ลักษณะหญิง
ตอนที่พี่ไผ่-ไม้หนึ่ง ก. กุนที กวีหนุ่มโพสต์โมเดิร์นยังพำนักร่วมเมืองเดียวกัน หลังจากภารกิจขายข้าวหน้าเป็ดในมหาวิทยาลัยเสร็จสิ้นแล้ว เขามักจะแวะมาเป็นแขกประจำของกระท่อมป่าตะไคร้ซึ่งอยู่ทางด้านเหนือของเมือง
แม้จะขับรถปิคอัพอีซูซุดราก้อนเพาเวอร์ แต่เขามักจะมาอย่างแผ่วเบา และส่งสัญญาณด้วยการร้องเพลงจากหนังเรื่องแดร็กคูล่าเมื่อมาถึงหน้าประตูรั้ว พร้อมกับหิ้วอาหารติดไม้ติดมือเข้ามาเพียบแปล้ ด้วยรู้ดีว่ากระท่อมน้อยหลังนี้ไม่มีแม่บ้าน มีแต่สหาย
พวกเราเสวนากันเรื่องงานวรรณกรรมกวีเป็นส่วนใหญ่ วันที่มติชนสุดสัปดาห์วางแผง อรรถรสในการเสวนาจะอร่อยเป็นพิเศษ และบุคคลที่ตกเป็นเป้าของการนินทาบ่อยครั้งก็คือบรรณาธิการบริหารนี่เอง
นินทาด้วยรสนิยมเดียวกัน เพราะพี่ไผ่ก็เป็นคนหนึ่งที่ติดตามนิยายกำลังภายในมาไม่น้อย เขาเปรียบเทียบการทำงานกวีเป็น 2 ประเภท เหมือนโกวเล้งจำแนกนักกระบี่ในยุทธจักรออกเป็น 2 จำพวก คือ "เซียนกระบี่" กับ "เทพกระบี่"
เซียนกระบี่คือผู้มีฝีมือเป็นเลิศ และเป็นหนึ่งในจักรวาลของตน โดยไม่จำเป็นต้องสนใจว่าจะสัมพันธ์กับโลกภายนอกอย่างไร
สำหรับพี่ไผ่ เซียนกวีในความหมายนี้คือ อังคาร กัลยาณพงศ์
ส่วนเทพกระบี่ นอกจากจะมีฝีมือดีแล้ว มักจะมีส่วนร่วมต่อการเคลื่อนไหวของสังคมด้วย
และเทพกวีที่พี่ไผ่นิยมชมชอบมากที่สุดก็คือ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ฉันถามเขาว่า แล้วใครคือ "เซียนกระบี่" กับ "เทพกระบี่" ในนิยายกำลังภายในที่เขาชื่นชอบที่สุด
พี่ไผ่ตอบว่า "ไซมึ้งชวยเซาะ" กระบี่เดียวหยดโลหิตแห่งหมู่บ้านหมื่นเหมย จากเรื่อง "หงส์ผงาดฟ้า" ของโกวเล้ง ซึ่งซ่อนกาย ถือสันโดษ ไม่ชอบคบค้ากับผู้คน ปีหนึ่งจะออกจากบ้านไม่เกิน 4 ครั้ง เพื่อสังหารคนโฉดชั่วไม่เกิน 4 คน เช่นนี้นับเป็นเซียนกระบี่
ส่วนเทพกระบี่ พี่ไผ่นับถือเล่งฮู้ชง จากเรื่อง "กระบี่เย้ยยุทธจักร" ของกิมย้ง
เพราะเขาเป็นจอมยุทธ์พเนจรนอกเขตตงง้วนเหมือนกัน ชอบคบค้าผู้คน แต่สมาธิไม่สาละวนไปกับนิทานตามโรงเตี๊ยม บทกวีจึงแจ่มใสมีพลังไม่เหมือนใคร อาจกล่าวได้ว่า ไม้หนึ่ง ก. กุนที เป็นเล่งฮู้ชงคนหนึ่ง กับฉันทลักษณ์ไร้กระบวนท่าในเชิงกวีของเขา
ไม่เพียงเท่านั้น ตัวละครหญิงที่พี่ไผ่ชื่นชอบ ยังอยู่ในเรื่อง "กระบี่เย้ยยุทธจักร" ด้วย นั่นคือ "อี้ลิ้ม"
อี้ลิ้มเป็นแม่ชีน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม เธอบวชมาแต่น้อย วัยเด็ก วัยรุ่น จนสาวสะพรั่ง ดำเนินมากับการรักษาศีล สวดมนต์ ภาวนา ดำรงจิตอยู่ในความสงบ ณ อารามเมฆขาว ไม่เคยลงจากเขาเหิงซานเลย
ครั้นลงจากเขาครั้งแรกก็เกิดเรื่อง เพราะปะกับเถียนป๋อกวง เซียนดาบฉายา "ท่องโดดเดี่ยวหมื่นลี้" และเป็นจอมโจรปล้นสวาท ลามกอันดับหนึ่งของยุทธจักร
เถียนป๋อกวงเห็นแม่ชีน้อยงดงาม ทั้งไม่ประสาต่อโลก เขาชื่นชอบมาก ถึงกับฮึกห้าวฉุดคร่าแม่ชีน้อย
อี้ลิ้มว่า "ถ้าอาจารย์ข้าฯ รู้เข้า ต้องสับเจ้าเป็นหมื่นชิ้นแน่"
เถียนป๋อกวงหัวเราะฮ่า ฮ่า "อาจารย์เจ้าแก่แล้ว ไม่สวยด้วย ข้าฯ ไม่ให้สับหรอก แต่ถ้าเป็นเจ้า ข้าฯ จะยอมให้สับเป็นหมื่นชิ้น"
ไม่รู้ทำไม ในใจอี้ลิ้มเหมือนจะพึงใจกับถ้อยคำของเขา แต่ก็ขัดขืนดิ้นรนสุดชีวิต
บังเอิญเล่งฮู้ชงผ่านมาพบ และยื่นหน้าเข้าช่วยเหลือ
แต่ช่วยไม่ง่ายเลย เพราะดาบของเถียนป๋อกวงนั้นว่องไวมาก เล่งฮู้ชงโดนฟันหลายแผล เลือดไหลอาบ แต่พยายามยืนหยัด เอาชนะด้วยฝีมือไม่ได้ เขาก็ท้าประลองให้นั่งสู้กัน เพื่อถ่วงเวลาให้แม่ชีน้อยหนี
สร้างความปลาบปลื้มแก่อี้ลิ้ม ในใจตื้นตันว่า เขาไม่รู้จักเราแม้แต่น้อย กลับทุ่มเทชีวิตช่วยเหลือ อย่างไม่คำนึงถึงตัวเองเลย แม้มีโอกาสหนี อี้ลิ้มจึงไม่ยอมไป เพราะมัวพัวพันเป็นห่วงพี่เล่งฮู้
นับแต่นั้น อี้ลิ้มว้าวุ่นใจมาก ไม่อาจสวดมนต์โดยสงบได้อีกเลย เพราะคิดถึงพี่เล่งฮู้
แม้ข้อควรตำหนิของกุลสตรีคือการแสดงความรู้สึกต่อผู้ชายอย่างโจ่งแจ้งจนเกินงาม แต่ในมุมมองของพี่ไผ่เห็นว่า อี้ลิ้มแสดงออกด้วยความบริสุทธิ์ใจ น่ารักด้วยซ้ำ
เขาบอกว่า แม้อี้ลิ้มเป็นแม่ชี แต่จิตใจยังเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง การขัดกันระหว่างความสงบเสงี่ยม กับความปรารถนาที่ต้องการแสดงออก ชวนให้วาบหวามใจนักแล
ฉันชอบสังเกตจริตจะก้านของกวี ครั้นเสวนากันถึงแม่ชีน้อย พลันพี่ไผ่เสียอาการจากเล่งฮู้ชง ยิ้มแป้นเป็นเถียนป๋อกวงไปแล้ว
หากมองในแง่ของผู้หญิงด้วยกัน ฉันนึกถึงเนื้อความจาก "กีสาโคตมีเถรีคาถา" ที่ว่า "ความเป็นหญิง เป็นเหตุนำมาซึ่งทุกข์" เพราะลักษณะทางกายภาพของผู้หญิงก็ดี สถานะทางสังคมของผู้หญิงก็ดี หรืออารมณ์ความรู้สึกตามธรรมชาติของผู้หญิงก็ดี เป็นเชื้อเพลิงแห่งความทุกข์ร้อนทั้งนั้น
แง่หนึ่งเห็นว่า กิมย้งเข้าใจผู้หญิงมาก
ตอนที่อยู่แต่ในอารามเมฆขาว อี้ลิ้มไม่รู้จักอารมณ์ทางโลก พอเถียนป๋อกวงเกี้ยวพาราสี เธอก็เกิดความพึงพอใจที่ตัวเองตกเป็นที่ต้องตาต้องใจของเขา และเมื่อสัมผัสกับน้ำใจบุรุษของเล่งฮู้ชง เธอก็เกิดความรู้สึกประหลาด
ตอนที่เธอแบกร่างบาดเจ็บของเขา เนื้อตัวสัมผัสกัน ตอนนั้นเธอรู้สึกสงบยิ่งกว่าตอนสวดมนต์เสียอีก และนึกภาวนาอยากจะแบกร่างของเขาอยู่อย่างนั้น
เธอยอมละเมิดข้อห้ามของบรรพชิตเพื่อเล่งฮู้ชง เช่น ตอนที่ไปขโมยแตงโมของชาวบ้านมาให้พี่เล่งฮู้ เธอรู้ว่าทำผิดศีล แต่ก็ยอม และภาวนาว่า ขอให้เธอบาปคนเดียว อย่าให้บาปตกถึงพี่เล่งฮู้ด้วยเลย
เธอภาวนาแม้แต่ขอให้ตัวเองได้เป็นปากไหเหล้าที่พี่เล่งฮู้กระดกดื่ม
อี้ลิ้มไม่อาจซ่อนความรู้สึกที่มีต่อเล่งฮู้ชง ศิษย์พี่ร่วมสำนักต่างรับรู้ถึงความกลัดกลุ้มของเธอ และชาวยุทธ์ที่เห็นแล้วไม่ชอบใจพากันนินทาว่า "แม่ชีน้อยคงอยากสึกไปเป็นเมียของเล่งฮู้ชงแล้วกระมัง"
ฉันสำรวจลักษณะหญิงที่ปรากฏอยู่ในสามก๊ก แล้วพบเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในนิยายของหลอกว้านจง แต่เป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ และเล่าขานกันมา สะท้อนความเป็นหญิง
เธอชื่อไล่เอ็งหยี หรือ "เอ็งยี้" เป็นนักร้องสาวคนงามของเมืองลกเอี๋ยง เหล่าขุนนาง นายทหาร หรือคหบดี ต่างเป็นแฟนประจำของเธอ แต่เอ็งยี้ชื่นชอบความเป็นผู้นำของชายชาติอาชาไนย ซึ่งฝึกตนมาดีแล้ว และคนที่เธอชื่นชมก็คือโจโฉ
กระทั่งนครหลวงลกเอี๋ยงเกิดวิกฤตสงคราม เอ็งยี้ต้องยุติกิจการ และเลือกที่จะไปพึ่งพาโจโฉ
หากเป็นผู้หญิงทั่วไป โจโฉคงไม่ลังเลที่จะให้เป็นนางบำเรอ แต่เอ็งยี้เป็นคนมีความสามารถ ดังนั้น สถานภาพของเธอจึงต่างออกไป เอ็งยี้ต้องการติดตามโจโฉไปในกองทัพด้วย แต่ติดที่เธอเป็นผู้หญิง จึงขอติดตามไปในหน้าที่ร้องเพลงขับกล่อม ซึ่งโจโฉก็อนุญาต
แต่เมื่ออยู่ในกองทัพ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับโจโฉคือวินัยทหาร นานวันเข้า การร้องเพลงร่ายระบำไม่ได้ทำให้โจโฉเห็นเธอสำคัญไปมากกว่านี้ ดังนั้น เอ็งยี้จึงเกิดความเหงาหงอยอ้างว้าง ทวีขึ้นทุกวัน
ระหว่างนั้นเอง นายทหารคนหนึ่งเฝ้าคอยดูแลเอาใจใส่เธอ จนมีสัมพันธ์ต่อกัน
โจโฉรู้เรื่อง แต่ผ่อนปรน ตราบใดที่ไม่เสียหายต่อกองทัพ
เมื่อเห็นโจโฉไม่หึงหวง เอ็งยี้ยิ่งอดสูใจ ด้วยอารมณ์หญิง วันหนึ่งเธอพยายามเหนี่ยวรั้งนายทหารคนนั้นไว้ จนเขาไปเข้าทัพช้า
โจโฉไม่ผ่อนปรนเรื่องวินัย สั่งประหารทันที
เอ็งยี้เกิดสำนึก ไปขอร้องโจโฉว่าต้นเหตุมาจากตน ขอรับโทษตายแทน และเพื่อแสดงความกตัญญูต่อโจโฉ เธอจะขอฝึกหัดนักร้องคนใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่แทน เมื่อเป็นที่พอใจแก่โจโฉแล้ว จะขอตาย
โจโฉตอบตกลง
เอ็งยี้เฟ้นหานักร้องได้ 4 นาง ใช้เวลาฝึกอยู่นานนับเดือน
และเมื่อโจโฉพอใจ เธอก็ขออำลา
โจโฉถามว่า ไม่อยากไปลาคนรักของเจ้าก่อนหรือ
เธอปฏิเสธ เพราะเกรงว่าเขาจะคัดค้าน
โจโฉจึงสั่งให้เรียกนายทหารคนนั้นมาพบ แล้วถามว่า จะยินดีรับนางไปเป็นภรรยาไหม
คำตอบที่ได้รับ ทำให้โจโฉผิดหวังมาก แทบจะชักกระบี่ฟันให้ตายตรงหน้า เพราะหมอนั่นสารภาพว่า ไม่ได้จริงจังกับเธอ แต่โจโฉรับปากไว้ชีวิตกับเอ็งยี้แล้ว ได้แต่ปลดออกจากตำแหน่ง แล้วไล่กลับไปอยู่บ้านเกิด
และปลอบใจเอ็งยี้ว่า เขาไม่ตาย เจ้าก็ไม่ต้องตายด้วย
แต่คืนนั้นเอ็งยี้หนีความอับอายด้วยการฆ่าตัวตาย ทำให้โจโฉต้องเสียน้ำตา
ภาวะที่ผู้หญิงตกอยู่ในความปลาบปลื้มชื่นชม เป็นการแสดงออกของความรู้สึกพื้นฐานบางประการ ประกอบกับความคิดฝันอันโรแมนติค และมักจะไม่ได้ยืนพื้นอยู่กับความเป็นจริง หากทุ่มเทหัวใจลงไปทั้งหมด อาจนำไปสู่ความทุกข์ร้อน เหมือนอี้ลิ้ม เหมือนเอ็งยี้
มิใช่เรื่องเหลวไหล มิใช่เรื่องจริงจัง ผู้คนต่างงมงาย ผู้หญิงงมงายในความรัก ผู้ชายงมงายในอำนาจ สรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง ความรักและอำนาจย่อมไม่คงที่ หากงมงาย อาจไม่รู้ตัวว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน
เอ็งยี้จบที่ความตาย อี้ลิ้มจบที่การก้าวข้าม
แท้จริงแล้ว อี้ลิ้มเป็นคนมีจิตใจดีงาม บริสุทธิ์ แบบเพศบรรพชิต ความรักของเธอคือเมตตา ปรารถนาจะให้ผู้อื่นเป็นสุข เพียงแต่ความอ่อนเยาว์ทำให้ไม่รู้เท่าทันในอารมณ์ทางโลก เมื่อไม่รู้จึงติดข้อง
กระทั่งแม่ของเธอไม่อยากให้ลูกสาวต้องกลัดกลุ้มกับความรัก ไปจับตัวเล่งฮู้ชงมาข่มขู่ให้ตกแต่ง อี้ลิ้มจึงได้รู้ว่า ความรักของเธอมิได้เป็นเช่นนั้น
มิจำเป็นต้องปล่อยวาง มิจำเป็นต้องงมงาย อี้ลิ้มใช้ความรักของเธอเป็นยานข้ามห้วงแห่งความทุกข์ ดำเนินต่อไปตามวิถีที่เธอศรัทธาและฝึกตนมาแต่น้อย