เข้าระบบอัตโนมัติ

เตียบ่อกี้VSเอี้ยก้วย


ตกบ่อขี่
#81   ตกบ่อขี่    [ 25-06-2007 - 18:55:39 ]    IP: 124.120.40.214

แม่นางสวย ผมว่าเขา เป็นคนลาวนะครับ เพราะ มันอ่อน ถาษาไทย ไม่ออก แสดง ว่า ต้อง เป็น ผู้ หญิง มีไข่ แน่ๆ เลย ใช่ไหม กิมย้ง ผม ว่า เรื่อง จริง มันไม่สวยหรอก ไอนี้



เอี้ยคัง
#82   เอี้ยคัง    [ 25-06-2007 - 18:55:49 ]

ใครจะมาสู้ลูกข้า



ตกบ่อขี่
#83   ตกบ่อขี่    [ 25-06-2007 - 19:00:16 ]    IP: 124.120.40.214

เอี้ยคัง มาอยู่ นี้ทำไม ไปช่วยเมียขายก้วยเตี่ยวก่อนไป เราเอาสิ้นติงไม่งอกไม่น้ำ



DNAมังกรหยก
#84   DNAมังกรหยก    [ 25-06-2007 - 23:36:32 ]    IP: 125.26.193.215

คห.64

เก้าอิมมีคนฝึกสำเร็จอยู่นะคับ เป็นคนที่เขียนวิชานี้ขึ้นมาเองแหละคับ และฝึกเองจนเชี่ยวชาญแตกฉาน เก่งมากเก่งที่สุดเลย แต่เป็นคนดีครับรักชาติบ้านเมือง และคนนี้แหละคับที่สู้กับต๊กโกวคิ้วป่าย แต่แค่ประลองกันเฉยๆครับ สู้กันนานมาก เอาไปเอามา ต๊กโกวดันพลั้งมือฆ่าซะงั้น ก้อเลยผิดหวังอย่างแรงที่ฆ่าผู้กล้าฝ่ายธรรมมะ เลยโยนกระบี่ลงหุบเหว กระบี่นั่นก้อคือกระบี่อ่อนกุหลาบหนูม่วงกระบี่กาฬกินีนั่นแหละครับ

ปล.ต๊กโกวคิ้วป่าย ก้อเกือบตายเหมือนกัน และเพราะเหตุนี้แหละถึงแสวงพ่ายไร้คู่มือ เพราะคนที่ฝึกวิชาเก้าอิมเมื่อกี้ เก่งสุดแล้ว -*-



สวย
#85   สวย    [ 25-06-2007 - 23:54:23 ]    IP: 58.8.52.13

คุณ DNA อ่านจากไหนอ่ะ เริ่ดอ่ะ แสดงว่าวิชานังต๊กโกวเก่งกว่าอีพวกเก้าอิม เก้าเอี๊ยงอ่ะสิคะ



DNAมังกรหยก
#86   DNAมังกรหยก    [ 25-06-2007 - 23:57:49 ]    IP: 125.26.193.215

ถูกต้องครับ กระบี่9เดียวดายสุดยอดมาก และที่ผมอ่านมานั้น มานเปงบทสัมภาด กิมย้งอ่ะคับจากประเทศจีน แปลไทย มีอีกตั้งเยอะ เหอะๆ



สวย
#87   สวย    [ 26-06-2007 - 00:00:16 ]    IP: 58.8.52.13

ไว้แปลมาให้อ่านมั่งสิคะ จักขอบพระคุณยิ่งค่ะ



จุดจุดจุด
#88   จุดจุดจุด    [ 26-06-2007 - 00:52:57 ]    IP: 125.26.38.167

ตอบ DNAมังกรหยก คห.83

เห วิชาเก้าอิม นี่นอกจาก อึงเซียะ คนที่คิดค้นขึ้นมาเคยมีคนฝึกสำเร็จด้วยหรือ อ่า จำได้ที่ดูมา มันมีแค่อึงเซียะคิดวิชาไปแก้แค้นส่วนตัวกับพรรคมาร แต่ฝึกนานไปพรรคมารล่มสลายไปแล้ว ก็เลยทิ้งคัมภึร์ไว้ แล้วก็หายตัวไป จากนั้นก็เข้าสู้ยุคมังกรหยกเดชมารคัมภีร์นพเก้า ที่แย่งชิงกันของ 5 ยอดฝีมืออ่ะ

ตกลงที่ต๊กโกคิ้วป้ายบอกยอดฝีมือฝ่ายธรรมมะนี่คืออึ้งเซียะหรือ กระบี่หนูม่วงต๊กโกคิ้วป้าย ใช้ตอนก่อนอายุ 30 แล้วก็ทิ้งไป แต่ยุคที่อึ้งเซียะคิดวิชาเก้าอิม ก็เกิดก่อน 5 ยอดฝีมือก็หลายสิบปีอยู่นี่นาอ่านแล้วงงๆ แฮะ เพราะแค่อึงเซียะฝึกวิชาเก้าอิมก็ปาไป 40 ปีแล้ว (เฉพาะตอนฝึกวิชา) รวมๆ แล้วตอนฝึกสำเร็จอายุอึงเซียะก็น่าจะปาไป 60 ปีกว่าๆ แล้ว

งั้นก็แสดงว่าต๊กโก้คิ้วป้ายตอนอายุก่อน 30 เป็นคนสังหารอึ้งเซียะงั้นหรือ อันนี้ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยอ่ะ ท่านอื่นๆ มีใครมีข้อมูลบ้างไหมคับ ไม่เคยคิดว่า 2 คนนี้เคยสู้กันมาก่อนด้วยซ้ำ มันน่าจะเกิดกันคนละยุคเลย

ปล.ประลองกันนานมาก แบบนี้ไม่เรียกพลั้งมือฆ่าแล้วล่ะ จงใจฆ่ามากกว่า -*-



ป๊อป
#89   ป๊อป    [ 26-06-2007 - 06:29:47 ]    IP: 58.10.128.147

แต่กระผมไม่เชื่อนะว่า เก้ากระบี่เดียวดาย เหนือกว่า เก้าอิม กับ เก้าเอี้ยง ถ้าบอกว่าต๊กโกวเป็นคนฆ่าอึ้งเซียง แต่ อย่านำเก้าเอี้ยงไปรวมด้วยดิ เพราะไม่เคยเจอกัน อย่าบอกนะว่าตอนนั้นท่านต๊กโกวเคยเจอท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อด้วย แล้วที่ท่านว่าท่านกิมย้งบอกไว้เพราะจะก๊อป...ลิ๊งค์มาให้ชมบ้างได้ป่าวมันอยู่ในนวนิยายเรื่องไหนง่ะขนาดผมอ่าน กระบี่เย้ยยุทธจักรจบแล้วยังอ่านไม่เจอเลย



ป๊อป
#90   ป๊อป    [ 26-06-2007 - 06:31:43 ]    IP: 58.10.128.147

ขออนุญาติเอามาฝากไว้ในกระทู้นี้หน่อยนะใครจะอ่านก็อ่านไม่อ่านก็ผ่านไปได้ครับขี้เกียจมานั่งดึงกระทู้





ป๊อป
#91   ป๊อป    [ 26-06-2007 - 06:32:33 ]    IP: 58.10.128.147

นำมาลงเผื่อใครยังไม่ได้อ่าน หรืออ่านแล้วยังไม่เข้าใจ แล้วนำไปคิดกันต่างๆนาๆ ว่าเตียบ่กี้ยังไม่สำเร็๗เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาล หรือ กำลังภายในของเตียบ่กี้เทียบเท่ากับหลวงจีนกักเอี้ยง หรืออื่นๆอีกมากมาย นำลงลงกันให้กระจ่างเลย อุตส่าห์นั่งพิมพ์ตั้งนาน
ทุกข้อความแกะมาจาก ไตรภาคมังกรหยกชุดที่3 ดาบมังกรหยก เล่ม2 ฉบับปรับปรุงล่าสุด กิมย้ง ประพันธ์ น.นพรัตน์ เรียบเรียง โดยไม่มีการดัดแปลงเสริมตัดทอนหรือเสริมเติมแต่งใดๆทั้งสิ้น



ป๊อป
#92   ป๊อป    [ 26-06-2007 - 06:34:34 ]    IP: 58.10.128.147

ตอน ได้ฝึกคัมภีร์เก้าเอี้ยงฉบับสมบูรณ์ จากอ้างอิงจากหน้า 297 -300

ตำราเล่มนี้เป็นคัมภีร์นวภพจริง ส่วนสาเหตุที่ซ่อนอยู่ในท้องของค่างขาว ตอนนั้นทั่วทั้งแผ่นดินไม่มีผู้ใดทราบได้ ที่แท้เมื่อเก้าสิบกว่าปีก่อน เซียวเซียงจื้อกับอีเคอซี ขโมยคัมภีร์เล่มนี้จากหอเก็บคัมภีร์วัดเสี้ยวลิ้มยี่ ถูกกักเอี้ยงไต้ซือติดตามถึงยอดเขาฮั้วซัว เห็นแน่ชัดว่าไม่สามารถหนีรอดได้ ประจวบกับที่ข้างกายมีค่างตัวหนึ่ง เซียวเซียงจื้อกับอีเคอซีนึกได้อุบายหนึ่ง ผ่าท้องของค่างซุกซ่อนคัมภีร์อยู่ภายใน ภายหลังกักเอี้ยงไต้ซือ เตียซำฮงซึ่งตอนนั้นยังเป็นบุรษหนุ่มนามเตียกุนป้อและจอมยุทธอินทรีเอี้ยก่วยค้นตัวเซียวเซียงจื้อกับอีเคอซี ไม่พบเห็นคัมภีร์จึงปล่อยให้ทั้งสองนำค่างลงจากเขา เกือบร้อยปีมานี้ ร่องรอยของคัมภีร์นวภพกลายเป็นปริศนาสำคัญของบู๊ลิ๊ม ภายหลังเซียวเซียงจื้อกับอีเคอซี นำค่างออกเดินทางไกลถึงแดนไซฮก ทั้งสองล้วนกริ่งเกรงอีกฝ่ายหนึ่งฝึกปรือวิชาฝีมือในคัมภีร์ ใช้ทำร้ายตัวเองจึงไม่ยอมนำคัมภีร์ออกจากท้องค่าง สุดท้ายมาถึงยอดเขาเกียซิ้งฮงภูเขาคุนลุ้น เซียวเซียงจื้อกับอีเคอซีลอบทำร้ายกันและกัน จนรับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ยอดคัมภีร์ที่ใช้ฝึกปรือวิชากำลังภายในขั้นสูงสุดจึงฝากอยู่ในท้องค่าง พลังฝีมือของเซียวเซียงจื้อ ความจริงเหนือล้ำกว่าอีเคอซีขั้นหนึ่ง แต่ตอนอยู่บนยอดเขาฮั้วซัวได้ต่อยใส่กักเอี้ยงไต้ซือหมัดหนึ่ง ถูกกระแทกสะท้อนกลับมา จนรับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นพอต่อสู้กับอีเคอซีกลับเสียชีวิตก่อน อีเคอซีก่อนตาย พบพานสามศักดิ์สิทธิ์คุนลุ้นฮ่อจกเต๋า บังเกิดความไม่สบายใจ ขอให้ฮ่อจกเต๋าเดินทางสู่เสี้ยวลิ้มยี่ แจ้งต่อกักเอี้ยงไต้ซือว่าคัมภีร์เล่มนั้นอยู่ในท้องของลิงค่าง แต่ตอนกล่าววาจาสติเลอะเลือน ส่งเสียงไม่ชัดเจนความจริงกล่าวคำ “ เก็งต่อเก้าตัง” (คัมภีร์อยู่ในวานร) ฮ่อจกเต๋ากลับฟังเป็นคำ “เก็งต่ออิ้วตัง”(คัมภีร์อยู่ในน้ำมัน) ฮ่อจกเต๋ารักษาคำมั่นสัญญา เดินทางไกลเข้าสู่แผ่นดินตงง้วนถ่ายทอดคำพูด “ คัมภีร์อยู่ในน้ำมัน” ต่อกักเอี้ยงไต้ซือ กักเอี้ยงไต้ซือไม่เข้าใจความหมายในวาจา มิหนำซ้ำยังก่อเกิดเป็นมรสุมอันปั่นป่วน เป็นเหตุให้ยุทธจักรเพิ่มสำนักบู๊ตึง ง้อไบ๊ขึ้น ส่วนค่างตัวนั้นกลับโชคดี ระหว่างที่อยู่ในภูเขาคุนลุ้น ปลิดผลท้อเซียนรับประทาน ได้รับพลังวิเศษจากฟ้าดิน มีอายุเก้าสิบกว่าปี ยังโลดแล่นดั่งเหินบินขนยาวดำมะเมื่อมเปลี่ยนเป็นสีขาว กลายเป็นค่างขาวตัวหนึ่ง เพียงแต่คัมภีร์นวภพซ่อนอยู่ในท้อง ขวางทางเดินของกระเพาะลำไส้เป็นเหตุให้ปวดท้อง ฝีที่ท้องก็บัดเดี๋ยวยุบบัดเดี๋ยวกลัดหนอง จวบจนถึงวันนี้เตียบ่กี้ค่อยผ่าท้องนำคัมภีร์ออกมา สำหรับกับค่างขาวถือเป็นการขจัดสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายออกไป เบื้องหลังอันสลับซับซ้อนนี้ ต่อให้เป็นคนฉลาดหลักแหลมกว่าเตียบ่กี้ร้อยเท่า ก็คาดเดาไม่ออก เตียบ่กี้ตะลึงลานชั่วขณะ ทราบดีว่ายากขบคิดคลี่คลาย ก็ไม่เปลืองสมองครุ่นคิดอีก เตียบ่กี้หยิบผลพ่วงท้อ ซึ่งค่างขาวมอบมาให้กัดกินคำหนึ่ง รู้สึกมีหยดน้ำอันหอมหวานไหลรินลงสู่ลำคอช้าๆ เปรียบกับผลไม้ป่าที่ไม่ทราบชื่อในหุบเขายังมีรสชาติเหนือกว่า เตียบ่กี้รับประทานจนหมดผล ค่อยครุ่นคิดขึ้น ไท้ซือแป๋ เคยบอกว่า หากเราฝึกปรือลมปราณนวภพของสำนักเสี้ยวลิ้มยี่ บู๊ตึง ง้อไบ๊ ทั้งสามสำนัก อาจสามารถขจัดพิษภายในกาย หากคัมภีร์เล่มนี้เป็นคัมภีร์นวภพจริง คัมภีร์นวภพเป็นต้นกำเนิดของลมปราณนวภพทั้งสามสำนัก อย่างนั้นการฝึกปรือตามคัมภีร์ ต่อให้เราคาดเดาผิดพลาด คัมภีร์เล่มนี้ไม่มีประโยชน์ ถึงกับฝึกปรือแล้วเป็นผลร้าย อย่างมากเพียงตกตายเท่านั้น ดังนั้นจัดวางคัมภีร์สามเล่มอยู่ในตำแหน่งที่แห้งสะอาด ปูหญ้าแห้งเอาไว้ค่อยทับหินใหญ่สามก้อน ป้องกันมิให้ลิงค่างหยิบฉวยไปฉีกทิ้งเสียหาย เพียงถือคัมภีร์ภาคแรกอยู่ในมือ อ่านทบทวนก่อนหลายเที่ยว จวบจนท่องจำแม่นยำจากนั้นศึกษาตีความ เริ่มฝึกปรือตั้งแต่ประโยคแรก เตียบ่กี้เห็นว่า ต่อให้ตนฝึกปรือลมปราณจากในคัมภีร์ ขจัดพิษเย็นภายในกายได้แต่เมื่อถูกกักอยู่ในหุบเขา ที่ปรากฏขุนเขารายล้อมรอบเช่นนี้ ก้ไม่สามารถออกไป วันเวลาในหุบเขายังยาวนาน วันนี้ฝึกปรือสำเร็จก็ตาม พรุ่งนี้ฝึกปรือสำเร็จก็ตาม หามีข้อแตกต่างไม่ มาตรว่าฝึกปรือไม่สำเร็จก็ถือว่าเป็นการฆ่าเวลา เตียบ่กี้เมื่อมีความคิดหากแม้นสำเร็จแม้ปลื้มปิติ มาตรว่าล้มเหลวก็ยินดีกลับมีความรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาสั้นๆสี่เดือน ก็ตีความเคล็ดวิชาในคัมภีร์ภาคแรกจนปรุโปร่ง และฝึกปรือตามนั้น หลังจากที่ฝึกคัมภีร์ภาคแรกเสร็จสิ้น งอนิ้วนับคำนวณดูพบว่าผ่านช่วงเวลาที่โอ้วแชงู้ลงความเห็นว่า พิษเย็นของเขาจะกำเริบเสียชีวิตไปแล้ว แต่เตียบ่กี้รู้สึกตัวเบา ร่างกายแข็งแรง พลังลมปราณหมุนเวียนทั่วร่างไม่มีอาการเจ็บป่วย ก่อนหน้านี้พิษเย็นกำเริบกระชั้นติดกัน ยามนี้ทอดห่างเป็นแรมเดือน ค่อยบังเกิดอาการเป็นครั้งคราว มิหนำซ้ำอาการเบาบางยิ่ง ครั้นเมื่อเตียบ่กี้ศึกษาตำราภาคที่สองได้ไม่นาน พบว่าในตำรามีข้อความ “สูดรับความร้อนทั้งเก้า รวมจิตใจก่อเกิดพลัง ดังนั้นคัมภีร์ขนานนามเก้าเอี้ยงจินเก็ง( คัมภีร์นวภพ)” ค่อยทราบว่านี้เป็นยอดตำราที่ไท้ซือแป๋ไฝ่ฝันได้เห็นจริงๆหลังความปิติยินดี ยังตั้งใจฝึกปรือกว่าเดิม นอกจากนั้นค่างขาวสำนึกบุญคุณที่เตียบ่กี้รักษาโรคให้ มักปลิดผลพ่วงท้อมาเป็นของกำนัล นี่เป็นผลไม้วิเศษที่เพิ่มพลังบำรุงร่างกาย เมื่อเตียบ่กี้ฝึกคัมภีร์ภาคที่สองไม่ถึงครึ่งเล่ม พิษเย็นภายในกายก็ถูกขจัดหมดสิ้นแล้ว ทุกวันเตียบ่กี้นอกจากฝึกพลังลมปราณแล้ว จะหยอกเล่นกับลิงค่างผลไม้ที่ปลิดได้ก็แบ่งครึ่งหนึ่งให้แก่จูเชี่ยงเล้ง กลับรู้สึกอิสรเสรี ปราศจากความวิตกทุกข์ร้อน แต่จูเชี่ยงเล้งอยู่บนแท่นศิลาเล็กๆ นับว่าผ่านวันดุจเป็นปีพอเข้าสู่ฤดูหนาว ทั่วทั้งภูเขากลับกลายเป็นหิมะน้ำแข็ง ลมหนาวเย็นเสียดกระดูก ความทุกข์ทรมานที่ได้รับสุดที่จะบ่งบอกบรรยายได้ เตียบ่กี้พอฝึกปรือคัมภีร์ภาคที่สองเสร็จสิ้น ก็ไม่เกรงกลัวความร้อนหนาวของอากาศ เพียงแต่ยิ่งฝึกปรือถึงตอนท้าย ยิ่งลึกล้ำยากลำบาก ความรุดหน้าก็ยิ่งเชื่องช้า คัมภีร์ภาคที่สามใช้เวลาหนึ่งปีเต็ม ส่วนภาคสุดท้ายใช้เวลาฝึกปรือถึงสามปี ค่อยสำเร็จแตกฉาน**อ้างอิงจากดาบมังกรหยก เล่ม2 หน้า 297 – 300 **



ป๊อป
#93   ป๊อป    [ 26-06-2007 - 06:36:47 ]    IP: 58.10.128.147

ตอน สำเร็จวิชาเก้าเอี้ยงขั้นสุดยอด อ้างอิงจากหน้า 477 – 488 โดยจะตัดทอนเอาเฉพาะที่เกี่ยวกับการสำเร็จวิชาเก้าเอี้ยงขั้นสุดยอดของเตียบ่กี้ โดยจะไม่เอ่ยถึงการสนทนากันระหว่างเซ้งคุณ กับ เอี้ยเซียว และ ห้าผู้พเนจร

“งี่แป๋ที่มักวิปลาสฟั่นเฟือน สังหารคนไร้ความผิด คนของทุกค่ายสำนักที่ขึ้นเขาบู๊ตึง บีบบังคับบิดามารดาเราฆ่าตัวตาย หากสือสาวหาตัวการแห่งเภทภัยล้วนเกิดจากเซ้งคุณผู้นี้ ”
พริบตานั้น ในใจพลุ่งพล่านดาลเดือดตลอดทั้งร่างรุ่มร้อนราวถูกอัคคีเผาผลาญ ถุงพลังลมจักรวาลของหลวงจีนถุงผ้าใบนี้ ไม่มีอากาศถ่ายเท เตียบ่กี้ อยู่ในถุงผ้าเป็นเวลานาน บังเกิดความอึดอัดแต่แรก เพียงอาศัยวิธีหายใจเช่น เต่าจำศีล หายใจเข้าออกเพียงเล็กน้อย ค่อยประคองตนอยู่ได้ ยามนี้บังเกิดความว้าวุ่นใจ ลมปราณนวภพที่สะสมอยู่ในจุดตังชั้งสูญเสียการควบคุม จึงแตกกระจายวุ่นวาย รู้สึกร่างคล้ายตกอยู่ในเตาหลอม อดร้องครวญครางออกมามิได้
จิวเตียงตวาดว่า “น้องเรา ทั้งหมดตกอยู่ในห้องความตาย ไม่ว่าผู้ใดล้วนเจ็บปวดรวดร้าวหากเป็นลูกผู้ชาย ก็อย่าได้ส่งเสียงแสดงความอ่อนแอ”
เตียบ่กี้รับคำ ใช้วิชาโคจรพลังในคัมภีร์นวภพ สงบจิตระงับใจปรับพลังลมปราณ หากเป็นยามปกติ ขอเพียงโคจรพลังตามแนววิชา จะมีจิตใจสงบดุจน้ำก้นบ่อ จิตสำนึกลอยล่องท่องไปโดยไร้จุดหมาย แต่ยามนี้ยิ่งโคจรพลังแขนขาตามร่างกายยิ่งขัดข้อง คล้ายกับตามจุดเส้นสำคัญ มีเข็มเล็กๆที่เผาไฟแดงหลายร้อยเล่มคอยทิ่มแทงใส่ ที่แท้เตียบ่กี้ฝึกปรือคัมภีร์นวภพหลายปี มาตรแม้นค้นพบความลับของยอดวิชาฝีมือ แต่ไม่ได้รับการชี้แนะจากอาจารย์เลิศล้ำ เพียงค้นคว้าด้วยตัวเอง ลมปราณนวภพที่สะสมอยู่ภายในกายยิ่งมายิ่งมาก แต่ไม่รู้จักชักนำกรุยผ่านด่านสุดท้ายไป ซึ่งความจริงแม้ไม่รู้จักชักนำก็แล้วกันไป แต่ดรรชนีเย็นแปลงของหลวงจีนอี้จิน เป็นวิชาฝีมืออันเยือกเย็นชั่วร้าย พอชำแรกเข้าสู่ร่างคล้ายจุดสายชนวนดินระเบิดขึ้น จนใจที่คนอยู่ในถุงพลังลมจักรวาล บีบรัดจนลมปราณนวภพที่ปะทุออกมาไม่มีที่ระบาย กระจายพลุ่งพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย ในชั่วเวลาอันสั้นนี้ เตียบ่กี้ตกอยู่ในห้วงคับขันอันตรายที่สุดลำบากยากเย็นที่สุดของการฝึกลมปราณ ความเป็นความตายตลอดจนสำเร็จล้มเหลวขึ้นอยู่กับวินาทีนี้ จิวเตียงและพวกไหนเลยคาดคิดว่า เตียบ่กี้พานอยู่ในช่วงน้ำอัคคีเชื่อมประสาน มังกรพยัคฆ์สมานรวมกัน ยังเข้าใจว่าเตียบ่กี้หลังจากถูกดรรชนีเย็นแปลงจี้ใส่ ก่อนตายครวญครางออกมา (อ้างอิงจากหน้า477 – 478)
ในเสียงหัวร่ออันคลุ้มคลั่งของหลวงจีนอี้จิน เตียบ่กี้ขุ่นแค้นแทบคลุ้มคลั่ง ได้ยินแก้วหูลั่นอึงอล พลันสิ้นสติไปแต่แล้วฟื้นคืนสติมา ในชีวิตเตียบ่กี้ถูกหยามอัปยศนับครั้งไม่ถ้วน ล้วนชืดชาไม่นำพา แต่หวนนึกถึงลูกผู้ชายชาตรีเช่นงี่แป๋ กลับถูกเซ้งคุณทำร้ายจนบ้านช่องพินาศผู้คนล้มตาย สองตามืดบอด รอความตายบนเกาะร้างเพียงเดียวดาย ความแค้นอันยิ่งใหญ่นี้ ไหนเลยไม่ชำระล้างได้? เตียบ่กี้รู้สึกมีเพลิงโทสะพลุ่งขึ้น ลมปราณนวภพที่กระจายอยู่ภายในกายยิ่งกระจายพลุกพล่าน ลมปราณไม่สามารถถ่ายเทอากาศ ถุงพลังลมจักรวาลเบ่งพองขึ้นทีละน้อย แต่เอี้ยเซียวและพวกล้วนสดับฟังคำพูดของหลวงจีนอี้จินไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สังเกตสนใจการเปลี่ยนแปลงของถุงผ้าใบนี้ ยามนั้นเตียบ่กี้ปากคอแห้งผาก ตาลายสมองหมุน ลมปราณนวภพภายในกายเบ่งพองจนถึงขั้นแทบระเบิดออก หากแม้นถุงพลังลมจักรวาลแตกระเบิดออกก่อน คนก็จะหลุดพ้นได้ ไม่เช่นนั้นต้องไม่อาจทนทานรับพลังลมปราณอันรุนแรง ผิวหนังปริแตกแยกออก ร่างถูกเผาผลาญเป็นเถ้าถ่าน หลวงจีนอี้จินเห็นถุงผ้าประหลาดพิกล จึงสืบเท้าออกไปสองก้าว กระแทกฝ่ามือลง คราครั้งนี้ถูกถุงผ้ากระแทกสะท้อน ถอยกายไปอีกหนึ่งก้าวแต่ถุงผ้าก็ถูกพลังฝ่ามือนี้ผลักล้มลง กลิ้งไปตามพื้นดินราวลูกหนังใบมหึมา เตียบ่กี้อยู่ในถุงผ้าต้องกลิ้งตีลังกาตามรู้สึกทรวงอกอึดอัด หน้าท้องเบ่งพองขึ้น คิดระบายพลังลมปราณภายในกายออกมา แต่ในถุงผ้าอัดลมเปี่ยมล้น ต่อให้คิดระบายลมออกมาแม้แต่น้อย ยังลำบากยากเย็นยิ่ง จากนั้นหลวงจีนอี้จินต่อยออกสามหมัด เตะออกสองเท้า ล้วนถูกพลังลมภายในถุงกระแทกสะท้อนกลับมา แต่เตียบ่กี้อยู่ในถุงยังไม่รู้สึกตัว การลงมือของหลวงจีนอี้จิน ดีที่จู่โจมถูกถุงผ้า หากกระแทกถูกร่างเตียบ่กี้ ตอนนี้เตียบ่กี้มีพลังลมปราณสุมอยู่ภายในกาย ต้องกระแทกทำร้ายหลวงจีนอี้จินบาดเจ็บสาหัสแน่นอน เอี้ยเซียวและพวกทั้งเจ็ดพอเห็นสภาพอันประหลาดแปลกตานี้ล้วนแตกตื่นตะลึงลาน ถุงพลังลมจักรวาลเป็นสมบัติของหลวงจีนถุงผ้าแต่ท่านเองนึกไม่ออกว่าไฉนเบ่งพองเป็นลูกหนัง ยิ่งไม่ทราบว่าเตียบ่กี้ ในถุงผ้าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เห็นหลวงจีนอี้จีนชักมีดสั้นจากหว่างเอวเล่มหนึ่ง จ้วงแทงใส่ถุงผ้าปลายมีดพอกระทบถูก ถุงผ้าเพียงจมลง หาได้แทงทะลุไม่ถุงผ้านี้คล้ายสายใยคล้ายหนังสัตว์ เป็นสิ่งของพิสดารในแผ่นดิน มีดสั้นของหลวงจีนอี้จินไม่ใช่มีดวิเศษ ทิ่มแทงติดต่อกันหลายมีด ไม่อาจระคายถุงผ้าได้ หลวงจีนอี้จินเห็นฟาดฝ่ามือจ้วงแทงมีด ล้วนไม่ได้ผล ดังนั้นครุ่นคิด “ยังพัวพันกับเด็กน้อยนี้ทำอะไร ? ” ตวัดเท้าเตะออกโดยแรง ถุงผ้าขนาดใหญ่ก็กลิ้งหลุนๆ ไปยังประตูห้องโถงยามนี้ถุงผ้าเบ่งพองราวลูกหนังขนาดใหญ่ใบหนึ่ง พอปะทะชนกับประตูห้องโถง ก็กระดอนกลับมา พุ่งใส่หลวงจีนอี้จิน หลวงจีนอี้จินเห็นท่วงท่าสภาวะดุร้ายยิ่ง จึงยกสองมือขึ้น ผลักกระแทกใส่ถุงผ้าโดยแรง ได้ยินเสียงโครมกึกก้อง คล้ายกับอสนีบาตยามแล้ง เศษผ้าปลิวกระจายเวียนว่อน ถุงพลังลมจักรวาลถูกลมปราณนวภพของเตียบ่กี้อัดปริแตก ระเบิดเป้นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลวงจีนอี้จิน เอี้ยเซียว เจ้าค้างคาวปีกเขียวและพวกรู้สึกมีคลื่นความร้อนสายหนึ่งพวยพุ่งมากระทบร่าง จากนั้นเห็นบุรุษหนุ่มสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นผู้หนึ่งยืนหยัดอยู่กลางห้องโถง สีหน้าเปี่ยมแววมึนงงสงสัย ที่แท้พริบตานั้นเตียบ่กี้ฝึกลมปราณนวภพสำเร็จลุล่วง น้ำอัคคีเชื่อมประสาน มังกรพยัคฆ์สมานรวมกันแล้ว ควรทราบว่าในถุงผ้าอัดแน่นด้วยลมปราณ เท่ากับเป็นยอดฝีมือหลายสิบคน พากันทุ่มเทกำลังบีบเค้นจุดเส้นทั่วร่างของเขาทั้งหลายร้อยแห่ง พลังลมปราณทั้งภายในและภายนอกของเขาพลุ่งพล่านปั่นป่วน ด่าน+++งกวงบนร่างหลายสิบแห่งถูกทะลวงทลาย รู้สึกว่าตามจุดชีพจรทั่วร่าง มีปรอทเส้นสายไหลเวียนไปมา บังเกิดความปลอดโปร่งสบาย โอกาสวาสนาเช่นนี้ ไม่เคยมีผู้ใดได้รับมาก่อน ถุงวิเศษเมื่อแตกระเบิดหลังจากนี้ก็ไม่มีผู้ใดมีประสบการณ์เช่นนี้อีก (อ้างอิงจากหน้า 485 – 488 )



ป๊อป
#94   ป๊อป    [ 26-06-2007 - 06:40:00 ]    IP: 58.10.128.147

ตอน สำเร็จวิชาเคลื่อนย้ายจักวาลขั้นที่7 (ขั้นจินตนาการ) อ้างอิงจากหน้า 516 – 520

เตียบ่กี้ยิ้มเล็กน้อย รับหนังแพะมาท่องอ่านเบาๆ เห็นข้อความที่เขียนบนหนังแพะ ล้วนเป็นวิธีชักนำโคจรพลังขับเคลื่อนใช้พลัง เมื่อทดลองปฎิบัติตาม ก็กระทำได้โดยไม่ลำบากยากเย็น เห็นบนหนังแพะเขียนว่า
“เคล็ดวิชาขั้นที่หนึ่งนี้ ผู้ที่มีไหวพริบปฎิภาณจะประสบความสำเร็จภายในเจ็ดปี ชนชั้นรองลงไปจะเรียนรู้ในสิบสี่ปี”
เตียบ่กี้สงสัยใจยิ่ง ครุ่นคิดขึ้น นี่มีความยากลำบากอันใด ไยต้องใช้เวลาฝึกปรือถึงเจ็ดปี?
ถัดไปเป็นเคล็ดวิชาขั้นที่สอง เมื่อปฎิบัติตามนั้น เพียงชั่วขณะก็โคจรพลังปรุโปร่ง รู้สึกว่าในนิ้วมือทั้งสิบ คล้ายมีพลังเย็นเป็นเส้นสายพวยพุ่งออกมาเห็นตอนท้ายกำกับข้อความว่า
“เคล็ดวิชาขั้นที่สอง ผู้มีไหวพริบปฎิภาณจะประสบความสำเร็จในเจ็ดปี ชนชั้นรองลงไปจะเรียนรู้ในสิบสี่ปี หากฝึกเป็นเวลายี่สิบเอ็ดปี ไม่มีความรุดหน้า ก็ไม่อาจฝึกถึงขั้นที่สาม หาไม่ธาตุไฟเข้าแทรก ไม่สามารถช่วยเหลือได้”
เตียบ่กี้ทั้งแตกตื่นทั้งยินดีอ่านดูเคล็ดวิชาขั้นที่สามยามนี้รอยอักษรเริ่มเลือนราง เตียบ่กี้ขณะจะหยิบฉวยมีดสั้นมากรีดนิ้วมือตัวเอง เสี่ยวเจียวชิงใช้โลหิตบนนิ้วมือป้ายหนังแพะ เตียบ่กี้ท่องอ่านพลางฝึกปรือ พลางก็ฝึกเคล็ดวิชาขั้นที่สามและสี่ได้โดยรวดเร็ว เวี่ยวเจียวเห็นครึ่งซีกหน้าของเตียบ่กี้แดงราวโลหิต อีกครึ่งซีกหน้ากลับเป้นสีเขียวคล้ำ ในใจนึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่เห้นสองตาของเตียบ่กี้กระจ่างเจิดจ้า คาดว่าไม่มีอันตรายใด รอจนเตียบ่กี้ท่องอ่านเคล็ดวิชาขั้นที่ห้าฝึกต่อไปใบหน้าบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวแดง ขณะที่ใบหน้าเขียว ร่างสั่นสะท้านเล็กน้อยคล้ายพลัดตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง ขณะที่ใบหน้าแดงบนหน้าผากปรากฏหยาดเหงื่อไหลรินดุจห่าฝน เซี่ยวเจียวล้วงผ้าเช็ดหน้าเพิ่งกระทบถูกหน้าผากของอีกฝ่ายหนึ่ง พลันสะท้านที่ข้อมือร่างผงะหงายแทบล้มลง เตียบ่กี้ลุกขึ้นยืน ยกแขนเสื้อปาดเช็ดเหงื่อ ยามกะทันหันไม่ทราบสาเหตุความนัย หาล่วงรู้ไม่ว่าตัวเองฝึกเคล็ดวิชาขั้นที่ห้าสำเร็จแล้ว
ที่แท้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลนี้ แท้ที่จริงเป้นหลักการโคจรพลังใช้กำลังอย่างแยบคาย โดยหลักการแล้วเป็นการใช้พลังซ่อนภายในกายทุกผู้คน ผู้คนทั่วไปมีพลังซ่อนเร้นมหาศาล เพียงแต่ยามปกติใช้ไม่ออกแต่เมื่อถึงคราคับขัน เช่น เกิดอัคคีภัย คนอ่อนแอที่ไม่มีเรี่ยวแรงฆ่าไก่ มักสามารถยกวัตถุหนักพันชั่งได้
หลังจากที่เตียบ่กี้ฝึกปรือลมปราณนวภพสำเร็จ พลังที่สะสมอยู่ภายในกาย ไม่มีผู้ใดในโลกหล้าเทียบเทียมได้เพียงแต่เตียบ่กี้ไม่ได้รับการชี้แนะจากยอดคนไม่อาจใช้ออกมา ยามนี้พอร่ำเรียนเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลพลังซ่อนเร้นภายในกายจึงท่วมทะลักดุจน้ำป่า ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้ เคล็ดวิชานี้ที่ยากฝึกปรือสำเร็จ เป็นเพราะหากไม่ระวัง จะถูกธาตุไฟเข้าแทรก เนื่องด้วยเคล็ดโคจรพลังซับซ้อนยิ่ง ผู้ฝึกปรือกลับปราศจากพลังการฝึกปรืออันลึกล้ำหนุนเสริม เฉกเช่นเดียวกับเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบผู้หนึ่งควงค้อนใหญ่หนักร้อยชั่ง เพลงค้อนยิ่งลึกซึ้งแยบคายยิ่งทำร้ายตัวเองศีรษะแตกโลหิตหลั่งไหล แต่หากผุ้ที่ควงค้อนเป็นผู้ทรงพลังคนหนึ่ง ก็จะใช้ได้อย่างคล่องแคล่วที่แล้วมาผู้ที่ฝึกปรือเคล็ดวิชานี้มีกำลังภายในจำกัด เมื่อฝืนใจฝึกปรือก็ไม่มีพลังสนับสนุนเพียงพอ ครั้งกระโน้นประมุขนิกายเม้งก่าทุกรุ่นเข้าใจสาเหตุความนัยนี้แต่เมื่อเป็นก่าจู้ย่อมมีความมานะเด็ดเดี่ยว ไม่ยอมรับความล้มเหลว ขอเพียงเป็นยอดฝีมือล้วนเชื่อมั่นในหลักการ “ภายใต้ความตั้งใจ สามารถกรุยศิลาทองคำ” ดังนั้นตั้งใจฝึกปรืออย่างจดจ่อ หาทราบไม่ว่าบางครั้งผู้คนมีขีดความสามารถจำกัดเมื่อคิดพิชิตฟ้าเหนือลิขิต มักพกพาความคับแค้นลงสู่ปรภพ เตียบ่กี้ที่สามารถเรียนรู้ภายในเวลาครึ่งวัน ในขณะที่ผู้ที่เฉลียวฉลาดหลักแหลมกว่า มีความสำเร็จเหนือล้ำกว่าเขาจำนวนมาก ทุ่มเทความเพียรพยายามหลายสิบปียังฝึกปรือไม่สำเร็จ เพียงมีข้อแตกต่างอยู่ที่ฝ่ายหนึ่งกำลังภายในเกินพอ อีกฝ่านหนึ่งมีกำลังภายในไม่เพียงพอ เตียบ่กี้สามารถฝึกปรือถึงขั้นที่ห้ารู้สึกว่าควบคุมบังคับพลังลมปราณทั่วร่างได้ตามใจปรารถนา คิดปล่อยออกก็ปล่อยออก คิดรั้งเข้าก็รั้งเข้า ทุกประการเป็นไปตามความต้องการ แขนขาทั่วสรรพางค์กาย ปลอดโปร่งสบายอย่างบอกไม่ถูก ยามนี้กลับลืมเลือนผลักเปิดประตูศิลา ฝึกปรือเคล็ดวิชาขั้นที่หกต่อไปหนึ่งชั่วยามให้หลังก็ฝึกถึงขั้นที่เจ็ด เคล็ดวิชาขั้นที่เจ็ดนี้ มีความลึกล้ำกว่าขั้นที่หกหลายเท่า ยามกะทันหันยากเข้าใจแจ่มแจ้ง ดีที่เตียบ่กี้เรียนรู้หลักการแพทย์แนวทางชีพจร เมื่อเกิดปัญหายุ่งยาก ก็นำมาเทียบเคียงกับหลักการแพทย์จะทะลุปรุโปร่งในบัดดล เตียบ่กี้ฝึกปรือถึงครึ่งทางพลันรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน หัวใจเต้นถี่เร็วกว่าเดิม ดังนั้นระงับสติ เริ่มต้นกันใหม่ ยังคงเป้นเช่นนี้ นับตั้งแต่ฝึกปรือเคล็ดวิชาขั้นที่หนึ่งเป็นต้นมาไม่เคยประสบสภาพเช่นนี้มาก่อน เตียบ่กี้พอกระโดดข้ามข้อความ ฝึกปรือต่อไปรู้สึกสะดวกราบรื่นแต่ผ่านไปหลายประโยค ก็ประสบขวากหนามอีก หลังจากนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคข้อขัดข้องฝึกปรือถึงท้ายบท มีข้อความสิบเก้าประโยคที่ฝึกไม่สำเร็จ เตียบ่กี้ขบคิดชั่วขณะ จึงจัดวางหนังแพะผืนนั้นลงบนก้อนหิน หมอบกราบกรานอย่างนอบน้อม โขกศีรษะหลายครั้งครา อธิษฐานว่า
“ศิษย์เตียบ่กี้ บังเอิญเรียนรู้เคล็ดวิชานิกายเม้งก่า จุดประสงค์เพื่อดิ้นรนเอาตัวรอด หามีเจตนาล้วงลึกถึงคัมภีร์วิชาฝีมือของนิกายท่าน หลังจากที่ศิษย์รอดพ้นจากห้วงอันตรายจะใช้เคล็ดวิชานี้รับใช้นิกายท่าน มิกล้าลืมเลือนพระคุณที่ก่าจู้รุ่นต่างๆทำการปลูกฝังช่วยชีวิต”
หาคาดไม่ว่าการที่เตียบ่กี้ยุติในระดับอันควรไม่ขุดคุ้ยถึงที่สุด กลับพ้องกับหลักการ “รู้จักพอเพียง” ที่แท้ครั้งกระโน้นยอดคนที่บัญญัติคิดค้นเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลแม้มีกำลังภายในกล้าแข็ง แต่ยังไม่บรรลุถึงขั้งลมปราณจักรวาลเพียงฝึกถึงขั้นที่หก ที่เขียนเคล็ดวิชาขั้นที่เจ็ด ตัวเองไม่สามารถฝึกปรือ เพียงบัญญัติขึ้นตามจินตนาการความคิด มุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม เตียบ่กี้ที่ฝึกเคล็ดข้อความทั้งสิบเก้าประโยคไม่สำเร็จ เป็นยอดคนท่านนั้นนึกคิดผิดพลาด คล้ายใช่คล้ายไม่ใช่ หากแม้นเตียบ่กี้คิดฝึกปรือให้จงได้เมื่อถึงตอนท้ายต้องถูกธาตุไฟเข้าแทรก หากมิใช่กลับกลายเป็นคลุ้มคลั่งปัญญาอ่อน ตลอดทั่วร่างจะง่อยเปลี้ยพิการ ถึงกับสะบั้นชีพจรตัวเองเสียชีวิต (อ้างอิงจากหน้า 516 – 520 )



ป๊อป
#95   ป๊อป    [ 26-06-2007 - 06:40:48 ]    IP: 58.10.128.147

หลังจากนั้นเสร็จศึกกับ6สำนักใหญ่ก็ไปได้วิชาหมัดไทเก๊กและกระบี่ไทเก๊กและพักอยู่บนเขาบู๊ตึ๊งเป็นเวลา2เดือน โดยมีเตียซำฮงเป็นผู้ชี้แนะแรวทางในการนำพลังวิชาต่างๆหลอมรวมกันแล้วนำออกมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากนั้นส่วนใหญ่วิชาที่เตียบ่กี้ใช้ ก็จะเป็นวิชาไทเก๊กผสมกับลมปราณนวภพและพลังเคลื่อนย้ายจักรวาล



ป๊อป
#96   ป๊อป    [ 26-06-2007 - 06:50:00 ]    IP: 58.10.128.147

ตอน สำเร็จวิชาเคลื่อนย้ายจักวาลขั้นที่7 (ขั้นจินตนาการ) อ้างอิงจากหน้า 516 – 520

เตียบ่กี้ยิ้มเล็กน้อย รับหนังแพะมาท่องอ่านเบาๆ เห็นข้อความที่เขียนบนหนังแพะ ล้วนเป็นวิธีชักนำโคจรพลังขับเคลื่อนใช้พลัง เมื่อทดลองปฎิบัติตาม ก็กระทำได้โดยไม่ลำบากยากเย็น เห็นบนหนังแพะเขียนว่า
“เคล็ดวิชาขั้นที่หนึ่งนี้ ผู้ที่มีไหวพริบปฎิภาณจะประสบความสำเร็จภายในเจ็ดปี ชนชั้นรองลงไปจะเรียนรู้ในสิบสี่ปี”
เตียบ่กี้สงสัยใจยิ่ง ครุ่นคิดขึ้น นี่มีความยากลำบากอันใด ไยต้องใช้เวลาฝึกปรือถึงเจ็ดปี?
ถัดไปเป็นเคล็ดวิชาขั้นที่สอง เมื่อปฎิบัติตามนั้น เพียงชั่วขณะก็โคจรพลังปรุโปร่ง รู้สึกว่าในนิ้วมือทั้งสิบ คล้ายมีพลังเย็นเป็นเส้นสายพวยพุ่งออกมาเห็นตอนท้ายกำกับข้อความว่า
“เคล็ดวิชาขั้นที่สอง ผู้มีไหวพริบปฎิภาณจะประสบความสำเร็จในเจ็ดปี ชนชั้นรองลงไปจะเรียนรู้ในสิบสี่ปี หากฝึกเป็นเวลายี่สิบเอ็ดปี ไม่มีความรุดหน้า ก็ไม่อาจฝึกถึงขั้นที่สาม หาไม่ธาตุไฟเข้าแทรก ไม่สามารถช่วยเหลือได้”
เตียบ่กี้ทั้งแตกตื่นทั้งยินดีอ่านดูเคล็ดวิชาขั้นที่สามยามนี้รอยอักษรเริ่มเลือนราง เตียบ่กี้ขณะจะหยิบฉวยมีดสั้นมากรีดนิ้วมือตัวเอง เสี่ยวเจียวชิงใช้โลหิตบนนิ้วมือป้ายหนังแพะ เตียบ่กี้ท่องอ่านพลางฝึกปรือ พลางก็ฝึกเคล็ดวิชาขั้นที่สามและสี่ได้โดยรวดเร็ว เวี่ยวเจียวเห็นครึ่งซีกหน้าของเตียบ่กี้แดงราวโลหิต อีกครึ่งซีกหน้ากลับเป้นสีเขียวคล้ำ ในใจนึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่เห้นสองตาของเตียบ่กี้กระจ่างเจิดจ้า คาดว่าไม่มีอันตรายใด รอจนเตียบ่กี้ท่องอ่านเคล็ดวิชาขั้นที่ห้าฝึกต่อไปใบหน้าบัดเดี๋ยวเขียวบัดเดี๋ยวแดง ขณะที่ใบหน้าเขียว ร่างสั่นสะท้านเล็กน้อยคล้ายพลัดตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง ขณะที่ใบหน้าแดงบนหน้าผากปรากฏหยาดเหงื่อไหลรินดุจห่าฝน เซี่ยวเจียวล้วงผ้าเช็ดหน้าเพิ่งกระทบถูกหน้าผากของอีกฝ่ายหนึ่ง พลันสะท้านที่ข้อมือร่างผงะหงายแทบล้มลง เตียบ่กี้ลุกขึ้นยืน ยกแขนเสื้อปาดเช็ดเหงื่อ ยามกะทันหันไม่ทราบสาเหตุความนัย หาล่วงรู้ไม่ว่าตัวเองฝึกเคล็ดวิชาขั้นที่ห้าสำเร็จแล้ว
ที่แท้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลนี้ แท้ที่จริงเป้นหลักการโคจรพลังใช้กำลังอย่างแยบคาย โดยหลักการแล้วเป็นการใช้พลังซ่อนภายในกายทุกผู้คน ผู้คนทั่วไปมีพลังซ่อนเร้นมหาศาล เพียงแต่ยามปกติใช้ไม่ออกแต่เมื่อถึงคราคับขัน เช่น เกิดอัคคีภัย คนอ่อนแอที่ไม่มีเรี่ยวแรงฆ่าไก่ มักสามารถยกวัตถุหนักพันชั่งได้
หลังจากที่เตียบ่กี้ฝึกปรือลมปราณนวภพสำเร็จ พลังที่สะสมอยู่ภายในกาย ไม่มีผู้ใดในโลกหล้าเทียบเทียมได้เพียงแต่เตียบ่กี้ไม่ได้รับการชี้แนะจากยอดคนไม่อาจใช้ออกมา ยามนี้พอร่ำเรียนเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลพลังซ่อนเร้นภายในกายจึงท่วมทะลักดุจน้ำป่า ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้
เคล็ดวิชานี้ที่ยากฝึกปรือสำเร็จ เป็นเพราะหากไม่ระวัง จะถูกธาตุไฟเข้าแทรก เนื่องด้วยเคล็ดโคจรพลังซับซ้อนยิ่ง ผู้ฝึกปรือกลับปราศจากพลังการฝึกปรืออันลึกล้ำหนุนเสริม เฉกเช่นเดียวกับเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบผู้หนึ่งควงค้อนใหญ่หนักร้อยชั่ง เพลงค้อนยิ่งลึกซึ้งแยบคายยิ่งทำร้ายตัวเองศีรษะแตกโลหิตหลั่งไหล แต่หากผุ้ที่ควงค้อนเป็นผู้ทรงพลังคนหนึ่ง ก็จะใช้ได้อย่างคล่องแคล่วที่แล้วมาผู้ที่ฝึกปรือเคล็ดวิชานี้มีกำลังภายในจำกัด เมื่อฝืนใจฝึกปรือก็ไม่มีพลังสนับสนุนเพียงพอ ครั้งกระโน้นประมุขนิกายเม้งก่าทุกรุ่นเข้าใจสาเหตุความนัยนี้แต่เมื่อเป็นก่าจู้ย่อมมีความมานะเด็ดเดี่ยว ไม่ยอมรับความล้มเหลว ขอเพียงเป็นยอดฝีมือล้วนเชื่อมั่นในหลักการ “ภายใต้ความตั้งใจ สามารถกรุยศิลาทองคำ” ดังนั้นตั้งใจฝึกปรืออย่างจดจ่อ หาทราบไม่ว่าบางครั้งผู้คนมีขีดความสามารถจำกัดเมื่อคิดพิชิตฟ้าเหนือลิขิต มักพกพาความคับแค้นลงสู่ปรภพ เตียบ่กี้ที่สามารถเรียนรู้ภายในเวลาครึ่งวัน ในขณะที่ผู้ที่เฉลียวฉลาดหลักแหลมกว่า มีความสำเร็จเหนือล้ำกว่าเขาจำนวนมาก ทุ่มเทความเพียรพยายามหลายสิบปียังฝึกปรือไม่สำเร็จ เพียงมีข้อแตกต่างอยู่ที่ฝ่ายหนึ่งกำลังภายในเกินพอ อีกฝ่านหนึ่งมีกำลังภายในไม่เพียงพอ เตียบ่กี้สามารถฝึกปรือถึงขั้นที่ห้ารู้สึกว่าควบคุมบังคับพลังลมปราณทั่วร่างได้ตามใจปรารถนา คิดปล่อยออกก็ปล่อยออก คิดรั้งเข้าก็รั้งเข้า ทุกประการเป็นไปตามความต้องการ แขนขาทั่วสรรพางค์กาย ปลอดโปร่งสบายอย่างบอกไม่ถูก ยามนี้กลับลืมเลือนผลักเปิดประตูศิลา ฝึกปรือเคล็ดวิชาขั้นที่หกต่อไปหนึ่งชั่วยามให้หลังก็ฝึกถึงขั้นที่เจ็ด เคล็ดวิชาขั้นที่เจ็ดนี้ มีความลึกล้ำกว่าขั้นที่หกหลายเท่า ยามกะทันหันยากเข้าใจแจ่มแจ้ง ดีที่เตียบ่กี้เรียนรู้หลักการแพทย์แนวทางชีพจร เมื่อเกิดปัญหายุ่งยาก ก็นำมาเทียบเคียงกับหลักการแพทย์จะทะลุปรุโปร่งในบัดดล เตียบ่กี้ฝึกปรือถึงครึ่งทางพลันรู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน หัวใจเต้นถี่เร็วกว่าเดิม ดังนั้นระงับสติ เริ่มต้นกันใหม่ ยังคงเป้นเช่นนี้ นับตั้งแต่ฝึกปรือเคล็ดวิชาขั้นที่หนึ่งเป็นต้นมาไม่เคยประสบสภาพเช่นนี้มาก่อน เตียบ่กี้พอกระโดดข้ามข้อความ ฝึกปรือต่อไปรู้สึกสะดวกราบรื่นแต่ผ่านไปหลายประโยค ก็ประสบขวากหนามอีก หลังจากนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคข้อขัดข้องฝึกปรือถึงท้ายบท มีข้อความสิบเก้าประโยคที่ฝึกไม่สำเร็จ เตียบ่กี้ขบคิดชั่วขณะ จึงจัดวางหนังแพะผืนนั้นลงบนก้อนหิน หมอบกราบกรานอย่างนอบน้อม โขกศีรษะหลายครั้งครา อธิษฐานว่า
“ศิษย์เตียบ่กี้ บังเอิญเรียนรู้เคล็ดวิชานิกายเม้งก่า จุดประสงค์เพื่อดิ้นรนเอาตัวรอด หามีเจตนาล้วงลึกถึงคัมภีร์วิชาฝีมือของนิกายท่าน หลังจากที่ศิษย์รอดพ้นจากห้วงอันตรายจะใช้เคล็ดวิชานี้รับใช้นิกายท่าน มิกล้าลืมเลือนพระคุณที่ก่าจู้รุ่นต่างๆทำการปลูกฝังช่วยชีวิต”
หาคาดไม่ว่าการที่เตียบ่กี้ยุติในระดับอันควรไม่ขุดคุ้ยถึงที่สุด กลับพ้องกับหลักการ “รู้จักพอเพียง” ที่แท้ครั้งกระโน้นยอดคนที่บัญญัติคิดค้นเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลแม้มีกำลังภายในกล้าแข็ง แต่ยังไม่บรรลุถึงขั้งลมปราณจักรวาลเพียงฝึกถึงขั้นที่หก ที่เขียนเคล็ดวิชาขั้นที่เจ็ด ตัวเองไม่สามารถฝึกปรือ เพียงบัญญัติขึ้นตามจินตนาการความคิด มุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม เตียบ่กี้ที่ฝึกเคล็ดข้อความทั้งสิบเก้าประโยคไม่สำเร็จ เป็นยอดคนท่านนั้นนึกคิดผิดพลาด คล้ายใช่คล้ายไม่ใช่ หากแม้นเตียบ่กี้คิดฝึกปรือให้จงได้เมื่อถึงตอนท้ายต้องถูกธาตุไฟเข้าแทรก หากมิใช่กลับกลายเป็นคลุ้มคลั่งปัญญาอ่อน ตลอดทั่วร่างจะง่อยเปลี้ยพิการ ถึงกับสะบั้นชีพจรตัวเองเสียชีวิต(อ้างอิงจากหน้า 516 – 520 )



DNAมังกรหยก
#97   DNAมังกรหยก    [ 26-06-2007 - 07:18:03 ]    IP: 125.26.193.117

ขอโทษครับ ขอแก้คห.85ของผมนะคับ ตามจริง ไม่ใช่บทสัมภาทกิมย้งหรอกงับ แต่ผมบอกบังหน้าเท่านั้นเอง ตามจริงแล้วผมบอกไม่ได้คับ แต่ที่ผมพูดที่ว่า2คนนั้น สู้กัน ไม่ได้โกหกคับ แต่ที่มาบอกไม่ได้ จิงๆ โทดด้วย



DNAมังกรหยก
#98   DNAมังกรหยก    [ 26-06-2007 - 17:13:50 ]    IP: 125.26.193.117

กำผมไม่ได้รวมเก้าเอี๊ยงเข้าไปด้วยนะผมหมายถึงเก้าอิมเฉยๆ -*-



Akk
#99   Akk    [ 26-06-2007 - 17:34:18 ]    IP: 125.25.1.103

ไม่มีที่มาใช้อ้างอิงไม่ได้นะครับ ไม่งั้นจะเป็นแค่คำพูดลอยๆ



จอมยุทธ์มังกรน้อย
#100   จอมยุทธ์มังกรน้อย    [ 26-06-2007 - 17:36:38 ]

คุณประจิม คําว่า ไร้กระบี่เหนือกว่ามีกระบี่ ในความคิดของผมไม่ได้หมายถึงว่าในมือไม่มีกระแล้วจะเหนือกว่ามีกระบี่ครับ อันคําว่า ไร้กระบี่เหนือกว่ากระบี่ ของตกโกคิ้วป้ายก็คือ การรู้จักวิญญาณแห่งกระบี่ ไม่ให้ใจไปยึดติดกับกระบี่ รู้จักการใช้กระบี่อย่างผสมผสานกันได้ต่อเนื่อง จะใช้กระบี่ออกอย่างไร ก็ใช้ไปตามใจ ไม่ต้องมีกระบวนท่า จะโผพุ่งกระบี่ไปที่ใดก็โฉบไป เป็นการเปิดอิสระแห่งใจ กระบี่คือตัวเขา ตัวเขาคือกระบี่ กระบี่ไม่ได้อยู่เพียงที่ใจ แต่กระบี่อยู่ทุกหนทุกแห่ง นี่ล่ะ....ที่สุดแห่งที่สุด ซึ่งนี้ก็คือหลักที่แท้จริงของวิขาเก้ากระบีเดียวดายของตกโกคิ้วป้ายครับ แต่ของเอี้ยก้วยต่างกันตรงที่ในใจยังใช้กระบี่อยู่เหมือนกันตรงที่ไม่ยึดติดกับกระบวนท่าที่ตนเองเคยฝึกมา หันมาเน้นการใช้ลมปราณคุมกระบี่มากกว่าครับ ที่เอี้ยก้วยสามารถใช้กิ่งไม้แทนกระบี่ได้ก็เนื่องมาจากได้ฝึกทั่งกระบี้นิลดําอันหนักและกระบี่ไม้อันเบา โดยเริ่มแรกพอเอี้ยก้วยได้ฝึกกระบี่หนักคนคล่องแล้วก็หันมาฝึกกระบี่เบาเลยทําให้กระบี่เบากลายเป็นกระบี่อันทรงพลังคล้ายกระบี่หนัก และเมื่อเปลี่ยนฝึกจากกระบี่เบามาฝึกกระบี่หนักเหมือนเดิม ก็จะกลายเป็นว่ามีความรู้สึกกระบี่หนักนั้นเบา สามารถใช่ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวมากกว่าเดิมครับ



ตอบกระทู้
ชื่อ
รหัส กรอกตัวอักษร ตามภาพ
ข้อความ


emo-smile emo-happy emo-lol emo-enjoy emo-kiku emo-cool emo-hoho emo-drool emo-hungry emo-kiss emo-sorry emo-sad emo-cry emo-tear emo-question emo-doubt emo-shock emo-redface emo-plz emo-peevish emo-angry emo-moody emo-sneer emo-makefaces emo-good emo-touched emo-love emo-bore emo-tired emo-vomit
bold italic underline img link superscript subscript size color space justifyleft justifycenter justifyright quote box youtube