หลังจากที่ได้นำเคล็ดวิชาไทเก๊กที่ผ่านการดัดแปลงแล้วมาลงให้ได้นำไปฝึกกันดูบ้างแล้ว วันนี้จะขอนำฉบับสมบูรณ์มาลงให้ได้ฝึกกันนะครับ 
 
 บทนำ
 ใครที่เคยอ่านหนังสือมังกรหยกหรือเคยดูหนังจีนเรื่องมังกรหยกก็คงจะจำกันได้ว่าเอี้ยก้วยจอมยุทธ์นกอินทรีผู้เป็นบุตรของเอี้ยคังและเป็นหลานของก๊วยเจ๋ง อึ้งย้ง นั้นในช่วงปลายของเรื่องเอี้ยก้วยได้สอนศิษย์ตัวน้อย ๆ 2 คน คนหนึ่งคือเตียซำฮงหรือจางซานฟง อีกคนหนึ่งคือก๊วยเซียงซึ่งเป็นบุตรคนเล็กของก๊วยเจ๋งกับอึ้งย้ง
 
           ในเรื่องมังกรหยกนี้เอง ในภาคที่สามก็เป็นเรื่องราวของเตียซำฮงและเกี่ยวพันกับก๊วยเซียงด้วย โดยถือว่าเตียซำฮงเป็นตัวเอกของเรื่อง 
 
           เพราะเตียซำฮงนั้นได้กลายเป็นเจ้าสำนักบู๊ตึ๊งและเป็น 1 ใน 5 สำนักใหญ่ที่เลื่องชื่อลือชาในวิทยายุทธ์ 1 ในยอดวิทยายุทธ์ของสำนักบู๊ตึ๊งก็คือวิชามวยไทเก็ก ส่วนก๊วยเซียงนั้นได้กลายเป็นเจ้าสำนักง้อไบ๊และเป็น 1 ใน 5 สำนักใหญ่เช่นเดียวกัน 
 
           นั่นเป็นเรื่องของหนังสือมังกรหยก แต่ความจริงแล้วเตียซำฮงมีตัวตนที่แท้จริงเป็นคนในสมัยพระเจ้าซ่งฮุ่ยจงฮ่องเต้ และเป็นเจ้าสำนักบู๊ตึ๊งจริง ๆ เป็นผู้บัญญัติวิชามวยไทเก็กจริง ๆ 
 
           เตียซำฮงหรือจาง ซาน ฟง มีชื่อเดิมว่า จางเฉียนอี้ เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1247 ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งเป็นมณฑลเหลียวหนิงในปัจจุบันนี้ ได้ออกบวชเป็นนักพรตในลัทธิเต๋า แล้วได้รับฉายาว่าซาน ฟง จึงเป็นที่มาของชื่อจาง ซาน ฟง หรือเตียซำฮง 
 
           เตียซำฮงในวัยเยาว์เป็นศิษย์ของกักเอี๊ยงไต้ซือแห่งสำนักวัดเส้าหลิน ซึ่งมีหลักวิชายุทธ์เฉพาะของตน และห้ามศิษย์มิให้ฝึกวิชายุทธ์ของสำนักอื่น แต่เตียซำฮงกลับลอบฝึกวิชาเก้าเอี๊ยงหรือวิชาพลังเก้ามัจจุราช จากคัมภีร์เก้าอิมจิงเก็งหรือคัมภีร์พลังเก้ามัจจุราช ที่ตกทอดมาตั้งแต่ยุคของปรมาจารย์เจ้าสำนักฉวนจินซึ่งเป็นการผิดกฎของสำนักอย่างร้ายแรง จึงถูกขับออกจากสำนักเส้าหลิน 
 
           เตียซำฮงหรือจาง ซาน ฟง ได้เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวบ้านธรรมดาสามัญจากการใช้กำลังภายในในการช่วยเหลือรักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วย ต่อมาได้ก่อตั้งและเป็นเจ้าสำนักบู๊ตึ๊ง หรือสำนักบู๊ตึงซัว ต่อมาได้คิดค้นเคล็ดวิชาอ่อนหยุ่นชนะแข็งกร้าว สงบสยบเคลื่อนไหว อันเป็นปรัชญาวิชาใหม่และกลายเป็นหลักวิชาไทเก็ก จากนั้นก็ก่อตั้งสำนักบู๊ตึ๊ง จึงได้รับการยกย่องให้เป็นปรมาจารย์แห่งยุคโดยเฉพาะวิชาไทเก็ก 
 
           ในบั้นปลายชีวิตได้รับศิษย์ 7 คน มีฉายาว่าเจ็ดผู้กล้าบู๊ตึ๊ง 
 
           นอกจากวิชามวยไทเก็กแล้ว เตียซำฮงยังได้บัญญัติหลักวิชามวยอีก 2 สายวิชา คือวิชามวยสิงอี้ ที่เลียนแบบการเคลื่อนไหวของสัตว์ เช่น เสือ วานร มังกร เหยี่ยว นกนางแอ่น เป็นต้น และวิชาฝ่ามือแปดทิศ หรือวิชาปากว้าจ่างที่ใช้การเคลื่อนไหวโดยการสืบเท้าเป็นรูปวงกลม แล้วแปรกระบวนท่าฝ่ามือเป็นท่าต่าง ๆ ซึ่งทั้งสองวิชานี้ก็ได้กลายเป็นศิลปะการต่อสู้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของประเทศจีนที่โด่งดังและได้รับการยอมรับจากทั่วโลกด้วย 
 
        
 
 
 
    คัมภีร์หลักวิชาไทเก็กประกอบด้วยหนังสือจีน 140 ตัวอักษร แต่ละตัวมีความหมายในตัวเอง มีความสมบูรณ์ในตัวเองแต่สอดคล้องรองรับอย่างต่อเนื่องกันทั้งคัมภีร์ เวลานี้ก็มีผู้แปลออกเป็นหลายภาษา รวมทั้งภาษาไทย ซุนผู้นิรนามก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้ถอดภาคภาษาจีนเป็นภาษาไทย ดังที่ได้นำมาเป็นหลักของหนังสือนี้   
   
           ซุนผู้นิรนามแต่มีความสูงส่งในการดำรงชีวิต มีจิตศรัทธาแก่กล้าในวิถีดำเนินแบบธรรมชาติ แม้มีการศึกษาสูงส่งแต่ทว่าได้ละสังคมอันสับสนวุ่นวายหนาแน่นเต็มไปด้วยกิเลส ลี้หลีกปลีกวิเวกเข้าสู่ธรรมชาติที่สงบสุขสันติ แต่ก็ได้สร้างผลงานอันทรงคุณค่าขึ้นชิ้นหนึ่งคือได้ผลิตผลงานแปลภาคภาษาจีนเป็นภาษาไทยให้กับ “เคล็ดวิชามวยไทเก็ก” ของปรมาจารย์เตียซำฮง หรือจาง ซาน ฟง และได้นำมาเป็นหลักในการเรียบเรียงเป็นหนังสือเรื่องนี้
 
           วิชามวยไทเก็กเป็นวิชาที่คนจีนทั่วไปรู้จักกันแพร่หลายและแพร่ขยายไปทั่วทั้งโลก ในฐานะที่เป็นวิชาการต่อสู้อย่างหนึ่ง และเป็นหลักปฏิบัติเพื่อการทำให้มีสุขภาพอนามัยที่ดี มีอายุยืนยาวอีกอย่างหนึ่ง 
 
           ในปัจจุบันนี้ทั้งคนจีน คนไทย และคนหลายประเทศในโลกได้ฝึกวิชามวยไทเก็กกันเป็นที่แพร่หลาย ส่วนใหญ่เน้นไปในเรื่องการทำให้สุขภาพดี มีอายุยืนยาว แต่ทว่าหลักวิชามวยไทเก็กนั้นต่างก็พรรณนาว่ากล่าวกันไปตามความรู้ ความเข้าใจ ของแต่ละคน 
 
           ความจริงวิชามวยไทเก็กเป็นวิชาการต่อสู้ในเชิงรับ ถือเอาความว่างเป็นสุดยอดของสรรพสิ่งและมีอานุภาพที่หาประมาณมิได้ ไม่ว่าทางด้านจิตใจ ร่างกาย อารมณ์ความรู้สึก หรือการงานใด  ๆ ก็ดี แต่น้อยนักที่จะมีผู้รู้จักความว่างและอานุภาพความว่างอย่างถ่องแท้ 
 
           วิชามวยไทเก็กหาใช่เป็นแค่วิชาต่อสู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หากเป็นวิชาการฝึกฝนอบรมร่างกายให้มีสุขภาพอนามัยที่ดี ส่งผลให้มีอายุที่ยืนยาวอย่างน่ามหัศจรรย์ ดังที่ตัวผู้บัญญัติวิชานี้คือเตียซำฮงก็ได้รับอานิสงส์แห่งหลักวิชามวยไทเก็ก มีสุขภาพอนามัยที่ดีเยี่ยม จนกระทั่งถึงแก่กรรมโดยมีอายุขัยถึงกัลป์หนึ่ง 
 
           คนเราทุกคนแม้เกิดมาแล้วย่อมต้องตาย แต่ใครเล่าที่ไม่อยากมีอายุยืน ทุกคนล้วนอยากมีอายุยืนยาวด้วยกันทั้งสิ้น และต้องการอายุยืนยาวโดยมีสุขภาพที่สมบูรณ์ด้วย ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าจะทำประการใด จึงจะได้ดังประสงค์เช่นนี้ หลักวิชามวยไทเก็กนี่แล้วคือวิชาหรือวิธีการหนึ่งซึ่งจะทำให้ความปรารถนาของเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายได้บรรลุดังประสงค์
 
 บทที่ 1 บทสรุป
 •	ธรรมดาของบทสรุปย่อมอยู่ข้างท้ายสุด แต่สิ่งท้ายสุดนั้นก็คือผลสรุปรวมของทั้งหมด หากกระจ่างแจ้งถึงสิ่งทั้งหมดเสียตั้งแต่ต้นก็จะง่ายและเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจแต่ละบท และจะทำให้มอง เข้าใจ ส่วนทั้งหมด ดังนั้นในพลันที่ได้อ่านแต่ละบทก็จะรู้และเข้าใจได้ว่ามันเป็นส่วนไหนของส่วนทั้งหมด ดังนี้แล้วก็จะนับว่าเป็นประโยชน์ยิ่งนัก 
 •	บทนำและบทสรุปก็คือด้านสองด้านของการเริ่มต้นและความเป็นที่สุดและแท้จริงแล้วก็คือสิ่งเดียวกัน 
 •	วัตถุประสงค์หลักของการฝึกฝนเคล็ดวิชามวยไทเก็กก็คือการทำตนให้มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์ ความหมายในส่วนที่เป็นวิชาการต่อสู้ก็เพื่อการป้องกันตนเอง คุ้มครองรักษาตนเองให้รอดพ้นจากการคุกคามทำลายของผู้อื่น เป้าหมายสูงสุดก็คือการดำรงชีวิตให้ยืนยาวนั่นเอง เหตุนี้ในส่วนที่เป็นวิชาการต่อสู้ ความจริงก็เป็นส่วนหนึ่งของการดำรงตนให้มีอายุยืนยาวด้วย 
 •	ซุนผู้นิรนามได้แปลบทสรุปของเคล็ดวิชาคัมภีร์ไทเก็กไว้ว่า 
 “คิดทบทวนให้ถี่ถ้วนว่า
 
 จุดประสงค์สุดท้ายคือ
 
 เพื่อยืดอายุให้ยืนยาว
 
 และดำรงความเป็นหนุ่มสาว
 
 เพลงมวยมีตัวหนังสือ 140 ตัว
 
 แต่ละตัวอักษรล้วนเป็นความจริง
 
 ทั้งความหมายก็สมบูรณ์พร้อม
 
 ถ้าท่านไม่ศึกษาในลักษณะนี้
 
 ท่านย่อมเสียเวลาเปล่า
 
 ได้แต่ทอดถอนใจภายหลัง”
 •	จุดประสงค์สุดท้ายคือยืดอายุให้ยืนยาว ดำรงความเป็นหนุ่มสาวซึ่งต้องใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ว่านี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของเคล็ดวิชาและการฝึกฝนวิชามวยไทเก็ก
 
 •	คัมภีร์ไทเก็กมีเนื้อหาเป็นภาษาจีน 140 ตัวอักษร ความหมายของภาษาจีนแต่ละตัว แต่ละคำล้ำลึก กว้างขวาง พลิกพลิ้วพิสดารยิ่งนัก แม้ว่าซุนผู้นิรนามจะเชี่ยวชาญเชิงอักษรศาสตร์และเข้าใจอรรถรสแห่งภาษาอย่างลึกซึ้งก็ตาม แต่ยามถ่ายทอดจากภาคจีนมาเป็นภาคไทยในความหมายภาษาจีนแต่ละคำก็ไม่ใช่สิ่งที่กระทำได้ง่ายดายนัก ภาษาจีนยังต้องอ่านความหมาย เมื่อเป็นภาษาไทยก็ยิ่งต้องอ่านความหมายและต้องอ่านให้ลึกลงไปถึงธาตุแท้ของความหมายในภาษาจีนด้วย นั่นคือความหมายของแต่ละคำ ความหมายของความรวมที่ประกอบขึ้นจากคำต่าง ๆ และประมวลความรวมทั้งหมดของคัมภีร์
 •	หากไม่ศึกษาในลักษณะนี้ก็ย่อมเสียเวลาเปล่าและต้องทอดถอนใจในภายหลัง แต่ทว่าการศึกษาในลักษณะเช่นนี้ก็ยังเป็นเพียงส่วนเดียวและเป็นความหมายด้านเดียว โดยละไว้ไม่กล่าวถึงอีกด้านหนึ่ง ซึ่งก็คือการฝึกฝนและการปฏิบัติ การศึกษาแต่คัมภีร์โดยไม่มีการฝึกฝนอบรมปฏิบัติก็จะได้ประโยชน์แค่ระดับชั้นเพียงความรับรู้เท่านั้น ไม่ถึงขั้นการสัมผัสรสชาติธาตุแท้เนื้อหาสาระที่เป็นจริงของวิชาไทเก็ก 
 •	หมั่นศึกษาในลักษณะที่ซุนนิรนามได้แปลไว้ แล้วหมั่นฝึกฝนอบรมปฏิบัติตนไปตามเคล็ดวิชาแห่งคัมภีร์ เห็นจะได้รับผลดีเป็นมั่นคง เห็นจะไม่ต้องทอดถอนใจในภายหลังเป็นมั่นคง
 
 บทที่ 2 จากทั่วไปสู่สามัญ
 •	อริยาบถของคนเราโดยทั่วไปแปรเปลี่ยนไปจากสามัญสู่ทั่วไป ดังนั้นการเริ่มต้นของวิชาไทเก็กจึงต้องปรับสภาพเข้าสู่สภาพเดิมคือจากทั่วไปสู่สามัญ ภาวะที่เป็นสามัญนั้นคือภาวะที่มีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะขับเคลื่อนตัวไปในกระบวนวิชาไทเก็ก 
 •	เหตุที่คนเราโดยทั่วไปได้แปรเปลี่ยนจากสามัญสู่ทั่วไปก็เพราะว่ากิจกรรมของคนเราในสังคมที่พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปย่อมเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ความเป็นธรรมชาติ ความเป็นสามัญของความเป็นมนุษย์ก็ผันแปรเปลี่ยนแปลงไป เป็นสภาวะผันแปรเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปในทางทำให้สุขภาพอนามัยและอายุขัยของผู้คนลดน้อยถอยลง จากปกติซึ่งควรมีอายุได้ถึง 120 ปี ก็ลดลงมาโดยลำดับ
 •	การสูญเสียพลังทางเพศที่เกินปกติมีผลต่อการทำให้สุขภาพอนามัยและอายุขัยลดลงถึง 20 ปี ดังนั้นจักรพรรดิบางพระองค์ซึ่งแม้ว่าจะทรงสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สิ่งศฤงคาร ยาบำรุง และความรู้ทางวิชาการในการรักษาสุขภาพอนามัยมากมายสูงส่งสักปานใด แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งอายุขัยที่สั้นลงเอาไว้ได้ และทำให้เกิดสภาพอายุสั้นและสวรรคตก่อนวัย
 •	การนอนน้อยเกินปกติอย่างต่อเนื่องยาวนานจะทำให้อายุขัยสั้นลงถึง 15 ปี แต่ถ้าอดนอนต่อเนื่องเพียง 5 วันหรือ 7 วันก็อาจถึงตายได้
 •	การดื่มสุรามากเกินขนาดอย่างต่อเนื่องยาวนานย่อมลดทอนสุขภาพอนามัยและอายุขัยให้สั้นลงถึง 10 ปี ในขณะที่การสูบบุหรี่ กัญชา ซิก้าร์ บั่นทอนสุขภาพอนามัยและทำให้อายุขัยสั้นลงไม่เกิน 5 ปี 
 •	การกินอาหารของยักษ์มารคือเนื้อ นม ไข่ อย่างต่อเนื่องยาวนาน มีผลทำให้สุขภาพอนามัยและอายุขัยสั้นลง 20 ปี การกินผัก ปลา ซึ่งเป็นอาหารของมนุษย์ทำให้สุขภาพอนามัยอายุขัยเป็นสามัญ ในขณะที่การกินผัก หญ้า ซึ่งเป็นอาหารเทวะทำให้สุขภาพอนามัยและอายุขัยยืนยาวถึง 20 ปี
 •	การอยู่ในที่สภาวะอากาศไม่บริสุทธิ์หรือเป็นพิษอย่างต่อเนื่องยาวนานอาจทำให้สุขภาพอนามัยและอายุขัยสั้นลงถึง 40 ปี 
 •	ความมีจิตใจที่สงบเยือกเย็นเบิกบาน ไร้ความเครียดกังวล มีความปิติยินดี มีความสุขอันเกิดแต่วิเวกหรือเกิดแต่สมาธิ จะทำให้สุขภาพอนามัยและอายุขัยยืนยาวถึง 20 ปี หรือกว่านั้น ขึ้นอยู่กับระดับภูมิธรรมแห่งจิตที่ทำให้เกิดความเป็นเอกภาพระหว่างร่างกาย ปราณ และจิตมากน้อยเพียงใด
 •	การออกกำลังกายแต่พอประมาณทำให้สุขภาพอนามัยและอายุขัยยืนยาวได้ 15 ปี แต่ถ้ามากเกินควรก็อาจทำให้ตายได้โดยฉับพลัน และทำให้อายุขัยสั้นลงถึง 5 ปี 
 •	ความผันแปรเปลี่ยนแปลงของคนเราตามสภาวการณ์ของสังคมทำให้เกิดสภาพบวกลบของสุขภาพอนามัยและอายุขัย และผันแปรไปตามการประพฤติปฏิบัติของแต่ละคน นี่ก็เป็นเคล็ดวิชาอย่างหนึ่งแห่งวิชาไทเก็ก เพราะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สุขภาพอนามัยดีมีอายุขัยยาวนาน หรือสั้นลงกว่าปกติที่ควรเป็น
 •	เพราะความคราคร่ำหมกมุ่นอยู่ในวังวนของชีวิตประจำวันจึงทำให้ความเป็นสามัญที่เปี่ยมไปด้วยความพร้อมของร่างกายตกอยู่ในวังวนแห่งความเป็นทั่วไปตามสภาพชีวิตประจำวันด้วย ทำให้ขาดความพร้อมในการขับเคลื่อนพลังและวิชาไทเก็ก เพราะเหตุนี้จึงต้องปรับเปลี่ยนสภาพร่างกายจากทั่วไปสู่สามัญเป็นเบื้องต้นก่อน 
 •	สามัญลักษณะคือว่างกับนิ่ง ว่างกับนิ่ง เหมือนไร้พลัง เหมือนไร้การเคลื่อนไหว แท้จริงกลับเปี่ยมด้วยพลัง และเปี่ยมด้วยการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังด้วย 
 •	คนทั่วไปไม่รู้จักความว่าง ทั้งที่ความว่างยิ่งใหญ่ ไร้ขอบเขต ไร้ข้อจำกัดใด ๆ 
 
 ผืนดิน แผ่นน้ำ แม้กว้างใหญ่ แต่น้อยนิดเมื่อเทียบกับพื้นผิวพิภพ 
 
 พื้นผิวพิภพอันประกอบขึ้นเป็นเครื่องห่อหุ้มโลกเรานี้แม้กว้างใหญ่ แต่น้อยนิดเมื่อเทียบกับระบบสุริยะ (Galaxy) อันยิ่งใหญ่ 
 
 ระบบสุริยะอันยิ่งใหญ่นี้ยังเป็นเพียงส่วนน้อยนิดและส่วนเดียวของหมื่นแสนระบบสุริยะหรือหมื่นแสนโลกธาตุ อันหาที่สุดมิได้ 
 
 หมื่นแสนโลกธาตุหรือหมื่นแสนระบบสุริยะอันยิ่งใหญ่นั้นตั้งอยู่ที่ไหนเล่า
 
 ก็ตั้งอยู่ในความว่างนั่นเอง นี่คือความว่างทางกายภาพหรือทางฟิสิกส์ 
 
 ซึ่งเป็นความว่างเพียงชนิดหนึ่งชนิดเดียวในบรรดาความว่างทั้งหลาย 
 
 ในร่างกายของเรานี้ก็มีความว่างที่ยิ่งใหญ่ 
 
 ความว่างหนึ่งคือความว่างภายในอณูและระหว่างอณูอันประกอบเข้าเป็นร่างกายนี้ 
 
 อีกความว่างหนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่กว่าคือความว่างแห่งจิต
 
 จิตไร้อานุภาพ อ่อนแอ หงอยเหงาเศร้าซึม ก็เพราะขาดไร้ซึ่งความว่าง 
 
 เมื่อใดจิตถึงซึ่งภาวะความว่างอันยิ่งใหญ่หรือวิมุตตะมิติแล้ว เมื่อนั้นจิตก็มีอานุภาพยิ่งใหญ่ 
 
 
 อย่างน้อยที่สุดสามารถสำแดงฤทธิ์ต่าง ๆ อันพ้นวิสัยมนุษย์ธรรมดาได้ 
 
 
 คนเดียวแปลงเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนทำเป็นคนเดียวก็ได้ ลอยไปในอากาศก็ได้ เดินไปบนผิวน้ำก็ได้ แทรกตัวไปในภูเขาหรือดำลงไปในแผ่นดินก็ได้ กำบังตนก็ได้ 
 
 สามารถได้ยินเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์อันล่วงพ้นโสตมนุษย์ก็ได้ สามารถเห็นโลกทั้งหลายและสัตว์ทั้งหลาย ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อันล่วงพ้นจักษุมนุษย์ก็ได้ มีฤทธิ์มาก สามารถลูบคลำดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็ได้ สามารถไปถึงพรหมโลกด้วยนามกายก็ได้ 
 
 อา! ความว่างช่างยิ่งใหญ่และมีอานุภาพสุดประมาณนัก 
 
 แล้วไยคนเราไม่ศึกษา ไม่ทำความเข้าใจ และไม่เข้าถึงความว่างเล่า? 
 •	ลูกเกาทัณฑ์ที่เคลื่อนไหวไปด้วยแรงยิง สุดแรงแล้วก็ร่วงหล่นลง 
 
 เกาทัณฑ์เคลื่อนไปด้วยแรงและพลังและร่วงหล่นลงเมื่อสิ้นแรงพลัง 
 
 ความเคลื่อนไหวคือความเริ่มต้นของการร่วงหล่นและสิ้นพลัง 
 
 ความนิ่งต่างหากคือความเริ่มต้นของแรงและพลังทั้งปวง 
 •	ความว่างและความนิ่งคือสามัญลักษณะที่พึงเข้าถึง จึงสามารถเปล่งอานุภาพแห่งท่าร่างและกำลังภายในของไทเก็กได้อย่างสมบูรณ์ และเพราะเข้าถึงความนิ่งและความว่าง อายุขัยจึงยืนยาวอย่างแท้จริง นั่นคือการบรรลุถึงสุดยอดวิชาไทเก็ก.
 
 บทที่ 3 ไทเก๊กจินเก็ง , ไท่ จี๋ ฉวนจิง
 คัมภีร์ไทเก็ก (ไท่ จี๋ ฉวนจิง) ของปรมาจารย์ จาง ซาน ฟง
 บัญญัติในรัชสมัยของพระเจ้าซ่งฮุ่ยจง 
  
        คัมภีร์ไทเก็กที่บัญญัติโดยปรมาจารย์เตียซำฮงนั้นเป็นภาษาจีน ประกอบด้วยตัวอักษร 140 ตัวอักษร เป็นภาษาจีนโบราณในยุคราชวงศ์ซ้อง ดังนั้นความหมายของภาษาในยุคนั้นจึงอาจมีความหมายแตกต่างกับความเข้าใจในภาษายุคปัจจุบัน ซุนผู้นิรนามได้พยายามทุ่มเทแปลคัมภีร์มวยไทเก็ก หรือไท่จี๋ฉวนจิง หรือไทเก็กจินเก็งออกมาเป็นภาคไทยเมื่อหลายปีก่อน 
 
        ดังนั้นเมื่อจะทำความเข้าใจและศึกษาวิชาไทเก็ก จึงต้องศึกษาจากคัมภีร์หลักที่ปรมาจารย์เตียซำฮงเป็นผู้บัญญัติเป็นเบื้องต้น จากนั้นจึงค่อยพิจารณาทำความเข้าใจแล้วฝึกฝนในการปฏิบัติ ซึ่งมีคำอธิบายและมีผู้รู้มากมายได้ตั้งแต่งคำอธิบายและอบรมสั่งสอนอยู่ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนี้ 
 
        ในบทที่ 3. นี้จึงเป็นบทที่ว่าด้วยคำแปลคัมภีร์ไทเก็กจินเก็ง หรือไท่จี๋ฉวนจิง ของปรมาจารย์เตียซำฮง ซึ่งซุนผู้นิรนามได้แปลไว้ดังจะนำมาเสนอโดยลำดับดังนี้ 
 •	ในความเคลื่อนไหว ทุกส่วนของร่างกายต้องเบา 
 คล่องแคล่ว และร้อยรัดเป็นหนึ่งเดียว
 •	พลังลมปราณ ควรถูกกระตุ้น 
 จิตวิญญาณ ควรรวมอยู่ภายใน 
 ท่าร่าง ๆ ต่าง ๆ อย่าให้ขาดตอน หรือมีช่องโหว่ 
 ยุบหรือยืน หรือท่วงท่าต่อเนื่อง และไม่ต่อเนื่อง 
 •	การเคลื่อนไหว ควรหยั่งรากที่เท้า 
 ปล่อยผ่านขา ควบคุมด้วยเอว 
 และสำแดงผ่านนิ้วมือ 
 •	เท้า ขา และเอว ต้องกระทำการเคลื่อนไหวร่วมกันอย่างพร้อมเพรียง 
 เพื่อให้ขณะที่ก้าวไปข้างหน้าหรือข้างหลัง จังหวะและตำแหน่งจะได้ถูกต้อง 
 ถ้าจังหวะและตำแหน่งไม่ถูกต้อง ร่างกายจะระส่ำระส่าย 
 และต้องค้นหาจุดบกพร่องที่ขาและเอว 
 ขึ้นหรือลง หน้าหรือหลัง ซ้ายหรือขวา ล้วนเหมือนกัน 
 •	ทั้งหมดล้วนเป็นจิตหยั่งรู้ 
 ย่อมไม่ใช่สิ่งภายนอก 
 ถ้ามีขึ้น ย่อมมีลง 
 ถ้ามีขึ้นหน้า ก็มีถอยหลัง 
 ถ้ามีซ้ายก็มีขวา 
 ถ้าจิตหยั่งรู้ อยากขึ้นบน ในขณะเดียวกัน มันก็ประกอบด้วยความคิดที่จะลงล่าง 
 •	หากมีการสลับพลัง ดึงและผลัก 
 รากย่อมคลอนแคลน 
 และวัตถุนั้นจะล้มลงอย่างรวดเร็ว โดยมิต้องสงสัย 
 •	สิ่งที่ไร้ตัวตนและสิ่งที่มีตัวตน ควรจำแนกให้ชัดเจน 
 ที่แห่งหนึ่ง มีสิ่งที่ไร้ตัวตน และสิ่งที่มีตัวตน 
 ทุกหนทุกแห่ง มีสิ่งที่ไร้ตัวตน และมีรูปแบบของสิ่งที่มีตัวตนอย่างเดียวกัน 
 ทุกสัดส่วนของร่างกายร้อยรัดเข้าด้วยกัน โดยไม่ขาดช่วงแม้แต่น้อย 
 •	ไทเก็ก (ไท่จี๋ฉวน หรือฉางฉวน) เฉกเช่น แม่น้ำสายใหญ่ 
 ที่หมุนวนอย่างไม่ขาดสาย 
 ปิดสกัดปัดป้อง (เผิง)
 ฉุดดึงกลับ (หลี่)
 เบียดดัน (จี๋)
 ผลักออก (อั้น)
 ดึง (ไช่)
 แยกมือแยกร่าง (เลี๊ยะ)
 ศอก (โจ่ว)
 ไหล่ (เค่า)
 คือ 8 ประตู 8 ลักษณะ (อัฏฐลักษณ์)
 •	ก้าวขึ้นหน้า ก้าวถอยหลัง 
 มองซ้าย แลขวา 
 และดุลยภาพศูนย์กลางคือ 5 ธาตุ 
 •	“เผิง หลี่ จี๋ อั้น” คือ 
 สวรรค์ (เฉียน) แผ่นดิน (คุณ)
 ไฟ (หลี) น้ำ (กัน) 
 และเป็นทิศหลักทั้ง 4 คือ 
 ตะวันออก 
 ตะวันตก 
 เหนือ 
 ใต้ 
 •	ไช่ เลี๊ยะ โจ่ว เค่า คือ
 ลม (ซุ่น)
 สายฟ้าร้อง (เจิ้ง)
 ทะเลสาบ (ตุ้ย)
 ภูเขา (เกิน)
 คือทิศเฉียงทั้ง 4 ได้แก่ อาคเนย์ หรดี พายัพ และอีสาน 
 •	ก้าวขึ้นหน้า เดินถอยหลัง 
 มองซ้าย แลขวา 
 ดุลยภาพอยู่ ณ ศูนย์กลาง 
 คือธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุดิน 
 รวมกันแล้ว เหล่านี้ประกอบขึ้นเป็น 13 ท่าร่าง 
 •	บทเพลง 13 กระบวนท่า หรือ 13 ท่าร่าง คือ
 1. เผิง คือ ปัดป้อง ปิดสกัด 
 2. หลี่ คือ ฉุด ดึงกลับ 
 3. จี้ คือ เบียด กด 
 4. อั้น คือ ผลัก กระแทก 
 ทั้ง 4 กระบวนท่านี้รวมเรียกว่าท่าคว้าจับหางนกกระจอก 
 
 5. ไช่ คือ ฉุดลงร่าง 
 6. เลียะ คือ แยกฝ่ามือ แยกร่าง 
 7. โจ่ว คือ ฟันศอก 
 8. โค่ว คือ ไหล่กระแทก
 ทั้ง 4 กระบวนท่านี้เมื่อรวมกับ 4 กระบวนท่าแรก รวมเรียก 8 ประตู หรือ 8 ลักษณะ 
 
 9. เหลียวซ้าย 
 10. แลขวา
 11. รุดหน้า
 12. ถอยหลัง
 13. ตั้งมั่นตรงกลาง 
 •	กระบวนท่าก้าวเท้า 5 ท่า 
 1. หม่าปู้ คือ ยืนนั่งม้า 
 2. กงปู้ คือ ยืนคันธนู
 3. ติงปู้ คือ ยืนพักเท้า (เข่าผ่อนคลาย) 
 4. ภูปู้ คือ ยืนส้นเท้ากดต่ำ 
 5. ชิปู้ คือ ปลายเท้าแตะพื้นเบา ๆ 
 
 บทที่ 4 คำภีร์ไท่จี๋ฉวนหลุน
 1. คัมภีร์ไท่จี๋ฉวนหลุน เป็นคัมภีร์บทขยายของคัมภีร์ไทจี๋ฉวนจิง บัญญัติโดยหวางจงเยี่ย แห่งเมืองเหอหนาน ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง คศ. 1736-1795 เป็นศิษย์สายตรงคนสำคัญของปรมาจารย์เตียซำฮง 
 
      เนื่องจากเคล็ดวิชาไทเก็กนั้นลึกซึ้ง ล้ำลึก และประณีตยิ่งนัก แม้ในยุคสมัยใกล้เคียงกับยุคสมัยที่ปรมาจารย์เตียซำฮงยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีความเข้าใจที่สับสนกันเป็นอันมาก หวางจงเยี่ยจึงได้แต่งคัมภีร์ไท่จี๋ฉวนหลุนขึ้นอีกฉบับหนึ่ง อรรถาธิบายขยายความคัมภีร์ไทเก็กของปรมาจารย์เตียซำฮงให้กว้างและละเอียดขึ้นอีกขั้นหนึ่ง 
 
      ซุนผู้นิรนามได้แปลคัมภีร์ไท่จี๋ฉวนหลุนออกเป็นภาคไทย ต่อเนื่องจากการแปลคัมภีร์ไท่จี๋ฉวนจิง ดังที่จะได้นำมาเสนอดังต่อไปนี้ 
 
      ๐  ไท่จี๋ มาจาก ยิ่งใหญ่สุดยอด 
           หวู่จี๋ No Extremities คือความว่าง สุดยอด 
           และเป็นมารดาของหยินและหยาง 
 
      ๐  กระบวนท่าคล้อยตามเกาะติด 
           ในความเคลื่อนไหวมันแยกจากกัน 
           ในความหยุดนิ่งมันหลอมรวมกัน 
           ไม่ขาดไม่เกิน 
           ดังนั้น 
           ยามมันงอ มันพลันเหยียดตรง 
           เมื่อปรปักษ์แข็งมา ข้ากลับอ่อน 
           นี่เรียกว่าการคล้อยตามเกาะติด (โส่ว) 
 
      ๐  กระบวนท่าเกาะติดอ่อนตาม 
           เมื่อข้าติดตามปรปักษ์ 
           และเขาหมุนตัวกลับ 
           นี่เรียกว่าการเกาะติดอ่อนตาม (เหนียน) 
 
      ๐  ถ้าปรปักษ์เคลื่อนไหวรวดเร็ว ก็ตอบโต้เร็วตาม 
           ถ้าเขาเคลื่อนไหวเชื่องช้า ก็เชื่องช้าตาม 
           แม้นว่าการเปลี่ยนแปลงมีมากมาย 
           หลักการที่ครอบคลุมมันมีเพียงหนึ่งเดียว 
 
      ๐  จากความคุ้นเคย กับการสัมผัสที่ถูกต้อง 
           จะค่อย ๆ เข้าใจ กำลังภายในทีละน้อย 
           จากความเข้าใจในกำลังภายใน 
           ย่อมสามารถเข้าถึงภูมิปัญญา 
           ปราศจากการฝึกหนักและยาวนานต่อเนื่อง 
           ย่อมไม่สามารถเข้าใจมันได้ทันที 
           กำลังภายในบรรลุถึงกระหม่อมโดยไม่ต้องพยายาม 
           ปล่อยให้ลมปราณจมลงสู่ตันเถียน 
           อย่าเอนเอียงไปในทิศทางใด ๆ 
           บัดเดี๋ยวปรากฏ 
           บัดเดี๋ยวสูญหาย 
           ทำด้านซ้ายให้ว่าง 
           เมื่อใดที่ปรากฏแรงดัน เฉกเช่นด้านขวา 
 
      ๐  ถ้าปรปักษ์ยืนขึ้น ข้าจะดูสูงกว่า 
           ถ้าเขาย่อตัวลง ข้าจะดูต่ำเตี้ยกว่า 
           รุกไปข้างหน้า ระยะทางดูไกล อย่างไม่น่าเชื่อ 
           ก้าวถอยหลัง ระยะทางดูใกล้ขึ้นอย่างยิ่งยวด 
           วัตถุที่เบาดั่งขนนกมิอาจวางลง 
           และแมลงที่เล็กดั่งแมลงวัน 
           มิอาจบินเกาะบนส่วนใด ๆ ของร่างกายได้เลย 
 
      ๐  ปรปักษ์ไม่รู้จักข้า 
           ข้ารู้จักเขาฝ่ายเดียว 
           การเป็นจอมยุทธ์ไร้เทียมทาน เป็นผลจากสิ่งนี้ 
 
      ๐  มีวิทยายุทธ์เป็นอันมาก 
           แม้นว่ามันใช้รูปแบบที่แตกต่างกัน 
           ส่วนใหญ่แล้วไม่พ้นไปจากผู้เข้มแข็งข่มผู้อ่อนแอ 
           และผู้เชื่องช้ายอมตามผู้ที่ว่องไวกว่า 
           ผู้เข้มแข็งโค่นล้มผู้อ่อนแอ 
           และมือที่เชื่องช้ายินยอมต่อมือที่ว่องไว 
           ทั้งหมดล้วนเป็นผลของสมรรถภาพทางกายที่แฝงเร้นอยู่ภายใน 
           ไม่ใช่ผลทางเทคนิคที่ฝึกฝนมาอย่างดี 
 
      ๐  จากวลีที่ว่า “สี่ตำลึง ปัดพันชั่ง” (ใช้แรงน้อยปัดแรงมาก) 
           เราจึงรู้ว่าเทคนิคมิได้สำเร็จด้วยพละกำลัง 
           ภาพของคนชราโค่นล้มกลุ่มคนหนุ่ม 
           จะเนื่องมาจากความว่องไวได้อย่างไร 
 
      ๐  ยืนให้สมดุล และหมุนอย่างขันแข็งดั่งล้อรถ 
           การจมลงด้านหนึ่งคือการตอบโต้ 
           การรับน้ำหนักพร้อมกัน 2 ขา คือภาวะนิ่งงันอันเฉื่อยชา 
           ผู้ใดที่ใช้เวลาหลายปีฝึกฝน 
           แต่ยังคงไม่สามารถปัดป้องได้ 
           และถูกปรปักษ์ ควบคุมเอาไว้เสมอ 
           เพราะไม่เข้าใจ 
           ข้อผิดพลาด ของการรับน้ำหนักพร้อมกัน 2 ขา 
           เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดนี้ 
           ต้องเรียนรู้ หยินและหยาง 
           หยินและหยางเสริมช่วยเหลือกัน และเปลี่ยนแปลงกันและกัน 
           จากนั้นท่านย่อมพูดได้ว่า 
           ท่านเข้าใจกำลังภายใน 
           หลังจากท่านเข้าใจกำลังภายใน 
           ยิ่งฝึกฝนมากก็ยิ่งชำนาญมาก 
           สะสมความรู้อย่างเงียบ ๆ 
           และหมั่นทบทวน 
           ท่านจะค่อย ๆ ทำตามที่ต้องการได้เอง 
 
      ๐  เดิมทีคือการละวางตัวเอง 
           เพื่อติดตามคนอื่น 
           คนส่วนใหญ่ละทิ้งที่ใกล้ เพื่อแสวงหาที่ไกล 
           กล่าวกันว่า 
           “พลาดเพียงเล็กน้อย จะออกนอกทางไปหลายลี้” 
           ผู้ฝึกฝนต้องศึกษาอย่างระมัดระวัง นี่คือตำรา (หลุน) 
 
      ๐  จิตใจระดมพลังลมปราณ ทำให้ลมปราณจมลงอย่างราบเรียบ 
           แล้วมันจะรวมกัน 
           และซ่านซึมสู่กระดูก 
           ลมปราณระดมพลังร่างกาย 
           ทำให้มันเคลื่อนไหวอย่างราบรื่น 
           หลังจากนั้นมันจึงทำตาม 
           คำบงการของจิตใจได้ง่าย 
 
      ๐  จิตหยั่งรู้ และลมปราณ 
           ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างคล่องแคล่ว 
           จึงจะมีความยอดเยี่ยม 
           ของความกลมและความราบรื่น 
           นี่เรียกว่า 
           “การเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่ไร้ตัวตน และสิ่งที่มีตัวตน” 
 
      ๐  จิตใจคือผู้บัญชาการ 
           ลมปราณคือธง 
           และเอวคือแผ่นป้ายผ้า 
           เอวเฉกเช่นเพลา 
           และลมปราณดุจดั่งล้อ 
           ลมปราณได้รับการบำรุงเลี้ยงอยู่เสมอ 
           โดยปราศจากภยันตราย 
           ปล่อยให้ลมปราณเคลื่อนไหว 
           เฉกเช่นไข่มุกเปล่ง 9 ประกาย 
           โดยไม่ติดขัด 
           จึงไม่มีส่วนใดของร่างกายที่มันไปไม่ถึง 
 
      ๐  ในการเคลื่อนไหว 
           ลมปราณแนบติดหลัง 
           และซึมซ่านสู่กระดูกสันหลัง 
           กล่าวกันว่า “อยู่ในใจก่อน” 
           แล้วจึงอยู่ในร่างกาย 
           ผ่อนคลายท้อง 
           แล้วลมปราณจะจมลงสู่กระดูก 
           เมื่อจิตวิญญาณผ่อนคลาย 
           ร่างกายจะสงบ 
           มันอยู่ในใจเสมอ 
 
      ๐  ความสามารถที่จะหายใจอย่างเหมาะสม 
           นำไปสู่ความคล่องแคล่ว 
           อ่อนที่สุด 
           จึงกลายเป็น 
           เข้มแข็งที่สุด.
 
 
 
  
    ไทเก๊กจินเก็ง ฉบับสมบูรณ์ ของ ปรมาจารย์ จาง ซาน ฟง ( เตีย ซำ ฮง )
| เด็กชายไร้นาม | 
 #1   เด็กชายไร้นาม     [ 28-09-2009 - 12:54:15 ]   | 
| 
   | 
| เด็กชายไร้นาม | 
 #2   เด็กชายไร้นาม     [ 28-09-2009 - 12:55:10 ]   | 
| 
   | 
ช่วงเคล็ดอาจไม่ค่อยละเอียด ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจก็ถามนะครับ เพราะมันไม่ค่อยมีคำอธิบาย ช่วงเคล็ดวิชา        | 
| ศพเหล็ก | 
 #4   ศพเหล็ก     [ 28-09-2009 - 19:00:49 ]   | 
| 
   | 
ตอนนี้ข้าไม่มีเวลาจะมาฝึกวิชาหรอก  ข้าต้องปกครองบ้านเมือง             | 
| เด็กชายไร้นาม | 
 #5   เด็กชายไร้นาม     [ 28-09-2009 - 19:24:02 ]   | 
| 
   | 
...              อ่านะท่าน  | 
| สยบทั่วเเผ่นดิน | 
 #6   สยบทั่วเเผ่นดิน     [ 28-09-2009 - 19:32:49 ]   | 
| 
   | 
 ช่วงนี้ดูท่าอยู่ในสภาวะการเเข่งขันสูงนะ ขอรับ มีทั้งเก้ากระบี่เดียวดาย มวยไทเก๊ก  มุซาชิ  เหมือนมีนัยว่าอย่างไหนมีดีกว่า           | 
| กระบี่6ชีพจร | 
 #7   กระบี่6ชีพจร     [ 28-09-2009 - 19:34:10 ]   | 
| 
   | 
นับถือๆ       | 
| เด็กชายไร้นาม | 
 #8   เด็กชายไร้นาม     [ 28-09-2009 - 21:13:16 ]   | 
| 
   | 
         ไม่แข่งขันหรอกท่าน...ผมเห็นว่าผมนำฉบับนู้น(ฉบับตระกูลอู๋) มาลงให้เมื่อประมาณเดือนครึ่งที่แล้ว วันนี้เลยนำฉบับสมบูรณ์มาให้ลองฝุกเพราะฉบับตระกูลอู๋จะทำให้เข้าใจไทเก๊กเบื้องต้นได้ง่าย พอฝึกฉบับนี้ก็จะง่ายขึ้นครับ แต่ผมแนะนำฉบับนี้มากกว่าครับ   | 
| เตียบ่อกี้ | 
 #10   เตียบ่อกี้     [ 29-09-2009 - 13:18:46 ]   | 
| 
   | 
ท่านจะไปต่อยกับใครหรือขอรับ          | 
| เด็กชายไร้นาม | 
 #12   เด็กชายไร้นาม     [ 29-09-2009 - 13:39:54 ]   | 
| 
   | 
มิชิล คือ...                | 
| เด็กชายไร้นาม | 
 #15   เด็กชายไร้นาม     [ 29-09-2009 - 20:58:50 ]   | 
| 
   | 
ใครหว่า...               ไม่รู้จักอ่าครับ   เก้าอิมจินเก็ง...ท่าจะยากเพราะผมไม่ได้ฝึกอ่ะครับ...  | 
| สยบทั่วเเผ่นดิน | 
 #16   สยบทั่วเเผ่นดิน     [ 30-09-2009 - 22:55:28 ]   | 
| 
   | 
ว่าแต่วิชานี้เป็นของปรมจารย์เตียซำฮง น่าจะเป็นสุดยอดวิชาบู๊ตึ้ง หรือวิชาลับใยท่านจึงรู้นำมาเปิดเผยได้         ปัจจุบันแพร่หลายในสังคมนัก สาเหตุมาจากเหตุใดรึ ขอรับ  | 
| เด็กชายไร้นาม | 
 #17   เด็กชายไร้นาม     [ 01-10-2009 - 10:10:56 ]   | 
| 
   | 
สาเหตุที่แพร่หลายในปัจจุบันเพราะมีการนำไปปรับปรุงหรือแก้ไขครับ เลยออกมาเป็นหลายฉบับ จนแพร่หลายในที่สุดครับ       | 
| ศพเหล็ก | 
 #18   ศพเหล็ก     [ 01-10-2009 - 22:34:47 ]   | 
| 
   | 
วิชาคงกระพัน วิชาอุดกระสุน วิชาเสกหุ่นพยน เสกควายธนู ไรประมานนี้มีมั้ย  ข้าต้องการ       | 
| 9กระบี่ต๊กโก | 
 #19   9กระบี่ต๊กโก     [ 02-10-2009 - 01:13:41 ]   | 
| 
   | 
              | 
| เด็กชายไร้นาม | 
 #20   เด็กชายไร้นาม     [ 02-10-2009 - 15:59:09 ]   | 
| 
   | 
...                | 





  
  
  

  
  
  
  