ทดสอบเเฟนพันเเท้เกี่ยวกับดาบมังกรหยก
  | 
| mintpooh | |
    | 
1.คัยเปนคนก่อตั้งบู๊ตึง2.คัยเปนอาจารของเตียซำฮง3.เตียซำฮงกับ่อดกี้เคยไปยืนหน้าวัดเส้าหลินอยากรุว่าปัยทามมาย4.เตียบ่อกี้เคยโดนฝ่ามืออารายตอนเปนเด็ก5.ตอน6.สำนักไหญ่บุกเขากวงเม้ง(พรรคเม้งก่า)เตียบ่อกี้ยอมรับฝ่ามือมิกจ๊อซื้อไท้กี่ฝ่ามือ       | 
| ประจิมคลุ้มคลั่ง | 
 #2   ประจิมคลุ้มคลั่ง     [ 20-07-2007 - 15:48:15 ]   | 
| 
   | 
ลองตอบดู     1. เตียซำฮง 2. กั๊กเอี้ยงใต้ซือ 3. ไปขอคัมภีร์เก้าเอี้ยงเพื่อรักษาเตียบ่อกี้(มั้ง) 4. ฝ่ามือภูติเร้นลับ 5. 3 ฝ่ามือ เปงคำตอบสุดท้าย     | 
| ประจิมคลุ้มคลั่ง | 
 #4   ประจิมคลุ้มคลั่ง     [ 20-07-2007 - 15:52:18 ]   | 
| 
   | 
ดูมันง่ายๆอย่างไงไม่รู้            | 
| ชุนเฮง | |
    | 
ข้อ3 เพราะเตียซำฮงไปขอคำภีร์ล้างไขกระดูกไม่ใช่หรอคับ      | 
| vมังกรหลับv | 
 #6   vมังกรหลับv     [ 20-07-2007 - 20:29:42 ]   | 
| 
   | 
ง่ายไปคับ       | 
| จิงจิงนะจะบอกให้ | |
    | 
แล้ว วิชาไทเก็ก ในสมัยนี้กับสมัยก่อนต่างกันยังไงคับ     และก็ปรมจารย์เตียซำฮงถึงแก่กรรม ตอนไหนคับ  | 
| ประจิมคลุ้มคลั่ง | 
 #8   ประจิมคลุ้มคลั่ง     [ 20-07-2007 - 21:26:51 ]   | 
| 
   | 
ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ หลักการเดียวกันคือใช้อ่อนสยบแข็ง  ในสมัยนี้คนส่วนใหญ่ฝึกไทเก็กเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ฝึกสมาธิ ฝึกการหายใจ เหมือนๆโยคะ ประมาณนั้น       ส่วนปรมาจารย์เตียซำฮงถึงแก่กรรมเมื่อไหร่ไม่มีบรรทึกไว้ แต่เป็นบุคคลที่มีอยู่จริงที่มีอายุกว่า 200 ปีครับ  | 
| vมังกรหลับv | 
 #9   vมังกรหลับv     [ 20-07-2007 - 21:29:12 ]   | 
| 
   | 
เป็นบุคคลที่มีอยู่จริงนั่นใช่คับ   แต่ผมคิดว่ามีอายุประมาณ 200 ปีนั่นคงไม่ใช่คับ  คงเป็นตำนานหรือเรื่องเล่ามากกว่านะ       | 
| ประจิมคลุ้มคลั่ง | 
 #10   ประจิมคลุ้มคลั่ง     [ 20-07-2007 - 22:31:42 ]   | 
| 
   | 
คิดว่าอยู่ถึงเป็นเรื่องจริงครับ เพราะเตียซำฮงเกิดเมื่อวันที่  9 เมษายน ค.ศ. 1247 ในสมัยปลายราชวงศ์ซ้อง  มีชื่อเสียงในราชวงศ์หยวนและอยู่ถึงราชวงศ์หมิง และหายหน้าไปจากหน้าประวัติศาสตร์จีนหลังปี     ค.ศ.1459 ก็น่าจะเลย 200 แล้วหลังนับดู แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่คนสมัยนี้ทำไม่ได้เป็นสิ่งที่คนในคนสมัยก่อนทำได้ และมีให้เห็นอย่างเด่นชัด  | 
| vมังกรหลับv | 
 #11   vมังกรหลับv     [ 20-07-2007 - 23:06:51 ]   | 
| 
   | 
จะเป็นไปได้หรือ  ถ้าเป็นไปได้ทำไมไม่มีบันทึกไว้ใน กิเนสบุ๊ค งะ       | 
| จิงจิงนะจะบอกให้ | |
    | 
ถ้าจะลงกิเนสบุ๊คเขาต้องมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากกว่านี้มั้งคับ       | 
| ชุนเฮง | |
    | 
ถามหน่อยคับว่า ตอนนี้พ่อของบ่กี้จะไปกับราชสีขนทองได้สลักตัวหนังสือไว้ที่หน้าผา มันเป็นคำว่าไรอะคับ       | 
| omega | |
    | 
เทิดทูนทั่วหล้า ดาบฆ่ามังกร อิงฟ้าไม่มา ใครหาญกล้าต่อกร <-----รึปล่าวเอ่ย          | 
| จำไจหล่อ | |
    | 
ซินเจียยู่อี่ ซินนี่ฮวดไช้ คับเชื่อผม       | 
| omegakun | |
    | 
แหมมม... ซะงั้นนะครับ คุณ จำใจหล่อ "เทิดทูนทั่วหล้า ดาบฆ่ามังกร อิงฟ้าไม่มา ใครหาญกล้าต่อกร " เตียชุ่ยซัวเขียนโดยใช้วิชาที่เตียซำฮงคิด       โดยเตียซำฮงคิดได้ตอนกลุ้มเรื่องศิษย์คนที่ 3 โดนทำร้ายเพราะดาบฆ่ามังกร เลยคิดถึงประโยค"เทิดทูนทั่วหล้า ดาบฆ่ามังกร อิงฟ้าไม่มา ใครหาญกล้าต่อกร " แล้ววาดมือเขียนอักษรในอากาศจนกลายมาเป็นวิทยายุทธชุดนี้ครับ  | 
| ป๊อป | |
    | 
การก่อกำเนิดศิลปะมวยไทเก็กนั้น มีมากมายหลายทฤษฎีด้วยกัน แต่หลักฐานที่เชื่อถือและแพร่หลายมากที่สุดนั้นกล่าวกันว่า บรมครู จางซานฟง เป็นผู้วางรากฐานเพื่อบริหารร่างกายและมีผลกุศโลบายเกื้อกูลต่อการสร้างพลังจิต และสมาธิของท่าน เพราะท่านเป็นนักแสวงบุญในลัทธิเต๋า บำเพ็ญแสวงสัจธรรม อยู่กลางป่าเขา ในรัชสมัยแห่งราชวงศ์ หยวน (ค.ศ. 1279-1305)     บรมครู จาง ซาน ฟง ได้คอยเฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ของธรรมชาติค้นพบหลักแห่งการอ่อนตามอันเป็นหลักใหญ่ของมวยไท้เก็กนี้ ซึ่งนับเป็นการค้นพบความจริงของปรากฏการณ์ธรรมชาติ บรมครู จาง ซาน ฟง ประยุกต์การเคลื่อนไหวของร่างกายเพื่อยังประโยชน์ทั้งร่างกายและจิตใจ “ศิลปะไท้เก็ก” จึงเป็นศิลปะที่กล่าวขวัญถึงกันในฐานะเป็นศิลปะที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก “บุรุษผู้แสวงหาสัจธรรม” บรมครู จาง ซาน ฟง มาจากตระกูล เตีย จิน หยิน ในเมือง อี่จิว จังหวัด เลียงตัง ฉายาทางลัทธิเต๋า เรียกว่า ซาฮ่ง เป็นผู้มีร่างสูงใหญ่ สูง 7 ฟุต ท่าทีสง่างามเป็นผู้มีประกายแห่งความการุณย์ซุกซ่อนไว้ในดวงตา ชอบตกแต่งหนวดเคราทำผมเป็นมวยไว้กลางศีรษะ ชอบถือแส้ปัดฝุ่น สามารถเดินทางด้วยเท้าวันละ 1,000 ลี้ โดยไม่มีอาการเพลียให้ปรากฏ ปัจจัยในการดำรงชีพ เพียงหมวกก้วยเล้ยใบเดียวตามแบบฉบับของผู้บำเพ็ญพรตภาวนา ในสมัยของไท้โจ่ว แห่งราชวงศ์เหม็ง ปี ค.ศ. 1369 ท่านเดินทางไปปลูกอาศรมด้วยตัวเอง ณ ภูเขาไท้ฮ้งซัว แห่งเมืองเสฉวน เพื่อเป็นอาศรมในการจำศีลภาวนา ต่อมาได้เดินทางต่อไป ในที่สุดก็พำนักรักษาศีล บำเพ็ญพรตอยู่ที่ภูเขาวูตังซัน จังหวัดเหอเป่ย ณ ที่นี้ท่านมีโอกาสสนทนาและเปิดเผยสัจจะ ตามลัทธิเต๋าแก่ชาวบ้าน จึงได้รู้จักวิสาสะกับชาวบ้านอย่างดี เช้าวันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังสวดสาธยายพระคัมภีร์ ภายในอาศรมเกิดได้ยินเสียงนกดุเหว่า หางยาว แผดร้องด้วยน้ำเสียงประหลาด เมื่อบรมครู จาง ซาน ฟง ลุกขึ้นมองออกไปทางหน้าต่าง ก็ได้พบเห็นการต่อสู้ระหว่างนกดุเหว่ากับงู นกเกาะอยู่บนกิ่งสนแสดงอาการดุดันเกรี้ยวกราด ดุจพญาเหยี่ยวผู้หิวโหยจ้องมองหาเหยื่อ ก้มตัวลงมา เพ่งสายตาไปยังงูซึ่งกำลังขดเป็นวงกลมอยู่บนพื้นดิน และจ้องไปยังนกดุเหว่าเช่นเดียวกัน ฉับพลันนกก็ส่งเสียงแผดร้องพร้อมกับโฉบลงตีปีกไปยังงู แต่งูสามารถหลบหลีกด้วยลักษณะสุขุมโดยส่ายหัวกลับไปกลับมา เป็นการหลบฉากอย่างนุ่มนวล ทำให้การโฉบทำร้ายของนกไร้ผล หลายคราวที่นกดุเหว่าโฉบกลับมาโจมตีงู ซึ่งตั้งรับด้วยความมั่นคง และรักษาตำแหน่งการเคลื่อนไหวเป็นวงกลม เคลื่อนไหวเฉพาะส่วนบน ต่างทำร้ายกันไม่ได้ บรมครู จาง ซาน ฟง สนใจการหลบหลีกอ่อนตามและการเคลื่อนไหวเป็นวงกลมของงู จึงเดินออกจากอาศรมเพื่อจะดูระยะใกล้แต่พอไปถึงสัตว์ทั้งสองก็หลบหนีหายกันไปแล้ว บรมครู จาง ซาน ฟง ได้อาศัยหลักการต่อสู้ของงู ที่เคลื่อนตีวงกลม ผสมกับพลังที่แฝงมาในความนุ่มนวล แต่ปราดเปรียว รวมทั้งหลักของหยิน หยาง ในเรื่องของความแตกต่างระหว่างสองสิ่ง เช่น ดำ – ขาว แข็ง – อ่อน เป็นต้น รวมเข้าเป็นหลักการของไท้เก็กยังผลให้เกิดประโยชน์ยิ่งในการฝึกพลังสมาธิให้มั่นคง ทั้งควบคุมการหายใจให้สม่ำเสมอ เน้นไปในทางต่อเนื่องเปลี่ยนแปลง คือ ความเคลื่อนไหวหยุดนิ่ง เพิ่มและลดความเป็นกฎแห่งอนิจจัง บรมครู จาง ซาน ฟง ได้ริเริ่มเพิ่มพลังกายและสมาธิด้วยกระแสการเคลื่อนของร่างกาย ยิ่งผ่านกาลวันอันยาวนาน ไท้เก๊ก ก็ยิ่งได้รับการปรับปรุง ให้เกิดคุณประโยชน์แก่ผู้ฝึกฝนมากขึ้นโดยลำดับ ไท้เก๊ก ได้สืบทอดต่อกันมาเรื่อย ต่อมาได้แตกแยกออกเป็น 2 แบบ คือ แบบใหม่ และเก่า ซึ่งได้ดัดแปลง ไปตามความนิยม แต่ยังคงเป็นมวยอ่อนอยู่ เฉินจางสิงเป็นผู้เผยแพร่แบบเก่า เฉินปูเยิ่นเป็นผู้เผยแพร่แบบใหม่ ทั้งเก่าและใหม่มีการเผยแพร่ กว้างขวางมากขึ้น ครั้งหนึ่ง เฉิน จาง สิง ได้รับเชื้อเชิญจากหมอขายยาที่มีชื่อไปสอนศิลปะมวยไท้เก๊กนี้แก่ลูกชายของตนเอง ระหว่างที่เฉิน จางสิง ถ่ายทอดศิลปะไท้เก๊กนี้ หยังหลู่ เจิน ซึ่งเป็นลูกจ้างคนหนึ่งของหมอขายยานั้น ได้สนใจและแอบดูการสอน แล้วปฏิบัติตาม จนเกิดความชำนาญเป็นพิเศษ เฉิน จาง สิง จึงรับไว้เป็นลูกศิษย์คนสำคัญหยังหลู่เจินได้ทำลายประเพณีการถ่ายทอดศิลปะเพียงภายในตระกูลเท่านั้น โดยการนำไปสอนแก่บุคคลภายนอก เขาได้ไปฝึกสอนที่ปักกิ่งจนมีชื่อเสียงมาก มีเรื่องเล่าถึงความมหัศจรรย์ในตัวเขามากมาย เช่นครั้งหนึ่งนักมวยหนุ่มคนหนึ่ง ชกเข้าที่ท้องของหยัง หลู่ เจิน หยัง หลู่ เจินระบายลมหายใจออกพร้อมกับหัวเราะ ทำให้นักมวยหนุ่มคนนั้นกระเด็นไปไกล 30 ฟุต หยังหลู่ เจิน ได้ถ่ายทอดศิลปะมวยไทเก็กให้กับองครักษ์ของจักรพรรดิ ทำให้ไท้เก็ก ได้แพร่กระจายออกไปอีกก้าวหนึ่ง หยัง หลู่ เจิน ได้ถ่ายทอดศิลปะมวยไท้เก๊กนี้ให้แก่ลูกชายทั้งสองของตน คือ เจียนโหว และปันโหว จากนั้นจึงเผยแพร่อย่างกว้างขวางโดยท่านหยังเฉิงฝู่ บุตรชายของ หยังเจี้ยนโหว ปัจจุบันนี้ศิลปะมวยไท้เก็กได้แพร่กระจายไปทั่วโลกแล้ว  | 
| จอมยุทธ์มังกรน้อย | 
 #18   จอมยุทธ์มังกรน้อย     [ 24-07-2007 - 12:38:28 ]   | 
| 
   | 
1. จางซานฟง     2. กักเอี้ยงไตซือ 3.ไปพอเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินเพื่อให้เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินใช้พลังวเก้าเอี้ยงขับพิษเย็นใจให้ แต่หารู้ไม่ว่าเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินไม่มีวิชาเก้งเอี้ง อิอิ   3.ฝ่ามือยมโลก หรือฝ่ามือภูติเล้นลับ โดนทีหนาวสั่นไปทั้งร่างกาย 4.รับไป 3 ฝ่ามือ ฝ่ามือแรก เลือดออกจากปากเล็กน้อย ฝ่ามือที่สอง กระเด็นถอยหลังลงไปนั่งกะอะเลือดออกมา จากนั้นก็นั่งโคจรพลังวิชาเก้าเอี้ยงรักษาอาการบาดเจ็บจนหาย ฝ่ามือที่สาม เตียบอกี้สามารถรับพลังได้โดยตนเองไม่กระเด็น และยังสะท้อนพลังกลับไป จนมิกจ้อซือไท้ ถอยหลังออกไป 5. วิชาไทเก็กสมัยก่อนกับสมัยใหม่ ตแกต่างกันที่ สมัยก่อนใช้ในการต่อสู้ เป็นสะส่วนใหญ่ แต่สมันนี้ ได้ดัดแปลงไปมาก จนเป็นเพลงมวยเพื่อการออกกําลังกายให้แข็งแรง ส่วนความรู้อื่นๆ ท่านป็อปก็ได้บอกไปแล้ว     | 
| จิงจิงนะจะบอกให้ | |
    | 
ไม่มีใคนรู้เลยหรอคับว่า ปรมจารย์เตียซำฮง ถึงแก่กรรมตอนไหน อยากรู้อะ          | 
  | 



  
  
  
  
  