เข้าระบบอัตโนมัติ

เนื้อหาราชวงศ์ต่างๆ


  • 1
กระบี่อสูร
#1   กระบี่อสูร    [ 31-01-2008 - 20:28:59 ]

จากวิกิพิเดียให้คนนกระทู้ศึกษา



กระบี่อสูร
#2   กระบี่อสูร    [ 31-01-2008 - 20:34:38 ]

เรียงลำดับเลยนะครับ

ราชวงศ์เซี่ย



ราชวงศ์เซี่ย (ภาษาอังกฤษ : Xia Dynasty) (ภาษาจีนกลาง : 夏朝) (พินอิน : xià cháo) เป็นราชวงศ์แรกของจีน มีอายุราว 2,070 ถึง 1,600 ปีก่อนคริสต์กาล มีอายุอยู่ได้ราว 400 ปี ในอดีตนักวิชาการและบุคคลโดยทั่วไปเชื่อว่าเรื่องราวของราชวงศ์เซี่ยเป็นเพียงเรื่องแต่งหรือปรัมปราที่เล่าสืบต่อกันมา แต่ปัจจุบันมีการขุดค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีที่เชื่อถือได้

ในปี ค.ศ. 1959 ได้เริ่มมีการค้นหาแหล่งที่มาของวัฒนธรรมเซี่ย โดยช่วงเวลาที่ผ่านมาได้เริ่มดำเนินการขุดค้นและตรวจสอบทางโบราณคดีรูปแบบต่าง ๆในพื้นที่แถบตะวันตกของเหอหนานและทิศใต้ของมณฑลซานซี เพื่อลดขอบเขตพื้นที่เป้าหมายในการค้นหาให้แคบเข้า ปัจจุบัน มีนักวิชาการจำนวนมากเห็นว่า วัฒนธรรมเอ้อหลี่โถว (二里头文化) จากหลุมขุดค้นเหยี่ยนซือเอ้อหลี่โถวและวัฒนธรรมหลงซาน (龙山文化) ในเขตตะวันตกของมณฑลเหอหนานนั้น น่าจะเป็นวัฒนธรรมในสมัยเซี่ย แต่เนื่องจากยังขาดหลักฐานทางตรงและหลักฐานที่เป็นตัวอักษร ดังนั้นปัจจุบันนี้ จึงยังคงไม่อาจระบุชัดว่าสิ่งที่ขุดค้นได้มาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเซี่ยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่พบในวัฒนธรรมหลงซานและวัฒนธรรมเอ้อหลี่โถว ก็ทำให้มีข้อมูลมากพอที่จะช่วยเสริมความรู้ที่ขาดหายไปในช่วงเวลานี้เป็นอย่างดี


กาใส่เหล้าวัฒนธรรมราชวงศ์เซี่ยจากบันทึกของซือหม่าเซียน ทำให้นักประวัติศาสตร์จีนมักเริ่มนับราชวงศ์เซี่ยโดยเริ่มจากเซี่ยหวี่ (夏禹) ถึงลวี่กุ่ย (履癸) หรือเซี่ยเจี๋ย (夏桀) ในระยะเวลา 400 กว่าปี มีกษัตริย์ครองบัลลังก์ 17 พระองค์ มีการสืบทอดอำนาจถึง 14 ชั่วคน

การก่อตั้งราชวงศ์เซี่ยซึ่งมีรากฐานของอำนาจจากการยึดครองทรัพย์สินเป็นของส่วนตัว เป็นสัญญาณว่าสังคมยุคดึกดำบรรพ์ที่ทรัพย์สินเป็นของสาธารณะอันยาวนาน กำลังถูกแทนที่ด้วยสังคมแบบยึดครองทรัพย์สินส่วนตัว และนี่ก็เป็นวิวัฒนาการในประวัติศาสตร์ช่วงเวลาหนึ่ง ทว่า โดยปกติการก่อเกิดของระบบใหม่ มักต้องเผชิญกับแรงต้านจากฝ่ายอนุรักษ์ เมื่อเซี่ยฉี่ (夏启) บุตรของเซี่ยหวี่เข้ารับสืบทอดตำแหน่งของบิดา (禹) ก็ได้เชิญบรรดาหัวหน้าชนเผ่าจากดินแดนต่าง ๆ มาร่วมในงานเลี้ยง เพื่อรับรองการขึ้นสู่ตำแหน่งใหม่ของตน

กลุ่มฮู่ซื่อ(扈氏)ไม่พอใจเซี่ยฉี่ ที่ยกเลิกระบบ การคัดสรรผู้มีความสามารถเพื่อดำรงตำแหน่งผู้นำที่มีอยู่เดิม จึงไม่ได้เข้าร่วมในงานเลี้ยงนั้น เซี่ยฉี่จึงยกกองทัพออกไปปราบฮู่ซื่อ โดยทำศึกกันที่กาน(甘) ฮู่ซื่อพ่ายแพ้ถูกลบชื่อออกไป ชัยชนะจากการรบครั้งนี้ ทำให้ก้าวแรกของระบบอำนาจใหม่นี้แข็งแรงขึ้น

ระบบการปกครองแบบใหม่นี้ค่อย ๆ พัฒนาขึ้น ขณะที่ผู้ปกครองคนใหม่ ต้องเผชิญปัญหาการขาดประสบการณ์ในการปกครอง รากฐานของอำนาจที่มาจากการยึดครองทรัพย์สินเป็นของส่วนตัว ในช่วงระยะของการฟูมฟักของการก้าวขึ้นสู่อำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ สภาพการขูดรีด แย่งชิง และความกระหายในการเสพสุขของผู้ปกครองก็ยังเป็นไปอย่างรุนแรง และย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงจากการแย่งชิงผลประโยชน์และอำนาจในกลุ่มผู้ปกครองด้วยกันเองได้

ดังนั้น เมื่อเซี่ยฉี่ตายลง บุตรชายของเขาทั้งห้าคนก็แย่งชิงอำนาจกัน ผลคือเมื่อไท่คัง(太康) ได้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อจากฉี่ (ครองราชย์ 29 ปี) ก็ไม่สนใจดูแลกิจการงานเมือง เฝ้าหมกมุ่นอยู่กับสุรานารี ต่อมาจึงถูกอี้ (羿)ซึ่งเป็นผู้นำของรัฐฉง(穷氏) สบโอกาสเข้าแย่งชิงอำนาจ ภายหลังเมื่ออี้ถูกขุนนางของเขาที่ชื่อหานจั๋ว (寒浞) สังหารแล้ว เส้าคัง (少康) (ครองราชย์ 21 ปี) บุตรชายของไท่คังซึ่งหลบหนีไปรัฐโหย่วหวี (有虞氏) ได้รับความช่วยเหลือจากโหย่วหวี รวบรวมขุมกำลังเก่าของเซี่ยขึ้นใหม่ แล้วอาศัยช่วงเวลาที่ภายในของกลุ่มหานจั๋วเกิดความวุ่นวาย เข้าช่วงชิงอำนาจเพื่อกอบกู้ราชวงศ์เซี่ยกลับคืนมา

นี่คือเหตุการณ์ที่เป็นหลักหมายทางประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์เซี่ย ที่เรียกขานกันต่อมาว่า " ไท่คังเสียเมือง "(太康失国) " อี้ยึดครองเซี่ย "(后羿代夏) และ " เส้าคังฟื้นฟูเซี่ย "(少康中兴)

เมื่อถึงปลายราชวงศ์ ศูนย์อำนาจภายในเกิดความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกไม่หยุดยั้ง ข้อขัดแย้งทางชนชั้นทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อเซี่ยเจี๋ย (夏桀) ได้ขึ้นครองบัลลังก์(ช่วงก่อนคริสต์ศักราช 1,763 ปี ครองราชย์ 52 ปี) ก็ไม่คิดจะปฏิรูปแก้ไขสิ่งใด ยังคงเห่อเหิมฟุ้งเฟ้อในอำนาจ โดยสั่งให้ก่อสร้างตำหนักพระราชวัง ใช้จ่ายเงินทองฟุ่มเฟือยมากมาย มัวเมาอยู่กับสุรานารี โดยไม่สนใจใยดีต่อความทุกข์ยากของเหล่าประชาราษฎร์พากันก่นด่าประณาม เหล่าขุนนางที่จงรักภักดี กลับถูกสั่งคุมขังหรือประหารชีวิต บรรดาเจ้านายชั้นสูงต่างก็พากันเอาใจออกห่าง เซี่ยเจี๋ยจึงตกอยู่ในฐานะโดดเดี่ยว ซางทัง (商汤) ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์ต่อมาคือราชวงศ์ซาง เห็นเป็นโอกาสเหมาะ จึงใช้ข้ออ้างว่า " ฟ้ากำหนด " กล่าวหาว่าเซี่ยทำผิดต่อฟ้า จึงต้องถูกลงทัณฑ์ โดยขอให้ทุกคนรวมพลังกันเข้าโจมตี เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์แห่งฟ้า การศึกระหว่างซางทังและเซี่ยเจี๋ยที่หมิงเถียว (鸣条) ซางทังชนะ เจี๋ยหลบหนีไป และเสียชีวิตที่หนานเฉา ราชวงศ์เซี่ยจึงถึงกาลอวสาน




กระบี่อสูร
#3   กระบี่อสูร    [ 31-01-2008 - 20:36:32 ]

ราชวงศ์ซาง

ราชวงศ์ซาง

ราชวงศ์ซาง เดิมชื่อราชวงศ์ซาง ต่อมาย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองอิน จึงเปลี่ยนชื่อเป็นราชวงศ์อิน บางคนก็เรียกราชวงศ์อินซาง เป็นยุคแห่งไสยศาสตร์โดยแท้ นิยมการเสี่ยงทายด้วยกระดองเต่ากันมาก ราชวงศ์นี้ ได้มีการขุดพบหลักฐานมากมาย จึงเชื่อว่ามีอยู่จริง โดยหลักฐานที่ขุดได้ เป็นแผ่นจารึกตัวอักษรโบราณ และเศษกระดองเต่า มีรอยแตกอยู่ทั่วไป และเชื่อถือในอำนาจแห่งสวรรค์มาก ถือว่าทุกสิ่ง สวรรค์เป็นผู้กำหนด ราชวงศ์ซางมีกษัตริย์ ๓๐ องค์ กษัตริย์องค์สุดท้ายชื่อ พระเจ้าอินโจวหรือโจ้ว (ติวอ๋อง) ซึ่งในประวัติศาสตร์ประณามไว้ว่า เป็นคนโหดร้ายทารุณมาก นิยมการสงคราม และหลงใหลในอิสตรี โดยเฉพาะสนมเอกชื่อ ต๋าจี หรือขันกี ซึ่งเป็นคนวิปริตผิดมนุษย์ คอยยุยงให้โจ้วฆ่าคนเป็นผักปลา สร้างสระเหล้าดงเนื้อขึ้น (เอาน้ำเหล้ามาใส่ในสระ แล้วเอาเนื้อสัตว์มาห้อยไว้ตามต้นไม้) ต่อมา โจวอู่หวัง เจ้าผู้ครองแคว้นโจว ทางตะวันตก ได้ยกทัพมาปราบโจ้วอ๋อง โดยอ้างว่า ได้รับ "อาณัติ" หรือ "เทียนมิ่ง" จากสวรรค์ให้มาปราบ และได้ชัยชนะ โจ้วอ๋องจึงฆ่าตัวตายโดยกระโดดลงกองไฟ แต่จริงๆ แล้ว นักประวัติศาสตร์ยังไม่แน่ใจนัก ว่าโจ้วอ๋องจะโหดร้ายเช่นนั้นจริงหรือไม่ เพราะไม่มีหลักฐานชัดเจน รวมทั้งเรื่องเกี่ยวกับต๋าจีด้วย เรื่องราวในตอนท้ายราชวงศ์ซางนี้ ได้มีการนำไปแต่งเป็นนิยายหลายเรื่อง หนึ่งในเรื่องนั้นก็คือ "นาจา" นั่นเอง และหนังสือพงศาวดารชื่อว่า "ฮ่องสิน" โดยจะเน้นหนักไปทางอิทธิปาฏิหาริย์เสียมาก เล่าสู่กันฟัง มีหนังสือเล่มหนึ่ง บอกว่า ที่ห้องพระแห่งหนึ่งทางไต้หวัน มีปีศาจมาเข้าร่างของเด็กสาวคนหนึ่ง แสดงท่าทางเหมือนกับปลา ได้จ้องดูผู้มาเข้าฟังธรรมะด้วยท่าทางเคียดแค้น แล้วแนะนำตัวว่าเป็นปีศาจปลา ซึ่งเดิมก็คือนางสนมต๋าจีของโจ้วนั่นเอง ปีศาจตนนี้เล่าให้ฟังว่า ตนเองเป็นต้นกำเนิด แห่งความโหดร้ายทั้งปวง ของพระเจ้าโจ้ว เช่น การฆ่าปี่ก้าน ขุนนางผู้พยายามขัดขวางตน หรือการแหวะหัวใจพระเจ้าอาของโจ้ว (แต่ในประวัติศาสตร์บางเล่มเขียนไว้ว่า ปี่ก้านคือพระเจ้าอาของโจ้ว ซึ่งเราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ตกลงเป็นอย่างไรกันแน่) และได้เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ในสมัยนั้นไว้ตรงกับประวัติศาสตร์ เนื่องจาก ตนเองถูกส่งมา "ปราบ" โจ้วโดยเฉพาะ (รับ "เทียนมิ่ง" มาอีกละ) จากการที่โจ้วทำตัวไม่ดี เมื่อตายลง เนื่องจาก "ทำเกินหน้าที่" มากเกินไป (เพราะฆ่าคนเป็นผักปลา) จึงต้องตกนรก และเกิดเป็นสัตว์มากว่าสามพันปีแล้ว ยังไม่ได้ไปเกิดเป็นคนเลย ชาติสุดท้าย ก็มาเกิดเป็นปีศาจปลา เป็นเจ้าแห่งปลาอยู่ใต้ท้องทะเลลึก ปีศาจนางต๋าจียังได้ประณามคนเดี๋ยวนี้ว่า เห็นแก่ตัวที่สุด ไม่เคยคิดถึงหัวอกผู้อื่น กินเนื้อผู้อื่นได้อย่างไม่ละอายใจต่อบาปกรรม ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว พวกเราไม่มีสิทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น ที่จะไปกินเนื้อเขา ต่อให้ไม่ได้ฆ่าเองก็ตาม นางปีศาจยังอาฆาตอีกว่า นางมีความแค้นผู้ที่กินปลาอย่างมาก หากว่าพวกเรายังไม่เลิกกินเนื้อสัตว์ ยังไม่รีบทำความดี ยังทำหัวหมออ้างเหตุผลสารพัดสารพันอยู่ นางจะไม่มีวันปล่อยให้พวกเรา ได้พบกับทางสว่างเป็นอันขาด จะพยายามขัดขวางทุกวิถีทาง เพื่อให้ผู้ที่กินเนื้อสัตว์ทุกคน ต้องไปลงนรกเช่นเดียวกับนาง แต่ถ้าหากพวกเราสำนึกตัว เลิกกินเนื้อสัตว์ แล้วหมั่นทำกุศลแล้ว นางจะไม่เอาผิดใดๆ ซึ่งในหนังสือจริงๆ นั้น นางปีศาจได้พูดจาวกไปเวียนมา เหมือนคนบ้า จนคนอ่าน (ผมนี่แหละ) เวียนหัว เพราะพูดซ้ำๆ ซากๆ อยู่ได้ นอกจากนั้น ยังพูดเหมือนกับว่าตัวเองยังเป็นสนมเอกอยู่ (ยังไม่หายเมา) เรื่องแบบนี้พวกเราสมควรรับรู้ และคิดตามไปบ้าง เราควรจะนึกดูบ้าง ว่าหากเราต้องไปมีชะตาเหมือนกับ นางสนมต๋าจี เราจะรู้สึกเช่นไร นอกจากจะต้องไปลงนรก ชดใช้กรรมแล้ว ยังต้องมาเกิดเป็นสัตว์ ต้องถูกคนฆ่า เอาเนื้อไปกิน ชาติแล้วชาติเล่า เป็นเวลานับพันปี ยังไม่ได้มาเกิดเป็นคนเลย เราจะยินดีให้เขากินเนื้อเราหรือ ต่อให้เราไม่ได้ฆ่าเอง ซื้อเนื้อที่เขาฆ่ามาเสร็จแล้วขายบนแผง ก็ไม่สมควรจะปัดความรับผิดชอบเช่นนั้น เราควรคิดให้ลึกซึ้งกว่านี้ เราสงสารเมตตาคนฆ่าสัตว์ แทนที่เราจะจ่ายเงินซื้อเนื้อ ที่เขาฆ่ามาแล้วให้เขาไป เราควรจะเลิกอุดหนุนเขา เพื่อให้เขาได้ไปประกอบอาชีพใหม่ ที่ไม่มีบาปกรรมจะดีกว่า แม้ว่าจะทำให้เขาลำบากในระยะแรกก็ตาม นี่จึงจะเรียกว่าทำความดีจริง มิฉะนั้นก็ไม่ได้ความดีอะไรเลย ผมนำเรื่องของปีศาจนางสนมต๋าจี มาเล่าสู่ให้ฟัง ก็เพื่อหวังให้ชาวพุทธได้สลดใจบ้าง กับชะตากรรมของผู้ที่ได้ชื่อว่า "นางผู้ล้มแผ่นดิน" ซึ่งแม้จะสาสมแก่ความผิดแล้ว แต่ก็แฝงไว้ด้วยความน่าสงสาร ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่ก็ตาม






กระบี่อสูร
#4   กระบี่อสูร    [ 31-01-2008 - 20:38:16 ]

ราชวงศ์โจว



ราชวงศ์โจว (เริ่มประมาณ 1123 ก่อน ค.ศ.)

หลังจากโจวอู่หวังโค่นราชวงศ์ซางลงแล้ว ได้ตั้งราชวงศ์โจวขึ้นแทน ได้เริ่มการปกครองด้วยระบบศักดินา คือแยกแผ่นดินออกเป็นแคว้นต่างๆ แล้วส่งเชื้อพระวงศ์แซ่ "จี" ของพระองค์ให้เป็นอ๋องไปปกครอง โดยพระองค์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ราชวงศ์นี้สร้างความเจริญให้แก่บ้านเมืองมาก ทั้งด้านการเมือง การปกครอง ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ ราชวงศ์โจวมีอายุยาวนานกว่าราชวงศ์อื่นๆ คือ ประมาณ ๘๐๐ ปี แต่มีช่วงเวลา ที่เข้มแข็งจริงๆ ราวๆ ๓๕๐ ปี ที่เรียกว่า ราชวงศ์โจวตะวันตก หรือซีโจว ต่อมา สมัยของโจวอิวหวาง กษัตริย์องค์ที่ 12 ซึ่งหลงใหลมเหสีมาก มเหสีมีนามว่า เปาสี นางเป็นคนยิ้มไม่เป็น ทำให้อิวหวางกลุ้มใจมาก ถึงกับตั้งรางวัลไว้พันตำลึง สำหรับผู้ที่ออกอุบายให้นางยิ้มได้ วันหนึ่ง ได้ทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ จุดพลุให้อ๋องต่างๆ เข้าใจว่า ข้าศึกมาบุกเมืองหลวงแล้ว เมื่อยกทัพมาถึงกลับไม่มีอะไร ทำให้เปาสียิ้มหัวเราะออกมาได้ อ๋องต่างๆ โกรธมาก แล้วในที่สุด ก็มีข้าศึกยกมาตีเมืองหลวงจริงๆ อิวหวางได้จุดพลุขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีอ๋องคนไหนเชื่อ เลยไม่มีใครยกทัพมาช่วย ข้าศึกจึงตีเมืองได้ อิวหวางถูกฆ่าตาย เปาสีถูกจับตัวไป ยิ้มของนางจึงเรียกว่า "ยิ้มพันตำลึงทอง" ซึ่งเป็นยิ้มที่นำความวิบัติ มาสู่ราชวงศ์โจวโดยแท้ ต่อมา พวกอ๋องต่างๆ ได้ยกทัพมาช่วยตีข้าศึก แล้วตั้งโจวผิงหวาง โอรสของโจวอิวหวาง เป็นกษัตริย์ต่อไป ราชวงศ์โจวจึงต้องย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ลั่วหยาง (ลกเอี๋ยง) ทางตะวันออก เรียกว่า ราชวงศ์โจวตะวันออก หรือตงโจว หลังจากนั้น ราชวงศ์โจวก็บัญชาอ๋องต่างๆ ไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจาก เกิดขึ้นโดยการโอบอุ้มของเหล่าอ๋อง เป็นกษัตริย์หรือประมุขเพียงในนาม

ยุคชุนชิว (ก่อน พ.ศ. 227-พ.ศ. 67)

เป็นยุคที่ราชวงศ์โจวอ่อนแอลง ทำให้แว่นแคว้นต่างๆ แตกแยกกัน เป็นก๊กเป็นเหล่าต่างๆ จิตใจคนเริ่มต่ำทรามลง แคว้นต่างๆ ทำสงคราม กลืนกันอุตลุตไปหมด ท่านขงจื๊อกับเหล่าจื๊อ ก็ได้มาเกิดในช่วงนี้เอง บุคคลที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ก็เช่น ไซซี นางงามผู้ใช้มารยาหญิง เพื่อกู้ชาติบ้านเมือง, เยว่อ๋องโกวเจี้ยนและหวูอ๋องฟูไช, ซุนวู ผู้เขียนตำราพิชัยสงครามชื่อดัง (แต่ก็ต้องสยบให้กับมารยาหญิงของไซซี) ในหนังสือประวัติเจ้าแม่กวนอิมเล่มหนึ่ง ก็เขียนไว้ว่า เจ้าแม่กวนอิมก็ประสูติในยุคชุนชิวนี่เอง แต่ประเทศซิงหลินของพระองค์ อยู่ห่างจากจงหยวนของจีนมาก จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบนัก (รู้ไว้ใช่ว่านะครับ จริงๆ เป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะไม่มีใครเกิดทันยุคนั้น หรืออาจจะเคยเกิดทันแต่ลืมไปหมดแล้ว) ขงจื๊อ (Confucius)

ยุคจ้านกว๋อ/เลียดก๊ก (พ.ศ. 68-322)

ความแตกแยกในยุคชุนชิวได้บานปลายขึ้นอีก แว่นแคว้นต่างๆ จึงรบกันอุตลุตไปหมด เพื่อชิงความเป็นใหญ่ จึงมีแต่ความวุ่นวายไปหมดทั้งแผ่นดิน (กลายเป็นแดนมิคสัญญี) แคว้นต่างๆ นับร้อยกลืนกันเอง จนเหลือเพียงไม่กี่แคว้นใหญ่ๆ เท่านั้น กษัตริย์ราชวงศ์โจวก็อ่อนแอมาก ไม่สามารถปราบปรามแคว้นต่างๆ ได้


ต่อมา ทางแคว้นฉิน (คนไทยเรียกจิ๋น แต่พ่อผมบอกว่า ภาษาจีนจริงๆ อ่านว่า ฉิน) มีการพัฒนามาจนเข้มแข็งมาก โดยการปฏิรูปของซางยาง นักปฏิรูปจอมโหด (ประวัติย่อๆ ของซางยางคือ เดิมเป็นคนแคว้นเว่ย ซึ่งอ๋องแคว้นเว่ยมองข้าม เลยมาสวามิภักดิ์แคว้นฉิน และได้แสดงความสามารถให้ฉินเซี่ยวอ๋องได้ประจักษ์ ต่อมา ได้ปฏิรูปกฎหมายต่างๆ โดยเน้นการเกษตรและการทหาร ภายใต้ความโหด...มของกฎหมาย ระหว่างที่มีอำนาจ ได้สั่งประหารคนไปมากมาย ลงโทษคนของรัชทายาทอย่างเฉียบขาด แถมยังได้ยกทัพไปตีแคว้นเว่ยบ้านเกิดอีกด้วย ภายหลังที่ฉินเซี่ยวอ๋องสิ้นพระชนม์ลง ฉินฮุ่ยอ๋องรัชทายาทได้ครองราชย์ ซางยางก็หนีหัวซุกหัวซุน (เพราะเคยไปก่อกรรมทำเข็ญไว้) แต่ก็แพ้ภัยกฎหมายของตัวเอง เลยไม่มีใครกล้าให้ที่พำนัก แต่ต่อมา โดนผู้ที่เคยโดนสั่งลงโทษหักหลัง จับตัวไปให้ทางการ จึงถูกประหารโดยการฉีกร่าง (ห้าม้าแยกร่าง)) ฉินอ๋องได้ตีแคว้นต่างๆ ไว้ในอำนาจ และโค่นราชวงศ์โจวลงได้ (ก็เป็นอันว่า "เทียนมิ่ง" ของราชวงศ์โจว ก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้) สุดท้ายก็ได้ครองทั้งแผ่นดิน ในสมัยของฉินอ๋อง อิ๋งเจิ้ง ได้ตีแคว้นต่างๆ ได้จนหมดทุกแคว้น โดยการช่วยเหลือของหลี่ซือ อัครเสนาบดีจอมโหด อิ๋งเจิ้งจึงได้สถาปนาราชวงศ์ฉินขึ้น แล้วบังคับให้ชาวจีนทั้งแผ่นดิน เรียกตัวเองว่า ชาวฉิน เป็นการตั้งชื่อประเทศ (จีน มาจาก ฉินหรือจิ๋น) เป็นครั้งแรก




กระบี่อสูร
#5   กระบี่อสูร    [ 31-01-2008 - 20:40:18 ]

ราชวงศ์ฉิน



ราชวงศ์ฉิน (ภาษาอังกฤษ : Qin Dynasty) (ภาษาจีนกลาง : 秦朝) (พินอิน : Qín Cháo) หรือจิ๋น เป็นราชวงศ์ที่ปกครองแผ่นดินจีนระหว่าง พ.ศ. 322–พ.ศ. 337 (221 ปีก่อนค.ศ. – 207 ปีก่อนค.ศ.) ก่อนหน้านี้จีนได้แตกแยกออกเป็น 7 รัฐและทำสงครามกันอยู่เนืองๆ ต่อมากษัตริย์แห่งรัฐฉินได้ทำสงครามรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งเดียว และสถาปนาตนเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฉินโดยใช้พระนามว่า ฉินสื่อหวงตี้ คนไทยจึงออกเสียงเพี้ยนเป็น จิ๋นซีฮ่องเต้ หรือ ฉินซีฮ่องเต้ จิ๋นซีฮ่องเต้ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 322–พ.ศ. 333 ในช่วงนี้แผ่นดินจีนมีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาก แต่เมื่อจิ๋นซีฮ่องเต้ทรงเสด็จสวรรคต ราชวงศ์ฉินก็สั่นคลอนอย่างหนัก และล่มสลายลงใน พ.ศ. 337

อ๋องแห่งรัฐฉิน ได้รวมประเทศจีนเป็นหนึ่งเดียวเป็นครั้งแรก และสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ (ฮ่องเต้) คือ ฉินซีฮ่องเต้ หรือ จิ๋นซีฮ่องเต้ นั่นเอง นครหลวงอยู่ที่เมืองเซียงหยาง (หรือซีอานในปัจจุบัน) ฉินอ๋องได้หาชื่อใหม่ให้ตนเอง เนื่องจากเห็นว่า ตนสามารถรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นได้ คำว่า อ๋อง ไม่ยิ่งใหญ่พอ จึงได้เลือกคำว่า หวงตี้ (ฮ่องเต้) ซึ่งแปลว่า "โอรสแห่งสวรรค์" มาใช้ แล้วเรียกชื่อตน ตามชื่อราชวงศ์ว่า ฉินซีฮ่องเต้ ฮ่องเต้เรียกตัวเองว่า "เจิ้น" (เดิมเรียกว่า "กู" ซึ่งมีหนังสือเล่มหนึ่งบอกว่า เดิมกษัตริย์ไทยก็เรียกตัวเองว่า "กู" เหมือนกัน และคำนี้มีความหมายยิ่งใหญ่มาก แต่ไหงกลับกลายเป็นคำหยาบไปได้ก็ไม่ทราบ) เป็นการเปิดฉากโอรสแห่งสวรรค์ครองเมือง มีการปฏิรูประบบตัวอักษร ระบบชั่ง, ตวง, วัด (เช่น เพลารถ) ให้เหมือนกันทั้งประเทศ (สำหรับตัวอักษรนั้น อ่านออกเสียงต่างกันได้ แต่จะต้องเขียนเหมือนกัน เช่นเลข ๑ เขียนด้วยขีดแนวนอนขีดเดียว จีนกลางออกเสียงว่า "อิ๊" แต่แต้จิ๋วอ่านว่า "เจ๊ก") และแบ่งการปกครองเป็นระบบจังหวัด, อำเภอ นับเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ต่อมา ฉินซีฮ่องเต้ได้ให้ขุนศึกเหมิงเถียนหรือเม่งเถียน ยกทัพไปปราบชนเผ่าซงหนู (เฉียนหนู) แล้วก่อสร้างกำแพงเมืองจีนขึ้น เพื่อป้องกันการรุกรานของอนารยชน ฉินซีฮ่องเต้ ได้ชื่อว่า เป็นทรราชที่โหดร้ายทารุณมาก ปกครองด้วยความเฉียบขาด อำมหิต กล่าวกันว่า แค่มีคนจับกลุ่มคุยกัน ก็จะถูกจับไปประหารทันที ข้อหาให้ร้ายราชสำนัก มีการยัดเยียดข้อหาแล้วประหารทั้งโคตร การประหารมีทั้งตัดหัว, ตัดหัวเสียบประจาน หรือ "ห้าม้าแยกร่าง" (เอาเชือกมัดแขนขาไว้กับม้าหรือรถม้า ๕ ทิศ แล้วให้ม้าควบไป ฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ) และกรณีที่อื้อฉาวมากคือ การเผาตำราสำนักขงจื๊อ แล้วจับบัณฑิตสำนักขงจื๊อสังหารหมู่ ด้วยการเผาทั้งเป็น, ฝังทั้งเป็น หรือฝังดินแล้วตัดหัว แม้แต่รัชทายาทฝูโซว (พระโอรสองค์โต) ยังถูกเนรเทศไปชายแดน ไป "ช่วย" เหมิงเถียนสร้างกำแพงเมืองจีน ด้วยข้อหา ขัดแย้งกับพระองค์ จึงมีคนหาทางปลงพระชนม์ตลอดเวลา แม้แต่พระสหายที่สนิทก็ตาม นอกจากนี้ พระองค์ยังกลัวความตายมาก พยายามเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะมาทุกวิถีทาง แต่สุดท้าย ฉินซีฮ่องเต้ก็ป่วยหนัก และสิ้นชื่อลง ในระหว่างที่ออกตามหายาอายุวัฒนะ ในแดนทุรกันดารนั่นเอง และได้มีพระราชโองการเรียกฝูโซว รัชทายาทกลับมา เพื่อสืบราชบัลลังก์ (โอรสองค์นี้มีนิสัยอ่อนโยนกว่าบิดา และยังเก่งกาจอีกด้วย จึงเป็นที่คาดหวังจากราษฎรเป็นอย่างมาก) แต่หูไห้ โอรสอีกองค์ ได้ร่วมมือกับเจ้าเกา ขันทีและอัครเสนาบดี และหลี่ซือ ปลอมราชโองการ ให้ฝูโซวและเหมิงเถียนฆ่าตัวตาย แล้วตั้งหูไห้เป็นฮ่องเต้องค์ถัดมา เรียกว่า พระเจ้าฉินที่สอง หรือฉินเอ้อซื่อ ซึ่งเป็นฮ่องเต้ที่โหด...ม แต่ไร้สามารถ ผิดกับพระบิดา แถมยังอยู่ใต้การชักใยของเจ้าเกา ขันทีตัวแสบ ทำให้ราชวงศ์ฉินล่มจม หูไห้ได้ใช้เงินทองจำนวนมหาศาล ในการก่อสร้างสุสานของฉินซีฮ่องเต้ (ปัจจุบันยังหาสุสานฝังศพไม่พบ พบแต่สุสานกองทัพดินเผา มีบันทึกไว้ว่า สุสานจริงๆ นั้น เลิศหรูอลังการมาก อุดมไปด้วยอาวุธลับ ซึ่งจะทำงานอัตโนมัติ เวลามีผู้บุกรุก และมีทะเลสาบที่เป็นปรอท เรือมังกรขนาดใหญ่ บรรทุกโลงศพไว้ โดยปรอทจะหมุนเวียนอยู่ ราวกับว่าเป็นน้ำตก ลำธารจริงๆ ปัจจุบัน จากข้อมูลล่าสุด ทางนักสำรวจได้ตรวจบริเวณ ที่เชื่อว่าเป็นสุสานฉินซีจริงๆ พบว่ามีปริมาณปรอทอยู่สูงมาก เป็นการยืนยันความมีจริงได้อย่างชัดเจน แต่ยังไม่กล้าขุด เนื่องจากกลัวจะเสียหาย หรืออีกนัยหนึ่ง อาจจะเนื่องจากต้องระวังอาวุธลับก็เป็นได้) และยังรีดภาษีจากราษฎรอีก ทำให้ประชาชนก่อกบฏขึ้น ในเวลานั้น มีกบฏอยู่หลายชุด มีข้อตกลงกันว่า หากใครบุกเข้าทางกวนจง ของราชวงศ์ฉินได้ก่อน จะได้เป็นใหญ่ หลิวปัง ได้ก่อกบฏต่อต้านราชวงศ์ฉินขึ้น และได้ผู้ช่วยมือดีมา ๓ คน คือ หานซิ่น จางเหลียง และเซียวเหอ มาช่วยในการวางแผนรบ และประสานงานต่างๆ จึงโค่นราชวงศ์ฉินลงได้ โดยเจ้าเกาได้ฆ่าหลี่ซือ ปลงพระชนม์หูไห้ แล้วตั้งจื่ออิง หลานของหูไห้เป็นฮ่องเต้แทน แต่เจ้าเกาก็ถูกจื่ออิงฆ่าตาย (สำหรับประวัติของเจ้าเกา ขันทีผู้ล้มราชวงศ์ฉินนี้ ผมเคยอ่านจากไหนก็จำไม่ได้แล้ว บอกว่า เดิมทีเป็นคนแคว้นเจ้า ต่อมาพ่อแม่ถูกทหารแคว้นฉินฆ่าตาย จึงเก็บความแค้นไว้ในใจ และได้เดินทางมาแคว้นฉินเพื่อหาทางแก้แค้น ถึงกับยอมถูกตอนเป็นขันที ต่อมา เมื่อมีโอกาสเป็นใหญ่ จึงได้ใช้ในการล้างแค้น จนแคว้นฉินล่มลงสมปรารถนา เปิดตำนาน "ขันทีจอมโฉด" ขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์) จื่ออิงยอมสวามิภักดิ์ต่อหลิวปัง เวลาเดียวกัน เซี่ยงอี้ ได้ละเมิดข้อตกลง โดยตั้งตัวเป็นซีฉู่ป้าอ๋อง หรือฌ้อป้าอ๋อง (แปลว่า อ๋องแห่งแคว้นฉู่ ที่ยิ่งใหญ่เหนืออ๋องอื่นๆ ว่ากันว่า เซี่ยงอี้นิยมสงคราม และคิดจะทำให้แผ่นดินแตกแยก กลับไปสู่ยุคจ้านกว๋ออีกครั้ง) เซี่ยงอี้ได้เผาพระราชวังอาฝางกงของฉินซีฮ่องเต้ (พระราชวังอาฝางกงนี้ ว่ากันว่าใหญ่โตมโหฬาร และโอ่อ่าอลังการมาก จนหลิวปังถึงกับตกตะลึงเมื่อเข้าไปครั้งแรก มีรูปหล่อโลหะขนาดมหึมาอยู่สิบกว่าตัว ซึ่งหลอมมาจากอาวุธที่ริบมาจากชาวเมือง ใช้เวลาเผาถึงสามเดือนกว่าจะหมด ถ้าหากไม่ถูกเผา ก็คงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกคู่กับกำแพงเมืองจีน ชนิดพระราชวังปักกิ่งชิดซ้าย) ปลงพระชนม์จื่ออิง แล้วสู้รบกับหลิวปัง การสู้รบได้ยืดเยื้ออยู่นาน เซี่ยงอี้คิดจะแบ่งแผ่นดินปกครองกับหลิวปัง แต่ในที่สุด หลิวปังได้ยกทัพเข้าสู้รบขั้นเด็ดขาด ทำให้เซี่ยงอี้ต้องฆ่าตัวตายในที่สุด

ในสมัยราชวงศ์ฉินมีการก่อสร้างกำแพงเมืองจีน เพื่อป้องกันการรุกรานของพวกป่าเถื่อนทางเหนือของจีน คือพวกมองโกล ซงหนู และคีตันการปกครองเป็นไปอย่างเข้มงวด บังคับให้ใช้ระบบเงินตราเดียวกัน สร้างถนน ปฏิรูปเขตเกษตรกรรม สั่งเผาหนังสือทางการเมือง ประวัติศาสตร์และวรรณกรรม ความหวาดระแวงของพระองค์ทำให้ ฝูซู ราชโอรสองค์ใหญ่ถูกเนรเทศ ผู้ที่ครองราชย์ต่อมาคือ จักรพรรดิเอ้อซื่อที่อ่อนแอ ทำให้ราชวงศ์ฉินถูกล้มล้างด้วยพวกกบฏในที่สุด

เรื่องราวสมัยราชวงศ์ฉิน มีอยู่ในวรรณกรรมไซ่ฮั่น ซึ่งกล่าวถึงการสิ้นสุดราชวงศ์ฉินและการสถาปนาราชวงศ์ฮั่น

ปัจจุบัน ราชวงศ์ฉินได้รับการยอมรับจากนักประวัติศาสตร์ให้เป็นราชวงศ์แรกของจีน ด้วยมีหลักฐานทางโบรารคดีและประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการมากที่สุดและแผ่นดินก็ยังได้ถูกรวมเป็นหนึ่งครั้งแรก และยกให้ จิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นจักรพรรดิองค์แรกของจีนด้วย ด้วยคำว่า " China " ในภาษาอังกฤษ หรือคำว่า " จีน " ในภาษาไทยก็ล้วนเพี้ยนมาจากคำว่าฉินนี้ทั้งสิ้น ราชวงศ์ฉิน เป็นราชวงศ์ที่สั้น ๆ มีอายุเพียง 15 ปี เท่านั้น แต่ได้วางรากฐานที่สำคัญต่อมาแก่คนรุ่นหลัง และได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมากมาย เช่น กำแพงเมืองจีน, สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นต้น




กระบี่อสูร
#6   กระบี่อสูร    [ 31-01-2008 - 20:43:35 ]

ราชวงศ์ฮั่น



จักรพรรดิฮั่นเกาจู ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น

ราชวงศ์ฮั่น (ภาษาจีน: 漢朝 พ.ศ. 337 - พ.ศ. 763) หลิวปัง ได้ตั้งราชวงศ์ฮั่นขึ้น แล้วยกเลิกกบิลเมืองอันโหด...ม ของฉินซีฮ่องเต้ทั้งหมด โดยสัญญากับราษฎรไว้ดังนี้ ใครฆ่าคนตายต้องถูกประหาร ใครลักขโมย หรือปล้นสดมภ์ต้องถูกลงโทษ ในต้นราชวงศ์ฮั่นนั้น บ้านเมืองยากจนมาก เนื่องจากเพิ่งผ่านสงครามมา หลิวปังจึงปล่อยให้ราษฎรทำมาหากิน โดยเก็บภาษีเพียง ๑/๓๐ ของที่เก็บเกี่ยวได้ เพื่อฟื้นฟูบ้านเมือง หลังหลิวปังครองราชย์ไม่นาน ด้วยความระแวง ก็ได้ถอดผู้ช่วยมือดีทั้ง ๓ ออกจากตำแหน่ง พอตอนปลายยุคหลิวปัง หลี่ฮองเฮาได้กุมอำนาจ หลังจากหลิวปังสวรรคต หลี่ฮองเฮาก็ใช้อำนาจกำจัดคนที่ขัดกับนางเสีย แถมยังทำให้หลิวอิง หรือฮั่นฮุ่ยตี้ฮ่องเต้สติแตกไป ทำให้นางมีอำนาจโดยสมบูรณ์ พอนางสวรรคต บรรดาเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ฮั่น ก็จัดการล้างโคตรเสียเลย แล้วยกหลิวเหิง โอรสอีกองค์ของหลิวปังขึ้นครองราชย์เป็น ฮั่นเหวินตี้ ฮ่องเต้องค์นี้ปกครองได้ดี ห่วงใยราษฎรและสมถะ พระเจ้าฮั่นจิงตี้ ฮ่องเต้องค์ถัดมาก็เช่นกัน สมัยของสองพระองค์นี้ บ้านเมืองฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ แต่พอถัดมา ในสมัยพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ (หลิวเช่อ) ฮ่องเต้องค์ที่ ๕ ได้มีการบุกเบิก ทางสายไหม (Silk Route) ซึ่งเป็นเส้นทางสู่ตะวันตกของจีน ในการค้าขายต่างๆ แต่ก็ได้นำพาประเทศเข้าสู่สงคราม และความงมงายต่างๆ การท่องเที่ยวอย่างสิ้นเปลือง ผลาญเงินที่สะสมไว้จากสองรัชสมัยก่อนจนหมด จนเกิดกบฏชาวนา จึงได้สำนึกและขอโทษประชาชน ต่อมา ในยุคพระเจ้าฮั่นหยวนตี้ มีนางงามผู้กู้ชาติอีกคน คือ หวังเจาจวิน ผู้ถูกส่งไปอภิเษก กับกษัตริย์เผ่าซงหนู เพื่อกระชับไมตรี ทำให้เว้นว่างจากสงครามไปหลายสิบปี พุทธศาสนาก็เข้าสู่จีน ในราชวงศ์ฮั่นนี่เอง พระเจ้าหมิงตี้ ก็ได้ส่งคาราวานไปอัญเชิญพระคัมภีร์ต่างๆ มาประดิษฐาน และพระองค์ยังเป็นพุทธมามกะด้วย ราชวงศ์นี้ มีความเจริญมากในสาขาต่างๆ มีการทำกระดาษ พิมพ์หนังสือได้แล้ว ในช่วงกลางราชวงศ์ จากความเละเทะในราชสำนัก หวางหม่างได้ชิงราชบัลลังก์ ตั้งราชวงศ์ซินขึ้นมา แต่ครองบัลลังก์ได้เพียงสิบกว่าปี หลิวซิ่ว เชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ฮั่น ได้ทำสงครามยึดอำนาจคืน ตั้งราชวงศ์ฮั่นขึ้นมาใหม่ แล้วย้ายเมืองหลวงไปลั่วหยาง ได้นามว่า พระเจ้าฮั่นกวงอู่ตี้ สมัยนี้เรียกว่า ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ตงฮั่น) ในยุคนี้ ได้มีการบุกเบิกลัทธิจริยธรรม มีการคัดเลือกผู้มีจริยธรรม ให้ทางส่วนกลางพิจารณาหาตำแหน่งให้ ในปลายราชวงศ์ฮั่น ฮ่องเต้อ่อนแอมาก เนื่องจากมีการแต่งงานกันในหมู่เครือญาติ ทำให้ฮ่องเต้หลายๆ องค์สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเล็ก มิหนำซ้ำ ขันทีมีอิทธิพลสูงมากในราชสำนัก เนื่องจากใกล้ชิดฮ่องเต้มาก เป็นเหตุให้เกิดระส่ำระสายในราชวงศ์ สมัยพระเจ้าฮั่นเลนเต้ มีโจรโพกผ้าเหลืองอาละวาด หลิวเป้ย (เล่าปี่) เชื้อพระวงศ์, เตียวหุย และกวนอู สามพี่น้องร่วมสาบาน ได้ปราบปรามโจรจนราบคาบ หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าฮั่นเลนเต้สิ้นพระชนม์ ขันทีได้เหิมเกริมหนักขึ้น โฮจิ๋น พี่ชายของฮองเฮา ได้ให้ทหารเข้ามาฆ่าขันทีในวัง แต่ไม่หมด จึงถูกขันทีซ้อนแผน ปลอมราชโองการของฮองเฮา เรียกโฮจิ๋นเข้าวัง แล้วดักฆ่าเสีย โจโฉ ได้ยกทหารเข้าฆ่าขันทีจนสิ้นซาก แต่ว่า ต่อมา ตั๋งโต๊ะ แม่ทัพอีกคนหนึ่ง ได้เข้ามาในวัง แล้วบีบไม่ให้รัชทายาทได้ครองราชย์ ให้องค์ชายรองครองราชย์แทน พระนามว่า พระเจ้าฮั่น...นเต้ ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์ฮั่น ส่วนตั๋งโต๊ะตั้งตัวเป็นพระมหาอุปราช กุมอำนาจในมือ แถมต่อมายังลอบสังหารรัชทายาท และพระมารดาอีก ทำให้คนอื่นไม่พอใจมาก ต่อมา ลิโป้ ลูกบุญธรรมของตั๋งโต๊ะได้ฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย (ตอนนี้ในเรื่องสามก๊กว่า เป็นเพราะมารยาหญิงชื่อเตียวเสี้ยน แต่จริงๆ เป็นอย่างไรไม่รู้ เพราะเตียวเสี้ยนไม่มีตัวตนอยู่จริง) ลูกน้องของตั๋งโต๊ะที่เหลืออยู่ ได้คุกคามพระเจ้าฮั่น...นเต้ ต่อมา โจโฉได้มาช่วยปราบ และสวมรอยเป็นพระมหาอุปราชตามตั๋งโต๊ะไปอีกคน ทำให้คนอื่นไม่พอใจมาก เกิดการแตกแยกก๊กต่างๆ มากมาย แล้วเหลืออยู่ ๓ ก๊ก คือแคว้นสู่ของหลิวเป้ย เว่ยของโจโฉ และอู๋ของซุนกวน ดังในพงศาวดารสามก๊ก แล้วก็รบพุ่งกันอยู่นาน หลังจากโจโฉตาย โจผีลูกโจโฉ ได้บีบให้พระเจ้าฮั่น...นเต้ให้สละบัลลังก์ หลังจากเป็นฮ่องเต้หุ่นอยู่ราว ๓๐ ปี ราชวงศ์ฮั่นก็ถูกถอนอาณัติไปเพียงเท่านี้ แล้วตั้งเป็นราชวงศ์เว่ยขึ้นมา การสู้รบยังคงดำเนินต่อไป จนสุดท้าย หลังจากนั้นอีกเกือบห้าสิบปี แคว้นสู่ล่มสลายลงเป็นแคว้นแรก หลังจากนั้น สุมาเอี๋ยนได้ชิงบัลลังก์จากราชวงศ์เว่ย ตั้งเป็นราชวงศ์จิ้น แล้วทำสงครามปราบแคว้นอู๋ได้สำเร็จ การสู้รบอันยาวนานก็สิ้นสุดลง ราชวงศ์จิ้นอยู่ได้ไม่นานนัก จากความอ่อนแอของกษัตริย์ ทำให้ประเทศจีนก็ถูกโจมตีจากภายนอก จนราชวงศ์จิ้นต้องย้ายเมืองหลวงไปทางใต้ เรียกว่า ราชวงศ์ตั้งจิ้น แผ่นดินจึงแตกแยกออกเป็นเหนือ-ใต้ ทางใต้มีราชวงศ์ต่างๆ ผลัดกันขึ้นมามากมาย คือ ราชวงศ์จิ้น, ซ่ง, ฉี, เหลียง, เฉิน ส่วนทางเหนือ เป็นแดนแห่งอนารยชน มีราชวงศ์ต่างๆ คือ เว่ยเหนือ, เว่ยตะวันออก, ฉีเหนือ, เว่ยตะวันตก, โจวเหนือหรือเป่ยโจว ในสมัยราชวงศ์เหนือใต้นี้ มีบุคคลสำคัญผู้หนึ่ง คือ พระโพธิธรรม (ตั๊กม้อ) ผู้เป็นอาจารย์องค์แรก ของพุทธศาสนานิกายเซ็น (ที่ไม่ใช่กินข้าวกับแม่ค้าแล้วเซ็น) ที่เน้นการถ่ายทอดสัจธรรมจากจิตสู่จิต ท่านเข้ามาในสมัยราชวงศ์เหลียง (ใต้) รัชกาลของพระเจ้าเหลียงบู้ตี้ ฮ่องเต้องค์นี้ศรัทธาในพุทธศาสนามาก แต่ถูกยอกย้อนเป็นปริศนาธรรมจากท่าน ทำให้ไม่พอใจมาก ท่านเห็นว่าคงจะคุยกันยาก จึงหยุดเสวนาด้วย (มีหนังสือประวัติฮ่องเต้องค์นี้ เขียนไว้ว่า ทรงสร้างความเจริญไว้มากมาย แต่ตอนท้ายสุด ได้ไปบำเพ็ญธรรมในป่าถ้ำ และชดใช้หนี้กรรมเก่า ที่เคยสร้างไว้ในชาติก่อนกับลิง ซึ่งได้มาเกิดเป็นแม่ทัพ ทำให้ต้องอดอาหารตายในถ้ำนั่นเอง แต่ก็ได้บรรลุธรรมในที่สุด *ผมไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะในหนังไม่ได้ว่าถึง ก็ฟังหูไว้หูนะครับ) ต่อมา ท่านได้ไปนั่งเข้าฌาณที่ถ้ำแห่งหนึ่งทางเหนือนานหลายปี โดยไม่แตะต้องอาหารหรือน้ำเลย (ไม่แน่ใจว่า ๗ หรือ ๙ ปี) จนมีศิษย์ผู้หนึ่งที่ศรัทธาแรงกล้ามาก มานั่งเฝ้าท่านหน้าถ้ำ (ในหนังจะเห็นว่า ยอมสละแขนเพื่อให้ท่านยอมสอนให้) ท่านเห็นใจในความตั้งใจ จึงถ่ายทอดสัจธรรมให้ และตำแหน่งของท่านด้วย ความแตกแยกของจีนกว่าสี่ร้อยปีนี้ ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคมจีนพอสมควร เนื่องจากมีอารยธรรมของอนารยชนเข้ามาผสมด้วย ที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งก็คือ การให้อิสระและสิทธิกับผู้หญิงมากขึ้น จากเดิมที่เคยกดขี่แทบติดดิน (ดูได้จากกรณีของบูเช็กเทียน) ผู้ชายให้การยอมรับหญิงที่เคยมีสามีแล้ว (สามีตาย) จนนำมาเป็นภรรยาได้ (ถ้าเป็นแต่ก่อนน่ะเรอะ เมินซะเถอะอีนาย! แต่ช้าก่อน... ก่อนจะนำมาเป็นข้ออ้าง เพื่อหาความชอบธรรมให้ตัวเองในการเสียตัวก่อนแต่งงาน ขอให้สังเกตว่า ผู้ชายสมัยนั้นจะให้การยอมรับหญิงที่ "เป็นม่าย" ซึ่งหมายความว่าเคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว ไม่ใช่เสียตัวให้ผู้ชาย โดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นกรณีเสียตัวก่อนแต่งงานแบบสมัยนี้นี่ ไม่รู้แฮะว่ารับกันได้ไหม อย่าลืมว่า คนสมัยก่อนเขารักนวลสงวนตัว ไม่ชิงสุกก่อนห่ามกันพร่ำเพรื่อเหมือนสมัยนี้) ในปลายราชวงศ์เป่ยโจว (เหนือ) หยางเจียน ซึ่งเป็นข้าราชการของราชวงศ์เป่ยโจว ได้อาศัยอิทธิพลของวงศ์ตระกูล ฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย จากบรรดาเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์ ซึ่งได้พยายามลอบสังหาร และใส่ไฟจะให้โดนประหารหลายครั้ง แต่สุดท้าย จากความช่วยเหลือของเหล่าขุนนาง ก็ได้ปฏิรูปการปกครองเสียใหม่ และในที่สุด ก็บีบให้ฮ่องเต้ราชวงศ์เป่ยโจวสละราชสมบัติ แล้วตั้งราชวงศ์สุยขึ้น จากนั้น ก็สามารถทำสงครามกับราชวงศ์เฉิน (ใต้) รวมแผ่นดินเหนือใต้ได้สำเร็จ ยุติความแตกแยกของจีนลง




กระบี่อสูร
#7   กระบี่อสูร    [ 31-01-2008 - 20:44:40 ]

ราชวงศ์จิ้น

ราชวงศ์จิ้นตะวันออก (คริสตศักราช 317-420)ก่อตั้งขึ้นหลังจากการอพยพโยกย้ายราชธานีของเหล่าข้าราชสำนักจิ้นลงสู่ภาคใต้ ภายหลังการล่มสลายของราชวงศ์จิ้นตะวันตก ซึ่งแม้ว่าจะยังคงนับเนื่องเป็นราชวงศ์หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์โบราณของจีน แต่แท้จริงแล้ว ขอบข่ายอำนาจการปกครองเพียงสามารถครอบคลุมดินแดนทางตอนใต้ของลำน้ำฉางเจียงเท่านั้น ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ บ้านเมืองทางตอนเหนือระส่ำระสายไปด้วยไฟสงครามการแย่งชิงของแว่นแคว้นต่าง ๆภายใต้การนำของกลุ่มชนเผ่าจากนอกด่าน รวมทั้งชาวฮั่นเอง สถานการณ์ความแตกแยกนี้ ยังคงดำเนินไปท่ามกลางการผลุดขึ้นและล่มสลายลงของราชวงศ์จิ้นตะวันออก จวบจนถึงยุคแห่งการตั้งประจันของราชวงศ์เหนือใต้ ซึ่งกินเวลากว่า 300 ปี




กระบี่อสูร
#8   กระบี่อสูร    [ 31-01-2008 - 20:45:48 ]

พอก่อนพรุ่งนี้ลงต่อ



  • 1
ตอบกระทู้
ชื่อ
รหัส กรอกตัวอักษร ตามภาพ
ข้อความ


emo-smile emo-happy emo-lol emo-enjoy emo-kiku emo-cool emo-hoho emo-drool emo-hungry emo-kiss emo-sorry emo-sad emo-cry emo-tear emo-question emo-doubt emo-shock emo-redface emo-plz emo-peevish emo-angry emo-moody emo-sneer emo-makefaces emo-good emo-touched emo-love emo-bore emo-tired emo-vomit
bold italic underline img link superscript subscript size color space justifyleft justifycenter justifyright quote box youtube