เข้าระบบอัตโนมัติ

ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่น


  • 1
ฟุอุน
#1   ฟุอุน    [ 25-02-2008 - 15:19:26 ]

ช่วงเวลาตั้งแต่ปี206ก่อนค.ศ.จนถึงปีค.ศ.8เป็นสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก จักรพรรดิฮั่งเกาจู่ชื่อหลิวปังสถาปนาราชวงศ์ฮั่นและตั้งเมืองหลวงที่กรุงฉางอัน(เมืองซีอันในปัจจุบัน)

ในช่วงเวลา7ปีที่จักรพรรดิฮั่นเกาจู่ครองราชย์ ได้เสริมสร้างการปกครองรวมศูนย์อำนาจรัฐ กำหนดนโยบายทางการเมืองที่”ผ่อนภาระหน้าที่ ประชาชน”จำนวนหนึ่งเพื่อเสริมสร้างการปกครองของตนให้มั่นคง ในปี159ก่อนค.ศ. จักรพรรดิฮั่นเกาจู่ถึงแก่สวรรคต จักรพรรดิฮั่นฮุ่ยตี้รับช่วงตำแหน่งจักรพรรดิต่อ แต่ขณะนั้น อำนาจตกอยู่ในมือของพระนางลวี่จื้อพระมเหสีของจักรพรรดิฮั่นเกาจู่ พระมเหสีลวี่จื้อได้ครองอำนาจอยู่นาน16ปี นับเป็นผู้ปกครองหญิงในประวัติศาสตร์จีนที่มีเพียงไม่กี่คน ในปี183ก่อนค.ศ. จักรพรรดิฮั่นเหวินตี้รับช่วงตำแหน่งจักรพรรดิต่อมา จักรพรรดิฮั่นเหวินตี้และจักรพรรดิฮั่งจิ่งตี้(ปี156-143ก่อนค.ศ.)ผู้เป็นโอรสยังคงดำเนินนโยบาย “ผ่อนภาระหน้าที่ประชาชน”ต่อไป ลดภาษีอากรของประชาชนให้น้อยลง ทำให้เศรษฐกิจของราชวงศ์ฮั่นเจริญเติบโตขึ้น นักประวัติศาสตร์เรียกช่วงเวลานี้ว่าเป็น”ช่วงเจริญรุ่งเรืองยุคเหวิน-จิ่ง”

หลังจาก”ช่วงเจริญรุ่งเรืองยุคเหวิน-จิ่ง” แล้วราชวงศ์ฮั่นมีกำลังที่เข้มแข็งเกรียงไกรขึ้นเรื่อยๆ ในปี141ก่อนค.ศ. จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้รับช่วงตำแหน่งจักรพรรดิ ฮั่นอู่ตี้ได้ส่งนายพลเว่ยชิงและนายพลฮั่วชวี่ปิ้งพาทหารไปโจมตีพวก ซงหนูจนแตกพ่าย ได้ขยายขอบเขตการปกครองของฮั่นตะวันตกให้กว้างขวางขึ้น เป็น หลักประกันแก่การพัฒนาเศรษฐกิจและวัฒนธรรมทางภาคเหนือของฮั่นตะวันตก หลังจากนั้น จักรพรรดิฮั่นเจาตี้ส่งเสริมให้พัฒนาเศรษฐกิจต่อไปจนทำให้ฮั่นตะวันตกพัฒนาไปถึงช่วงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด

หลังจาการปฎิบัติตามนโยบาย”ผ่อนภาระหน้าที่ ประชาชน ”เป็นเวลานานถึง38ปีในรัชกาลฮั่นเจาตี้และฮั่นซวนตี้ กำลังประเทศของฮั่นตะวันตกมีความเข้มแข็งมากขึ้น แต่ในเวลาเดียวกัน อิทธิพลท้องถิ่นก็พัฒนาเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆเช่นกันซึ่งคุกคามการปกครองของราชวงศ์ฮั่นตะวันตกอย่างรุนแรง เมื่อปีค.ศ.8 หวางหมางได้ช่วงชิงตำแหน่งจักรพรรดิและเปลี่ยนชื่อเป็นราชวงศ์ซิน สิ้นสุดการปกครองของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก

ราชวงศ์ฮั่นตะวันตกเป็นราชวงศ์ที่ค่อนข้างเข้มแข็งเกรียงไกรในประวัติศาสตร์จีน ทุกรัชกาลปฎิบัติตามนโยบายที่ “ผ่อนภาระหน้าที่ประชาชน ”มาโดยตลอด ประชาชนกินดีอยู่ดี อยู่เย็นเป็นสุข การปกครองของฮั่นตะวันตกจึงมีความมั่นคงตลอดมา จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ได้ปฎิบัติตามข้อเสนอที่”ให้ยกเลิกความคิดอื่นๆ ส่งเสริมยกย่องแต่สำนักขงจื๊ออย่างเดียว”ที่ต่งจงซูเสนอ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลัทธิขงจื๊อและสำนักปรัชญาขงจื๊อกลายเป็นความคิดที่ราชวงศ์ต่างๆสมัยหลังราชวงศฮั่นได้ยึดถือปฎิบัติตามตลอดมา

เนื่องจากการเมืองและเศรษฐกิจมีความมั่นคง หัตถกรรม การพาณิชย์ ศิลปะตลอดจนวิทยาศาสตร์ต่างพัฒนาไปอย่างมาก เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนาสูงขึ้น ประสิทธิภาพการผลิตทางหัตถกรรมสมัยราชวงศ์ฮั่น ตะวันตกการถลุงโลหะและการผลิตสิ่งทอก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก การพัฒนาหัตถกรรมได้ส่งเสริมให้การพาณิชย์คึกคักขึ้นเรื่อยๆ และได้บุกเบิกการแลกเปลี่ยนซื้อขายในด้านต่างๆเช่นการติดต่อกับต่างประเทศและการค้ากับประเทศเอเซียตะวันตกต่างๆด้วยเส้นทางสายไหม

ช่วงเวลาตั้งแต่ค.ศ.25 จนถึงค.ศ.220เป็นราชวงศ์ฮั่นตะวันออก จักรพรรดิฮั่นกวางอู่ตี้พระนามหลิวซิ่วสถาปนาขึ้นใน

ปีค.ศ.25 นายหลิวซิ่วได้โจมตีจักรพรรดิหวางหมางจนแตกพ่าย ด้วยการสนับสนุนจากกองทหารลู่หลินซึ่งเป็นกองทหารชาวนา และช่วงชิงตำแหน่งจักรพรรดิกลับคืน เปลี่ยนชื่อราชวงศ์เป็นฮั่นอีกครั้งแต่ตั้งเมืองหลวงที่กรุงลั่วหยาง ในปีที่สองรัชกาลเจี้ยนอู่ จักรพรรดิกวางอู่ตี้มีคำสั่งให้ปฎิรูปนโยบายเก่าของจักรพรรดิหวางหมาง ปรับปรุงระบอบการเมือง จัดตั้งตำแหน่งซั่งซู6คนแบ่งกันรับผิดชอบบริหารกิจการการเมืองเพื่อลดอำนาจของเสนาบดีชั้นสูงสุดสามตำแหน่งได้แก่ไทเว่ย ซือถูและซือ คงให้น้อยลง ยกเลิก” ทาสหลวง ” ตรวจและจัดสรรที่ดินจนทำให้ประชาชน อยู่อย่างมีเสถียรภาพ จนถึงกลางศตวรรษที่1 หลังจากการปกครองประเทศของสามรัชกาลได้แก่ฮั่นกวงอู่ตี้ ฮั่นหมิงตี้และฮั่นจางตี้ตามลำดับ ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกก็ได้ฟื้นฟูความเข้มแข็งเกรียงไกรของฮั่นตะวันตกในอดีตขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนี้คนยุคหลังเรียกว่า”ช่วงเจริญรุ่งเรือนยุคกวงอู่”

ในช่วงต้นของฮั่นตะวันออก รัฐบาลกลางได้เสริมสร้างการผสมผสานกับอิทธิพลท้องถิ่น จึงทำให้ประเทศมีความมั่นคง ในด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฮั่นตะวันออกล้วนได้พัฒนาจนมีระดับเหนือกว่าฮั่นตะวันตกอย่างรอบด้าน ในปีค.ศ.105 ไช่หลุนได้ปรับปรุงเทคนิคการผลิตกระดาษ ทำให้วิธีการบันทึกตัวหนังสือของจีนพ้นจากสมัยใช้ไม้ไผ่ และวิธีการผลิตกระดาษในฐานะที่เป็นหนึ่งในผลงานประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่4อย่างในสมัยโบราณของจีนได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ในด้านวิทยาศาสตร์ วงการนักวิชาการมีนายจังเหิงเป็นตัวแทนประสบความสำเร็จในผลงาน ยิ่งใหญ่ จังเหิงได้สร้างเครื่อง”หุนเทียนอี๋”ซึ่งเป็นเครื่องตรวจวัดดาราศาสตร์และเครื่อง”ตี้ต้งอี๋”เครื่องพยากรณ์แผ่นดินไหว นอกจากนี้ หัวถัว แพทย์ ผู้มีชื่อเสียงในสมัยปลายฮั่นตะวันออกเป็นศัลยแพทย์ คนแรกที่ใช้ยาชาในการผ่าตัดผู้ป่วย





มือกระบี่ไร้นาม
#2   มือกระบี่ไร้นาม    [ 25-02-2008 - 20:33:42 ]




มหาราช
#3   มหาราช    [ 26-02-2008 - 11:32:15 ]

เรื่องราว ในราชวงศ์ฮั่น อีกเรื่องหนึ่ง สำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่าน

สามารถเป็นภรรยาที่ประเสริฐ แต่ยากเป็นมารดาที่ทรงคุณ

พระนางโต้วจี (โต่วกี)

ฮองเฮาในพระเจ้าฮั่นเหวินตี้ (ฮั้งบุ่งตี่) หลิวเฮง (เล่าเฮ้ง)



เป็นเพราะขันทีที่เซ่อซ่าสับเพล่าผู้หนึ่ง นำพาวาสนาอันสูงส่งมาสู่พระนาง พระนางจับพลัดจับผลู ถูกส่งไปยังดินแดนไต้กว๋อ (ต่อกก) พระนางเสียใจร่ำไห้จะเป็นจะตาย แต่คิดไม่ถึงว่าดินแดนแห่งนี้กลับเป็นประตูก้าวสู่วาสนา

เมื่อต้นราชวงศ์ฮั่น เจ้าไต้หวาง (ต่ออ้วง) โชคดีมีราชรถมาเกยเป็นฮ่องเต้ พระนางโต้วจีที่มาจากครอบครัวลำบากยากจนก็พลอยมีวาสนาเป็นพระนา งฮองเฮา เมื่อเจ้าไต้หวางเป็นฮ่องเต้จึงมีพระนาสนมนมในจำนวนมา แก่งแย่งชิงความรักความเสน่หาไปจากพระนาง ๆ ทรงไมหึงหวงอิจฉาริษยา แต่กลับทุ่มเทมอบความรักแก่บรรดาลูก ๆ ของพระนาง เนื่อจากทรงรักและตามใจลูกมากไป เจ้าเสี้ยวเหลียนหวางทรงกระทำผิดพระราชมณเฑียรบาลอย่างร้ายแรง เจ้าหญิงกวนเตาคอร์รับชั่นรับสินบน นี่คือจุดด่างเป็นมนทินจากปลายพู่กันของหน้าประวัติศาสตร์หนังส ือฮั่นซู

พระนางเป็นฮองเฮาที่รู้จักแยกแยะ แต่ไม่ค่อยรักษากฏของราชมณเฑียรบาล ทรงเป็นภรรยาที่ประเสริฐ แต่ยากที่เป็นมารดาที่ทรงคุณ ในบรรดาฮองเฮาในยุคสังคมศักดินาของประเทศจีน พระนางจัดได้ว่าเป็นฮองเฮาที่มีวาสนาดีที่สุดพระองค์หนึ่ง จากตำแหน่งฮองเฮา พระนางทรงไต่เต้าไปสู่ฮองไทยเฮา และยังไปสู่ตำแหน่งไท่ฮองไทเฮาจึงสิ้นพระชนม์ ในรัชสมัยพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเจ้าหลานเธอ

จับพลัดจับผลู ได้ดีมีวาสนา

ราชรถคันหนึ่งมีผู้โดยสารเป็นชาววัง 5 นาง จอดพักที่สถานที่พักม้าอันเงียบเชียบ ที่นี่ลมแห่งฤดูใบไม้ผลิตสงบนิ่ง แต่ดินทรายคละคลุ้ง เป็นบรรยายกาศที่สุดเศร้าจึงทำให้ผู้โดยสารที่เป็นชาววังพากันส ะอึกสะอึ้นร้องไห้น้ำตาไม่ขาดสาย

นี่คือปีที่พระนางลวี่ตี้ (ลื่อตี๋) พระนางฮองเฮาในพระเจ้าฮั่นเกาจู่ยึดอำนาจปกครองประเทศจีน พระนางทรงมีพระราชโองการพระราชทานหญิงสาวชาววังให้เป็นนางกำนัล แก่เจ้าเมืองขึ้นต่าง ๆ หนึ่งในนางกำนัลที่ร้องไห้มากที่สุดชื่อโต้วจี เธอตั้งใจแล้วว่าเป็นตายร้ายดีอย่าไรเธอจะไม่ยอมไปดินแดนไต้อัน กันดารและห่างไกลความเจริญ เธอได้ขอร้องอ้อนวอนขันทีนี้ที่ควบคุมราชรถช่วยส่งเธอไปยังเมือ งเจ้ากว๋อ แต่เจ้าขันทีน้อยไฉนจะยอมทำตามด้วย ด้วยพระราชโองการนั้นหนักแน่นยิ่งกว่าขุนเขามหาสมุทร

พระนางโต้วจีพื้นแพดั้งเดิมเป็นชาวเมืองกวนจิน (กวงเกีย) ปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองอู่ยิ (บู่อิบ) กำพร้าบิดาแต่เด็ก ครอบครัวยากจนแร้นแค้น มีเพียงพี่ชายคนหนึ่งกับน้องชายอีกคนผ่านชีวิตไปวัน ๆ หลายปีก่อนทางพระราชสำนักจัดให้มีการคัดเลือกสาวงามเข้าพระราชว ัง เธอเป็นหนึ่งในสาวงามที่ถูกคัดเลือก จึงถูกส่งตัวเข้าวัง และถูกพระราชทานเป็นนางกำนัลของเจ้าหัวเมือง แต่เธอจากครอบครัวมานาน รู้สึกคิดถึงพี่ชายและน้องชายมาก เธอจึงถือโอกาศนี้ติดสินบนจ้างขันทีเฒ่าผู้มีหน้าที่จัดนางกำนั ลส่งไปยังวังเจ้าต่าง ๆ ส่งเธอไปยังถิ่นที่เกิดของเธอ แต่คาดไม่ถึงว่าขันทีงี่เง่าหลงเขียนรายชื่อของเธอส่งไปยังดินแ ดนไต้กว๋อ เมื่อออกเป็นพระราชโองการจึงไม่สามารถแก้ไขได้ เธอจึงได้ฟูมฟายร้องไห้ถูกส่งตัวขึ้นราชรถไป

เมื่อราชรถขับถึงเมืองจิ้นเอียนเฉิน (จิ้งเอี่ยงเซีย) เมืองหลวงของดินแดนไต้กว๋อ เธอได้ถูกส่งตัวไปยังวังของเจ้าไต้หวาง เจ้าหลิวเฮงพินิจพิจารณานางกำนัลทั้งห้า รู้สึกว่าสวยงามกว่าหญิงชาววังของพระองค์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนทาง เหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางโต้วจี ผิวพรรณผุดผ่อง หน้าตาคมคายสวยงามกว่าเพื่อน จึงเลือกนางโต้วจีเป็นคู่เขนยในคืนวันนั้นเอง ตั้งแต่นั้นมาสนมโต้วจีก็เป็นที่โปรดปรานของเจ้าไต้หวาง ไม่นานพระนางจึงให้กำเนิดพระธิดาเจ้าหญิงหลิวเพี่ยว (เล่าเพี้ยว) และให้กำเนิดแก่องค์ชายหลิวจี้ (เล่าคี่) และองค์ชายหลิวอู่ (เล่าบู้) ตามลำดับ บัดนี้ฐานะของพระนางเพียงรองพระชายาเท่านั้น

เจ้าไต้หวางหลิวเฮง เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าหลิวปังที่ทรงบังเกิดจากพระสนมป๋อจี (เปาะกี) พระสนมป๋อจีเดิมทีเป็นสนมของเจ้าซีเว่ยหวาง (ไซงุ่ยอ้วง) เว่ยเป้า (งุ่ยป่า) เมื่อเจ้าซีเว่ยหวางถูกพระเจ้าหลิวปังโค่นลง นางสนมนมในของเจ้าเว่ยเป้าก็ถูกพระเจ้าหลิวปังขนย้ายมาสู่พระรา ชสำนักฮั่น พระสนมป๋อจีมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าหลิวปังเพียงครั้งเดียวก็ถ ูกทอดทิ้งตามวิถีทางของหญิงสาวชาววังทั่ว ๆ ไป โชคพระนางยังดีที่พระนางก็ยังให้กำเนิดแก่เจ้าหลิวเฮง จึงได้อาศัยใต้ร่มชายคาของพระราชสำนักต่อไป แต่พระเจ้าหลิวปังหาได้ทรงโปรดปรานพระนางสองแม่ลูกต่อไปไม่ ต่อเมื่อพระเจ้าหลิวปังสวรรคต พระนางลวี่ฮองเฮาขึ้นเถลิงอำนาจ พระนางทรงเห็นอกเห็นใจและทรงเมตตาต่อพระสนมป๋อจี พระนางจึงโปรดให้พระสนมป๋อจีตามเสด็จไปดูแลเจ้าไต้หวางหลิวเฮงท ี่ดินแดนไต้กว๋อ

พระสนมป๋อจีและพระราชโอรสน่าจะเป็นผีเป็นเจ้าที่เฝ้าอยู่ที่ดิน แดนไต้กว๋อ แต่ด้วยเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงกลายโชคลาภวาสนา คือเมื่อปี พ.ศ. 364 พระนางลวี่ฮองเฮาเสด็จสวรรคต ราชสำนักที่นครฉานอันได้ส่งข้าหลวงผู้หนึ่งมากราบทูลเจ้าไต้หวา งเป็นความลับว่า มหาอำมาตย์เฉินผิน (ตั้งเพ้ง) และอำมาตย์โจวเป๋อ (จิวป๊วก) สามารถโค่นล้มอำนาจของตระกูลลวี่กลับคืนมาสู่ตระกูลหลิวได้สำเร ็จ จึงได้ใช้อำนาจของมหาอำมาตย์ผู้สำเร็จราชการ มาอันเชิญเจ้าไต้หวางเสด็จสู่นครฉานอานเป็นฮ่องเต้ปกครองประเทศ เจ้าไต้หวางทรงตกพระทัยไม่เชื่อว่าเป็นความจริง พระองค์ทรงปรึกษาพระสนมป๋อจีพระราชมารดา พระสนมป๋อจีทรงรู้ถึงความร้ายกาจการอิจฉาริษยา การชิงดีชิงเด่นแย่งชิงอำนาจในพระราชสำนักมาก่อน พระนางยังไม่อาจทรงตัดสินพระทัย ยังคงใช้พระอนุชาของพระนางชื่อป๋อเจียว (เปาะเจียว) ลักลอบเข้าไปสืบราชการลับฟังเรื่องราวที่นครหลวงฉานอัน ป๋อเจียวได้ไต่ถามเรื่องราวจากอำมาตย์โจวเป๋อ ๆ จึงเล่าความจริงให้ฟังทุกประการเมื่อไม่นานมานี้มหาอำมาตย์เฉินผิน ได้เปิดประชุมลับกับบรรดาขุนนางอำมาตย์ผู้ใหญ่ชั้นบริหารประเทศ พิจารณาเลือกเจ้าต่างเมืองที่มีเชื้สายพระราชตระกูลแซ่หลิวผู้ห นึ่งขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ ปรากฏว่าเจ้าต่างเมืองหลิวเฮงมีความเหมาะสมที่สุดด้วยเหตุผลแตก ต่างกันดังนี้ ประการที่ 1 ในบรรดาพระโอรสทั้งแปดเชื้อสายของพระเจ้าหลิวปัง มีเพียงเจ้าฮุ่ยหนานหวาง (ฮ่วยน่ำอ้วง) หลิวฉาง (เล่าเชี้ยง) และเจ้าไต้หวาง หลิวเฮง ที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ประการที่ 2 เจ้าไต้หวางประกอบด้วยคุณธรรม เป็นที่เลื่องลือทั้งในและนอกพระราชสำนัก และประการที่ 3 พระราชมารดาป๋อจี มีตระกูลต่ำต้อยเสงี่ยมเจียมตัว ไม่มีพระญาติมีตำแหน่งเป็นใหญ่ในแผ่นดิน จึงไม่เป็นที่หวั่นเกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยดังเช่นตระกูลแ ซ่ลวี่

เมื่อป๋อเจียวกลับมายังดินแดนไต้กว๋อ กราบทูลความจริงทั้งหมดให้เจ้าไต้กว๋อฟัง เจ้าไต้กว๋อทรงวางพระทัย ทรงเสด็จด้วยราชรถไปยังนครฉานอาน เมื่อเดือน 9 ในปีเดียวกัน เจ้าหลิวเฮงถูสถาปนาเป็นฮ่องเต้ที่ท้องพระโรงเว่ยเอียนเตี้ยน ทรงพระนามว่าพระเจ้าฮั่นเหวินตี้ (ฮั้งบุ่งตี่) พระองค์เป็นฮ่องเต้ที่ทรงพระนามในประวัติศาสตร์จีน เนื่องจากกรณีเหวินจิ่น (บุ่งเก้ง) ได้เริ่มขึ้น ทำให้ประเทศจีนก้าวสู่ความรุ่งเรือง พระองค์ทรงทำนุบำรุงประเทศ บ้านเมืองว่างจากการศึกและการจลาจล ประชาราษฎรร่มเย็นอยู่เย็นเป็นสุข พระองค์เองก็ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ประหยัดมัดทะยัด ไม่ทรงสุรุ่ยสุร่าย

ศักราชพระเจ้าฮั่นเหวินตี้ปีที่ 1 พ.ศ. 365 เมื่อฤดูใบไม้ผลิตบรรดาขุนานนางอำมาตย์ทั้งหลายยื่นถวายฎีกาให้ พระองค์ทรงแต่งตั้งพระราชทายาท ขณะนั้นพระราชชายาของพระองค์หวางเฟย (เฮงฮุย) ได้ถึงแก่พิราลัยไปแล้ว พระโอรสทั้ง 4 ที่ล้วนบังเกิดจากพระนางก็ล้วนแต่สิ้นพระชนม์ไปด้วย จึงเหลือเพียงแต่พระราชโอรสองค์โตเจ้าชายหลิวจี้ และพระราชโอรสองค์เล็กเจ้าชายหลิวของพระสนมโต้วจี เจ้าชายหลิวจี้ได้รับการสถาปนาเป็นองค์ชายรัชทายาทตามโบราณราชป ระเพณี ต่อมาไม่นานโดยอาศัยพระบารมีของลูก พระสนมโต้วจีก็ได้รับการสถาปนาเป็นฮองเฮา โดยพระราชโองการของพระนางป๋อจีฮองไทยเฮา

ต่อมาไม่กี่วันพระนางโต้วฮองเฮา ทรงขอให้พระเจ้าฮั่นเหวินตี้ส่งขุนนางไปสืบเสาะครอบครัวของพระน าง ได้พบพระเชษฐาของพระนางโต้วฉางจวิน (โตวเชี่ยงกุง) มาเข้าเฝ้าพระนาง เมื่อพี่น้องได้พบหน้ากันต่างร้องไห้กันเป็นวรรคเป็นเวร พระนางจึงถามพระเชษฐาว่า พระอนุชาโต้วเส้าจวิน (โตวเสี้ยวกุง) ไปอยู่ ณ หนใด โต้วฉางจวินกราบทูลว่า เมื่อไม่กี่ปีมานี้โต้วเส้าจวินได้เดินทางออกจากหมู่บ้านไป ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีแต่อย่างใด พระเจ้าฮั่นเหวินตี้ได้มีรับสั่งปิดประกาศไปทั่วประเทศ ให้พระอนุชาโต้วเส้าจวินมาเข้าเฝ้า วันหนึ่งมีใบบอกแจ้งมาว่า พระอนุชาโต้วเส้าจวินได้เดินทางมารอที่หน้าประตูนครฉานอานแล้วเ พื่อรอเฝ้าพระเชษฐภคิณี พระนางโต้วฮองเฮาทั้งทรงหวัดหวั่นทั้งทรงดีพระทัย ทรงเสด็จออกท้องพระโรงพร้อมด้วยพระเจ้าฮั่นเหวินตี้ ต่อเมื่อมหาดเล็กขันทีเบิกตัวชายหนุ่มผู้หนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อ ผ้ามอซอ อายุประมาณ 20 กว่า ๆ มาเข้าเฝ้าอ้างตัวว่าเป็นโต้วเส้าจวิน พระนางโต้วฮองเฮาทอดพระเนตรเห็นว่าทรงแปลกพระพักตร์ จึงยังไม่ทรงนับญาติ พระนางทรงตรัสถามว่า

“ข้ากับน้องชายเมื่อวันที่จากกันนั้น น้องชายข้ามีอายุแค่ 4 – 5 ขวบ แต่เจ้าเติบโตเป็นหนุ่มเช่นนี้ ข้าไม่อาจจำเค้าหน้าของน้องชายได้ เจ้าจงเล่าถึงเหตุการณ์วันที่จากกันเป็นเช่นใด” ชายหนุ่มผู้นั้นจึงเท้าความขึ้นว่า “เมื่อตอนที่ข้าพระองค์จากกันกับพี่สาวนั้น ได้มาส่งพี่สาวพร้อมกับพี่ชายที่สถานีขนส่ง พี่สาวข้าพระองค์สงสารเห็นว่ายังเล็กอยู่เป็นห่วงว่าไม่มีใครดู แล จึงได้อาบน้ำและสระผมให้แก่ข้าพระองค์ ทั้งยังขอบริจากข้าวชามหนึ่งมาให้ข้าพระองค์รับประทาน สั่งเสียว่าเมื่อทานอิ่มแล้วจึงค่อยกลับบ้านไป”

พระนางโต้วฮองเฮาทรงฟังเช่นนั้น ทรงสะอึกสะอื้นเสด็จลงจากพระที่นั่งจับมือชายหนุ่มผู้นั้นไว้แน ่น ทรงตรัสด้วยพระกระแสรันทดว่า

“เส้าจวิน… น้องชายของข้า”

แล้วทรงพระกรรแสงร่ำไห้ เหตุการณ์ที่สะเทือนใจเช่นนี้ ทำให้ขุนนางอำมาตย์ทั่วท้องพระโรงพลอยมีน้ำตาอาบแก้มคลอเบ้าไปถ ้วนทั่ว พระเจ้าฮั่นเไหวินตี้ทรงมีพระราชานุญาติให้พี่น้องฉางจวินและเส ้าจวินพักอาศัยอยู่ในพระราชวัง อีกทั้งยังทรงพระราชทานที่ทางบ้านเรือนคนใช้ชายหญิงให้แก่พี่น้ องทั้งสองได้ร่วมกันเสวยสุขพร้อมกับฮองเฮา

เหตุการณ์เช่นนี้เป็นที่หวาดหวั่นของอำมาตย์เก่าแก่โจวเป๋อ และกวนอิน (ก่วงอิง) ด้วยเกรงว่าพระญาติของฮองเฮาจะก่อการแย่งชิงพระราชอำนาจ ก่อการจลาจลดั่งเช่นฮองเฮาในอดีต อำมาตย์ทั้งสองจึงได้มีฎีกาถวายเตือนสติพระเจ้าฮั่นเหวินตี้ ๆ ทรงรับทราบถึงความร้ายกาจของพระนางลวี่ฮองเฮา จึงทรงระงับการแต่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ ทั้งสิ้นแก่พี่น้องตระกูลแซ่โต้ว ต่อเมื่อถึงรัชสมัยพระเจ้าฮั่นจิ่นตี้ โต้วเส้าจวิน ได้รับพระราชทานความดีความชอบเพียงแค่โฮ่ว (โฮว)

ฤดูใบไม้ร่วงในรัชสมัยพระเจ้าฮั่นเหวินตี้ปีที่ 3 พ.ศ. 367 ที่ชนบทนอกเมืองของนครฉานอัน มีป่าไม้สวนหย่อมเป็นบริเวณที่ร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อนเที่ยวชมธรรมชาติ พระเจ้าฮั่นเหวินตี้ทรงนำพระนางโต้วฮองเฮา พร้อมด้วยพระสนมเสิ่นฟูหยิน (ซิ่มฮูยิ้ง) ตามเสด็จประพาส พระสนมเสิ่นฟูหยินเป็นหญิงงามชาวเมืองฮั่นตัง (ฮ่ำตัง) ปัจจุบันคือเมืองฮั่นตัน ในมณฑลเหอเป่ย เป็นหญิงงามมีเสน่ห์ มีความสามารถทางร้องรำทำเพลงเล่นคนตรี พระเจ้าฮั่นเหวินตี้ทรงโปรดปรานพระสนมนี้ จึงทรงค่อยห่างจากพระนางฮองเฮาของพระองค์ เนื่องจากว่าโต้วฮองเฮามีพื้นแพมาจากตระกูลผู้ยากไร้ แต่โชควาสนาหรือบุญกรรมในอดีตที่พระนางสั่งสมมา บันดาลให้พระนางมีตำแหน่งอันสูงส่งเหนือสตรีทั้งประเทศ พระนางจึงทรงเสงี่ยมเจียมตัว ปฏิบัติหน้าที่ของฮองเฮาด้วยความระมัดระวัง ไม่ทรงอิจฉาขี้ระแวงหรือชิงดีชิงเด่นกับผู้ใดทั้งสิ้น ผิดกับพระสนมเสิ่น ที่คอยตีตนเสมอพระนางตลอดเวลา

วันเวลาดังกล่าว ฮ่องเต้ ฮองเฮา และพระสนม เสด็จประพาสอุทยานเป็นเวลากว่าครึ่งค่อนวัน พนักงานดูแลรับผิดชอบของอุทยานได้จัดงานเลี้ยงถวายฮ่องเต้ พระสนมเสิ่นด้วยพระอุปนิสัยที่เคยชินตีตนเสมอฮองเฮาตลอดเวลา พระนางฮองเฮาเสด็จเดินเหิรและประทับที่ตรงไหน พระนางก็เสด็จเดินเหิรและประทับที่ตรงนั้น เป็นการผิดระเบียบธรรมเนียมพระราชประเพณีอย่างยิ่ง ขุนนางหยวนเอง (ง่วงอ่ง) ได้จัดพระที่นั่งสำหรับฮ่องเต้ ฮองเฮา และพระสนมตามลำดับยศศักดิ์ แต่พระสนมเสิ่นทรงถือวิสาสะไปประทับพระที่นั่งสำหรับฮองเฮา หยวนเองจึงได้อันเชิญเสด็จพระสนมไปประทับยังพระที่นั่งซึ่งอยู่ ต่ำกว่า พระสนมเสิ่นทรงพระโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ทรงยอมประทับ บริภาษขุนนางหยวนว่าไหมความว่ายังไง พระเจ้าฮั่นเหวินตี้ก็ทรงพระโกรธ พระองค์ไม่ทรงตรัสว่าประการใด ทรงจูงมือพระสนมเสิ่นตามเสด็จกลับเข้าวัง พระนางโต้วฮองเฮาทรงจำพระทัยตามเสด็จเข้าวังไปด้วย เป็นอันว่างานเสด็จประพาสอุทยานอันแสนสุขวันนั้นก็สดุดจบสิ้น

ขุนนางหยวนเอง เป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์เถรตรงเคร่งครัดในพระราชประเพณี ซึ่งพระเจ้าฮั่นเหวินตี้ก็ทรงรู้ดี นอกจากไม่ทรงเอาโทษต่อขุนนางหยวนแล้ว ยังทรงเลื่อนยศขุนนางตามความดีความชอบ ขุนนางหยวนเองเห็นว่าพระสนมเสิ่นประฏิบัติไม่ถูกต้องตามโบราณรา ชประเพณี จึงตั้งใจจัดงานตักเตือนพระนางและฮ่องเต้ ดังนั้นในคืนวันเดียวกันนั่นเอง ขุนนางหยวนเองจึงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ กราบทูลว่า

“เท่าที่กระหม่อมกระทำในวันนี้ ก็เพื่อรักษาโบราณพระราชประเพณีโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ ฟ้ามีเบื้องสูง ดินมีเบื้องต่ำ ทุกอย่างจึงต้องมีแยกแยะ เพื่อประเทศชาติและราชวงศ์อยู่ยั้งยืนยง ประชาราษฎร์สมัครสมานร่วมใจกันรักใคร่สามัคคี ทุกวันนี้ฝ่าบาททรงแต่งตั้งพระนางฮองเฮาซึ่งมีเกียรติเป็นหญิงส ูงสุดของประเทศ แต่ในเมื่อพระสนมเสิ่นมาตีตนเสมอกับฮองเฮา นอกจากเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติแก่ฮองเฮาแล้ว จารีตประเพณีแต่โบราณก็พลอยเสื่อมเสียไปด้วย หากฝ่าบาททรงรักใคร่พระสนมเสิ่นเสมอด้วยฮองเฮา ทำไมฝ่าบาทไม่ทรงตั้งพระยศของพระสนมเสิ่นเทียบเท่าฮองเฮา ฝ่าบาททรงจำเหตุการณ์กรณีมนุษย์สุกรได้ไหมพะย่ะค่ะ”

เมื่อกล่าวถึงกรณีมนุษย์สุกร พระเจ้าฮั่นเหวินตี้ทรงมีพระสีหน้าถอดสี พระองค์ทรงเข้าพระทัยคำเพ็ดทูลตักเตือนของขุนนางหยวนทุกประการ พระองทรงเสด็จไปยังพระตำหนักของพระสนมเสิ่น ตรัสเล่าความทั้งหมดของขุนนางหยวนให้พระสนมเสิ่นฟังทุกประการ พระสนมเสิ่นเป็นผู้ที่มีความคิดอ่านมีสติปัญญา ทรงเห็นว่าคำกราบทูลของขุนนางหยวนนั้นถูกต้องทุกประการ พระนางจึงทรงใช้คนสนิทนำทองคำ 50 ตำลึงไปมอบให้ขุนนางหยวนเป็นรางวัลการเตือนสติพระนาง

วันหนึ่งฟ้าสะหลัว พระเจ้าฮั่นเหวินตี้ทรงนำเสด็จพระสนมเสิ่นประพาสอุททยาน พระองค์ทรงพระราชรถเอง ทรงขับพระราชรถมาถึงสะพานแห่งหนึ่ง พระองค์ทรงชักนำพระสนมเสิ่นชมนกชมไม้ ธรรมชาติงดงาม กิ่งหลิวอ่อน ๆ ห้อยย้อยริมตลิ่ง เป็นที่คลืบคลื้มแก่ผู้พบเห็น พระเจ้าฮั่นเหวินตี้ทรงชี้ไปที่หนทางเล็ก ๆ ข้างหน้าตรัสแกพระสนมเสิ่นว่า จากทางนี้ไปข้างหน้าก็จะถึงเมืองฮั่นตัน บ้านเกิเมืองนอนของพระสนมเสิ่น พระองค์ทรงใช้มหาดเล็กคนหนึ่งนำพิณพี่ผา (ปี่แป้) เป็นพิณจีนคล้ายกีร์ต้า แต่รูปทรงกลมมนกว่า ให้พระสนมเสิ่นดีดเล่น แล้วพระองค์ก็ทรงร้องเพลงคลอตาม ทั้งคู่อยู่ในจินตอารมณ์มีความสุขยิ่งนัก เมื่อเสียงเพลงและดนตรีจบลงด้วยความชื่นมื่น ทันใดนั้นมีชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งออกจากเชิงสะพาน พระองค์ทรงตกพระทัย บรรยายกาศที่มีความสุขกับพระสนมเสิ่นหายไปหมดสิ้น พระองค์ร้องสั่งให้มหาดเล็กนำชาวบ้านดังกล่าวไปให้ขุนนางยุติธร รมชำระความ ขุนนางจางเจ๋อ (เตียเจ็ก) จึงลงโทษปรับเงินชาวบ้านผู้นั้น พระเจ้าหลิวเฮงเรียกขุนนางจางเจ๋อมาตรัสถามว่า

“ชาวบ้านผู้นั้นทำให้ข้าตกใจ เหตุไฉนจึงไม่ลงโทษประหารชีวิต”

ขุนนางจางเจ๋อเป็นคนที่มีความยุติธรรมและรักความเที่ยงธรรม ได้กราบทูลว่า

“กฎหมายนั้นฟ้าซึ่งพระองค์ผู้เป็นโอรสสวรรค์เป็นผู้ลิขิต ฟ้าเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา และใต้เหล้าซึ่งมีพวกกระหม่อมเป็นข้าทาสสนองปฏิบัติ หากกระหม่อมลงโทษแก่ชาวบ้านซึ่งมีโทษเพียงเล็กน้อย เป็นโทษหนักถึงประหารชีวิต เมื่อความรู้ไปทั่วแผ่นดินการครหาก็จักบังเกิดแก่พระองค์ผู้เป็ นฮ่องเต้ที่เปี่ยมด้วยพระเมตตาพะย่ะค่ะ”

เมื่อพระเจ้าฮั่นเหวินตี้ทรงสลับฟังขุนนางจางเจ๋อกราบทูล เช่นนี้ ทรงพระนิ่งอึ้งด้วยจนในเหตุผล

เมื่อข่าวนี้เลื่องลือไปทั่วนครฉานอาน พระนางโต้วจีฮองเฮาทรงรำลึกถึงด้วยว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ ฮ่องเต้พระราชสวามีของพระนางยังไม่ทรงปฏิบัติต่อพระนางด้วยความ รักอันซาบซึ้งดังเช่นที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพระสนมเสิ่น พระนางทรงรู้สึกน้อยพระทัยแต่ก็ทรงคิดได้ว่า ความรักของฮ่องเต้นั้นเปรียบเสมือนสายน้ำไหลไปแล้วไม่มีการไหลก ลับ พระนางจึงทรงทุ่มแทความรักทั้งหมดของพระนางไปยังบรรดาโอรสและธิ ดาของพระนาง แต่ความรักที่เหลือเฟือของพระนางกลับเพาะบ่มพระนิสัยที่ไม่ดีแก ่องค์รัชทายาทหลิวจี้ (เล่าคี่) และพระอนุชาซึ่งมีตำแหน่งเป็นเจ้าไต้หวาง (ต่ออ้วง) หลิวอู่ (เล่าบู้) ทรงเกะกะเป็นอันธพาลอยู่ภายในนครฉานอาน ทรงเล่นการพนัน ทะเลาะวิวาทต่อยตีผู้คน โปรดการแข่งม้าแข่งสุนัข ข่มแหงรังแกขืนใจลูกเมียชาวบ้าน อันเป็นขัดต่อกฎหมายกฎราชมณเฑียรบาลอยู่เป็นนิจ พระราชทายาททรงก่อคลีสะเทือนขวัญอันเป็นโทษต่อพระราชสำนักคือ
เจ้าอู๋หวาง (โง่วอ้วง) หลิว... (เล่าพี่) พระราชนัดดาของพระเจ้าหลิวปัง เป็นใหญ่ทางดินแดนตะวันออกเฉียงใต้ที่อุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรอันเป็นแร่ทองแดงจำนวนมหาศาล เจ้าอู๋หวางมีกำลังอำนาจร่ำรวยมีเงินทองจากการเก็บภาษีและค่าภา คหลวงจากการทำเหมืองทองแดง นอกจานี้ยังมีการทำนาเกลือจากน้ำทะเลอันมีค่าอีกจำนวนมาก เจ้าอู๋หวางจึงไม่ค่อยเคารพให้ความยำเกรงแก่พระเจ้าอาซึ่งเป็นพ ระเจ้าฮั่นเหวินตี้ฮ่องเต้ สิบกว่าปีที่ผ่านมาเจ้าหลิว...ไม่เคยเสด็จไปเข้าเฝ้าฮ่องเต่ ต่อมาทรงสำนึกได้ว่าเป็นการผิดธรรมเนียมโบราณราชประเพณีมีโทษหน ัก จึงได้ส่งโอรสซึ่งเป็นทายาทหลิวเสียน (เล่า...ง) ไปที่นครฉานอานเข้าเฝ้าไต่ถามทุกข์สุขกับฮ่องเต้ ครั้นเสร็จจากราชกิจทรงคบเป็นพระสหายท่องเที่ยวกับองค์รัชทายาท หลิวจี้อยู่หลายวัน

วันหนึ่งทรงเล่นหมากรุกกับองค์รัชทายาทที่พระตำหนักจงกง (ตังเกง) พระตำหนักตะวันออกขององค์รัชทายาท เบื้องหลังขององค์รัชทายาทมีคนสนิทราชองค์รักษ์ขององค์รัชทายาท จับกลุ่มดูการเล่นหมากรุก ส่วนเบื้องหลังเจ้าหลิวเสียนก็มีสมุนผู้ติดตามยืนชะเง้อดูอยู่เ หมือนกัน ต่างฝ่ายต่างช่วยกันเชียร์การเล่นหมากรุกของเจ้านายตน เมื่อเล่นมาตอนหนึ่งองค์ชายหลิวจี้ทรงเดินหมากพลาดไปตาหนึ่ง เจ้าหลิวเสียนจึงเสียบหมากรุกฆาต ทำให้หมารุกระดานนี้ทำท่าฝ่ายองค์ชายหลิวจี้จะแพ้ องค์ชายหลิวจี้จึงทรงขอแก้ตัวเดินหมากตานั้นใหม่ แต่เจ้าหลิวเสียนทรงถือฐิถิถือความได้เปรียบของหมากตานั้นจึงไม ่ทรงยอม องค์ชายหลิวจี้ทรงพระโทษะอย่างรุนแรง ทรงลืมพระองค์ทรงคว้าหมากรุกทั้งกระดานขึ้นมาฟาดไปที่พระเศียรข องเจ้าหลิวเสียนอย่างแรง เจ้าหลิวเสียนไม่ทันตั้วตัวจึงถูกกระดานหมากรุกฟาดพระเศียรจนเล ือดและเศษมันสมองกระจายตายคาที

เมื่อข่าวนี้ทรงทราบถึงพระกรรณของพระเจ้าฮั่นเหวินตี้ พระองค์ทรงดำริทำโทษพระโอรสด้วยการถอดออกจากตำแหน่งรัชทายาท เพื่อผ่อนความโกรธแค้นของเจ้าหลิว... แต่เมื่อพระนางโต้วจีฮองเฮาทรงวิงวอนขอร้องด้วยน้ำพระเนตรอาบเต ็มพระพักตร์ พระเจ้าเหวินตี้ก็ทรงพระทัยอ่อน ทรงทอดถอนพระทัย ดังนั้นองค์ราชทายาทนอกจากไม่ทรงถูกถอดถอนแล้ว แม้แต่พระราชอาญาแม้นเพียงปลายพระนะขาก็ยังไม่ถูกแตะต้อง พระเจ้าเหวินตี้ทรงโปรดให้จัดการปลงพระศพของเจ้าหลินเสียนอย่าง สมพระเกียรติ แล้วส่งโลงบรรจุพระศพไปให้เจ้าหลิวปีพระบิดาของเจ้าหลิวเสียน แต่เจ้าหลิว...ไม่ยอมรับ พระเจ้าหวินตี้จึงทรงจำพระทัยโปรดให้ฝังพระศพของเจ้าหลิวเสียนท ี่นครฉานอาน นี่จึงเป็นสาเหตุให้เกิดกรณีขบถจลาจลของเจ้าเมืองอู๋และเจ้าเมื องฉู่ (ช่อ) รวม 7 หัวเมือง ในรัชการของฮ่องเต้องค์ต่อมา นักประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าเจ้าอู๋ หลิว... เป็นกบฏหมายแย่งบัลลังค์ แต่เจ้าอู๋ทรงต้องการแก้แค้นให้แก่พระโอรสมากกว่า

หลงรักลูกงมงาย แม้ตายไม่ปล่อยวาง

ศักราชโฮ่วหยวน (เอ่าง้วง) ปีที่ 7 ในรัชสมัยพระเจ้าฮั่นเหวินตี้ พ.ศ. 387 พระเจ้าหลิวเฮงเสด็จสวรรคต องค์รัชทายาทหลิวจี้เถลิงราชสมบัติเป็นฮ่องเต้ ทรงพระนามว่าพระเจ้าฮั่นจิ่นตี้ ทรงแต่ตั้งพระนางโต้วจีพระราชมารดาเป็นพระนางฮองไทเฮา ต่อมาอีก 2 ปี พระนางป๋อไท่ฮองไทเฮา เสด็จสวรรคต พระนางโต้วจีจึงเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของพระราชสำนัก พระอุปนิสัยของพระนางเริ่มเปลี่ยนไป จากฮองเฮาที่ทรงเป็นธรรม เจียมตนสงบเสงี่ยมประหยัดมัดทะยัด กลายเป็นพระนางฮองไทเฮาที่เห็นแก่พระองค์เป็นใหญ่ หลงไหลในพระราชอำนาจ พระนางทรงรักใคร่เอ็นอูเจ้าหลิวอู่ พระราชโอรสองค์เล็กมากกว่าพระเจ้าหลิวจี้ พระราชโอรสองค์โตซึ่งเป็นฮ่องเต้

เมื่อพระเจ้าฮั่นจิ่นตี้ครองราชย์เป็นปีที่ 3 พระอนุชาหลิวอู่ ซึ่งเดิมทีมีพระยศเป็นเจ้าไต้หวาง ทรงโปรดให้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเว่ยอินหวาง (ฮ่วยอิมอ้วง) ได้รับพระราชทานข้าวของเงินทองตลอดทั้งที่ทางอีกมากมาย และได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเหนียนหวาง (เนี่ยอ้วง) ก็ยังได้รับพระราชทานข้าวของและที่ทางอีกจำนวนมาก พระองค์ร่ำรวยมหาศาลมิอาจนับคำนวณได้ แต่พระนางโต้วจีก็ยังทรงเป็นห่วงพระโอรสองค์เล็กว่าเป็นเป็นแค่ เจ้าหัวเมือง เปรียบกับพระโอรสองค์โตที่เป็นถึงฮ่องเต้ไม่ได้ วันหนึ่งเจ้าเหนียนหวางทรงจัดให้มีงานเลี้ยงในวัง พระนางโต้วจีทรงเห็นพระโอรสทั้ง 2 พระองค์นั่งโต๊ะเสวยร่วมกัน ทรงตรัสปรารภขึ้นมาเปรย ๆ ว่า

“คนหนึ่งมีบุญเป็นถึงฮ่องเต้ แต่อีกคนหนึ่งเป็นเพียงเจ้าหัวเมืองธรรมดา”

พระเจ้าจิ่นตี้ทรงฟังพระมารดาตรัสด้วยความกลุ้มพระทัยเช่ นนี้ ด้วยทรงพระกตัญญู จึงทรงเสด็จลุกขึ้นพร้อมด้วยถ้วยสุราจอกหนึ่ง พลางดึงพระกรของพระอนุชาขึ้นมาตรัสว่า

“เอาเถอะ.. ต่อไปข้าจะมอบตำแหน่งฮ่องเต้ให้กับเจ้า”

เจ้าหลิวอู่ทรงตกพระทัยทั้งกลัวทั้งดีพระทัย กำลังจะก้มตัวคุกเข้าเพื่อน้อมรับพระราชโองการ ทันใดนั้น โต้วอิน (โตวเอ็ง) ขุนนางในตำแหน่งเจ้ากรมพระราชพิธีซึ่งร่วมโต๊ะเสวยอยู่ข้าง ๆ ชูจอกสุราขึ้นมากราบทูลว่า "ตามโบราณราชประเพณีที่เคยมีมา ธรรมเนียมการสืบทอดพระราชสมบัติของฮ่องเต้ มีเพียงสืบทอดให้แก่พระราชโอรสองค์โตเท่านั้น หาได้สืบทอดแก่พระอนุชาไม่ พระองค์ทรงตรัสผิดแล้วพะย่ะค่ะ ข้าพระองค์ขอปรับพระองค์ด้วยสุราหนึ่งจอก ขอปรับ.. ขอปรับ พะย่ะค่า”

ด้วยคำกราบทูของขุนนางโต้วอินนี้เอง ทำให้พระเจ้าจิ่นตี้ทรงฉุกคิดกลับพระทัยได้ ทรงรีบตรัสว่า

“สมควรปรับ… สมควรปรับ”

แล้วพระองค์ก็ทรงยกแก้วสุราขึ้นเสวยดื่มจนหมดจอก เป็นการจบสิ้นความปรารถนาของพระราชมารดาและพระอนุชา

แต่กรรมอันนี้กลับตกหนักอยู่ที่ขุนนางโต้วอิน ถึงแม้ว่าขุนนางโต้วอินจะมีศักดิ์เป็นหลานของพระนางฮองไทเฮา ขุนนางโต้วอินรู้ตัวว่าทำตนเป็นที่ระคายเคืองแก่ฮองไทเฮาและพระ อนุชา วันรุ่งขึ้นจึงถวายฎีกาขอลาออกจาราชการต่อพระเจ้าฮั่นจิ่นตี้ พระนางโต้วฮองไทเฮายังทรงพระโกรธไม่หาย ทรงรับสั่งให้ขุนนางโต้วอินห้ามเข้าออกมายุ่งเกี่ยวกับทางพระรา ชสำนักอีกต่อไป

ผ่านมาอีกหลายปี พระนางฮองไทเฮายังคงสนับสนุนเจ้าเหนียนหวางให้มียศสักดิ์เสมอด้ วยฮ่องเต้ ทรงรับสั่งให้ฮ่องเต้โปรดให้เจ้าเหนียนหวางมีสิทธิ์สร้างวังกระ ทำพระราชพิธิทุกอย่างเปรียบเสมือนฮ่องเต้ทุกประการ หลังจากที่พระเจ้าฮั่นจิ่นตี้ทรงปราบกบฏพระเจ้าอาและเจ้าฉู่หวา งลงได้สำเร็จ พระเจ้าฮั่นจิ่นตี้ทรงแต่งตั้งพระโอรสหลิวหย่ง (เล่าเอว๊ง) ที่ทรงกำเหนิดจากพระสนมลิ่จี (ลักกี) เป็นองค์ชายรัชทายาท แต่เจ้าเหนียนหวางก็ยังรอคอยตำแหน่งฮ่องเต้ พระองค์ทรงดำริว่าตราบใดที่พระนางฮองไทเฮาพระราชมารดายังทรงพระ ชนม์ชีพอยู่ ความหวังของพระองค์จักยังคงอยู่

ศักราชเฉียนหยวน (ไจ่ง้วง) ปีที่ 7 ในรัชสมัยพระเจ้าฮั่นจิ่นตี้ พ.ศ. 394 เจ้าหลิวอู่ทรงสดับรับฟังว่า ทางพระราชสำนักองค์รัชทายาทหลิวหย่งถูกปลดออกจากตำแหน่ง เจ้าเหนียนจึงทรงรีบเข้าเฝ้าพระราชมารดาขอพระเชษฐาฮ่องเต้แต่งต ั้งพระองค์เป็นพระอนุชารัชทายาท พระนางโต้วจีทรงรับปากทรงเอ่ยพระโอษฐ์ขอกับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงเกรงพระทัยพระราชมารดา ทรงรับปากขอปรึกษากับเหล่าขุนนางอำมาตย์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมขุนนางอำมาตย์ บังเอิญขณะนั้นขุนนางหยวนเอง ผู้ซื่อสัตย์และเคร่งครัดในระเบียบราชประเพณี มีความดีความชอบมาตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อน ได้รับตำแหน่งก้าวหน้ามาเป็นอำมาตย์ขุนนางผู้ใหญ่ ในที่ประชุมขุนนางหยวนเองได้กราบทูลว่า

“ข้าพระองค์เห็นว่าฝ่าพระบาทไม่สมควรแต่งตั้งเจ้าเหนียนหวางเป็ นรัชทายาทพะย่ะค่ะ”

“เจ้ามีเหตุผลเป็นเช่นใดหรือ”

พระเจ้าจิ่นตี้ทรงตรัสถาม

“พระองค์ทรงจำได้ไหมว่าในยุคสมัยชุนชิว (ชุงชิว) ที่เมืองรัฐซ่ง (ซ้อง) เจ้าซ่งซวนกง (ซ้องซวงกง) ได้สืบทอดสมบัติให้แก่อนุชา ไม่สืบทอดสมบัติแก่โอรส เป็นเหตุให้เมืองรัฐซ่งเกิดการจลาจลวุ่นวายตลอดมาหลายยุคหลายสม ัย เจ้าเมืองรัฐอื่น ๆ จึงไม่มีใครกล้าสืบทอดสมบัติแก่อนุชาพะย่ะค่ะ”

พระเจ้า ฮั่นจิ่นตี้ทรงฟังเช่นนั้นก็ทรงยินดีพระทัย รีบเสด็จกลับไปเฝ้าฮองไทเฮาทูลตามเหตุผลของอำมาตย์หยวนเอง พระนางฮองไทเฮาถึงแม้จะไม่พอพระทัย แต่ทรงจนด้วยเหตุผลเรื่อจึงเลยตามเลย เจ้าหลิวอู่กลับบ้านเมืองที่ดินแดนเหนียนด้วยความสิ้นหวัง เมื่อเดือน 4 ของปีนั้น พระเจ้าจิ่นตี้ทรงโปรดให้แต่ตั้งเจ้าเจียวจงหวาง (กาตังอ้วง) หลิวเช่อ (เล่าเถียก) เป็นองค์ชายรัชทายาท เป็นการตัดสิ้นความทะเยอทะยานของเจ้าเหนียนหวาง พระนางโต้วจีฮองไทเฮาทรงพระประสงค์อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระโอรสองค์เล็ก และเพื่อเป็นการปลอบใจเจ้าเหนียนหวาง ทรงให้ฮ่องแต้ก่อสร้างทางใต้ดินจากดินแดนเหนียนทะลุไปถึงนครฉาน อาน ฮ่องเต้ทรงเห็นว่าจะต้องสิ้นเปลืองเงินทองและกำลังไพร่พลมหาศาล จึงทรงใช้ลูกไม้เดิมขอวางแผนปรึกษากับคณะขุนนางอำมาตย์ และก็ได้รับการปฏิเสธ

วันหนึ่งของหลายเดือนต่อมา พระเจ้าจิ่นตี้ทรงรับทราบว่า ข้าหลวงเอกหยวนเองและขุนนางผู้ใหญ่อีกหลายคน ถูกลอบสังหารตายอยู่ที่นอกประตูเมืองอันหลินเหมิน (อังเล่งมึ้ง) พระเจ้าจิ่นตี้ทรงเดาว่าเป็นฝีมือของเจ้าเนียนหวางพระอนุชาเป็น แน่ เพราะขุนนางที่ถูกสังหารนั้นล้วนแต่เป็นขุนนางที่คัดค้านการแต่ งตั้งพระอนุชารัชทายาท ทรงให้มือปราบไปชันสูตรพิศูจย์ศพ ได้พบมีดสั้นเล่มหนึ่งที่ข้าง ๆ ศพของหยวนเอง เป็นหลักฐานระบุว่าเป็นอาวุประจำกายของขุนนางหัวเมืองเหนียน พระองค์ทรงส่งมือปราบไปสืบสางคดีถึงเมืองเหนียน ส่วนตัวมือปราบเองรู้อยู่ว่าผู้ที่บงการเป็นตัวการอยู่เบื้องหล ังคือเจ้าเหนียนหวาง เมื่อถึงเมืองเหนียนมือปราบคงไม่กล้าจับเจ้าเหนียนหวาง เพียงจับสมุนคนสนิทของเจ้าเหนียนหวางคือกงซุนกุ้ย (กงซุงกุ้ย) และหยางเสิ้น (เอี่ยเส่ง) เจ้าเหนียนหวางทรงวางแผนชิงเอากงซุนกุ้ย และหยางเสิ้นพาหลบไปซ่อน ขณะนั้นขุนนางผู้ใหญ่ของเมืองเหนียนคนหนึ่งชื่อหานอันกว๋อ (ฮ่างอังกก) เห็นว่าเหตุการณ์ลุกลามใหญ่ถึงเช่นนี้ จึงเข้าไปเตือนพระสติของเจ้าเหนียนหวางว่า

“ท่านไต้หวางและฮ่องเต้แม้มีสายเลือดสัมพันธ์กันดั่งขาและมือไม้ แต่เมื่อเกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ ฮ่องเต้ทรงเกรงพระทัยเห็นแก่พระพักตร์ของพระนางฮองไทเฮา ทรงให้มือปราบจับคนของพระองค์ไ



มหาราช
#4   มหาราช    [ 26-02-2008 - 11:34:59 ]

ศักราชหยวนกวนปีที่ 6 ในรัชสมัยพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ พ.ศ. 415 พระนางโต้วจี ซึ่งมีวาสนามีบรรดาศักดิ์ในพระราชสำนักฮั่นนานถึง 50 ปี ทรงพระชนม์มาถึง 3 แผ่นดิน ทรงเสวยสุขในบั้นปลายพระชนม์ชีพที่พระตำหนักฉางเล่อกง (เชี่ยงลักเกง) ทรงได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นพระนางไท่ฮองไทเฮา ก็เสด็จสวรรคตด้วยความสงบเมื่อพระชนมายุได้ 75 พรรษา แต่ในเวลานั้นเจ้าหญิงกวนเทาพระราชธิดาของพระนางยังทรงพระชนม์อ ยู่ ก่อนสิ้นพระชน์พระนางยังทรงทำพินัยกรรมยกพระราชสมบัติของพระนาง ทุกชิ้นให้แก่เจ้าหญิงกวนเทา เป็นที่ประจักษ์ได้ว่าพระนางทรงรักและห่วงพระราชโอรสและธิดาแค่ ไหน

อย่างใดก็ตามพระเจ้าฮั่นเหวินตี้ที่พระนางทรงหมดเยื่อใย พระศพของพระนางยังคงได้รับการฝังเคียงคู่กับพระศพของพระเจ้าฮั่ นเหวินตี้ ที่พระสุสานเป้าหลิน (เป่าเล้ง) ตามโบราณราชประเพณี พระนางจึงคงร่วมทุกข์ร่วมสุขอีกกับพระเจ้าฮั่นเหวินตี้ในสัมปรา ยภพ



(จบตอนพระนาง ฮองเฮา โต้วจี)



โซ
#5   โซ    [ 06-09-2014 - 12:40:38 ]    IP: 171.97.146.16

โห้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยพึงถึงบ่องออเมื่อตะกี้มันเป็นอย่างนี้นีเองเข้าใจละ



โซ
#6   โซ    [ 06-09-2014 - 12:43:47 ]    IP: 171.97.146.16

ชอบนะมีแง่คิดด้วยทั้งดีเเละไม่ดี



ororo munroe
#7   ororo munroe    [ 07-09-2014 - 18:55:27 ]




จั๊ก
#8   จั๊ก    [ 28-01-2017 - 00:07:20 ]    IP: 171.97.77.166

ฮ่องเฮาโต้วจี
เอามาสร้างเรื่อง Schemes of a Beauty นำแสดงโดย หลินซินหยู เป็นโดวอี้ฟาง กับเฉินเจี้ยนฟง เป็นจักรพรรดิหลิวเหิง
เค้าโครงเรื่องคล้ายๆกัน แต่เนื้อหาต่างกันเยอะ 555 แต่ในเรื่องสนุกดี ชอบมาก



จั๊ก
#9   จั๊ก    [ 28-01-2017 - 00:08:01 ]    IP: 171.97.77.166

quote : จั๊ก

ฮ่องเฮาโต้วจี
เอามาสร้างเรื่อง Schemes of a Beauty นำแสดงโดย หลินซินหยู เป็นโต้วอี้ฟาง กับเฉินเจี้ยนฟง เป็นจักรพรรดิหลิวเหิง
เค้าโครงเรื่องคล้ายๆกัน แต่เนื้อหาต่างกันเยอะ 555 แต่ในเรื่องสนุกดี ชอบมาก




  • 1
ตอบกระทู้
ชื่อ
รหัส กรอกตัวอักษร ตามภาพ
ข้อความ


emo-smile emo-happy emo-lol emo-enjoy emo-kiku emo-cool emo-hoho emo-drool emo-hungry emo-kiss emo-sorry emo-sad emo-cry emo-tear emo-question emo-doubt emo-shock emo-redface emo-plz emo-peevish emo-angry emo-moody emo-sneer emo-makefaces emo-good emo-touched emo-love emo-bore emo-tired emo-vomit
bold italic underline img link superscript subscript size color space justifyleft justifycenter justifyright quote box youtube