เข้าระบบอัตโนมัติ

มังกรหยก ตอน อึ้งเซียง Vs ต๊กโกวคิ้วป่าย


  • 1
สวย
#1   สวย    [ 09-12-2007 - 23:26:39 ]

กิมย้ง แต่งครับ แต่ไม่ได้ออกมานำเผยแพร่ พอดี ได้จากเวป ที่จีน แม่เลยแปลออกมาให้นะครับ จริงไม่จริงขอเท็จจริงยังไงต้อง ขอโทษนะครับ

มังกรหยก ตอน อึ้งเซียง Vs ต๊กโกวคิ้วป่าย

บนถนนเปลี่ยวร้างสายหนึ่งในยามเย็น มีขบวนเกี้ยวของขุนนางผู้หนึ่งกำลังเดินทางผ่านมาอย่างเงียบงัน นายทหารรูปร่างสูงใหญ่ที่ได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าองครักษ์พลันชะงักฝีเท้าลง เมื่อเห็นว่าบนโขดหินข้างเส้นทางเบื้องหน้ามีชายผู้หนึ่งกำลังยืนนิ่งราวกับรูปสลักศิลา สายตาทอดยาวไปไกลราวกับจะมองเห็นสิ่งที่อยู่สุดขอบฟ้า แม้จะรู้สึกครั่นคร้ามต่อกิริยาเหล่านี้โดยไม่มีเหตุผล แต่ด้วยศักดิ์ศรีของมัน จำต้องขับไล่คนผู้นี้ไปเสีย

"มุสิกตนใดกล้ามายืนขวางทาง จงไสหัวไปเดี๋ยวนี้!"

หัวหน้าองครักษ์ตวาดด้วยเสียงดังลั่นไปทั่วทั้งหุบเขา แสดงให้เห็นถึงพลังการฝึกปรือที่ยอดเยี่ยม แต่ดูเหมือนบุรุษบนโขดหินผู้นี้ จะไม่แยแสสนใจมันเลย นับตั้งแต่รับราชการมาได้สิบกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่มันถูกสบประมาทถึงเพียงนี้ จึงกระโจนเข้าหาอีกฝ่ายอย่างว่องไวพร้อมกับชักดาบหมายจะตัดหัวบุรุษโอหังผู้นี้ลงเสีย แต่แล้วก็มีเสียงจากภายในเกี้ยวกล่าวห้ามปรามมัน

"อย่าเหลวไหล อี้จื่อ"

น้ำสียงนี้กล่าวอย่างราบเรียบธรรมดา แต่กลับดังกังวานจนได้ยินชัดเจนทั่วทุกคน อี้จื่อหยุดเคลื่อนไหวในทันที แต่แล้วกลับทรุดลงช้าๆ จนนอนคว่ำหน้ากับพื้น โดยไม่มีทหารคนใดเห็นชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ในยามนี้ผู้ที่อยู่ในเกี้ยวจึงก้าวออกมา เผยให้เห็นใบหน้าที่คมคายอ่อนเยาว์ผิดกับตำแหน่งขุนนางที่คนผู้นี้ได้รับโดยสิ้นเชิง ขุนนางหนุ่มผู้นี้ประสานมือกล่าวอย่างสุภาพกับบุรุษบนโขดหินว่า

"ขอบคุณพี่ท่านที่ออมมือ"

พลางโบกมือสั่งให้ทหารที่พากันแตกตื่นขวัญหนีดีฝ่อ ไปอุ้มหัวหน้าองค์รักษ์เข้ามา นายทหารสองคนเดินเข้าไปอุ้มอี้จื่ออย่างกล้าๆกลัวๆ แล้วก็รับถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว ที่แท้อี้จื่อยังไม่ตาย เพียงแต่ถูกสกัดจุดเอาไว้ด้วยสิ่งใดก็สุดที่จะทราบได้ บุรุษชุดดำบนโขดหินพริ้วตัวลงมาจากโขดหินอย่างแผ่วเบาราวกับมีร่างกายเป็นปุยนุ่น ก่อนจะกล่าวกับขุนนางหนุ่มคนนั้นด้วยน้ำเสียงที่นักแน่นกังวานไม่แพ้กันว่า

"ท่านคืออึ้งเซียง?"

"มิผิด ข้าพเจ้าคืออึ้งเซียง มิทราบว่าท่านคือคนของนิกายเม้งก่าอย่างนั้นรึ"

"เฮอะ อาศัยพวกมัน ยังไม่คู่ควรยกมาเทียบกับเรา ฟังว่าอาศัยเพียงท่านลำพังก็สยบ4ผู้คุมกฏ และชนชั้นหัวหน้าหน่วยได้หลายสิบคน และยังทำร้ายประมุขนิกายจนบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย นี่เป็นความจริงหรือไม่" บนถนนเปลี่ยวร้างสายหนึ่งในยามเย็น มีขบวนเกี้ยวของขุนนางผู้หนึ่งกำลังเดินทางผ่านมาอย่างเงียบงัน นายทหารรูปร่างสูงใหญ่ที่ได้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าองครักษ์พลันชะงักฝีเท้าลง เมื่อเห็นว่าบนโขดหินข้างเส้นทางเบื้องหน้ามีชายผู้หนึ่งกำลังยืนนิ่งราวกับรูปสลักศิลา สายตาทอดยาวไปไกลราวกับจะมองเห็นสิ่งที่อยู่สุดขอบฟ้า แม้จะรู้สึกครั่นคร้ามต่อกิริยาเหล่านี้โดยไม่มีเหตุผล แต่ด้วยศักดิ์ศรีของมัน จำต้องขับไล่คนผู้นี้ไปเสีย






"ใช่แล้ว เหล่านิกายนอกรีตเหล่านี้ไม่เห็นกฏหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตา กระทำการตามอำเภอใจ ก่อความวุ่นวายแก่ราษฎร ข้าพเจ้าจึงได้รับบัญชาจากองค์ฮ่องเต้ให้ไปกวาดล้างให้สิ้นซาก แต่จนใจที่กองทหารของพวกเรามีฝีมือและความห้าวหาญอ่อนด้อยกว่า ถูกตีแตกพ่ายยับเยิน ข้าพเจ้าจึงได้ท้าสู้กับพวกมันตัวต่อตัวและปลิดชีวิตอีกฝ่ายไปเป็นจำนวนมาก หรือว่าในบรรดาคนเหล่านั้นมีคนรู้จักของท่าน ท่านจึงต้องการจะล้างแค้น?"

"เหลวไหล! แพ้ก็คือแพ้ จะอยู่หรือตาย ล้วนเป็นสิทธิของผู้เข้มแข็งกว่า พวกมันล้วนอ่อนด้อย ตายไปก็สมควรแล้ว จุดประสงค์ที่ข้ามาพบท่านในวันนี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น"

"ท่านต้องการอะไร?"

"ประลองกับท่าน"

กล่าวจบบุรุษผู้นั้นก็ชักกระบี่อ่อนประกายสีม่วงที่พันไว้รอบเอวออกมา เพียงสะบัดจู่โจม1กระบวนท่า นอกจากจะคุกคามให้อึ้งเซียงถอยไปได้แล้ว ตัวกระบี่ยังเลื้อยเลี้ยวราวกับมังกรที่มีชีวิต กระแทกทำลายดาบของเหล่าทหารนับสิบที่อยู่รอบๆจนหักสะบั้น พลังที่แฝงมาในกระบี่ยังทำให้ทหารทั้งหมดสิ้นสติไปพร้อมกันในพริบตา อึ้งเซียงถึงกับตื่นตกใจระคนเลื่อมใส เพราะนับตั้งแต่เขาเรียบเรียงศึกษาคัมภีร์เต๋ากว่า5พันเล่มทั่วทั้งแผ่นดิน จนสามารถคิดค้นและสำเร็จยอดวิชามีพลังภายในภายนอกแกร่งกร้าวสุดสูง ไม่เคยมีใครใช้เพียงกระบวนท่าเดียวคุกคามเขาได้เช่นนี้ อึ้งเซียงจึงร้องถามนามกรของอีกฝ่ายทันที

"คนในยุทธภพเรียกขานเราว่า เกี้ยมม้อ(มารกระบี่) แต่เราพอใจเรียกตัวเองว่า ต๊กโกวคิ้วป่าย(ต๊กโกวแสวงพ่าย)!"

กล่าวเพียงเท่านี้ การประลองยุทธที่ดุเดือดที่สุดในยุทธจักรก็อุบัติขึ้นโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ การรุกรับหักล้างกันของทั้งสองดำเนินไปติดต่อกันถึง3วัน3คืน เปลี่ยนจากถนนสายนี้ไปสู่ป่าทึบ หุบเขาสูง และทุ่งหญ้ากินอาณาเขตบริเวณหลายสิบลี้ ท่ามกลางเวลาที่ผ่านไปรวดเร็วราวกับติดปีก ทั้งสองคนต่างก็นึกเลื่อมใสอีกฝ่ายจากใจจริง อึ้งเซียงนับถือในกระบวนท่ากระบี่อันล้ำลึกไร้ขอบเขตของต๊กโกวคิ้วป่าย ในขณะที่ต๊กโกวก็นึกชื่นชมในพลังปราณที่เข้มแข็งสมบูรณ์ของอึ้งเซียง จนต่างคนต่างมั่นใจแล้วว่าหากหักล้างเช่นนี้สืบไป ผลแพ้ชนะคงไม่อาจตัดสินได้แน่ อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บกันไม่น้อย จึงพลันหยุดมือพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย อึ้งเซียงประสานมือคำนับแล้วกล่าวว่า

"เพลงกระบี่ของพี่ต๊กโกว ลึกล้ำสูงส่งยิ่งนัก ข้าพเจ้านับถือยิ่ง"

"พลังภายในของเจ้าก็กร้าวแกร่งหนักแน่น นับเป็นหนึ่งในแผ่นดินได้โดยแท้ นับตั้งแต่ข้าท่องยุทธภพมา มีเจ้าเป็นคนแรกที่รับมือ8กระบี่ต๊กโกวได้ถึงเพียงนี้ เสียดายแต่ว่าเจ้ามีพลังภายในยอดเยี่ยม แต่กลับมีกระบวนท่าเรียบง่ายไม่เพียงพอต่อการฉกฉวยโอกาส มิเช่นนั้นความหวังที่จะพ่ายแพ้ของข้า คงพอจะมีอยู่บ้างแล้ว"

อึ้งเซียงได้ยินดังนี้ ก็คล้ายดั่งมีประกายสายฟ้าแวบขึ้นในหัว ที่ผ่านมาเขาสะดุดใจกับปัญหาข้อนี้อยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความที่น้อยครั้งจะได้ประมือกับยอดฝีมือเนื่องเพราะเขาเป็นขุนนางมิใช่ชาวยุทธ อีกทั้งยังเชื่อมั่นในพลังภายในของตัวเองว่าเพียงพอต่อการสยบผู้คนแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจต่อท่าร่างมากนัก คำพูดของต๊กโกวในครั้งนี้ ช่วยให้เขาเห็นทางสว่างได้เด่นชัด แม้ทั้งคู่จะพึ่งพบหน้ากันได้ไม่นาน แต่หลังจากประมือและพูดคุยกัน ในใจของทั้งสองก็คล้ายดั่งรู้จักสนิทสนมกับอีกฝ่ายมาหลายสิบปี ทั้งสองจึงตัดสินใจคบหาเป็นสหายกัน อึ้งเซียงเล่าเรื่องราวความเป็นมาที่ตนเองมีวรยุทธจากการเรียบเรียงตำราลัทธิเต๋าให้ฮ่องเต้ โดยไม่มีใครสอนสั่ง ทำให้ต๊กโกวยิ่งชื่นชมภูมิปัญญาที่หลักแหลมของอึ้งเซียงขึ้นไปอีก ต๊กโกวจึงบอกกับอึ้งเซียงว่า

"แม้ในใจของข้าจะแสวงหาความพ่ายแพ้เพราะไม่อาจพบพานคู่มือที่เปรียบติด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมสยบให้ผู้คนโดยง่าย หลังจากนี้ข้าจะลองคิดค้นกระบวนท่าที่จะทำลายพลังลมปราณของเจ้าดูบ้าง! เมื่อเจ้าคิดค้นกระบวนท่าที่ยอดเยี่ยมได้บ้างแล้ว เราสองจงมาประลองกันอีกครั้ง ดูสิว่าใครจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ฮะๆๆ"

อึ้งเซียงจึงตกลงรับคำ จากนั้นทั้งสองก็แยกจากกันในราตรีของวันที่4 เพราะอึ้งเซียงติดภาระต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เพื่อถวายรายงานผลการปราบปรามนิกายเม้งก่า แม้จะรู้สึกอาลัยที่ต้องจากกับผู้รู้ใจที่เพิ่งคบหาได้ไม่นาน แต่ในใจของต๊กโกวก็อิ่มเอิบยิ่งเนื่องเพราะพบพานผู้ที่จะมามอบความพ่ายแพ้ให้ตนได้แล้ว แต่ทว่า...

"พวกเราทั้งหลายต่างต้องขอบใจท่านต๊กโกวจริงๆ"

ชายวัยกลางคนหลายสิบคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าสำนักใหญ่ในยุทธจักร พาบริวารและชาวยุทธจำนวนมากนำทรัพย์สินเงินทองมากำนัลแก่ต๊กโกว ในขณะที่เขากำลังดื่มสุราอยู่บนโรงเตี๊ยมในเมืองแห่งหนึ่ง สร้างความฉงนสงสัยแก่ต๊กโกวยิ่งนัก เพราะแม้ต๊กโกวจะท่องยุทธภพมานาน แต่ก็พูดได้เต็มปากว่าท่านชมชอบรังควานหาเรื่องผู้คน มากกว่าจะเพาะสร้างบุญคุณแก่ใคร แล้วเหตุใดคนกลุ่มนี้ จึงพากันมาขอบอกขอบใจตน?

"ถ้าไม่เพราะท่านต๊กโกวลงมือสั่งสอนเจ้าขุนนางชั่วอึ้งเซียงแล้วละก็ พวกเราคงจัดการกับมันไม่...."

คำว่า"ได้แน่"ยังไม่ทันหลุดจากปากของคนผู้นั้น ต๊กโกวก็บรรลุถึงเบื้องหน้ามัน แล้วกระชากคอเสื้อยกขึ้นโดยไม่มีผู้ใดรู้ตัวเลย ชายคนนี้เป็นถึงเจ้าสำนักดาบว่องไวที่โอ้อวดว่ามีวิชาตัวเบายอดเยี่ยมที่สุด แต่เมื่อมาพบกับท่าร่างของต๊กโกวก็ไม่ผิดอะไรกับเต่าตัวหนึ่งมองดูอัศนีบาต

"เจ้าทำอะไรอึ้งเซียง! จงบอกกล่าวมาให้หมด"
เสียงตวาดถามในครั้งนี้ถึงกับทำร้ายผู้มีพลังภายในอ่อนด้อยปั่นป่วนไปหมด มีบางคนถึงกับทรุดเข่าลงไปเลยทีเดียว คนที่ถูกต๊กโกวยกขึ้นกล่าวเสียงสั่นๆ เล่าถึงเรื่องราวที่เหล่าชาวยุทธซึ่งเป็นญาติพี่น้องของผู้ที่ถูกอึ้งเซียงฆ่าตายไปในเม้งก่า ได้รวมตัวกันถกเถียงถึงพฤติกรรมที่ขัดกับกฏชาวยุทธของอึ้งเซียง ว่าไม่เคารพกฏบู๊ลิ้มแถมยังโป้ปดอีกว่า สำเร็จยุทธโดยไม่มีใครสอน จึงพากันกลุ้มรุมจู่โจมจนบาดเจ็บสาหัส พลัดตกภูเขาไป ชาวยุทธบางส่วนที่ยังไม่หายโกรธแค้นจึงได้บุกไปฆ่าล้างครอบครัวของอึ้งเซียงจนหมดสิ้น

"ตะ...แต่ว่า เราไม่พบศพของมัน คะ..คาดว่าอึ้งเซียงน่าจะหนีไปได้ ท่าน..ท่านต๊กโกวก็เคยต่อสู้กับมัน ท่านไม่ได้เป็นศัตรูกับมันหรอกรึ?"

น้ำเสียงนั้นถามด้วยความแปลกใจจริงๆมิได้เสแสร้งแกล้งแต่งขึ้น ที่แท้ในตอนที่ต๊กโกวและอึ้งประมือกัน ได้เปลี่ยนย้ายสถานที่ไปมากมายจนมีชาวยุทธที่มีความแค้นกับอึ้งเซียงพบเห็นโดยบังเอิญ จึงได้ระดมผู้คนมาคิดบัญชีกับอึ้งเซียง หลังจากเขาแยกทางกับต๊กโกวได้ไม่นาน หากไม่เพราะอึ้งเซียงสูญเสียพลังภายในไปจากการประลองจนเกือบหมด และไม่มีความช่ำชองในเชิงกระบวนท่าเพียงพอ แม้ไม่อาจเข่นฆ่าเหล่าชาวยุทธกลุ่มนี้ได้ ก็ไม่ถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่ ต๊กโกวได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็เดือดดาลยิ่งนัก บังเกิดความคิดจะสังหารเหล่าวิญญูชนจอมปลอมพวกนี้ให้สิ้นซาก แต่พลันหวนคิดได้ว่าหากอึ้งเซียงมีชีวิตอยู่จริง คงต้องการจะแก้แค้นด้วยตัวเองมากกว่า อีกทั้งเรื่องนี้ยังเป็นความผิดของตนส่วนหนึ่งด้วย เพราะถ้าอึ้งเซียงไม่สูญเสียพลังภายในไป ลำพังชนชั้นสวะเหล่านี้คงไม่อาจทำอันตรายแก่เขาได้เด็ดขาด เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วแม้จะอาฆาตแค้นพวกมันจนสุดใจ ก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้ก่อน ต๊กโกวจึงเหวี่ยงร่างของชายที่หิ้วอยู่ข้ามศีรษะผูคนหลายสิบคนลอยไปตกอยู่นอกร่าง แล้วผนึกลมปราณเปล่งเสียงดังสะท้านไปไกลว่า

"จงไสหัวไปเดี๋ยวนี้.."

สิ้นเสียงของต๊กโกวผู้คนในโรงเตี๊ยมไม่เพียงแค่ชาวยุทธเท่านั้น แม้แต่ผู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็พากันแตกตื่นวิ่งหนีกันจ้าละวั่น เพียงอึดใจเดียวทั่วทั้งโรงเตี๊ยมก็เงียบงันประหนึ่งสุสาน นับตั้งแต่นั้นก็แทบจะไม่ผู้ใดได้พบเห็นต๊กโกวอีกเลย เพราะท่านได้ท่องเที่ยวเสาะหาเบาะแสของอึ้งเซียง เพียงลำพัง และยังคิดค้นกระบวนท่าที่9 "ทำลายลมปราณ"เพิ่มเติมลงจากเดิม8ท่าได้สำเร็จ เรียกเพลงกระบี่ทั้งหมดที่ตนเองคิดขึ้นมาว่า "9กระบี่เดียวดาย" สยบเหล่าศัตรูและผู้กล้าได้ทั่วทั้งแผ่นดิน ความหมายของคำว่าเดียวดายนอกจากจะบ่งบอกถึงความเศร้าที่ไร้ผู้เปรียบติดแล้ว ยังแสดงถึงความคิดคำนึงถึงอึ้งเซียงสหายผู้ทัดเทียมท่านเพียงคนเดียว ส่วนกระบี่อ่อนกุหลาบม่วง ที่ใช้ต่อสู้กับอึ้งเซียง ต๊กโกวได้ขว้างทิ้งลงหน้าผา เนื่องเพราะมันได้ทำร้าย"จอมยุทธฝ่ายธรรมะ"ที่แท้จริงอย่างอึ้งเซียงไป จึงนับเป็นศาสตราอัปมงคลยิ่ง และหันไปใช้กระบี่นิลที่ไร้คมและมีน้ำหนักมากแทน ส่วนหนึ่งก็เพื่อคิดค้นกระบวนท่าทำลายลมปราณเพื่อรอวันที่อึ้งเซียงจะหวนกลับมาตามคำมั่นสัญญา ทว่า ผ่านกาลเวลาไปหลายสิบปี ต๊กโกวก็ยังไม่พบเห็นข่าวคราวของอึ้งเซียงเลย ทั้งยังได้ยินว่าศัตรูของอึ้งเซียงที่มีอายุมากหลายคน ได้พากันล้มตายไปตามอายุขัยเยอะแล้ว จึงได้ละทิ้งยุทธภพที่ไร้ซึ่งคู่มือตน ไปพำนักยังสถานที่เร้นลับและได้พบกับอินทรีน้อยตัวหนึ่งที่บินไม่ได้ อินทรีตัวนี้มีความจำดีเยี่ยมยิ่งนัก มันคอยมองดูวิธีการฝึกปรือของต๊กโกวจนขึ้นใจ แล้วนำไปดัดแปลงใช้จับเหยื่อหากิน ชดเชยข้อเสียเปรียบที่บินไม่ได้ กระทั่งมันเติบใหญ่สูงกว่าต๊กโกว ต๊กโกวจึงยึดเอามันเป็นคู่ซ้อมมือแก้เหงา จนในที่สุดก็เข้าสู่ขอบเขตไร้กระบี่เหนือกว่ามีกระบี่ และได้ฝังกระบี่ที่เคยใช้ทั้งหมดไว้ พร้อมกับเขียนคำอธิบายเกี่ยวกับกระบี่ของตน ก่อนจะสิ้นชีพในอีกไม่กี่ปีต่อมาอย่างสงบ..

ทางด้านอึ้งเซียงภายหลังจากถูกเหล่าจอมยุทธทำร้ายจนตกหน้าผา เคราะห์ดีที่ไปเกี่ยวเข้ากับกิ่งไม้ที่ยื่นออกมา ทำให้ลดแรงกระแทกก่อนจะร่วงหล่นลงกอไม้เบื้องล่าง แต่ทั่วร่างเขาได้รับบาดแผลจากอาวุธมากมายทำให้เสียเลือดไปมาก กว่าจะฟื้นฟูพลังภายในและเคลื่อนไหวกลับไปบ้านได้ ก็พบว่าครอบครวของตนถูกสังหารไปหมดแล้ว อึ้งเซียงพกพาความคับแค้นใจนี้ หนีไปหลบซ่อนตัวในป่าลึกที่ไร้ผู้คน อึ้งเซียงไม่ได้โกรธแค้นต๊กโกวเลยที่เป็นสาเหตุให้ตนพลาดท่าเหล่าจอมยุทธที่ต่ำช้าพวกนี้ แต่กลับสำนึกตื้นตันใจมากกว่าที่ต๊กโกวได้ให้คำชี้แนะเกี่ยวกับวรยุทธแก่เขา จึงหวนนึกถึงแนวทางวิชาที่เหล่าศัตรูของเขาใช้ แล้วเริ่มคิดค้นกระบวนท่าที่จะสยบทุกหลักวิชาให้ได้ แม้จะถูกกลุ้มรุมมากมายสักเพียงใด หรือต่อให้มีพลังลมปราณหลงเหลือเพียงน้อยนิด ก็ต้องสามารถใช้กระบวนท่านี้จัดการศัตรูได้ อึ้งเซียงจึงเริ่มพลิกแพลงใช้นิ้วหรือกรงเล็บต่างกระบี่ สร้างกระบวนท่าจู่โจมมากมาย กระทั่งเวลาผ่านพ้นไปราวติดปีก 40ปีต่อมาอึ้งเซียงพัฒนากระบวนท่าได้สมบูรณ์แบบก็กลับสู่ยุทธภพเพื่อล้างแค้น แต่เหล่าศัตรูของเขาก็พากันแก่ตายไปหมดแล้ว สร้างความเสียใจแก่เขายิ่งนัก อึ้งเซียงได้ตามหาต๊กโกวเพื่อทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ แต่จนใจที่ไม่อาจพานพบ นั่นเพราะต๊กโกวได้ปลีกตัวไปอยู่หุบเขาเร้นลับกับอินทรียักษ์และเสียชีวิตไปนานแล้ว อึ้งเซียงสำนึกว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน จึงไม่อยากไปให้ยอดวิชาที่ตนอุตส่าห์สร้างขึ้นมาสูญหายไป จึงได้คัดลอกเป็นคัมภีร์สองเล่ม เล่มแรกเขียนถึงหลักการฝึกปรือลมปราณที่ตนเรียนรู้มาในวัยหนุ่ม ส่วนเล่มหลังเป็นเคล็ดวิชาเกี่ยวกับกระบวนท่าที่ตนศึกษาค้นคว้ามาหลายสิบปีนี้ ตั้งชื่อคัมภีร์ทั้งสองเล่มนี้ว่า "เก้าอิมจินเก็ง"(สัจจะ9ปี) การสร้างคัมภีร์ทั้งสองเล่มนี้นอกจากจะต้องการให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงภูมิปัญญาของตนแล้ว ยังจงใจจะแก้แค้นเหล่าชนชาวยุทธที่ทำลายชีวิตของตน ทั่วทั้งใต้หล้าอีกด้วย เนื่องเพราะความซับซ้อนของเก้าอิมจินเก็งไม่อาจจะฝึกปรือให้บรรลุได้ง่ายๆ หากมันปรากฏในยุทธจักรเมื่อใด อึ้งเซียงมั่นใจว่าจะต้องเกิดการเข่นฆ่าแย่งชิงกันขึ้นในหมู่ผู้มีใจละโมภแน่ๆ ส่วนเหตุผลอีกข้อก็คือ..

"ถ้ามีวันใดที่ผู้สืบทอดเพลงกระบี่ของพี่ต๊กโกวปรากฏกายขึ้นในยุทธภพ และได้ประลองกับผู้สำเร็จวิชาเก้าอิมจินเก็ง ไม่ว่าผลแพ้ชนะจะเป็นเช่นไร ก็นับว่าคำสัญญาของพวกเราบรรลุผลแล้ว"

จากนั้นอึ้งเซียงก็เขียนประวัติของตนและที่มาที่ไปของคัมภีร์นี้บักทึกลงไปด้วย โดยไม่กล่าวถึงต๊กโกวคิ้วป่ายเพราะไม่ต้องการให้ใครโทษว่าท่านเป็นต้นเหตุให้ตนเองประสบเคราะห์กรรม และไม่อยากรวมท่านเข้ากับพวกชาวยุทธจอมปลอมทั้งหลายในยุคนั้นด้วย แล้วอึ้งเซียงก็สิ้นอายุขัยลงอย่างสงบ หลังจากนั้นไม่นาน...
มังกรหยก ตอน อึ้งเซียง Vs ต๊กโกวคิ้วป่าย



..............................................................................................

เดี๊ยนขออนุญาตคุณน้อง Pokup มาลงในกระทู้ปยกนะคะ เพราะเดี๊ยนว่าถ้ากิมย้งแต่งเองจริงๆ มันจะเป็นอะไรที่น่าสนใจมากค่ะ เพราะอยู่ในกระทุ้นั้น คนจะไม่ค่อยได้เห็นได้อ่านกันค่ะ

เครดิตให้คุณน้อง Pokup ฮ่ะห์

สรุปแร๊ว อึ้งเซียงไม่ได้แพ้ต๊กโกวค่ะ เริ่ดค่ะ

น่าจะมีการแต่งปรมจารย์กะเทยขันทีผู้สำเร็จ วิชาทานตะวัน สู้ประลองกับ พวกระดับปรมจารย์เก่งๆ เหมือนต๊กโกวบ้างนะคะ อ๊ายยย ท่าจะเริ่ด




pokup
#2   pokup    [ 10-12-2007 - 03:29:33 ]

ถ้าลอง มาคิดๆ ดูแล้ว นะครับ จะเห็นได้ ว่า ต๊กโกวคิ้วป่าย ใช้ แค่ เพลง กระบี่ 8 กระบวนท่า ซึ่ง ตามหลัก

จะมีท่าสุดท้ายคือ ท่าที่ 9 และเช่นเดียว กัน ตอนนั้น อึ้งเซีย สำเร็จวิชา เก้าอิม ด้วยตัวเอง แต่ ยังหาได้มี

กระบวนท่า ในวิชาของตัวเองไหม จะมีก็แค่ลมปราน ที่สุดจนหาบรรยายได้ด้วยเหตุนี้ เอง ทั้ง 2 จึง ไม่ได้

ประลองอย่างเต็มรูปแบบ ถามพูดตามหลัก ต๊กโกคิ้วป่าย ยังไม่ใช้เพลงกระที่9 ของเค้า ที่คิดขึ้นเอง กะ อึ๊งเซีย ด้วยรวม

คนจะสมองว่า เสมอกัน ค๊าบบ

ปล . พอดี ผมได้อ่านกาทู้ ที่ว่า เพลงกระบี่สำนักใดไร้เทียมทานสุด ผม ขอผิมในนี้ ว่าเพลงกระบี่ ตั๊กม๊อ ของเส้าหลิน นะครับ ไวจะเล่าลายละเอียดให้ฟัง

พึ่งกลับจาก 2สลึง ขอนอนก่อนครับ บายย





มือกระบี่ไร้นาม
#3   มือกระบี่ไร้นาม    [ 10-12-2007 - 09:27:49 ]

ตอนนี้สนุกมากเลย ขอบคุณมากนะครับที่ลงให้อ่าน ปรมาจารย์ในนิยายกิมย้ง ต่างสุดยอดเก่งทั้งนั้นเลย



สวย
#4   สวย    [ 10-12-2007 - 18:19:47 ]

คิดว่าวิชาที่ไปคิดต่ออีก 40 ปีให้หลัง ที่ใช้นิ้วกรงเล็บต่างกระบี่ น่าจะเป็นกรงเล็บกระดูกขาวที่ใช้กระบวนท่า...มโหดรุนแรงรวดเร็ว



ประจิมคลุ้มคลั่ง
#5   ประจิมคลุ้มคลั่ง    [ 10-12-2007 - 23:06:12 ]

อ่านแล้วไม่กล้าไปอ้างอิงจิงๆ มันก็มีส่วนที่น่าเชื่อนะ แต่อยากให้ลงลึกที่มามากกว่านี้หน่อย เพราะพวกนี้ผมเคยอ่านมาก่อนแล้วแตกต่างกว่านี้ก็มี คล้ายกันก็มี ที่เคยอ่านบอกว่ากิมย้งให้สัมภาษ์พิเศษ ส่วนอันนี้บอกว่า กิมย้งไม่ได้นำออกมาเผยแพร่ มันสับสนอ่ะ ถ้ากิมย้งเขียนออกมาเป็นบท
ประพันธิ์ภาคพิเศษตีพิมพ์ออกมาให้ได้ชมจะดีใจมากเลย



ขาเกาคาง
#6   ขาเกาคาง    [ 10-12-2007 - 23:08:01 ]

ขอบคุณ พี่สาวสวยกงกง มากนะครับ ที่เอาของดีมาให้ พวกเราชาวบอด

อ่านแล้วรู้ถึง ความมีน้ำใจของท่านต้กโก้วคิ้วป้าย และ สาเหตุ ที่ท่านโยนกระบี่อ่อนกุหลาบม่วง ทิ้ง

นับว่าท่านเป็นคนดีคนนึงผิดกับฉายาของท่านจริงๆ

แล้วสรุปว่าตอนนี้ ท่าน กิมย้ง เขาแต่งหรอครับ ?



pokup
#7   pokup    [ 10-12-2007 - 23:14:32 ]

เรียน คุณ ประจิมคลุ้มคลั่ง และ ขาเกาคาง เรื่องที่ผม หยิบยก มา ยังไม่สามารถ อ้างว่าเป็นของ กิมย้ง จริงเท็จ นั้น หารู้ไหม แต่ คือ ผมได้ การประพันธ์ชินนี้แล้ว มาหลายปีแล้ว แต่ พึ่งได้เข้าเวปนี้ มาเมือไม่นาน ซึ่ง ในต่างประเทศ เช่น จีน เอง ฮ่องก่องเอ๋ยย ต่างมีขอถกเถียง กัน ต่างๆ นาๆๆ แบบ บอร์ดบ้านเราเลยไม่มีผิด แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้น เราก็ยากหารู้ไหม ว่ากิมย้งประพันธ์ชุดนี้รึป่าว แต่เคยมีคน บอกมาต่อๆ มา ว่า กิมย้ง เคยเขียนไวเพราะมีคน อยากตัดสินวิชาสุดยอดของ บรมจารย์ ทั้ง 2.. จริงแท้ แค่ไหน ผมก็ตอบไม่ได้ครับ เอาเป็นว่า ช่วยให้เรา นอนฝัน ว่า เอ่อ อย่าง น้อยย ..... ก่อนมังกรหยก ยังมีผู้เยี่ยมยุทธอีกมาก....... ช่วยเสริมจิตนาการไปได้อีกแยะ ..... ครับ



ดรรชนีสวรรค์
#8   ดรรชนีสวรรค์    [ 12-12-2007 - 11:37:33 ]

เพลินดีขอรับ



ประจิมคลุ้มคลั่ง
#9   ประจิมคลุ้มคลั่ง    [ 20-12-2007 - 23:17:12 ]

ครับ บทประพันธิ์กิมย้งมีสเน่ห์ที่ตรงนี้แหละ แน่นอนว่าท่านต้องการให้ผู้อ่านจินตนาการแบบเพ้อเลย แล้วบางทีวิชาในแต่ละครั้งก็ไม่ใช่วิชาที่สุดยอดเสมอไป แต่ยังมีวิชาที่เด่นกว่าและร้ายกาจมากกว่าอยู่ในบางครั้ง
แต่ตามในเนื้อเรื่องกำหนดมาให้เด่นน้อยกว่าแค่นั้น ถ้าลองดูในอีกมุมมองหนึ่ง



  • 1
ตอบกระทู้
ชื่อ
รหัส กรอกตัวอักษร ตามภาพ
ข้อความ


emo-smile emo-happy emo-lol emo-enjoy emo-kiku emo-cool emo-hoho emo-drool emo-hungry emo-kiss emo-sorry emo-sad emo-cry emo-tear emo-question emo-doubt emo-shock emo-redface emo-plz emo-peevish emo-angry emo-moody emo-sneer emo-makefaces emo-good emo-touched emo-love emo-bore emo-tired emo-vomit
bold italic underline img link superscript subscript size color space justifyleft justifycenter justifyright quote box youtube