดวิชาในคัมภีร์ภาคแรกจนปรุโปร่ง และฝึกปรือตามนั้น หลังจากที่ฝึกคัมภีร์ภาคแรกเสร็จสิ้น งอนิ้วนับคำนวณดูพบว่าผ่านช่วงเวลาที่โอ้วแชงู้ลงความเห็นว่า พิษเย็นของเขาจะกำเริบเสียชีวิตไปแล้ว แต่เตียบ่กี้รู้สึกตัวเบา ร่างกายแข็งแรง พลังลมปราณหมุนเวียนทั่วร่างไม่มีอาการเจ็บป่วย ก่อนหน้านี้พิษเย็นกำเริบกระชั้นติดกัน ยามนี้ทอดห่างเป็นแรมเดือน ค่อยบังเกิดอาการเป็นครั้งคราว มิหนำซ้ำอาการเบาบางยิ่ง ครั้นเมื่อเตียบ่กี้ศึกษาตำราภาคที่สองได้ไม่นาน พบว่าในตำรามีข้อความ “สูดรับความร้อนทั้งเก้า รวมจิตใจก่อเกิดพลัง ดังนั้นคัมภีร์ขนานนามเก้าเอี้ยงจินเก็ง( คัมภีร์นวภพ)” ค่อยทราบว่านี้เป็นยอดตำราที่ไท้ซือแป๋ไฝ่ฝันได้เห็นจริงๆหลังความปิติยินดี ยังตั้งใจฝึกปรือกว่าเดิม นอกจากนั้นค่างขาวสำนึกบุญคุณที่เตียบ่กี้รักษาโรคให้ มักปลิดผลพ่วงท้อมาเป็นของกำนัล นี่เป็นผลไม้วิเศษที่เพิ่มพลังบำรุงร่างกาย เมื่อเตียบ่กี้ฝึกคัมภีร์ภาคที่สองไม่ถึงครึ่งเล่ม พิษเย็นภายในกายก็ถูกขจัดหมดสิ้นแล้ว ทุกวันเตียบ่กี้นอกจากฝึกพลังลมปราณแล้ว จะหยอกเล่นกับลิงค่างผลไม้ที่ปลิดได้ก็แบ่งครึ่งหนึ่งให้แก่จูเชี่ยงเล้ง กลับรู้สึกอิสรเสรี ปราศจากความวิตกทุกข์ร้อน แต่จูเชี่ยงเล้งอยู่บนแท่นศิลาเล็กๆ นับว่าผ่านวันดุจเป็นปีพอเข้าสู่ฤดูหนาว ทั่วทั้งภูเขากลับกลายเป็นหิมะน้ำแข็ง ลมหนาวเย็นเสียดกระดูก ความทุกข์ทรมานที่ได้รับสุดที่จะบ่งบอกบรรยายได้ เตียบ่กี้พอฝึกปรือคัมภีร์ภาคที่สองเสร็จสิ้น ก็ไม่เกรงกลัวความร้อนหนาวของอากาศ เพียงแต่ยิ่งฝึกปรือถึงตอนท้าย ยิ่งลึกล้ำยากลำบาก ความรุดหน้าก็ยิ่งเชื่องช้า คัมภีร์ภาคที่สามใช้เวลาหนึ่งปีเต็ม ส่วนภาคสุดท้ายใช้เวลาฝึกปรือถึงสามปี ค่อยสำเร็จแตกฉาน**อ้างอิงจากดาบมังกรหยก เล่ม2 หน้า 297 – 300 **



ประมุขหอดารา
#9   ประมุขหอดารา    [ 06-11-2007 - 22:23:42 ]

ตอน สำเร็จวิชาเก้าเอี้ยงขั้นสุดยอด อ้างอิงจากหน้า 477 – 488 โดยจะตัดทอนเอาเฉพาะที่เกี่ยวกับการสำเร็จวิชาเก้าเอี้ยงขั้นสุดยอดของเตียบ่กี้ โดยจะไม่เอ่ยถึงการสนทนากันระหว่างเซ้งคุณ กับ เอี้ยเซียว และ ห้าผู้พเนจร

“งี่แป๋ที่มักวิปลาสฟั่นเฟือน สังหารคนไร้ความผิด คนของทุกค่ายสำนักที่ขึ้นเขาบู๊ตึง บีบบังคับบิดามารดาเราฆ่าตัวตาย หากสือสาวหาตัวการแห่งเภทภัยล้วนเกิดจากเซ้งคุณผู้นี้ ”
พริบตานั้น ในใจพลุ่งพล่านดาลเดือดตลอดทั้งร่างรุ่มร้อนราวถูกอัคคีเผาผลาญ ถุงพลังลมจักรวาลของหลวงจีนถุงผ้าใบนี้ ไม่มีอากาศถ่ายเท เตียบ่กี้ อยู่ในถุงผ้าเป็นเวลานาน บังเกิดความอึดอัดแต่แรก เพียงอาศัยวิธีหายใจเช่น เต่าจำศีล หายใจเข้าออกเพียงเล็กน้อย ค่อยประคองตนอยู่ได้ ยามนี้บังเกิดความว้าวุ่นใจ ลมปราณนวภพที่สะสมอยู่ในจุดตังชั้งสูญเสียการควบคุม จึงแตกกระจายวุ่นวาย รู้สึกร่างคล้ายตกอยู่ในเตาหลอม อดร้องครวญครางออกมามิได้
จิวเตียงตวาดว่า “น้องเรา ทั้งหมดตกอยู่ในห้องความตาย ไม่ว่าผู้ใดล้วนเจ็บปวดรวดร้าวหากเป็นลูกผู้ชาย ก็อย่าได้ส่งเสียงแสดงความอ่อนแอ”
เตียบ่กี้รับคำ ใช้วิชาโคจรพลังในคัมภีร์นวภพ สงบจิตระงับใจปรับพลังลมปราณ หากเป็นยามปกติ ขอเพียงโคจรพลังตามแนววิชา จะมีจิตใจสงบดุจน้ำก้นบ่อ จิตสำนึกลอยล่องท่องไปโดยไร้จุดหมาย แต่ยามนี้ยิ่งโคจรพลังแขนขาตามร่างกายยิ่งขัดข้อง คล้ายกับตามจุดเส้นสำคัญ มีเข็มเล็กๆที่เผาไฟแดงหลายร้อยเล่มคอยทิ่มแทงใส่ ที่แท้เตียบ่กี้ฝึกปรือคัมภีร์นวภพหลายปี มาตรแม้นค้นพบความลับของยอดวิชาฝีมือ แต่ไม่ได้รับการชี้แนะจากอาจารย์เลิศล้ำ เพียงค้นคว้าด้วยตัวเอง ลมปราณนวภพที่สะสมอยู่ภายในกายยิ่งมายิ่งมาก แต่ไม่รู้จักชักนำกรุยผ่านด่านสุดท้ายไป ซึ่งความจริงแม้ไม่รู้จักชักนำก็แล้วกันไป แต่ดรรชนีเย็นแปลงของหลวงจีนอี้จิน เป็นวิชาฝีมืออันเยือกเย็นชั่วร้าย พอชำแรกเข้าสู่ร่างคล้ายจุดสายชนวนดินระเบิดขึ้น จนใจที่คนอยู่ในถุงพลังลมจักรวาล บีบรัดจนลมปราณนวภพที่ปะทุออกมาไม่มีที่ระบาย กระจายพลุ่งพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ในชั่วเวลาอันสั้นนี้ เตียบ่กี้ตกอยู่ในห้วงคับขันอันตรายที่สุดลำบากยากเย็นที่สุดของการฝึกลมปราณ ความเป็นความตายตลอดจนสำเร็จล้มเหลวขึ้นอยู่กับวินาทีนี้ จิวเตียงและพวกไหนเลยคาดคิดว่า เตียบ่กี้พานอยู่ในช่วงน้ำอัคคีเชื่อมประสาน มังกรพยัคฆ์สมานรวมกัน ยังเข้าใจว่าเตียบ่กี้หลังจากถูกดรรชนีเย็นแปลงจี้ใส่ ก่อนตายครวญครางออกมา (อ้างอิงจากหน้า477 – 478)
ในเสียงหัวร่ออันคลุ้มคลั่งของหลวงจีนอี้จิน เตียบ่กี้ขุ่นแค้นแทบคลุ้มคลั่ง ได้ยินแก้วหูลั่นอึงอล พลันสิ้นสติไปแต่แล้วฟื้นคืนสติมา ในชีวิตเตียบ่กี้ถูกหยามอัปยศนับครั้งไม่ถ้วน ล้วนชืดชาไม่นำพา แต่หวนนึกถึงลูกผู้ชายชาตรีเช่นงี่แป๋ กลับถูกเซ้งคุณทำร้ายจนบ้านช่องพินาศผู้คนล้มตาย สองตามืดบอด รอความตายบนเกาะร้างเพียงเดียวดาย ความแค้นอันยิ่งใหญ่นี้ ไหนเลยไม่ชำระล้างได้? เตียบ่กี้รู้สึกมีเพลิงโทสะพลุ่งขึ้น ลมปราณนวภพที่กระจายอยู่ภายในกายยิ่งกระจายพลุกพล่าน ลมปราณไม่สามารถถ่ายเทอากาศ ถุงพลังลมจักรวาลเบ่งพองขึ้นทีละน้อย แต่เอี้ยเซียวและพวกล้วนสดับฟังคำพูดของหลวงจีนอี้จินไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สังเกตสนใจการเปลี่ยนแปลงของถุงผ้าใบนี้ ยามนั้นเตียบ่กี้ปากคอแห้งผาก ตาลายสมองหมุน ลมปราณนวภพภายในกายเบ่งพองจนถึงขั้นแทบระเบิดออก หากแม้นถุงพลังลมจักรวาลแตกระเบิดออกก่อน คนก็จะหลุดพ้นได้ ไม่เช่นนั้นต้องไม่อาจทนทานรับพลังลมปราณอันรุนแรง ผิวหนังปริแตกแยกออก ร่างถูกเผาผลาญเป็นเถ้าถ่าน หลวงจีนอี้จินเห็นถุงผ้าประหลาดพิกล จึงสืบเท้าออกไปสองก้าว กระแทกฝ่ามือลง คราครั้งนี้ถูกถุงผ้ากระแทกสะท้อน ถอยกายไปอีกหนึ่งก้าวแต่ถุงผ้าก็ถูกพลังฝ่ามือนี้ผลักล้มลง กลิ้งไปตามพื้นดินราวลูกหนังใบมหึมา เตียบ่กี้อยู่ในถุงผ้าต้องกลิ้งตีลังกาตามรู้สึกทรวงอกอึดอัด หน้าท้องเบ่งพองขึ้น คิดระบายพลังลมปราณภายในกายออกมา แต่ในถุงผ้าอัดลมเปี่ยมล้น ต่อให้คิดระบายลมออกมาแม้แต่น้อย ยังลำบากยากเย็นยิ่ง จากนั้นหลวงจีนอี้จินต่อยออกสามหมัด เตะออกสองเท้า ล้วนถูกพลังลมภายในถุงกระแทกสะท้อนกลับมา แต่เตียบ่กี้อยู่ในถุงยังไม่รู้สึกตัว การลงมือของหลวงจีนอี้จิน ดีที่จู่โจมถูกถุงผ้า หากกระแทกถูกร่างเตียบ่กี้ ตอนนี้เตียบ่กี้มีพลังลมปราณสุมอยู่ภายในกาย ต้องกระแทกทำร้ายหลวงจีนอี้จินบาดเจ็บสาหัสแน่นอน เอี้ยเซียวและพวกทั้งเจ็ดพอเห็นสภาพอันประหลาดแปลกตานี้ล้วนแตกตื่นตะลึงลาน ถุงพลังลมจักรวาลเป็นสมบัติของหลวงจีนถุงผ้าแต่ท่านเองนึกไม่ออกว่าไฉนเบ่งพองเป็นลูกหนัง ยิ่งไม่ทราบว่าเตียบ่กี้ ในถุงผ้าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เห็นหลวงจีนอี้จีนชักมีดสั้นจากหว่างเอวเล่มหนึ่ง จ้วงแทงใส่ถุงผ้าปลายมีดพอกระทบถูก ถุงผ้าเพียงจมลง หาได้แทงทะลุไม่ถุงผ้านี้คล้ายสายใยคล้ายหนังสัตว์ เป็นสิ่งของพิสดารในแผ่นดิน มีดสั้นของหลวงจีนอี้จินไม่ใช่มีดวิเศษ ทิ่มแทงติดต่อกันหลายมีด ไม่อาจระคายถุงผ้าได้ หลวงจีนอี้จินเห็นฟาดฝ่ามือจ้วงแทงมีด ล้วนไม่ได้ผล ดังนั้นครุ่นคิด “ยังพัวพันกับเด็กน้อยนี้ทำอะไร ? ” ตวัดเท้าเตะออกโดยแรง ถุงผ้าขนาดใหญ่ก็กลิ้งหลุนๆ ไปยังประตูห้องโถงยามนี้ถุงผ้าเบ่งพองราวลูกหนังขนาดใหญ่ใบหนึ่ง พอปะทะชนกับประตูห้องโถง ก็กระดอนกลับมา พุ่งใส่หลวงจีนอี้จิน หลวงจีนอี้จินเห็นท่วงท่าสภาวะดุร้ายยิ่ง จึงยกสองมือขึ้น ผลักกระแทกใส่ถุงผ้าโดยแรง ได้ยินเสียงโครมกึกก้อง คล้ายกับอสนีบาตยามแล้ง เศษผ้าปลิวกระจายเวียนว่อน ถุงพลังลมจักรวาลถูกลมปราณนวภพของเตียบ่กี้อัดปริแตก ระเบิดเป้นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลวงจีนอี้จิน เอี้ยเซียว เจ้าค้างคาวปีกเขียวและพวกรู้สึกมีคลื่นความร้อนสายหนึ่งพวยพุ่งมากระทบร่าง จากนั้นเห็นบุรุษหนุ่มสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นผู้หนึ่งยืนหยัดอยู่กลางห้องโถง สีหน้าเปี่ยมแววมึนงงสงสัย ที่แท้พริบตานั้นเตียบ่กี้ฝึกลมปราณนวภพสำเร็จลุล่วง น้ำอัคคีเชื่อมประสาน มังกรพยัคฆ์สมานรวมกันแล้ว ควรทราบว่าในถุงผ้าอัดแน่นด้วยลมปราณ เท่ากับเป็นยอดฝีมือหลายสิบคน พากันทุ่มเทกำลังบีบเค้นจุดเส้นทั่วร่างของเขาทั้งหลายร้อยแห่ง พลังลมปราณทั้งภายในและภายนอกของเขาพลุ่งพล่านปั่นป่วน ด่าน+++งกวงบนร่างหลายสิบแห่งถูกทะลวงทลาย รู้สึกว่าตามจุดชีพจรทั่วร่าง มีปรอทเส้นสายไหลเวียนไปมา บังเกิดความปลอดโปร่งสบาย โอกาสวาสนาเช่นนี้ ไม่เคยมีผู้ใดได้รับมาก่อน ถุงวิเศษเมื่อแตกระเบิดหลังจากนี้ก็ไม่มีผู้ใดมีประสบการณ์เช่นนี้อีก (อ้างอิงจากหน้า 485 – 488 )



ประมุขหอดารา
#10   ประมุขหอดารา    [ 06-11-2007 - 22:24:39 ]

ตอน สำเร็จวิชาเคลื่อนย้ายจักวาลขั้นที่7 (ขั้นจินตนาการ) อ้างอิงจากหน้า 516 – 520

เตียบ่กี้ยิ้มเล็กน้อย รับหนังแพะมาท่องอ่านเบาๆ เห็นข้อความที่เขียนบนหนังแพะ ล้วนเป็นวิธีชักนำโคจรพลังขับเคลื่อนใช้พลัง เมื่อทดลองปฎิบัติตาม ก็กระทำได้โดยไม่ลำบากยากเย็น เห็นบนหนังแพะเขียนว่า
“เคล็ดวิชาขั้นที่หนึ่งนี้ ผู้ที่มีไหวพริบปฎิภาณจะประสบความสำเร็จภายในเจ็ดปี ชนชั้นรองลงไปจะเรียนรู้ในสิบสี่ปี”
เตียบ่กี้สงสัยใจยิ่ง ครุ่นคิดขึ้น นี่มีความยากลำบากอันใด ไยต้องใช้เวลาฝึกปรือถึงเจ็ดปี?
ถัดไปเป็นเคล็ดวิชาขั้นที่สอง เมื่อปฎิบัติตามนั้น เพียงชั่วขณะก็โคจรพลังปรุโปร่ง รู้สึกว่าในนิ้วมือทั้งสิบ คล้ายมีพลังเย็นเป็นเส้นสายพวยพุ่งออกมาเห็นตอนท้ายกำกับข้อความว่า
“เคล็ดวิชาขั้นที่สอง ผู้มีไหวพริบปฎิภาณจะประสบความสำเร็จในเจ็ดปี ชนชั้นรองลงไปจะเรียนรู้ในสิบสี่ปี หากฝึกเป็นเวลายี่สิบเอ็ดปี ไม่มีความรุดหน้า ก็ไม่อาจฝึกถึงขั้นที่สาม หาไม่ธาตุไฟเข้าแทรก ไม่สามารถช่วยเหลือได้”
เตียบ่กี้ทั้งแตกตื่นทั้งยินดีอ่านดูเคล็ดวิชาขั้นที่สามยามนี้รอยอักษรเริ่มเลือนราง เตียบ่กี้ขณะจะหยิบฉวยมีดสั้นมากรีดนิ้วมือตัวเอง เสี่ยวเจียวชิงใช้โลหิตบนนิ้วมือป้ายหนังแพะ เตียบ่กี้ท่องอ่านพลางฝึกปรือ พลางก็ฝึกเคล็ดวิชาขั้นที่สามและสี่ได้โดยรวดเร็ว เวี่ยวเจียวเห็นครึ่งซีกหน้าของเตียบ่กี้แดงราวโลหิต อีกครึ่งซีกหน้ากลับเป้นสีเขียวคล้ำ ในใจนึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่เห้นสองตาของเตียบ่กี้กระจ่างเจิดจ้า คาดว่าไม่มีอันตรายใด รอจนเตียบ่กี้ท่องอ่านเคล็ดวิชาขั้นที่ห้าฝึกต่อไปใบหน้าบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวแดง ขณะที่ใบหน้าเขียว ร่างสั่นสะท้านเล็กน้อยคล้ายพลัดตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง ขณะที่ใบหน้าแดงบนหน้าผากปรากฏหยาดเหงื่อไหลรินดุจห่าฝน เซี่ยวเจียวล้วงผ้าเช็ดหน้าเพิ่งกระทบถูกหน้าผากของอีกฝ่ายหนึ่ง พลันสะท้านที่ข้อมือร่างผงะหงายแทบล้มลง เตียบ่กี้ลุกขึ้นยืน ยกแขนเสื้อปาดเช็ดเหงื่อ ยามกะทันหันไม่ทราบสาเหตุความนัย หาล่วงรู้ไม่ว่าตัวเองฝึกเคล็ดวิชาขั้นที่ห้าสำเร็จแล้ว
ที่แท้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลนี้ แท้ที่จริงเป้นหลักการโคจรพลังใช้กำลังอย่างแยบคาย โดยหลักการแล้วเป็นการใช้พลังซ่อนภายในกายทุกผู้คน ผู้คนทั่วไปมีพลังซ่อนเร้นมหาศาล เพียงแต่ยามปกติใช้ไม่ออกแต่เมื่อถึงคราคับขัน เช่น เกิดอัคคีภัย คนอ่อนแอที่ไม่มีเรี่ยวแรงฆ่าไก่ มักสามารถยกวัตถุหนักพันชั่งได้
หลังจากที่เตียบ่กี้ฝึกปรือลมปราณนวภพสำเร็จ พลังที่สะสมอยู่ภายในกาย ไม่มีผู้ใดในโลกหล้าเทียบเทียมได้เพียงแต่เตียบ่กี้ไม่ได้รับการชี้แนะจากยอดคนไม่อาจใช้ออกมา ยามนี้พอร่ำเรียนเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลพลังซ่อนเร้นภายในกายจึงท่วมทะลักดุจน้ำป่า ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้ เคล็ดวิชานี้ที่ยากฝึกปรือสำเร็จ เป็นเพราะหากไม่ระวัง จะถูกธาตุไฟเข้าแทรก เนื่องด้วยเคล็ดโคจรพลังซับซ้อนยิ่ง ผู้ฝึกปรือกลับปราศจากพลังการฝึกปรืออันลึกล้ำหนุนเสริม เฉกเช่นเดียวกับเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบผู้หนึ่งควงค้อนใหญ่หนักร้อยชั่ง เพลงค้อนยิ่งลึกซึ้งแยบคายยิ่งทำร้ายตัวเองศีรษะแตกโลหิตหลั่งไหล แต่หากผุ้ที่ควงค้อนเป็นผู้ทรงพลังคนหนึ่ง ก็จะใช้ได้อย่างคล่องแคล่วที่แล้วมาผู้ที่ฝึกปรือเคล็ดวิชานี้มีกำลังภายในจำกัด เมื่อฝืนใจฝึกปรือก็ไม่มีพลังสนับสนุนเพียงพอ ครั้งกระโน้นประมุขนิกายเม้งก่าทุกรุ่นเข้าใจสาเหตุความนัยนี้แต่เมื่อเป็นก่าจู้ย่อมมีความมานะเด็ดเดี่ยว ไม่ยอมรับความล้มเหลว ขอเพียงเป็นยอดฝีมือล้วนเชื่อมั่นในหลักการ “ภายใต้ความตั้งใจ สามารถกรุยศิลาทองคำ” ดังนั้นตั้งใจฝึกปรืออย่างจดจ่อ หาทราบไม่ว่าบางครั้งผู้คนมีขีดความสามารถจำกัดเมื่อคิดพิชิตฟ้าเหนือลิขิต มักพกพาความคับแค้นลงสู่ปรภพ เตียบ่กี้ที่สามารถเรียนรู้ภายในเวลาครึ่งวัน ในขณะที่ผู้ที่เฉลียวฉลาดหลักแหลมกว่า มีความสำเร็จเหนือล้ำกว่าเขาจำนวนมาก ทุ่มเทความเพียรพยายามหลายสิบปียังฝึกปรือไม่สำเร็จ เพียงมีข้อแตกต่างอยู่ที่ฝ่ายหนึ่งกำลังภายในเกินพอ อีกฝ่านหนึ่งมีกำลังภายในไม่เพียงพอ เตียบ่กี้สามารถฝึกปรือถึงขั้นที่ห้ารู้สึกว่าควบคุมบังคับพลังลมปราณทั่วร่างได้ตามใจปรารถนา คิดปล่อยออกก็ปล่อยออก คิดรั้งเข้าก็รั้งเข้า ทุกประการเป็นไปตามความต้องการ แขนขาทั่วสรรพางค์กาย ปลอดโปร่งสบายอย่างบอกไม่ถูก ยามนี้กลับลืมเลือนผลักเปิดประตูศิลา ฝึกปรือเคล็ดวิชาขั้นที่หกต่อไปหนึ่งชั่วยามให้หลังก็ฝึกถึงขั้นที่เจ็ด เคล็ดวิชาขั้นที่เจ็ดนี้ มีความลึกล้ำกว่าขั้นที่หกหลายเท่า ยามกะทันหันยากเข้าใจแจ่มแจ้ง ดีที่เตียบ่กี้เรียนรู้หลักการแพทย์แนวทางชีพจร เมื่อเกิดปัญหายุ่งยาก ก็นำมาเทียบเคียงกับหลักการแพทย์จะทะลุปรุโปร่งในบัดดล เตียบ่กี้ฝึกปรือถึงครึ่งทางพลันรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน หัวใจเต้นถี่เร็วกว่าเดิม ดังนั้นระงับสติ เริ่มต้นกันใหม่ ยังคงเป้นเช่นนี้ นับตั้งแต่ฝึกปรือเคล็ดวิชาขั้นที่หนึ่งเป็นต้นมาไม่เคยประสบสภาพเช่นนี้มาก่อน เตียบ่กี้พอกระโดดข้ามข้อความ ฝึกปรือต่อไปรู้สึกสะดวกราบรื่นแต่ผ่านไปหลายประโยค ก็ประสบขวากหนามอีก หลังจากนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคข้อขัดข้องฝึกปรือถึงท้ายบท มีข้อความสิบเก้าประโยคที่ฝึกไม่สำเร็จ เตียบ่กี้ขบคิดชั่วขณะ จึงจัดวางหนังแพะผืนนั้นลงบนก้อนหิน หมอบกราบกรานอย่างนอบน้อม โขกศีรษะหลายครั้งครา อธิษฐานว่า
“ศิษย์เตียบ่กี้ บังเอิญเรียนรู้เคล็ดวิชานิกายเม้งก่า จุดประสงค์เพื่อดิ้นรนเอาตัวรอด หามีเจตนาล้วงลึกถึงคัมภีร์วิชาฝีมือของนิกายท่าน หลังจากที่ศิษย์รอดพ้นจากห้วงอันตรายจะใช้เคล็ดวิชานี้รับใช้นิกายท่าน มิกล้าลืมเลือนพระคุณที่ก่าจู้รุ่นต่างๆทำการปลูกฝังช่วยชีวิต”
หาคาดไม่ว่าการที่เตียบ่กี้ยุติในระดับอันควรไม่ขุดคุ้ยถึงที่สุด กลับพ้องกับหลักการ “รู้จักพอเพียง” ที่แท้ครั้งกระโน้นยอดคนที่บัญญัติคิดค้นเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลแม้มีกำลังภายในกล้าแข็ง แต่ยังไม่บรรลุถึงขั้งลมปราณจักรวาลเพียงฝึกถึงขั้นที่หก ที่เขียนเคล็ดวิชาขั้นที่เจ็ด ตัวเองไม่สามารถฝึกปรือ เพียงบัญญัติขึ้นตามจินตนาการความคิด มุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม เตียบ่กี้ที่ฝึกเคล็ดข้อความทั้งสิบเก้าประโยคไม่สำเร็จ เป็นยอดคนท่านนั้นนึกคิดผิดพลาด คล้ายใช่คล้ายไม่ใช่ หากแม้นเตียบ่กี้คิดฝึกปรือให้จงได้เมื่อถึงตอนท้ายต้องถูกธาตุไฟเข้าแทรก หากมิใช่กลับกลายเป็นคลุ้มคลั่งปัญญาอ่อน ตลอดทั่วร่างจะง่อยเปลี้ยพิการ ถึงกับสะบั้นชีพจรตัวเองเสียชีวิต (อ้างอิงจากหน้า 516 – 520 )



ยาจกอุดร
#11   ยาจกอุดร    [ 06-11-2007 - 22:24:43 ]


กล่าวได้ดีมากไม่ผิดเลยเเม้เเต่น้อย



ประมุขหอดารา
#12   ประมุขหอดารา    [ 06-11-2007 - 22:25:54 ]

หลังจากนั้นเสร็จศึกกับ6สำนักใหญ่ก็ไปได้วิชาหมัดไทเก๊กและกระบี่ไทเก๊กและพักอยู่บนเขาบู๊ตึ๊งเป็นเวลา2เดือน โดยมีเตียซำฮงเป็นผู้ชี้แนะแรวทางในการนำพลังวิชาต่างๆหลอมรวมกันแล้วนำออกมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากนั้นส่วนใหญ่วิชาที่เตียบ่กี้ใช้ ก็จะเป็นวิชาไทเก๊กผสมกับลมปราณนวภพและพลังเคลื่อนย้ายจักรวาล



ประมุขหอดารา
#13   ประมุขหอดารา    [ 06-11-2007 - 22:36:13 ]

โดยหลังจากนี้ที่เกาะงูศักดิสิทธิ์ เตียบ่กี้ ยังไปได้วิชา เคลื่อยย้ายจักรวาล แบบย้อนทวน ซ้ายจริงขวาลวง จากป้ายประกาศิตทั้ง6 อีก โดยป้ายประกาศิตอัคคีทั้งหมดมี12อัน โดย 6 อันแรกจารึกเคล็ดวิชาไว้ ส่วน6อันหลังจารึกกฎระเบียบต่างๆของพรรคเม้งก่า

ซึ่งในตอนท้ายสุดเสี่ยวเจียวซึ่งดำรงตำแหน่งประมุขเม้งก่าสาขาเปอร์เซีย ได้ฝาก ฑูตของพรรคนำประกาศิตอัคคีอีก6อันหลังมาส่งคืนให้กับเตียบ่กี้ พร้อมๆกับเสื้อในของผู้ชายที่นางเฝ้าอุตส่าห์ตัดเย็บให้เตียบ่กี้ตั้งแต่ตอนยังเป็นสาวใช้ของเตียบ่กี้ ซึ่งประกาศิตอัคคีทั้ง6อันหลังนี้ทำให้เตียบ่กี้ ไม่ต้องรับตำแหน่งฮ่องเต้ หลังจากขับไล่มองโกล สำเร็จแล้ว โดยชอบธรรม เพราะมีกฎข้อนึงในประกาศิตอัคคีกล่าวไว้ว่า คนของพรรคเม้งก่าห้ามรับตำแหน่งและยศถาบรรดาศักดิใดๆในราชสำนักไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม




ประมุขหอดารา
#14   ประมุขหอดารา    [ 06-11-2007 - 22:37:16 ]

ยุทธภพคาดว่าจะสงบแล้วครับ คุณสวย



ยาจกอุดร
#15   ยาจกอุดร    [ 06-11-2007 - 22:39:13 ]


อยากถามอะไรหน่อยนะครับ ใคร คือเจ้ายุทธภพครับ



ประมุขหอดารา
#16   ประมุขหอดารา    [ 06-11-2007 - 22:41:48 ]

เจ้ายุทธภพ ในตอนนั้น คงเป็นประมุขเม้งก่า น่ะแหละ เพราะถ้าเกิด เอาเข้าจริงๆแล้วถ้าเกิดขับไล่มองโกลสำเร็จแล้ว ฮ่องเต้ จริงๆแล้ว ต้องเป็นเตียบ่กี้ แต่เตียบ่กี้ไม่ต้องการ



ประมุขหอดารา
#17   ประมุขหอดารา    [ 06-11-2007 - 22:43:12 ]

ส่วนในความเห็นที่3ที่ท่านยาจกอุดรถามมา มีข้อความอยุ่ข้อความนึงในนวนิยายระบุไว้ดังนี้

ควรทราบว่าวิชากำลังภายในทั้งแผ่นดิน ไม่มีใดเกินลมปราณนวภพ นอกจากนั้นหลักการใช้วิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลก็เป็นความสำเร็จอีกประการหนึ่งเมื่อเรียนรู้วิธีหนึ่ง ก็เข้าใจปรุโปร่งสรรพวิธีไม่มีวิชาฝีมือใดที่เป็นความยากลำบากสำหรับเขาอีก

( อ้างอิงจากหน้า542 ) ไตรภาคมังกรหยกชุดที่3 ดาบมังกรหยก เล่ม2 ฉบับปรับปรุงล่าสุด กิมย้ง ประพันธ์ น.นพรัตน์ เรียบเรียง



ยาจกอุดร
#18   ยาจกอุดร    [ 06-11-2007 - 22:44:16 ]


มันก็ถูกนะครับ ขอบคุนครับ



สวย
#19   สวย    [ 06-11-2007 - 22:45:24 ]

เดี๊ยนอยากให้เตียบ่กี้เป็นฮ่องเต้ แต่คนที่จะโดนหนักคือหมิ่นหมิ่นเพราะชีเป็นมองโกล



ประมุขหอดารา
#20   ประมุขหอดารา    [ 06-11-2007 - 22:46:16 ]

ผมขอเอาข้อความในนวนิยายบางส่วนตอนการต่อสู่ระหว่างเตียบ่กี้ กับ3 หลวงจีนชราเส้าหลิน
ผมมาลงให้อ่านกัน

เป็นข้อความบางส่วนจาก ไตรภาคมังกรหยกชุดที่3 ดาบมังกรหยก เล่ม4 ฉบับปรับปรุงล่าสุด กิมย้ง ประพันธ์ น.นพรัตน์ เรียบเรียง

เตียบ่กี้ตื่นตระหนกยิ่ง ครุ่นคิดขึ้น
"ที่แท้หลวงจีนทั้งสามผนึกกำลัง คล้ายร่างเดียวกัน ในแผ่นดินมีบุคคลสามารถเชื่อมโยงกระแสจิตเข้าด้วยกันจริงๆ"
หาทราบไม่ว่าหลวงจีนชรา โต่วแอะ โต่วเกียบ โต่วลั้ง นั่งบำเพ็ญภาวนาสามสิบกว่าปี ความสำเร็จที่ได้รับคือ ซิมอี่เซียงทง (กระแสจิตเชื่อมสัมพันธ์) คนหนึ่งบังเกิดความคิด อีกสองคนล้วนรับรู้ ปฏิกิริยาทางจิตใจเช่นนี้ กล่าวไปเร้นลับพิสดาร แต่บุคคลสามคนอยู่ร่วมกันเป็นเวลาสามสิบกว่าปี ตั้งใจบำเพ็ญจิตถ่ายทอดถึงกัน รวมจิตสำนึกเป็นร่างเดียวกัน หาใช่เรื่องประหลาดไม่ (อ้างอิงจากเล่ม4หน้า 322)

หลวงจีนชราโต่วแอะกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า
"เตียก่าจู้มิต้องถ่อมตนไป หากนิกายท่านมีผู้ที่มีฝีมือคู่คี่ก้ำกึ้งกับก่าจู้ขอเพียงท่านทั้งสองผนึกกำลัง จะฆ่าพวกเราสามได้ แต่หากแม้นอาตมาคาดเดาไม่ผิด ทอดตาทั่วแผ่นดิน ไม่มีบุคคลที่มีระดับฝีมือเช่นก่าจู้เป็นคนที่สองอีกอย่างนั้นยังคงจัดผู้คนให้มากกว่านี้ บุกเข้ามาโดยพร้อมเพรียง"(อ้างอิงจากเล่ม4หน้า 346)

เตียบ่กี้พอลงมืออย่างสุดกำลัง หลวงจีนชราทั้งสามรู้สึกว่า พลังกดดันบนเชือกเพิ่มพูนทีละน้อย คุกคามจนต่างต้องโคจรพลังต้านทาน บ่วงวชิระกำราบมารของหลวงจีนชราทั้งสามต้องบรรลุถึงความหมายสูงสุดของ วชิรปรัชญาปารมิตาสูตร ที่ว่า "ไร้อาตมลักษณ์ ไร้ปุคลลักษณ์ ไร้สัตวลักษณ์ ไร้ชีวลักษณ์" เห็นการแบ่งเขาแบ่งเรา แยกความเป็นความตายเป็นความเลื่อนลอยว่างเปล่า (อ้างอิงจากเล่ม4หน้า454)

เหล่าผู้กล้าที่ชมดูอยู่ด้านข้าง เห็นเตียบ่กี้เปลี่ยนแปลงกระบวนท่าวิชาฝีมือการต่อสู้บนพื้นที่ระหว่างต้นสนทั้งสามต้นยิ่งมายิ่งรุนแรง เบื้องบนศีรษะหลวงจีนชราทั้งสาม ปรากฏไอน้ำเจือจางกลุ่มหนึ่งขึ้นทีละน้อย ทราบว่าหยาดเหงื่อบนศีรษะและหน้าผาก ถูกกำลังภายในเร่งเร้ากลายเป็นไอ แสดงว่าบุคคลทั้งห้าต่างทุ่มเทกำลังภายในเข้าหักหาญกันแล้ว
เบื้องบนศีรษะเตียบ่กี้ก็ปรากฏไอน้ำขึ้น แต่เป็นเส้นตรงทั้งเรียวทั้งยาวรวมตัวไม่กระจายแสดงว่าเขามีพลังฝึกปรือลึกล้ำกว่าหลวงจีนชราทั้งสามอีก เมื่อวานเหล่าผู้กล้าเห็นเตียบ่กี้รับบาดเจ็บสาหัส มิคาดเพียงค่ำคืนเดียวเตียบ่กี้ก็ทุเลาหายสิ้น ความลึกล้ำของวิชาฝึกปรือเป็นที่น่าตระหนกจริงๆ
จิวจี้เยียกกลับไม่ปะทะหักหาญกับหลวงจีนชราทั้งสามโดยตรง เพียงสู้วนอยู่รอบนอก พอพบเห็นบ่วงวชิระกำราบมารปรากฏช่องโหว่ก็กระโดดเข้าไปพอเผชิญเชือกสีดำขัดขวาง ก็พลิกตัวพุ่งถอยไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของพลังการฝึกปรือระหว่างเตียบ่กี้กับนางก็ปรากฏชัดแจ้ง ในเหล่าผู้กล้ามีผู้คนไม่น้อยซุบซิบหารือว่า
"ระหว่างนี้ยุทธจักรร่ำลือว่า เตียก่าจู้นิกายเม้งก่ามีพลังการฝึกปรือกล้าแข็งสุดยอด นับว่าสมดังคำร่ำลือจริงๆ เมื่อวานเขาจงใจอ่อนข้อให้แก่ซ่งฮูหยินนี่เรียกว่าบุรษเข้มแข็งไม่ต่อสู้กับสตรี"(อ้างอิงจากเล่ม4หน้า455)
ยามนี้เตียบ่กี้กับหลวงจีนชราทั้งสาม พากันใช้ฝีมือแท้จริงเข้าหาญหักไม่อาจพลิกแพลงฉาบฉวยแม้แต่น้อย นางกลับสอดมือเข้าไปไม่ได้ บางครั้งขยับแส้อ่อน สะอึกเข้าจู่โจม พอกระทบถูกกำลังภายในของคนทั้งสี่ก็ถูกกระแทกกระดอนออกมา
หักหาญกันอีกครึ่งชั่วยาม ลมปราณนวภพภายในกายเตียบ่กี้เร่งโคจรหมุนเวียน บนประกาศิตอัคคีศักดิ์สิทธิ์บังเกิดเสียงฉี่ฉี่ สีหน้าของหลวงจีนชราทั้งสามความจริงผิดแผกแตกต่าง ยามนี้กลับแดงราวโลหิต จีวรที่ครองร่างเบ่งพองขึ้น คล้ายอัดพลังเปี่ยมล้น แต่เสื้อผ้าของเตียบ่กี้ไม่มีสภาพผิดปกติ ลักษณะเช่นนี้เท่ากับตัดสินความเหลื่อมล้ำต่ำสูง หากแม้นเตียบ่กี้ต่อสู้ตัวต่อตัว หรือระหว่างสองต่อหนึ่ง คงพิชิตชัยแต่แรก ลมปราณนวภพของเขาความจริงลึกล้ำแกร่งกร้าว บวกกับได้รับการชี้แนะจากเตียซำฮง เรียนรู้วิธีโคจรพลังของเพลงหมัดไทเก๊ก ดังนั้นยิ่งต่อสู้ยิ่งเข้มแข็ง สามารถยืนหยัดอีกหนึ่งถึงสองชั่วยามจวบกระทั่งฝ่ายตรงข้ามอ่อนล้าสิ้นเรี่ยวแรง (อ้างอิงจากเล่ม4หน้า455 - 456)



ตอบกระทู้
ชื่อ
รหัส กรอกตัวอักษร ตามภาพ
ข้อความ


emo-smile emo-happy emo-lol emo-enjoy emo-kiku emo-cool emo-hoho emo-drool emo-hungry emo-kiss emo-sorry emo-sad emo-cry emo-tear emo-question emo-doubt emo-shock emo-redface emo-plz emo-peevish emo-angry emo-moody emo-sneer emo-makefaces emo-good emo-touched emo-love emo-bore emo-tired emo-vomit
bold italic underline img link superscript subscript size color space justifyleft justifycenter justifyright quote box youtube