เข้าระบบอัตโนมัติ

อีกมุมหนึ่งของพุทธศาสนาที่ไม่มีบันทึกในพระไตรปิฏก(เป็นความเชื่อส่วนบุคคล)


  • 1
o-freedom
#1   o-freedom    [ 07-11-2009 - 03:09:57 ]

โดยส่วนตัวต้องกล่าวก่อนว่าทั้งหมดเป็นเพียงความคิดเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้ประสบมาทั้งสิ้นการที่จะอ่านบทความของผมนั้นต้องอยากเพิ่งกลางพระไตรปิฎกเข้ามาเถียงแต่ให้ใช้หลักของความเป็นจริงที่ได้พบในชีวิตประจำวันเข้ามาวิเคราะห์ถกเถียงกันแทน โดยที่จะกล่าวเป็นมุมมองอีกด้านหนึ่งในที่ไม่มีใครเห็นในพุทธศาสนาขอเริ่มเลยแล้วกัน

1.หลักการทำบุญ
การทำบุญนั้นไม่ใช่ว่าใครไปวัดตักบาตรทำสังฆทาน แล้วจะได้บุญเลยมันง่ายไปไหม การทำบุญที่จะให้ได้บุญต้องยึดหลักการ3ประการคือต้นทางถูก กลางทางถูก และปลายทางถูก ถึงจะได้บุญ
ต้นทาง คืออะไร
ต้นทางก็คือตัวเราเองโดยตัวเราเองจะต้องมีความมุ่งมั่นในศรัธาที่จะทำรวมทั้งเจตนาที่ดีด้วยโดยต้องทำให้ใจเต็มให้ได้
กลางทางคืออะไร
กลางทางก็คือเราต้องดูว่าเมื่อเราทำบุญกับวัดนี้แล้วสิ่งที่เราทำไปอาทิ เช่น เงิน ทอง ไปอยู่ที่ตรงไหนตามที่เราตั้งใจไว้หรือเปล่าว เช่น เราตั้งใจจะสร้างวิหารแต่ทางวัดเอาเงินเราไปทำสุขาอย่างงี้ถือว่าผิดเจตนาของเราก็จะเป็นการได้กรรมแทนที่ของบุญเพราะปลายทางผิด
ปลายทางคืออะไร
ปลายทางก็คือจุดรับบุญที่เราได้กระทำจะได้บุญมากหรือบุญน้อยย่อมอยู่กับตัวของผู้รับและผู้ทำอาทิเช่นเราจะไปเชียงใหม่ต้นทางเราต้องไปขึ้นรถที่หมอชิต กลางทางรถเราต้องแล่นผ่านอยุธยาผ่านกำแพงผ่านลำปางยันไปถึงไปทางคือเชียงใหม่อย่างนี้ถึงจะถูก การทำบุญก็เช่นเมื่อทำบุญไปแล้วเช่นจะทำวิหารเราต้องดูว่าเงินของเรานี้เมื่อผ่านกลางทางไปแล้วมันไปเลี้ยวตรงไหนหรือเปล่าวแต่ท้าไม่เลี้ยวไปไหนไปถึงไปทางแน่นอนแล้วเช่น เราทำบุญสร้างวิหารร้อยบาทเจ้าหน้าที่กรรมการวัดเอาเงินร้อยบาททั้งหมดของเราเอาไปทำวิหารทั้งหมดร้อยบาทเราถึงจะได้บุญเต็ม(แต่ถ้าเจ้าหน้าที่เอาเงินร้อยบาทของเราไปจ่ายค่านำค่าไฟฟ้าซัก20บาทเอาไปจะค่าสร้างสุขาซัก50บาท เราก็จะได้บุญแค่30บาทแต่ได้กรรม70บาทซึ่งขาดทุนก็คิดเอาเองว่าควรจะทำบุญกับวัดนี้ไหม)

การทำบุญกับพระอริยเจ้า(ไม่ใช่สมมุติสงฆ์)คือต้องใช้ของ3อย่างแทนความศรัธา
1.เงิน ใช้แทนฐาน
2.ทอง ใช้แทนอำนาจวาสนา
3.พระรูปหล่อไม่ควรเป็นพระพุทธรูป(เพราะไม่มีใครสร้างพระพุทธเจ้าได้นอกจะตัวท่านเอง)
หลายคนอาจบอกว่าทำไมไม่ถวายศิลทำไมไม่ถวายสังฆ์ทานกระป๋อง ก็เพราะพระละดับนี้ส่วนใหญ่ท่านไม่จำเป็นต้องใช้แล้วคับพวกอาหารเครื่องนุ่งห่ม แล้วทำไมเราจึงถวายศิลกับท่านไม่ได้ก็ต้องถามตัวเองดูก่อนว่าท่าศิลหายไปข้อแล้วรู้สึกเสียดายไหม ต่างกับเงินทองถ้าหายไปหละก็มนุษย์อย่างเราเสียดายแน่นอนแต่ก็เพราะเสียดายแต่เรากับตัดใจได้นี้แหละถึงได้บุญ(แต่เราไม่สามารถทำแบบนี้ได้กับสมมุติสงฆ์ส่วนใหญ่ในโลกนี้)

หลักการอธิฐานในการทำบุญ
1.ถ้ามีใครยืนซองขาวให้ทำบุญให้พูดว่าทำบุญนะ
ทำไมถึงให้พูดว่าทำบุญนะก็เพราะมันเป็นประโยคคำสั่งใครเอาเงินเราไปทำอะไรนอกเหนือจากการทำบุญที่เราตั้งใจไว้เราก็จะได้ไม่ต้องรับกรรมร่วมกับเขา
2.ไม่ต้องอธิฐานอะไรนานมากให้ใช้ประโยคสั่นๆแต่ได้ใจความคอบคุม


สิ่งที่เป็นเสมือนนิยายแต่มีจริงและไม่มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏก
นั่นก็คือมนุษย์เราคิดว่าชั้นนิพานคือชั้นสูงสุดไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด แต่ในความเป็นจริงยังมีดินแดนที่อยู่เหนือกว่านั้นอีกและเป็นดินแดนที่ไม่มีที่สิ้นสุดโดยในดินแดนนี้มีแต่ผู้ที่ทรงญานเป็นพุทธโพธิญานแล้วเท่านั้นถึงจะอยู่ได้
ต้องอธิบายก่อนว่าพระอรหันนั้นยังไม่ใช่พุทธโพธิ์ญานซึ่งส่วนใหญ่พระละดับอรหันนั้นไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดแล้วแต่ก็ไม่สามารถต่อยอดต่อไปได้จึงอยู่ในใช้นิพานซึ่งต่างกับชั้นญานก็คือต่อยอดได้ไม่มีที่สิ้นสุดอาจกล่าวได้ว่าเป็นชั้นที่มีแต่พระพุทธตั้งแต่อดีตยันอนาคตเท่านั้นที่จะอาศัยอยู่ได้โดยแต่ละองค์ก็ไม่ได้ยืนอยู่เสมอกันขึ้นอยู่กับทรงญานสูงหรือตำและอะไรอีกหลายอย่าง
หากจะเรียงลำดับก็คือชั้นเทพ ชั้นพรม ชั้นนิพาน และสุดท้ายก็ชั้นญาน
การกำเนิดพุทธโพธิ์ญาน ไม่จำเป็นต้องกำเนิดแบบพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันหรือในอดีตตามที่มีการจดบันทึกในพระไตรปิฏก และก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุญและกรรมเป้นตัวกำหนดแต่อุบัติเพราะอะไรก็ไม่มีใครทราบได้อยากจะอุบัติก็อุบัติด้วยตนเองและแต่ละองค์ก็แนวทางไม่เหมือนกันโดยการกำหนดพุทธโพธิ์ญานเกิดขึ้นได้2อย่างใหญ่คือ 1.กำเนิดจากการปฏิบัติเอง(เหมือนกับพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)2.กำเนิดจากการประทาน(ต้องเจอรองค์พระพุทธเจ้าองค์จริงๆและต้องเป็นองค์ที่ใหญ่ที่สุดนั้นก็คือองค์สมเด็จองค์ปฐมและ9องค์กำเนิดพุทธโพธิ์ญานเท่านั้นซึ่งเป็นไปได้อยากมากแต่ก็มีมาแล้วในยุคปัจจุบันนี้)
และนอกจากนี้การที่จะกำเนิดได้คนผู้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติคือต้องมีบุญมากมายมหาสาร ต้องมีอำนาจวาสนาและจะต้องมีกรรมมาก ถึงจะกำเนิดได้
ความพิเศษของพุทธโพธิ์ญานคืออยู่เหนือกรรม รูปร่างหน้าตางดงาม(อยากสวยอยากหล่อแค่ไหนยิ่งกว่าใจนึก)ไม่มีการหยุดอยู่กับที่มีแต่เลื่อนสูงขึ้นเลื่อยๆ ไม่มีความทุกข์มีแต่ความสุขทุกรูขุมขนไม่ต้องกินอาหารแค่คิดก็อิ่มแล้ว ไปโลกไหนก็จะอยู่ในรูปที่โลกนั้นเขานับถือ เช่นถ้ามาในโลกของเราก้จะมาในรูปของพระหรือนักพรต ส่วนในเรื่องของอิทธิลิดนั่นไม่เหมือนในหนังจักรๆวงๆในช่อง7หรือในหนังจีนไซอิ๋วแต่มันยิ่งกว่านั้นมาก
ปล.วันนี้ผมข้อพักไว้แค่นี้ก่อนคับถ้าว่างเดี๋ยวค่อยมาต่อ ข้อยำอีกครั้งคับว่านี้คือเรื่องจริงแต่ว่าสำหรับมนุษย์บนโลกนี้ไม่สามารถใช้อ้างอิงค์ได้เพราะไม่มีในพระไตรปิฏกก็เพราะนี้เป็นวิชาที่ตั้งแต่ชั้นเทพขึ้นไปเขาเรียนกันซึ่งพระไตรปิฎกไม่สามารถใช้ได้เลยกับการสร้างบุญเพื่อที่จะบรรลุเป็นพุทธโพธิ์ญานแต่มันก็ทันสมัยมากในการที่ใช้กับโลกมนุษย์ใบนี้และแม้กระทั้งพระอริยเจ้าองค์ที่ได้เขียนพระไตรปิฏกเองก็ไม่ใช้ผู้ทรงญานที่สูงที่สุดการที่ท่านเขียนก็เขียนเท่าที่ท่านรู้ท่านเห็นและท่านก็ไม่จำเป็นต้องเขียนทั้งหมดเพราะท่านก็หวงบุญเหมือนกันกว่าจะปฏิบัติได้จนถึงขั้นนี้มันโครตอยาก(จะให้เขียนหมดคงไม่ได้)ทุกคนต้องลองผิดลองถูกเองส่วนที่มาที่ไปว่าผมรู้มาจากไหนขอไม่บอกแล้วกันแต่พูดได้ว่ามีที่มาที่ไปแน่นอน เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่วิจารณญานของแต่ละบุคคลก็แล้วกัน



ฝ่ามืออัสนีบาต
#2   ฝ่ามืออัสนีบาต    [ 07-11-2009 - 08:25:48 ]

การทำบุญมันย่อมดีกว่าการโกงอยู่แล้ว แต่คนเราทำบุญเพราะความโลภนี่สิ เอากิเลสอ่อนไปแลกกิเลสแก่ อย่างนี้เรียกว่าไม่บริสุทธิ์ คือยังมีอัตตาอยู่ ยังหวัง ยังอยากได้ การทำบุญผมคิดว่าอีกนัยหนึ่งน่าจะเป็นการถอนอัตตาออกจากตัวตนที่ยึดติดด้วย แต่คุณอย่าลืมว่าการทำบุญไม่ได้หมายถึงการใช้เงินหรือใช้เพียงวัตถุเท่านั้น คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการทำบุญคือให้ทาน ให้ทานคือเงิน เมื่อไม่มีเงินทำบุญไม่ได้ ซึ่งจริงๆแล้วการทำบุญนั้นมีสารพัดวิธี คุณลองไปดูในบุญกิริยาวัตถุ10ก็ได้ คุณอย่ามองแค่เป็นอามิสบูชาเท่านั้น ยังมีปฏิบัติบูชาที่เป็นบุญได้เช่นกัน

ส่วนเรื่องการไปนิพพานนั้น เราจะมาถกเถียงกันก็เหมือนตาบอดคลำช้าง ที่เรามาบอกกันว่านิพพานเป็นอย่างงั้นอย่างนี้ มันเป็นนิพพานในจินตนาการของเราเท่านั้นแหละ ส่วนการที่คิดว่ายังมีอีกขั้นที่สูงกว่านิพพานอาจจะเป็นกองขี้หมาก็ได้ คุณอย่าไปหลงกับวิธีการ เพราะความตื่นรู้หรือความเป็นพุทธะมันอยุ่ในตัวเรา อยุ่ที่ใครจะค้นพบหรือเปล่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นเพียงผู้บอกทาง บอกว่าความเป็นพุทธะเนี่ยอยุ่ในตัวคุณอยู่แล้วนะ คุณไม่ต้องออกไปแสวงหาจากที่อื่น พระองค์ทรงแนะวิธีให้คุณค้นหามันเอง ต้องทำเอง เพราะเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ทำแทนกันไม่ได้ ถึงแม้จะมีผู้ช่วยบอกทาง แต่ท้ายที่สุดมันเป็นเรื่องของตัวเราเอง จงใช้นิ้วชี้ไปที่พระจันทร์ แต่อย่ายึดติดที่นิ้ว เพราะนิ้วไม่ใช่พระจันทร์

ปล.ถ้าคุณพบพระพุทธเจ้ากลางทาง จงฆ่าพระองค์ซะ!



นินจาโคงะ
#3   นินจาโคงะ    [ 07-11-2009 - 16:09:05 ]

ตกลงไม่รู้มันยังไง เอาเป็นว่าลุงสอนกระผมไปนิพพานดีกว่า



๑ยาจกอุดร๑
#4   ๑ยาจกอุดร๑    [ 07-11-2009 - 22:31:46 ]

ง่ายๆครับ
ทำอะไรที่ตัวเราสบายใจ คนอื่นก็สบายใจ
นั่นแหละคือบุญกุศลที่แท้จริง
ไม่ต้องมานั่งคิดหาวิธีไปนิพพานหรอกครับ
มันเป็นทุกข์และวิตกกังวลเปล่าๆ



อี่น่ำเทียน
#5   อี่น่ำเทียน    [ 08-11-2009 - 13:20:59 ]


ใจหยุด คือ ที่สุดแห่งบุญ

จะบอกคร่าวๆว่าสภาวะนิพพานนั้นมันมีอยู่จริงและสภาวะนั้นเป็นเช่นไร

นิพพานแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ

1. มหานิพพาน วิธีที่เจ้าเข้าถึงได้นั้นต้องทำวิปัสนากรรมฐานเท่านั้น

2. นิพพานย่อย เป็นสภาวะนิพพานที่เราๆท่านๆสามารถเข้าถึงได้

เช่น เรารู้เหตุผลที่ว่าทำไม 1 + 1 = 2 เราเกิดความกระจ่างแจ้งโล่งสบายใช่ไหมว่า

โจทย์ข้อนี้มันมีที่มาและที่ไปของมันยังไง เราจะไม่กังวลเลยหาใครจะมาถามเราว่า

ทำไม 1 + 1 ถึงเท่ากับ 2 เพราะเราสามารถอธิบายได้อย่างหมดสิ้น !!

ความโล่งสบายไร้กังวลเช่นนี้ล่ะ ที่เขาเรียกว่า สภาวะนิพพาน

แล้วคิดดูว่า ผู้ที่สำเร็จมรรคผลเข้าถึงมหานิพพาน

ที่สามารถรับรู้เหนือโลกเหนืออัตตาปัจเจกลักษณ์แห่งโลกียสภาวะ

สู่จักรวาลอันเป็นสากลนิรันดร์ได้นั้น จะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายจิตที่สงบสุขนิ่งแท้ขนาดไหน

นี่ล่ะ เหตุผลที่ใบหน้าของพระอริยเจ้า ถึงได้อิ่มเอิบผ่องใสกันทุกท่าน ~








o-freedom
#6   o-freedom    [ 08-11-2009 - 13:37:11 ]

ซึ่งจริงๆแล้วการทำบุญนั้นมีสารพัดวิธี คุณลองไปดูในบุญกิริยาวัตถุ10ก็ได้ คุณอย่ามองแค่เป็นอามิสบูชาเท่านั้น ยังมีปฏิบัติบูชาที่เป็นบุญได้เช่นกัน

ใช่คับคุณอัสนีบาต ในพระไตรก็กล่าวไว้แต่ผมบอกแล้วไงว่าอยากเพิ่งเอาพระไตรมาเถี่ยงผมให้มองดูตามความเป็นจริง ถ้าบุญมันทำง่ายอย่างที่คุณว่าพระสมมุติสงฆ์ในโลกนี้ทั้งหมดไม่บรรลุธรรมไปหมดโลกแล้วหรือคับเพราะท่านต้องรักษาศิลตั้ง200กว่าข้อ คนทั้วไปศิลแค่5ข้อยังรักษากันไม่ได้เลยแล้วที่คุณว่าทำแล้วได้บุญแล้วคุณรู้ได้ไงว่าเป็นบุญ ในพระไตรได้กล่าวว่าการทำสังฆ์ทานกระป๋องเดียวได้บุญมากกว่าการตักบาตรกับพระพุทธเจ้า
แต่คุณอย่าลื่มนะคับว่าในสมัยนั้นมีแต่พระอรหันผู้ทรงชานชั้นสูงมากมายไม่ใช่มีแต่สมมติสงฆ์ที่บางองค์(ขอยำว่าบางองค์)แม้แต่ศิลก็ยังท่องไม่ได้เลยมาบวชก็เพราะพ่อแม่บังคับให้มาแล้วมันจะได้บุญได้ยังไงกันแถมบางองค์ยังติดยาเสพติดอยู่เลย มาบวชซื้อนรกแล้วยังทำให้ศาสนาเสื่อมเสียอีก อย่าลื่มนะคับในยุคนี้พระปฏิบัติมีน้อยมากขนาดพระระดับเกจิยังแค่อรหันเอง(สังเกตุ(ส่วนใหญ่นะ)ให้ดูตอนเผาสังขานท่านถ้าเผาไม่ไหม้หรือสังขานไม่เน่าเสียหรือแข็งการเป็นหิน)นั้นท่านก็แค่สำเร็จชานชั้นสู้หรืออรหันนั้นแหละยังไม่ถึงพุทธโพธิ์ญาน พุทธโพธิ์ญานคืออะไร พุทธโพธิ์ญานก็คือผู้ทรงญานไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดแล้วอยู่เหนือซึ่งกฏแห่งกรรมแต่ก็มิใช่ว่าหมดกรรมเพียงแต่มิต้องชดใช้แล้ว และยังสามารถที่จะเลื่อนลำดับต่อยอดไปอีกได้เลื่อยๆ(ซึ่งอรหันหรือผู้ทรงชานชั้นสู้ทำไม่ได้)เพียงแต่ระดับอรหันก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดแล้วเช่นกัน ผู้ทรงญานหรือพุทธโพธิ์ญานที่มนุษย์บนโลกนี้ส่วนใหญ่รู้จักกันก็คือ พรพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันไงหละคับหรือจะเรียกว่าท่านสมมณะโครตดมก้ได้เพราะคำว่าพระพุทธเจ้าเป็นคำที่มนุษย์เป็นผู้บันญัติขึ้นเพื่อที่จะได้รู้กันว่าท่านอยู่ในระดับไหน แต่ตั้งแต่ชั้นเทพเป็นตั้นไปเขาจะเรียกผู้ทรงญานว่าพุทธโพธิ์ญานทั้งหมด แล้วพุทธโพธิ์ญานก็ไม่ได้มีแค่5พระองค์ตามที่มนุษย์รู้กันแต่มีมากกว่าเม็ดทรายในท่องมหาสมุทรเสียอีก แต่มีองค์สำคัญเพียงไม่กี่องค์ที่พุทธโพธิ์ญานทุกองค์ต้องการอยู่ใกล้และเป็นเสมือนเกนณ์ที่ใช้แบ่งว่าใครมีญานสูงกว่าใครนั่นก็คือองค์สมเด็จองค์ปฐม


ปล.บุญเราทุกคนสามารถจับต้องได้เพียงแต่ว่าใครจะเห็นชัดหรือไม่ชัดกว่ากันก็เท่านั้น เพียงแต่ว่าอย่าคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าสิ่งที่ตัวเองทำ เช่น ตักบาตรพระทุกวันตอนเช้า จะต้องได้บุญถ้าเกิดว่ายังไม่รู้ปลายทางไปอยู่ตรงไหน ส่วนการทำความดีก็ยังไม่ใช่บุญ แต่เป็นส่วนหนึ่งที่จะนำพาเราไปสู่บุญเท่านั้น แล้วก็อย่างที่ผมบอกไปไงที่ให้ใช้เงินทองทำบุญก็เพราะว่ามันวัดถึงศรัธาเราได้เพราะมันเป็นสิ่งที่เราตัดใจได้อยากที่สุด(แต่มนุษย์ชอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าการรักษาศิลได้บุญมากกว่า)มันจะได้มากกว่าได้ไงในเมิ่อมันรักษาไม่ได้หายไปซัก2-3ข้อก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไรเท่ากับเงินทอง(แต่ว่าการใช้เงินทองทำส่วนใหญ่ใช้ได้กับเฉพาะพระปฏิบัติขึ้นไปเท่านั้นซึ่งหาได้อยากมากในยุคนี้)แต่ถ้าเป็นพระสมมุติสงฆ์ทั่วไปทำบุญแบบที่คุณฝ่ามืออัสนีบาตกล่าวไว้ก็มิผิดเพราะบางสิ่งบางอย่างเช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ท่านยังต้องใช้อยู่เมื่อท่านแกะใช้เราถึงจะได้บุญ แต่พระระดับทรงชานชั้นสูงขึ้นไปทางบางองค์มิได้มีความจำเป็นต้องใช้แล้วถวายอาหารเครื่องนุ่งห่มหรือยาสามัญประจำบ้านไปท่านยังไม่ได้ใช้แล้วเราจะได้บุญได้อย่างไร(แต่ก็มีบางกรณียกเว้น อาทิเช่น ท่านขอยาหรืออะไรก็ว่ากัน)ถ้าอย่างนี้เราทำก็จะได้บุญมหาศาล

ส่วนการถอดกายทิพย์ออกจากร่างได้ ต้องถามก่อนว่ามันได้บุญตรงไหนหากแม่นแค่จิ้งจกวิ่งมาเกาะร่าง
ที่ถอดไว้แล้วเรากับเข้าร่างไม่ได้จะเป็นอย่างไง(การปฎิบัติได้ถึงแค่ระดับนี้ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่นะคับ)สู้ไปทั้งร่างกายเนื้อกายทิพย์เลยไม่ได้กว่าหรือคับ
วันนี้แค่นี้ก่อน
คับ
ขำยำว่ากระทู้นี้มีไว้สำหรับแลกเปลี่ยนคมคิดเห็นแล้วแนวทางปฏิบัติบุญของแต่ละบุคคลคับใครมีแนวทางดีๆมานำเสนอกันได้คับ



ฝ่ามืออัสนีบาต
#7   ฝ่ามืออัสนีบาต    [ 08-11-2009 - 15:28:36 ]

คุณ o-freedom ครับ แล้วคุณรู้ได้ยังไงหละว่ามันจะไม่เป็นบุญ แต่บุญในความคิดของผมคือทำแล้วเกิดความเบิกบานใจ สิ่งที่ทำแล้วทำให้เกิดความปีติอิ่มเอมใจ ผมเห็นด้วยกับคุณอย่างยิ่งในเรื่องที่ว่าหากทำบุญด้วยจิตศรัทธา แม้จะเป็นสิ่งของเล็กน้อยหากมีความตั้งใจที่จะทำจริง ย่อมมีอานิสงส์กว่าคนที่ทำบุญทีละมากๆแต่ใจไม่บริสุทธิ์ พูดง่ายๆคือดีกว่าพวกทำบุญเอาหน้าว่าอย่างงั้นเถอะ

ไม่ว่าจะเป็นบุญหรือบาป ดีหรือชั่ว สุดท้ายแล้วก็คือความว่างเปล่า พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไม่ให้ยึดติดแต่ไหนแต่ไร เพราะการยึดติดกับเรื่องใดก็ตามมันทำให้เป็นทุกข์ ยึดติดความดีก็ทุกข์เพราะยึดติดความดี
ไม่ว่าจะเป็นความดีหรือบุญกุศลต่างๆเป็นแค่เรือที่พาเราไปถึงฝั่ง ถึงฝั่งแล้วเราไม่จำเป็นแบกเรือขึ้นฝั่งอีก

พระพุทธศาสนาไม่ได้สนใจว่าจะต้องฝึกให้ถึงขั้นนั้นนี้ ไม่ได้สนใจว่าสวรรค์มีหรือนรกมี แต่สนใจชาตินี้ สนใจปัจจุบันนี้ ส่วนที่พระท่านสามารถฝึกจิตจนถึงขั้นมีญาณอะไรต่างๆนั้นเป็นของธรรมดา เป็นของได้เปล่า มิใช่จุดหมาย เป็นแค่ทางที่เดินผ่าน แล้วคุณอย่าไปตั้งเป็นความคิดว่าจะต้องฝึกไปถึงขั้นนั่นนี่ มันทำให้เป็นทุกข์เปล่าๆ

ผมว่าคุณกำลังหลงอยุ่ในเรื่องที่มันเป็นตำนานมากไป พระพุทธเจ้าท่านทรงเปรียบคนที่มัวคิดแต่เรื่องพวกนี้ว่าเหมือนคนที่ถูกยิงด้วยศรอาบยาพิษ แทนที่จะหาวิธีถอนศรนั้นออกจากตัว กลับอยากรุ้ว่าศรนั้นทำจากอะไร เหล็กหรือไม้ ถ้าไม้เป็นไม้ชนิดไหน แล้วใครเป็นคนยิง คนยิงเป็นลูกหลานใคร อยุ่อย่างนั้นไม่จบไม่สิ้น



ชอเฮียงส่วย
#8   ชอเฮียงส่วย    [ 08-11-2009 - 17:51:19 ]

เท่าที่อ่านดูรู้สึกจะขัดกับหลายๆอย่างเช่นการอธิฐานในการทำบุญ ความจริงที่ทำแล้วมาเกาะๆกันนั้นไม่มีประโยชน์แค่พูดคำว่าสาธุเท่านี้ก็ได้ร่วมอนุโมธนาด้วยใจศรัทธา แล้วก็ยังทีท่านบอกว่าเป็ยวิชาที่ตั้งแต่ชั้นเทพเรียนกันผู้ที่เขียนพระไตรไม่ทราบทั้งหมด แล้วท่านรู้ได้อย่างไรครับว่าเรื่องราวเหล่านั้นเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือได้หากเป็นชั้นเทพเรียนกันแล้วมนุษย์อย่างเราๆทราบได้อย่างไร แล้วก็ส่วนในเรื่องการทำบุญ แต่ในที่ๆท่านอธิบายมาดูเหมือนจะเป็นการทำบุญด้วยหวังมากว่าการทำด้วยจิตศรัทธาที่ตั้งใจทำลงไป ถ้าเกิดมีคนบอกว่าการทำบุญเป็นเพียงกุศโลบายที่ทำไปไม่ได้บุญเป็นเพียงอยากให้ผู้คนมีจิตใจที่ดีงามแบ่งปันช่วยเหลือกัน สวรรค์นรกไม่มีจริงเป็นเพียงต้องการให้มนุษย์เกรงการทำบาปจะได้ไม่เบียดเบียนกัน ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วไม่ขึ้นกับบุญกรรมเป็นเพียงเหตุประจวบเหมาะ เช่นนี้ยังน่าเชื่อถือกว่า



หงส์เย่เม่ย
#9   หงส์เย่เม่ย    [ 09-11-2009 - 17:51:02 ]

ยังมีชั้นที่สูงกว่านิพพานอีกหรอคะเนี่ย...อืมๆ
ถ้าจำไม่ผิด พระโพธิสัตย์ คือผู้ปราถนา พุทธภูมิ หรือต้องการตรัสรู้นั้นเอง อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตนะคะ
อยู่เพื่อสะสมบารมีแล้วรอ จุติตรัสรู้เป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า
หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือ อย่างไร อิชั้นงง




deksod
#10   deksod    [ 09-11-2009 - 18:07:08 ]




o-freedom
#11   o-freedom    [ 10-11-2009 - 02:23:41 ]

คุณ o-freedom ครับ แล้วคุณรู้ได้ยังไงหละว่ามันจะไม่เป็นบุญ แต่บุญในความคิดของผมคือทำแล้วเกิดความเบิกบานใจ สิ่งที่ทำแล้วทำให้เกิดความปีติอิ่มเอมใจ ผมเห็นด้วยกับคุณอย่างยิ่ง


คนที่ทำบุญทีละมากๆแต่ใจไม่บริสุทธิ์ พูดง่ายๆคือดีกว่าพวกทำบุญเอาหน้าว่าอย่างงั้นเถอะ



ไม่ว่าจะเป็นบุญหรือบาป ดีหรือชั่ว สุดท้ายแล้วก็คือความว่างเปล่า พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไม่ให้ยึดติดแต่ไหนแต่ไร เพราะการยึดติดกับเรื่องใดก็ตามมันทำให้เป็นทุกข์ ยึดติดความดีก็ทุกข์เพราะยึดติดความดี
ไม่ว่าจะเป็นความดีหรือบุญกุศลต่างๆเป็นแค่เรือที่พาเราไปถึงฝั่ง ถึงฝั่งแล้วเราไม่จำเป็นแบกเรือขึ้นฝั่งอีก


พระพุทธศาสนาไม่ได้สนใจว่าจะต้องฝึกให้ถึงขั้นนั้นนี้ ไม่ได้สนใจว่าสวรรค์มีหรือนรกมี แต่สนใจชาตินี้ สนใจปัจจุบันนี้ ส่วนที่พระท่านสามารถฝึกจิตจนถึงขั้นมีญาณอะไรต่างๆนั้นเป็นของธรรมดา เป็นของได้เปล่า มิใช่จุดหมาย เป็นแค่ทางที่เดินผ่าน แล้วคุณอย่าไปตั้งเป็นความคิดว่าจะต้องฝึกไปถึงขั้นนั่นนี่ มันทำให้เป็นทุกข์เปล่าๆ


ผมว่าคุณกำลังหลงอยุ่ในเรื่องที่มันเป็นตำนานมากไป พระพุทธเจ้าท่านทรงเปรียบคนที่มัวคิดแต่เรื่องพวกนี้ว่าเหมือนคนที่ถูกยิงด้วยศรอาบยาพิษ แทนที่จะหาวิธีถอนศรนั้นออกจากตัว กลับอยากรุ้ว่าศรนั้นทำจากอะไร เหล็กหรือไม้ ถ้าไม้เป็นไม้ชนิดไหน แล้วใครเป็นคนยิง คนยิงเป็นลูกหลานใคร อยุ่อย่างนั้นไม่จบไม่สิ้น


ผมขอบตอบคุณอัสนีบาตก่อนแล้วกันตามแนวทางการทำบุญของผมนะถ้ามีอะไรที่ขัดก็บอกำกันแย้งได้จะได้นำแนวทางของแต่ละคนมาปรับให้เข้ากับตนเอง
1.รู้ได้ซิคับ ผมเคยทำบุญแทบจะเกือบทุกแบบแล้วตามที่พุทธศาสนาได้บันทึกในพระไตรปิฎกแต่ก็ไม่เคยทำให้ชีวิตดีขึ้นเลยตอนทำเสร็จก็ได้ความเบิกบานใจคับอย่างที่คุณอัสนีบาตว่าแต่คุณเคยถามตัวคุณเองบางอ่ะเปล่าวว่ามันใจความเบิกบานใจจริงๆไหม สำหรับผมใช้เวลาถามตัวเองกับคำถามนี้มาตั้ง3ปีถึงจะตอบได้ว่ามันไม่ใช้ทำไมเรารทำบุญมาก็มากแต่ก็ไม่เห็นชีวิตมีอะไรดีขึ้นเลยบางครั้งกับแย่จากเดิมด้วยซำ จนกระทั่งมาเจอรกับพระภิสุองค์หนึ่งผมก็ได้ทำบุญกับท่านแรกๆก็ไม่เข้าใจหลอกคับว่าทำแล้วชีวิตมันจะมีความสุขจริงหรือเปล่าว จนกระทั้งท่านได้อธิบายหลักการทำบุญให้ฟัง(เชื่อไม่เชื่อก็อย่าได้ลบหลู่คับ)วิธีที่ท่านสอนก็คือวิธีที่ผมได้อธิบายไว้(ส่วนท่านอยู่วัดไหนผมขอเก็บเป็นความลับคับบอกได้แต่ว่าท่านเคยอยู่แถวชายแดนไทยพม่าแต่ปัจจุบันท่านไม่อยู่แล้วคับคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักแน่เพราะท่านไม่ใช่พระเกจิดังเพราะท่านเก็บตัวไม่เปิดเผยคับ)ส่วนผมรู้ได้ไงว่าได้บุญสำหรับตัวผมนะเมื่อได้ลองทำวิธีที่ท่านแนะนำชีวิตผมก็ดูสงบขึ้นทำบุญแล้วไม่มีอะไรในใจเลยรู้สึกทำแล้วใจมีความสุขมากๆอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนคับจากชีวิตที่มีเรื่องให้ปวดหัวไม่เว้นแต่ละวันนี้แหละคับมันเป็นบุญไหม


2.ใจไม่บริสุทธิ์ก็คือทำเพราะไม่ได้อยากทำทำเพราะเห็นคนอื่นเข้าทำ ทำเพราะมีเรื่องแล้วแก้ปัญหาไม่ได้จึงอยากทำ(คิดว่ามันสมควรได้บุญไหม ตัวอย่างถ้าคุรเป็นครูแล้วมีศิษอยู่2คน คนหนึ่งตั้งใจเรียนมาตลอดให้อะไรก็ทำหมด แต่ศิษอีกคนสั่งอะไรก็ไม่ทำ แต่พอประกาศผลสอบออกมาแล้วศษทั้ง2คนเหลืออีก1คะแนนก็จะได้เกรด4คุณคิดว่าคุณจะให้ใครระหว่างศิษคนที่1กับศิษคนที่2)

3.ท่านบอกให้เดินสายกลางก็จริงคับ แต่ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่าวอย่างที่คุณพูดแล้วอง๕ท่านจะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติสะสมบารมีมาเป็นพระพุทธเจ้าทำไม่ ชาติสุดท้ายท่านก็เป็นถึงเจ้าชายและท้าเป็นกษัตริย์เมื่อไหร่ก็จะเป็นราชชันเหนือราชชันแล้วจะไม่ตากตำ เสาะหาความสุขที่แท้จริงทำไม

4.คับผมไม่เถียงที่พระพุทธศาสนาสอนว่าให้เราจำเป็นต้องปฏิบัติถึงขั้นบรรลุธรรมแต่ให้สนใจชาติปัจจุบัน แต่ผมขอเถียงเรื่องสวรรค์กับนรกที่คุณว่าไม่มี ถ้ามันไม่มีแล้วคุณคิดว่าเป็นกุศโลบายของคนโบราณแล้วคุณจะต้องทำบุญทำไมคับเพราะคุณบอกว่าสวรรค์ไม่มีนรกไม่มีแต่เวลาตายก็ชอบพูดกันว่าเข้าไปดีแล้วนะ เขาคงไปอยู่ที่ชอบที่ชอบ แล้วถ้าไม่มีเมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้วก็ต้องดับสูญซิคับจะไปอยู่ที่ชอบที่ชอบได้อย่างไง แล้วถ้ามันไม่มีจริงแล้วทุกศาสนาจะมีความเชื่อเหมือนกันได้อย่างไงเรื่องสวรรค์นรกเรื่องโลกหลังความตาย(บางอย่างต้องยอมรับคับว่าวิทยาศาสตร์มันยังกระจอกอยู่ไม่สามารถพิสูจได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสจะไม่มีนี่คับ)


5.ผมเข้าใจคับว่ามันเป็นไปได้อยากที่จะให้ทุกคนเชื่อแต่คนที่รู้หลักการทำบุญอย่างที่ผมได้อธิบายไว้ไม่ได้มีแต่ผมคนเดียวแต่มีอีกหลายคนแต่ถ้าเทียบกับคนที่นับถือพุทธทั้งหมดจะมีเพียงแค่ทศนิยมเท่านั้นถือแม้จะมีส่วนน้อยแต่ก็ใช่ว่าส่วนใหญ่จะถูกเสมอไป ผียังหลอกคนได้เทวดานางฟ้ายังใบ้หวยได้แล้วท่านเป็นถึงระดับนี้ทำไมจะมาในโลกนี้ในยุคปัจจุบันไม่ได้การมาของท่านไม่จำเป็นต้องมาแบบที่มนุษย์ทกคนคิดว่าท่านต้องเป็นแบบนี้ๆแต่ท่านมาในรูปใดก็ได้จะให้เห็นไม่เห็นก็ได้จะให้รู้ไม่รู้ก็ได้เพราะฉะนั้นเมื่อคนมองดูตาไม่เห็นก็อยากเพิ่งไปคิดว่าไม่มีอยู่คับ


ขอตอบคุณชอเฮียงส่วย
ที่คุณถามว่ารู้ได้ไงผมตอบคุณอัสนีบาตไปแล้วนะ(ถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่แล้วกัน)
ส่วนที่คุณบอกว่าการทำบุญแบบนี้เป็นการหวังผล
ก็ต้องตอบว่าใช่คับทุกคนทำบุญก็หวังในบุญทั้งนั้นแหละเมื่อทำบุญแล้วมีใครอยากจะได้กรรมเพิมมาบางหละคับ แล้วที่คุณบอกว่าอาจจะเป็นกุศโลบายผมก็ได้อธิบายข้างบนแล้วคับ ต้องคิดอยากเข้าข้างตัวเองคับถ้าคุณไม่เห็นไม่ใช่ไม่มีถ้าไม่มีแล้วคุณจะสร้างบุญทำไมคับคำว่าบุญมันก็ได้รวมเอาทุกอย่างไว้แล้ว มันก็เหมือนกับที่คนทั่วไปชอบพูดกันว่าคนไม่รู้ไม่ผิด แต่ลองคิดดูดีๆซิคับว่าถ้าคนไม่รู้แล้วเดินไปเหยียบตะปูเข้าคิดว่าระหว่านคนที่รู้ว่าข้างหน้ามีตะปูเดินไปก็จะเหยียบกับคนที่ไม่รู้ว่าข้างหน้ามีตะปูเดินไปก็จะเหยียบคิดว่าใครมันจะบาดเจ็บมากกว่ากันหละคับ


ตอบคุณหงส์เย่เม่ย
ใช่คับตามพระไตรได้กล่าวไว้ แต่ในคำภีร์ไสยเวศบอกว่าสวรรค์มีตั้งร้อยกว่าชั้น และองค์หลวงปู่ที่ผมได้ทำบุญกับท่านตรัสว่าสวรรค์มีเท่าไหร่ท่านไม่เคยนับนั้นหมายถึงว่าในพระไตรที่ได้แบ่ง 6 ชั้นในเป็นเพียงหัวข้อใหญ่แต่ในความจริงมันมีหมวดย่อยอีกเยอะมากแม้แต่นรกก็ยังไม่มีใครเคยตกซำชั้นกันเลยเพราะบุญบาปทำมาไม่เท่ากันแต่ถ้าเรียงตามที่องค์หลวงปู่ท่านสอนผมก็คือ ดินแดนผู้มีบุญ ชั้นสวรรค์ชั้นพรม รอยต่อชั้นพรมคือนิพาน เหนือกว่านิพานคือดินแดนขององค์พุทธโพธิ์ญาน
นอกนั้นเรื่องขอพระโพธิ์สัตย์ก็อย่างที่คุณหงส์เย่เม่ย กล่าวนั้นแหละ แต่เรื่องขอการกำเนิดพุทธโพธิ์ญานนั้นถ้าให้อธิบายคงยากเพราะมันมีช่องทางเยอะมากยิ่งกว่ารังปลวกซะอีกไม่จำเป็นต้อง สมาธิ ชาน และญาณฝึกปฏิบัติโดยเรียงตามลำดับแม้แต่สมาธิเมือปฏิบัติได้ถึงขีดสูดก็คือชาณแปลว่าชินส่วนญานแปลว่าเลื่อนที่ แม้แต่ พระบางองค์ท่านสามารถทำชานสูงสุดยันตำสุดได้ก็ยังไม่ได้เป็นพุทธโพธิ์ญานนั้นมีอยู่มากมาย
การกำเนิดพุทธโพธิ์ญานกำเนิดได้อย่างไงก็ไม่มีใครทราบได้อยากอุบัติก็อุบัติไม่ขึ้นอยู่กับบุญแล้วกรรมเพียงแต่ต้องมีพื้นฐาน5ประการเป็นตัวสนับสนุนนั้นก็คือ 1.บุญ 2. อำนาจ 3.วาสนา 4.บารมี 5.กรรม
อ้อพระอรหันท่านอยู่ในชั้นนิพานคับส่วนชั้นพุทธโพธิ์ญานส่วนใหญ่มีแต่พระพุทธเจ้าตั้งแต่อดีตตระการยันปัจจุบันและอนาคต



กระบี่ไร้ตา
#12   กระบี่ไร้ตา    [ 10-11-2009 - 03:11:24 ]

ขอตอบความคิดเหนนี้นะคะ(มะใช่ข้าคิดเองนะ)

ผมเคยทำบุญแทบจะเกือบทุกแบบแล้วตามที่พุทธศาสนาได้บันทึกในพระไตรปิฎกแต่ก็ไม่เคยทำให้ชีวิตดีขึ้นเลยตอนทำเสร็จก็ได้ความเบิกบานใจคับอย่างที่คุณอัสนีบาตว่าแต่คุณเคยถามตัวคุณเองบางอ่ะเปล่าวว่ามันใจความเบิกบานใจจริงๆไหม สำหรับผมใช้เวลาถามตัวเองกับคำถามนี้มาตั้ง3ปีถึงจะตอบได้ว่ามันไม่ใช้ทำไมเรารทำบุญมาก็มากแต่ก็ไม่เห็นชีวิตมีอะไรดีขึ้นเลยบางครั้งกับแย่จากเดิมด้วยซำ จนกระทั่งมาเจอรกับพระภิสุองค์หนึ่งผมก็ได้ทำบุญกับท่านแรกๆก็ไม่เข้าใจหลอกคับว่าทำแล้วชีวิตมันจะมีความสุขจริงหรือเปล่าว จนกระทั้งท่านได้อธิบายหลักการทำบุญให้ฟัง(เชื่อไม่เชื่อก็อย่าได้ลบหลู่คับ)วิธีที่ท่านสอนก็คือวิธีที่ผมได้อธิบายไว้(ส่วนท่านอยู่วัดไหนผมขอเก็บเป็นความลับคับบอกได้แต่ว่าท่านเคยอยู่แถวชายแดนไทยพม่าแต่ปัจจุบันท่านไม่อยู่แล้วคับคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักแน่เพราะท่านไม่ใช่พระเกจิดังเพราะท่านเก็บตัวไม่เปิดเผยคับ)ส่วนผมรู้ได้ไงว่าได้บุญสำหรับตัวผมนะเมื่อได้ลองทำวิธีที่ท่านแนะนำชีวิตผมก็ดูสงบขึ้นทำบุญแล้วไม่มีอะไรในใจเลยรู้สึกทำแล้วใจมีความสุขมากๆอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนคับจากชีวิตที่มีเรื่องให้ปวดหัวไม่เว้นแต่ละวันนี้แหละคับมันเป็นบุญไหม

เหตุและผลแห่งกรรม เรื่องทำความดี

ทำไม ทำความดีจึงไม่เจริญ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเรื่องกรรมเก่าก่อนเหลืออยู่ ถ้ายังทำความดีอยู่ต่อไปจะมี ความเจริญ ส่วนคนที่ยังทำ เรื่องไม่ดี แล้วยังไม่ได้รับผลกรรมตอบสนองตอนนี้เป็นเพราะผลกรรมยังมาไม่ถึงเพราะฉะนั้น การทำความดีหรือทำบุญกุศลจะช่วยให้มีความเจริญ ผู้ที่มีความเจริญแล้วก็ไม่ควรหลงตนและควรจะทำความดีให้มากเพื่อให้มีความเจริญได้นาน ส่วนผู้ที่ได้รับความทุกข์ควรจะทำจิตให้สงบและคิดดูว่า เมื่อก่อนเคยทำเรื่องไม่ดีหรือพูดไม่ดีกับผู้ใดบ้าง แล้วก็ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ไม่ควรคิดว่าไม่เคยทำเรื่องไม่ดีมาก่อน และไม่ควรจะว่าผู้อื่นซึ่งคิดว่าทำให้ได้รับความทุกข์ ควรคิดเรื่องที่ดีงามแล้วปฎิบัติตน ให้ดีกับผู้อื่นทั้งการกระทำและการพูดเพื่อไม่มีกรรมไม่ดีมากไปกว่านี้ ควรคิดมุ่งทำความดีต่อไปเพราะเป็นการลดเคราะห์กรรมให้น้อยลง เรื่องที่กล่าวมามีเหตุและผลแห่งกรรมแล้วก็เป็นเรื่องจริง ต่อไปควรจะทำอะไรให้ดีและไม่ควรหลงตนว่าไม่เคยทำเรื่องไม่ดีมาก่อน ควรจะหมั่นทำความดีหรือทำบุญกุศลเพื่อลดเคราะห์กรรมให้น้อยลงจึงจะมีความเจริญ

เอามาจากใน net ที่ไหนสักแห่งอ่ะค่ะ(นานแล้วจำมะได้ พอกลับไปหาดูอีกก็มะเจอแล้ว สงสัยลบทิ้งไปแล้ว) เพราะอ่านแล้วให้ข้อคิดกะตนเองเยอะก็เลย เก็บไว้ค่อยเตือนสติ แต่พอดีพวกท่านเถียงกันโดยมีเรื่องนี้เกี่ยวข้องด้วยก็อยากให้ลงอ่านดูอ่ะค่ะ




กระบี่ไร้ตา
#13   กระบี่ไร้ตา    [ 10-11-2009 - 03:20:39 ]

ยังมีต่อ(คืนลืมบทความนี่ไปอ่ะคะ)

เรื่องการเคารพสักการะ เทพเจ้า

เรื่องการเคารพสักการะ เทพเจ้า ควรคิดว่าเป็นเรื่องของความช่วยเหลือและคุ้มครองให้มี ความสงบสุข แล้วที่สำคัญคือควรจะปฎิบัติตามคำสอนของท่านอาจารย์และผู้เป็นอาจารย์ถ่ายทอดธรรมเพื่อไม่หลงกิเลสแล้วทำเรื่องไม่ดี หากต้องการทำอะไรให้ดีควรจะเรียนรู้ หลักธรรมคำสอนขององศ์ท่านแล้วก็ทำให้ดีตามหลักธรรม
ที่ผ่านมามนุษย์อาจยังไม่รู้ว่าเรื่องที่กระทำและเรื่องที่พูดอยู่ดีหรือไม่ หากไม่ดีจะมีผลอย่างไร อีกทั้งไม่รู้ว่าจะมีผลกรรมหรือไม่แล้วก็จะมีผลตอบสนองเมื่อไรและอย่างไร เมื่อมนุษย์ไม่รู้เรื่องเหล่านี้อาจพูดหรือกระทำอะไรโดยไม่คิดว่ามีผลตอบสนองในภายหน้า แล้วที่คิดว่าไม่มีผลตอบสนองก็เพราะการตอบสนองยังมาไม่ถึง กฎแห่งกรรมเป็นเรื่องจริงเพียงแต่ตอนนี้มนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่ามีการตอบสนองเมื่อไรและอย่างไร มนุษย์จึงควรจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสอนของเทพเจ้าและผู้เป็นอาจารย์ ควรจะหมั่นทำความดีต่อไปจะเจริญและมีความสงบสุข ถ้าสามารถทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นจะได้รับผลตอบสนองลักษณะแบบเดียวกัน



o-freedom
#14   o-freedom    [ 11-11-2009 - 01:16:20 ]

ผมเห็นด้วยกับคุณกระบี่ไร้ตาคับแต่ว่าสำหรับแนวทางของผมผมว่ามันยังไม่ถูกต้องเสียหมดคับอาทิเช่น
เหตุและผลแห่งกรรม เรื่องทำความดี

ทำไม ทำความดีจึงไม่เจริญ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเรื่องกรรมเก่าก่อนเหลืออยู่ ถ้ายังทำความดีอยู่ต่อไปจะมี ความเจริญ ส่วนคนที่ยังทำ เรื่องไม่ดี แล้วยังไม่ได้รับผลกรรมตอบสนองตอนนี้เป็นเพราะผลกรรมยังมาไม่ถึง

ควรจะหมั่นทำความดีหรือทำบุญกุศลเพื่อลดเคราะห์กรรมให้น้อยลงจึงจะมีความเจริญ


1.การทำความดีก็ยังไม่ใช่บุญคับเพียงแต่เป็นกรรมดีเพราะบุญจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อต้นทางกลางทางและปลายทางถูกต้องเท่านั้นคับ แต่เรื่องกรรมเก่าที่เหลืออยู่มันมีผลแน่เกี่ยวกับในด้านการมองเห็นในบุญแน่ในขนาดที่ได้ทำซึ่งอาจจะพูดว่ามันคืออุปสักก็คงจะได้

2.การทำบุญช่วยลดเคราะห์กรรมไม่ได้คับ เพียงแต่สามารถเหวี่ยงวงกรรมให้พ้นไกลไปจากเดิมได้เท่านั้นแต่จะเหวี่ยงไปได้ไกลมากแค่ไหนขึ้นอยู่กับการตัดกรรมคับ ซึ่งต้องเข้าใจให้ได้ว่าบุญกับกรรมมันคน
ละส่วนกันไม่สามารถนำมาลบกันได้แต่สามารถผ่อนผันกันได้แต่ก็ใช่ว่ากรรมจะหมดไปเลยก็ต้องใช้กันบางเพียงแต่เราต้องใช้เท่าที่เรารับได้ ถ้าให้เปรียบเทียบกรรมเป็นเจ้าหนี้ส่วนเราเป้นลูกหนี้คับ

3.การที่เราทำบุญแล้วหวังในบุญไม่ใช่กิเลจคับเพราะบุญใครทำใครได้ไม่มีหมดไป อาทิเช่น ถ้ามีนำอยู่แก้วหนึ่งแล้วคนที่กินคนแรกกินหมดไปแล้วเกือบครึ่งคนตามมาก็จะกินได้น้อยกว่าคนแรกคับเพราะมันมีหมดแต่บุญถ้าคนแรกกินหมดแก้วไปแล้วคนต่อมามากินก็กินได้หมดแก้วอีกคนต่อมาก็กินกินกันแบบบนี้ได้ไปเลื่อยไม่รู้จักจบจักสิ้น เพราะฉะนั้นการหวังในบุญไม่ใช่กิเลจคับเพราะใครจะกินจะเอาทำไหร่อยู่ที่ตัวเขา



  • 1
ตอบกระทู้
ชื่อ
รหัส กรอกตัวอักษร ตามภาพ
ข้อความ


emo-smile emo-happy emo-lol emo-enjoy emo-kiku emo-cool emo-hoho emo-drool emo-hungry emo-kiss emo-sorry emo-sad emo-cry emo-tear emo-question emo-doubt emo-shock emo-redface emo-plz emo-peevish emo-angry emo-moody emo-sneer emo-makefaces emo-good emo-touched emo-love emo-bore emo-tired emo-vomit
bold italic underline img link superscript subscript size color space justifyleft justifycenter justifyright quote box youtube